บทเรียน 14 มนุษย์ที่ขาดพระเจ้าเป็นอย่างไร

โยบบทที่ 35 อธิบายลักษณะมนุษย์กับผู้เชื่อที่ขาดพระเจ้า คนที่ขาดหรือห่างไกลพระองค์ต้องรับผลอย่างไร ย้ำเตือนผลของบาป

            อ่านโยบ บทที่ 35

คำถามก่อนเรียน:

            1) ท่านคิดว่าคนส่วนใหญ่มีทุกข์หรือสุขมากกว่า ชีวิตพวกเขาเป็นเช่นไร

            2) ชีวิตของท่านเมื่อติดตามพระเจ้าดีขึ้นหรือไม่ อย่างไร

มนุษย์ที่ขาดพระเจ้าเป็นอย่างไร:

            โยบบทที่ 35 อธิบายลักษณะมนุษย์กับผู้เชื่อที่ขาดพระเจ้า คนที่ขาดหรือห่างไกลพระองค์ต้องรับผลอย่างไร

1. ผู้อยู่เหนือความเป็นไปของโลก

โยบ.35:1-7

1 เอลีฮูพูดต่อไปว่า

2 "ท่านคิดว่า นี่ยุติธรรมหรือ ท่านพูดหรือว่า "ความชอบธรรมของข้าพเจ้ายิ่งกว่าของพระเจ้า"

3 ที่ท่านถามว่า "ข้าพเจ้าจะได้ประโยชน์อะไร ข้าพเจ้าจะดีอะไรขึ้นกว่าข้าพเจ้าทำบาป"

4 ข้าพเจ้าจะตอบท่าน กับมิตรสหายของท่านด้วย

5 จงมองดูท้องฟ้าเถิด ดูเมฆซึ่งอยู่สูงกว่าท่าน

6 ถ้าท่านทำบาป ท่านจะได้อะไรที่กระทบกระเทือนพระองค์ ถ้าการทรยศของท่านทวีขึ้น ท่านทำอะไรแก่พระองค์

7 ถ้าท่านเป็นคนชอบธรรม ท่านถวายอะไรแก่พระองค์หรือพระองค์ทรงรับอะไรจากมือของท่าน

            โยบบทที่ 35 เอลีฮูเพื่อนโยบคนที่ 4 อธิบายชี้แจงด้วยศาสนศาสตร์ตอกย้ำความเป็นพระเจ้าว่าทรงอยู่เหนือสรรพสิ่ง เหนือความบาปความดีของมนุษย์ ไม่ว่าใครจะทำบาปหรือทำดีล้วนไม่มีผลต่อพระองค์ ทรงเป็นพระเจ้านิรันดร์ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องไร้สาระที่ใครคนหนึ่งกล่าวหากล่าวโทษพระองค์ (โยบ.35:2-3) เพราะไม่มีผลใดๆ ต่อพระเจ้าแต่อาจมีผลต่อผู้กล่าวโทษพระองค์

            การที่พระเจ้าอยู่เหนือความบาปความดีของมนุษย์ เหนือความเป็นไปของโลก เป็นหลักฐานหนึ่งบ่งชี้ว่าทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ โลกเปลี่ยนแปลงอย่างไรล้วนไม่มีผล ไม่ส่งผลต่อพระองค์เลย ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลงนิรันดร์

            ในทางตรงข้ามพระเจ้าคือผู้กำกับความเป็นไปของโลก พระองค์คือผู้ชี้ว่าใครจะเป็นอย่างไร ทำดี-ทำบาปต้องรับผลอย่างไร (นำเสนอในข้อถัดไป)

          อธิบายขยายความ: ดังที่ได้อธิบายแล้วว่าเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ถ้าใครหนึ่งคนคิดว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรม ไม่เสมอภาค เช่น เกิดมาจน ตัวเตี้ย ผอมเกิน เจ็บป่วยรุนแรง เผชิญเหตุร้าย ฯลฯ เหล่านี้มนุษย์กำลังพิจารณาตัดสินด้วยความคิดตัวเอง ตามมาตรฐานโลก (ไม่ใช่มาตรฐานพระเจ้า) สิ่งที่คริสเตียนผู้เชื่อควรทำคือดำเนินชีวิตด้วยความเชื่ออย่างสัตย์ซื่อ บริสุทธิ์ เที่ยงตรงต่อพระเจ้า ตามนิมิตการทรงเรียก นี่คือสิ่งดีที่สุดที่มนุษย์ทำได้ (แม้ไม่เข้าใจว่าทำไมเกิดมาจน เผชิญเหตุร้าย ฯลฯ) ดีกว่ากล่าวโทษหรือสงสัยพระเจ้า เพราะการกล่าวโทษกล่าวหาใดๆ ไม่มีผลต่อพระองค์เลย เป็นการเสียเวลา ไร้ประโยชน์ ทั้งอาจเป็นผลเสียต่อผู้พูด

รม.11:35-36

35 หรือใครเล่าได้ถวายสิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่พระองค์ที่พระองค์จะต้องประทานตอบแทนให้แก่เขา

36 เพราะสิ่งสารพัดมาจากพระองค์ โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ ขอพระสิริจงมีแด่พระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์ อาเมน

            บางคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องเจ็บป่วยและเสียชีวิต พาลโทษพระเจ้าว่าทำให้ทุกข์ทรมาน เศร้าโศกเสียใจ บางคนคิดไกลถึงขั้นว่าทรงพอพระทัยที่เห็นมนุษย์เจ็บปวด ฯลฯ ข้อนี้ไร้สาระเช่นกัน ไม่ว่ามนุษย์จะเข้าใจหรือไม่ พระองค์ยังทรงเป็นพระเจ้าผู้ครอบครองสรรพสิ่ง ทรงสิทธิอำนาจสูงสุดไม่เปลี่ยนแปลง

            ผู้มีปัญญาจะไม่เสียเวลากับความคิดไร้สาระ แต่จงแสวงพระเจ้า เรียนรู้จักพระองค์ พยายามพัฒนาความเชื่อ ดำเนินชีวิตโดยมีพระองค์เคียงข้าง นั่นแหละดีที่สุด

สดด.23:4 แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์

Even though I walk through the darkest valley, I will fear no evil, for you are with me; your rod and your staff, they comfort me.

            การใช้เวลาแสวงหาพระเจ้า ดำเนินไปกับพระองค์ ก่อประโยชน์มหาศาล ดีกว่านั่งคิดว่าทำไมเกิดมาจน เผชิญเหตุร้าย ฯลฯ จมอยู่ในความคิดที่ไม่อยู่ในทางพระเจ้า

            การเป็นผู้เชื่อศรัทธาองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นคริสเตียน ทั้งหลายทั้งปวงคือการติดตามพระเจ้า

            ผู้เชื่อใหม่คือผู้ตัดสินใจหันหลังให้ชีวิตเก่า (ชีวิตบาป) มาติดตามพระเจ้า เริ่มต้นเรียนรู้ดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระองค์

            จากนั้นความเชื่อของเขาพัฒนามากขึ้น เข้าใจน้ำพระทัยมากขึ้น (เข้าใจความคิดความอ่านของพระองค์) เพื่อผู้เชื่อจะดำเนินในความบริสุทธิ์ชอบธรรม สำแดงพระลักษณะตามบริบทของแต่ละคน

            ผู้เชื่อทิ้งตัวเก่า ชีวิตเปลี่ยนด้วยพระคุณความรัก มีประสบการณ์กับพระเจ้ามากขึ้นลึกซึ้งขึ้น สัมผัสการทรงสถิต เป็นชีวิตที่ดำเนินไปกับพระเจ้า (ไม่ใช่ชีวิตที่ยึดคำสอนธรรมบัญญัติ) ใกล้ชิดติดสนิทมากขึ้นตามลำดับ คำสอนพระองค์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต หรือชีวิตใหม่ที่ก่อร่างสร้างขึ้นบนคำสอนบริสุทธิ์

            ชีวิตที่ดำเนินไปกับพระเจ้า (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            ตัวอย่าง เอโนคผู้ดำเนินกับพระเจ้า (walked faithfully with)

ปฐก.5:24 เอโนคดำเนินกับพระเจ้า แล้วหายหน้าไป เพราะพระเจ้าทรงรับเขาไป

Enoch walked faithfully with God; then he was no more, because God took him away.

            ในสมัยปัจจุบัน คริสเตียนดำเนินไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ส่วนคนบาปดำเนินชีวิตแบบคนไม่ศรัทธา ต้องรับผลบาปที่กระทำ

2. มนุษย์รับผลดี-ผลเสียจากสิ่งที่กระทำ

โยบ.35:8 ความอธรรมของท่านก็เป็นอันตรายแก่คนอย่างท่านและความชอบธรรมของท่านก็เป็นประโยชน์แก่มนุษย์

            ข้อนี้อธิบายขยายความต่อจากข้อที่แล้วว่าสิ่งที่มนุษย์ทำไม่มีผลต่อพระเจ้า แต่มีผลต่อตัวเองและคนอื่นๆ

            2.1 มีผลต่อตัวเอง

            กฎเกณฑ์พระเจ้าชัดเจนใครหว่านสิ่งใดเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น

            คำสอน ธรรมบัญญัติระบุผลดี-ผลเสียของการทำตามหรือละเมิดคำสอน

ฉธบ.28:1-2

1 "ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และระวังที่จะกระทำตามพระบัญญัติของพระองค์ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงตั้งท่านไว้ให้สูงกว่าบรรดาประชาชาติทั้งหลายทั่วโลก

2 พระพรเหล่านี้จะตามมาทันท่าน ถ้าท่านทั้งหลายฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน

กท.6:7-8

7 อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น

8 ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังของตน ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณ ก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น

            ผู้เชื่อศรัทธาต้องตระหนักว่าพระเจ้าต้องการอวยพรคนของพระองค์อยู่แล้ว ทั้งนี้ผู้เชื่อจะต้องดำเนินชีวิตให้สมกับผู้ได้รับพระพร (บางคนได้รับมาก บางคนได้รับน้อย)

            2.2 มีผลต่อคนอื่น

            นอกจากมีผลต่อตัวเองจะส่งผลต่อคนรอบข้างและสังคม ดังจะเห็นว่าเมื่อคนหนึ่งทำบาป มักชักนำให้คนรอบข้างทำบาป บาปกระจายตัวสู่ชุมชน กระทบทั้งเมืองและขยายออกไป

            พระเจ้าจึงห้ามให้ไม่ใครคนหนึ่งทำบาป หากพบคนหนึ่งในชุมชนทำบาปต้องรีบจัดการอย่างเด็ดขาด

1คร.5:1-6

1 มีข่าวเล่าลือว่า ในพวกท่านมีการผิดประเวณี และการผิดนั้นถึงแม้ในพวกต่างชาติก็ไม่มีเลย คือเรื่องมีว่า คนหนึ่งได้เอาภรรยาของบิดามาเป็นเมียของตน

2 และพวกท่านยังผยองแทนที่จะเป็นทุกข์เป็นร้อน ท่านควรที่จะตัดคนที่กระทำผิดเช่นนี้ออกเสียจากพวกท่าน

3 แม้ว่าตัวข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กับพวกท่าน แต่ใจของข้าพเจ้าก็อยู่ด้วยเสมือนว่าข้าพเจ้าได้อยู่ด้วย ข้าพเจ้าได้ตัดสินลงโทษคนที่ได้กระทำผิดเช่นนั้น

4 ในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประชุมกันและใจของข้าพเจ้าร่วมอยู่ด้วย พร้อมทั้งฤทธิ์เดชของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

5 พวกท่านจงมอบคนนั้นไว้ให้ซาตานทำลายเนื้อหนังเสีย เพื่อให้จิตวิญญาณของเขารอด ในวันของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า

6 การที่ท่านอวดอ้างนั้นไม่สมควรเลย ท่านไม่รู้หรือว่าเชื้อขนมเพียงนิดเดียว ย่อมทำให้แป้งดิบฟูทั้งก้อน

            พระคัมภีร์ 1คร. ตอนนี้เกิดขึ้นในสมัยอ.เปาโล คนหนึ่งทำบาปชักนำให้คนอื่นทำด้วย (นิ่งเฉยไม่แก้ไข - การนิ่งเฉยคือบาป) อ.เปาโลเข้ามาสอนและจัดการ ป้องกันบาปกระจายตัว (1คร.5:5-6)

            ในสมัยพระคัมภีร์เดิม ทำบาปบางเรื่องเพียงครั้งเดียวต้องรับโทษถึงตาย

ฉธบ.22:22 "ถ้าพบชายคนหนึ่งไปร่วมกับภรรยาของคนอื่น ทั้งสองคน คือชายที่ไปร่วมกับหญิงและหญิงคนนั้นจะต้องมีโทษถึงตาย ดังนี้แหละท่านจะกำจัดความชั่วจากอิสราเอล

            สังเกตว่าพระเจ้าไม่ได้มองว่าเป็นบาปผิดของผู้กระทำ 2 คนเท่านั้น แต่เป็นของทั้งชนชาติ “ความชั่วจากอิสราเอล”

            อนึ่ง การที่สมัยกิจการ (สมัยพระคัมภีร์ใหม่) ไม่ลงโทษถึงตาย (เอาหินขว้างตาย) ต่างจากสมัยโมเสส (สมัยพระคัมภีร์เดิม) เพราะสมัยโมเสสคนอิสราเอลทั้งหลายอยู่ใต้กฎหมายที่ยึดพระคัมภีร์เดิมเต็มรูปแบบ ส่วนสมัยกิจการคนยิวอยู่ใต้การปกครองของอาณาจักรโรมัน ใช้กฎหมายอาณาจักร (คริสเตียนอยู่ภายใต้กฎหมายบ้านเมือง) การขับหรือ “ตัดคนที่กระทำผิดเช่นนี้” ออกจากคริสตจักรคือการลงโทษฝ่ายวิญญาณ

            มีคำพูดว่าครูเป็นแม่แบบของเด็ก ที่สำคัญกว่าวิชาความรู้คือลักษณะชีวิต นิสัย คำพูด กริยาท่าทาง เพราะเด็กไม่จดเพียงจดจำวิชาการที่สอนเท่านั้น ครูเป็นแบบอย่างในเรื่องอื่นๆ ด้วย

            ด้วยหลักการเดียวกัน พ่อแม่ ทุกคนที่ใกล้ชิดเด็กต่างมีฐานะเป็นแม่แบบ เด็กทั้งหลายค่อยๆ เรียนรู้ซึมซับแบบอย่างคนรอบข้าง บริบทรอบกายที่เขาสัมผัสเข้าถึง สิ่งแวดล้อมจึงหล่อหลอมเขาขึ้นมา

            ชีวิตแต่ละคนจึงมีผลต่อคนอื่น คริสเตียนที่เติบโตฝ่ายวิญญาณ ลูกหลานของเขาจะเห็นแบบอย่างนั้นตั้งแต่เด็กและเห็นเป็นประจำ

            บางคนอ้างข้อพระคัมภีร์ว่าถ้าอธิษฐานแล้วพระเจ้าจะแก้ปัญหาไม่ว่าเรื่องใดๆ เป็นความจริงที่คริสเตียนมีจุดต้องปรับปรุงอยู่เสมอ จึงต้องสารภาพบาป ขอความช่วยเหลือ แต่พระองค์มีคำสอนอื่นด้วย ประสงค์ให้ผู้เชื่อทุกคน “จะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์”

อฟ.4:13-14

13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์

14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง

            ถ้าท่านเป็นพ่อแม่ ท่านอยากให้ลูกของท่านเป็นเช่นนี้หรือไม่ คือแบมือขอท่านเรื่อยไปเพราะช่วยตัวเองไม่ค่อยได้ (เหมือนเด็กเล็กๆ ที่พ่อแม่ต้องคอยป้อนน้ำป้อนข้าว) ไม่รู้จักโต ต้องให้อภัยอยู่เสมอเพราะทำผิดสารพัดแทบไม่พัฒนา ความคิดของพระเจ้าต่อผู้เชื่อก็เป็นเช่นนั้น

            คำถาม: ทำไมพระเจ้าต้องการให้ผู้เชื่อเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ (ตอบให้ครอบคลุมทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น)

            ถ้าคริสเตียนลดทำบาป ชีวิตจะดีขึ้นเอง (แน่ละจะส่งผลต่อลูกหลานคนใกล้ชิดด้วย) เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณมากขึ้น เป็นแบบอย่างที่ดีและมีผลต่อสังคมมากขึ้น

3. ลักษณะผู้ที่ขาดพระเจ้า (9-11)

โยบ.35:9-11

9 "เหตุด้วยการถูกบีบบังคับเป็นอันมาก เขาได้ร้องทุกข์ เขาร้องขอความช่วยเหลือเนื่องด้วยแขนของผู้ทรงอำนาจ

10 แต่ไม่มีสักคนพูดว่า "พระเจ้าผู้ทรงสร้างข้าพเจ้า ผู้ทรงประทานเพลงในเวลากลางคืน ทรงอยู่ที่ไหน

11 ผู้ทรงสอนเรามากกว่าสอนสัตว์แห่งแผ่นดินโลกและทรงกระทำให้เราฉลาดกว่านกในฟ้าอากาศ"

            เพราะว่าโลกอยู่ใต้อิทธิพลบาป อำนาจผีวิญญาณชั่ว มนุษย์บาปมีความคิดชั่วร้าย มนุษย์จึงทำร้ายกันและทำร้ายตัวเอง พวกเขาไม่สามารถเอาชนะความบาป (แม้พยายามจะเป็นคนดีแต่ทำดีบางเรื่องบางเวลาเท่านั้น) ความชั่วร้ายเพิ่มทวี นับวันโลกยิ่งชั่วร้ายมากขึ้น มีเพียงคนจำนวนหนึ่งที่พระองค์ทรงเลือกให้ได้รับความรอด ดำเนินชีวิตเป็นตัวแทนพระคริสต์ เพื่อประกาศพระบารมี สำแดงว่าความดีความชั่วเป็นเช่นไร

            3.1 การกดขี่ข่มเหง (9ก)

            ธรรมชาติของคนบาปจะคิดถึงประโยชน์ส่วนตน เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นแม้กระทั่งทำร้ายชีวิต      ตำราประวัติศาสตร์บรรยายความโหดร้ายของมนุษย์ บ้างเชิดชูกษัตริย์ผู้ชอบทำสงคราม บ้างยึดแบบอย่างอาณาจักรที่ใหญ่โตมั่งคั่งมีข้าทาสบริวารมากมาย แน่ละการขยายอาณาจักรมักหมายถึงการฆ่าล้างทำลาย จับคนมาเป็นทาส ข้าทาสบริวารทนทุกข์เพื่อให้ผู้ปกครองเสวยสุข

            หรือหากไม่ได้ฆ่าฟันด้วยมีดดาบ ผู้คนมากมายถูกกดขี่ข่มเหงจากคนรอบตัว สามีภรรยา พี่น้องทะเลาะเบาะแว้ง ปัญหาที่ทำงาน คนทำบาปต่อกันและกัน ระบอบสังคมที่ประโยชน์ตกอยู่กับคนส่วนน้อย หลายคนใช้ชีวิตอย่างไร้อนาคต

            ยกตัวอย่าง คาอินกับอาแบล พี่น้องคู่แรกของโลกฆ่ากันตาย หลังอาดัมเอวาทำบาป

ปฐก.4:8-11

8 ฝ่ายคาอินก็พูดชวนอาแบลน้องชายของตนว่า "เราไปนากันเถอะ" เมื่ออยู่ที่นาด้วยกัน คาอินก็โถมเข้าฆ่าอาแบลน้องชายของตนเสีย

9 พระเจ้าตรัสถามคาอินว่า "อาแบลน้องชายของเจ้าอยู่ที่ไหน" คาอินจึงทูลว่า "ข้าพระองค์ไม่ทราบ ข้าพระองค์หรือเป็นผู้ดูแลน้อง"

10 พระองค์ตรัสว่า "เจ้าทำอะไรไป โลหิตของน้องเจ้าส่งเสียงร้องฟ้องขึ้นมาจากดิน

11 บัดนี้เจ้าจะต้องถูกสาปจากที่ดินที่ได้อ้าปากรับโลหิตน้องจากมือเจ้า

          อธิบายขยายความ: ควรเข้าใจว่าทั้งผู้กดขี่กับผู้ถูกกดขี่ต่างอยู่ใต้อิทธิพลบาป การกดขี่กับการถูกกดขี่ล้วนเป็นผลจากบาป ผู้กดขี่ทำบาปมากขึ้นเมื่อกดขี่คนอื่นและต้องรับผลที่ตนกระทำ

            3.2 รับความทุกข์ทรมาน (9ข)

            เมื่อทุกข์จะโอดโอย ร้องขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง จากผู้มีอำนาจหรือสิ่งเหนือธรรมชาติตามศรัทธา

            พวกเขาอาจมีความสุขตามธรรมดาโลก (ความสุขในความหมายหรือค่านิยมที่ยึดถือ) แต่ระบบโลกที่อยู่ใต้อิทธิพลบาปไม่ให้ความสุขแท้ อาจมีความสุขความสนุกชั่วครู่ชั่วคราวแต่ขาดสันติสุขแท้ มีคนพยายามแสวงหาสิ่งที่โลกให้เขาไม่ได้หรือพยายามคิดหนีจากโลก ด้วยหวังว่าจะพบความสุขแท้หรือหนีพ้นโลกแห่งความทุกข์

            คนทั่วไปจึงมีความสุขสลับทุกข์ ต่างกันที่มากหรือน้อย ต่างกันในแต่ละช่วงวัย บริบทที่เปลี่ยนไป

            ความทุกข์เหล่านี้มาจากความบาปทั้งบาปเก่ากับบาปที่ทำใหม่ ต่างทำบาปต่อกันและทำความชั่วมากขึ้น ความบาปในแผ่นดินจึงเพิ่มทวี เมื่อถึงจุดหนึ่งพระเจ้าจะทำลายล้างทั้งหมด

ปฐก.6:5-7

5 พระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วช้าของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่องร้ายเสมอไป

6 พระเจ้าจึงเสียพระทัยที่ได้สร้างมนุษย์ไว้บนแผ่นดินและโทมนัส

7 พระเจ้าจึงตรัสว่า "เราจะกวาดล้างมนุษย์ที่เราได้สร้างมานี้ไปเสียจากแผ่นดิน ทั้งมนุษย์สัตว์กับบรรดาสัตว์เลื้อยคลานและนกในอากาศด้วย เพราะว่าเราเสียใจที่ได้สร้างมา"

            วันนี้แม้พระเจ้าไม่ใช้วิธีน้ำท่วมโลกสมัยโนอาห์ แต่ทุกคนรอการพิพากษารับพรหรือโทษนิรันดร์

            3.3 ขาดพระเจ้า ไม่แสวงหาพระองค์ (10-12)

            เมื่อทุกข์หนักเกินจะรับไหวมนุษย์จะมองหาสิ่งเหนือธรรมชาติตามศรัทธา แต่หลายครั้งไม่ใช่พระเจ้าเที่ยงแท้ (ผู้ทรงสิทธิอำนาจสูงสุด ผู้สร้างสรรพสิ่ง พระเจ้านิรันดร์)

            เหตุเพราะมัวเมาในความชั่ว เขาแสวงหาความช่วยเหลือจากอำนาจเหนือธรรมชาติแต่ไม่ใช่ความบริสุทธิ์ดีแท้ของพระเจ้า บางคนได้ยินเรื่องพระเจ้า รู้ว่าคริสเตียนสอนเรื่องดีๆ ไม่ทำบาป แต่สุดท้ายปฏิเสธพระองค์ด้วยเขารักบาปชั่วมากกว่าความบริสุทธิ์แท้

          อธิบายขยายความ: ผู้คนมากมายต้องการความสุขความเจริญ ใช้สารพัดวิธีเพื่อเป้าหมายดังกล่าวรวมทั้งขอความช่วยเหลือจากอำนาจเหนือธรรมชาติ แต่เขาแสวงหาสิ่งที่ตอบสนองความต้องการของเนื้อหนัง ปฏิเสธความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ต่อต้านการดำเนินชีวิตในความชอบธรรมตามแบบพระองค์ พระเจ้าของเขาคือตัวเขาเอง ความต้องการของเนื้อหนัง

            ท้ายที่สุดพระเจ้าเลือกบางคนให้เป็นคนของพระองค์ บางคนเท่านั้นที่ได้รับความรอด

            นอกจากรับโทษ ผลเสียดังกล่าวข้างต้น ผู้ที่ขาดผู้พระเจ้ายังมีลักษณะดังต่อไปนี้ (10-11)

            3.3.1 ไม่แสวงหาพระองค์ (10ก)

            เพราะที่ต้องการคือความสุขของเนื้อหนัง สิ่งที่ช่วยให้เขามีความสุขทางเนื้อหนัง ได้ทำตามอำเภอใจ แม้ทนทุกข์แต่ไม่คิดแสวงหาพระเจ้าเที่ยงแท้ ไม่ต้องการดำเนินชีวิตบริสุทธิ์ (เพราะไม่ตอบสนองเนื้อหนัง)

            3.3.2 ไม่สรรเสริญนมัสการพระองค์ (10ข)

โยบ.35:10 แต่ไม่มีสักคนพูดว่า "พระเจ้าผู้ทรงสร้างข้าพเจ้า ผู้ทรงประทานเพลงในเวลากลางคืน ทรงอยู่ที่ไหน

            คำว่า “เพลง” จากผู้ทรงประทานเพลงในโยบ.35:10 หมายถึงการร้องสรรเสริญนมัสการที่ผู้เชื่อกระทำอยู่เสมอ

            คนของซาตานจะบูชาผีวิญญาณชั่ว ความบาปต่างๆ คนของพระเจ้าจะนมัสการพระองค์ ชื่นชมความบริสุทธิ์ของพระเจ้า

            ในขณะร้องสรรเสริญนมัสการจะสะท้อนสภาพร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณของผู้นั้นต่อพระเจ้า

            3.3.3 ปฏิเสธคำสอน (11)

โยบ.35:11 ผู้ทรงสอนเรามากกว่าสอนสัตว์แห่งแผ่นดินโลกและทรงกระทำให้เราฉลาดกว่านกในฟ้าอากาศ"

            พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลกและสรรพสิ่งย่อมมีสติปัญญาเหนือมนุษย์ แต่ความมืดบอดฝ่ายวิญญาณชักนำให้มุ่งแสวงหาสิ่งที่ตอบสนองเนื้อหนัง จึงปฏิเสธคำสอนพระองค์ บางคนเชื่อศรัทธาพระเจ้าเชิงศาสนา (ปฏิบัติตามคำสอนเพราะหวังรับพรฝ่ายโลก ดำเนินชีวิตเพื่อแค่ให้ได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียน) มากกว่าที่จะผูกพันฝ่ายวิญญาณ

            รวมความแล้ว โยบ.35:10-11 ชี้ว่ายิ่งทำบาปยิ่งปฏิเสธพระเจ้า ความรอดจึงห่างไกลพวกเขา คนที่จิตสำนึกชอบยังเหลือมากมีโอกาสรับความรอดมากกว่า อย่างไรก็ตามเป็นไปตามน้ำพระทัย (ใครรอดหรือไม่ต้องพิจารณาจากหลักการอื่นๆ ด้วย)

4. คนบาปต้องรับผลบาป

โยบ.35:12-13

12 เขาร้องทุกข์ ณ ที่นั่น แต่พระองค์มิได้ทรงตอบ เหตุความเย่อหยิ่งของคนชั่ว

13 แน่ละ พระเจ้ามิได้ฟังเสียงลมๆแล้งๆ และองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็มิได้ทรงนับถือเสียงนั้น

            4.1 คนบาปทนทุกข์จากบาป (12ก)

            ทั้งบาปที่มีอยู่แล้วในโลก (อิทธิพลบาป สังคมบาป) ความบาปดั้งเดิมในตัวเขาและบาปที่ก่อใหม่

            มนุษย์ทำบาปเสมอ ทำบาปต่อกันและกัน ตัวเราทำผิดต่อคนอื่นและทำบาปต่อตัวเอง ในโลกแห่งความบาปทุกคนต้องรับผลบาปที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ แม้กระทั่งคริสเตียนผู้เชื่อ

          อธิบายขยายความ: คริสเตียนทุกคนอยู่ในโลกแห่งบาปจึงรับผลจากระบบโลกไม่มากก็น้อย (แม้พระเจ้าปกป้องแต่ใช่ว่าจะไม่ได้รับผลเลย) การสารภาพบาปคือได้รับการยกโทษบาปที่ต้องถูกลงโทษในวันพิพากษา แต่ยังต้องรับผลบาปขณะมีชีวิตในโลกไม่มากก็น้อย

            ยกตัวอย่าง

            นาย ก เป็นนักศึกษาแต่ขาดวินัยไม่เตรียมสอบอย่างดี เขามีประสบการณ์อธิษฐานขอพระเจ้าให้สามารถทำข้อสอบและพระเจ้าช่วยเขาครั้งนั้นจริง แต่ไม่ใช่น้ำพระทัยที่คริสเตียนไม่ต้องตั้งใจเรียนหนังสือ เพียงอาศัยการอธิษฐานแล้วจะสอบผ่าน สิ่งที่นาย ก ควรทำคือสารภาพบาปว่าตนไม่ถวายเกียรติพระเจ้าในเรื่องนี้ ตัดสินใจตั้งใจเรียนหนังสือ อธิษฐานพึ่งพาขอสติปัญญา ขอกำลังจากพระเจ้า ลดการเที่ยวเล่น ทบทวนความรู้สม่ำเสมอ

            นาย ข เป็นคนทำงานแต่ใจไม่อยู่กับงาน คิดถึงงานรับใช้พระเจ้ามากกว่า ในที่ทำงานนาย ข มักทำผิดพลาดโดนเจ้านายตักเตือน ไม่ก้าวหน้าในหน้าที่การงานและเปลี่ยนงานบ่อย นาย ข สงสัยว่าทำไมพระเจ้าไม่อวยพรทั้งๆ ที่เขารับใช้พระเจ้า จะเห็นว่านาย ข เข้าใจคำสอนผิด แม้อธิบายว่าคิดถึงงานรับใช้แต่ควรแยกแยะว่าอยู่ในฐานะใด ถ้าเป็นนอกเวลางานนาย ข สามารถทุ่มเทรับใช้พระเจ้าเต็มที่ แต่ในเวลางานต้องให้ความสำคัญกับงานบริษัท ต้องทำให้ดีเลิศถวายเกียรติพระเจ้าทุกอย่าง การตั้งใจทำงานบริษัทเป็นการรับใช้พระเจ้า มีผลต่ออาณาจักรพระเจ้าเช่นกัน การที่นาย ข ไม่ก้าวหน้าในหน้าที่การงานคือผลบาปที่เขาได้รับขณะมีชีวิตในโลก

            4.2 พระเจ้าไม่ฟังเสียงคนบาป (12ข)

            คนบาปอยากรับการช่วยเหลือแต่เพื่อดำเนินชีวิตในความบาปต่อไป ไม่ใช่เพื่อติดตามพระเจ้าดำเนินชีวิตในความชอบธรรม

            พระเจ้าย่อมไม่ช่วยคนบาปเพื่อให้เขาทำบาปอีก พระคุณมีไว้เพื่อกลับใจ (เปลี่ยนวิถีชีวิต) ไม่ใช่เพื่อใช้ชีวิตในความบาป

ฮบ.12:28-29

28 เหตุฉะนั้นครั้นเราได้แผ่นดินที่ไม่หวั่นไหวมาแล้ว ก็ให้เราขอบพระคุณพระเจ้า เพื่อเราจะได้ปฏิบัติพระเจ้าตามชอบพระทัยของพระองค์ ด้วยความเคารพและยำเกรง

29 เพราะว่าพระเจ้าของเรานั้นทรงเป็นเพลิงที่เผาผลาญ

            แผ่นดินที่ไม่หวั่นไหวใน ฮบ.12:28 คือแผ่นดินสวรรค์ หมายถึงเมื่อผู้เชื่อได้รับความรอดแล้วให้ดำเนินชีวิต “ตามชอบพระทัยของพระองค์” ไม่กลับไปทำบาป

รม.2:4 หรือว่าท่านประมาทพระกรุณาคุณอันอุดม และความอดกลั้นพระทัย และความอดทนของพระองค์ ท่านไม่รู้หรือว่าพระกรุณาคุณของพระเจ้านั้น มุ่งที่จะชักนำท่านให้กลับใจใหม่

            อย่างไรก็ตามพระเจ้ามีความรักเมตตา ความดีงามของพระองค์ปรากฎอยู่ทั่วไป ทรงอดทนนาน มนุษย์จึงยังพออยู่ดีมีสุขชั่วระยะหนึ่งหรือในบางเวลา

5. ผู้เชื่อที่ห่างไกลพระเจ้า

โยบ.35:14-15

14 จะยิ่งน้อยกว่านั้นสักเท่าใด เมื่อท่านว่าท่านไม่เห็นพระองค์ และเมื่อว่าคดีนั้นก็อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ และท่านคอยพระองค์อยู่

How much less, then, will he listen when you say that you do not see him, that your case is before him and you must wait for him,

15 บัดนี้ เพราะพระพิโรธของพระองค์มิได้ลงโทษ และพระองค์มิได้สนพระทัย การละเมิดเสียมากมาย

16 เพราะฉะนั้นโยบจึงอ้าปากพูดคำลมๆแล้งๆ และทวีคำพูดโดยปราศจากความรู้"

            ตอนท้ายของโยบ.35 เอลีฮูกลับมาพูดถึงโยบโดยตรงอีกครั้ง อธิบายโยบที่ทำบาปรับผลอย่างไร เป็นข้อเตือนใจแก่คริสเตียนผู้ศรัทธาทั้งหลาย

            5.1 ไม่พบพระองค์ (14ก)

            คำว่า “ท่านไม่เห็นพระองค์” ไม่ได้หมายถึงการเห็นหน้าต่อหน้า พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ แต่หมายถึงสัมผัสการทรงพระชนม์อยู่ในทางใดทางหนึ่ง (สำแดงในบางรูปลักษณ์หรือแสดงบางสิ่งบางอย่างให้เข้าถึง) เจาะจงที่โยบอธิษฐานขอคำอธิบายว่าทำไมตนต้องทุกข์ยากลำบากทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำผิดอะไร

            5.2 พระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐาน (14ข)

            พระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐานเป็นลักษณะหนึ่งของการไม่พบพระองค์ (ไม่สัมผัสการทรงพระชนม์อยู่)

            ดังที่โยบเฝ้าอธิษฐานอ้อนวอนแต่พระองค์ไม่ตอบ (พระเจ้าตอบในวิธีและเวลาตามน้ำพระทัย)

            5.3 ทำผิดบาปมากมาย (15)

            ผู้เชื่อที่บาปห่างไกลพระเจ้าย่อมทำผิดบาปมากมาย เพราะอยู่ในอิทธิพลบาป ลำพังห่างไกลพระเจ้าก็บาปแล้ว

          อธิบายขยายความ: ไม่ใกล้พระเจ้าคือใกล้บาป อยู่ในอำนาจบาป จึงทำบาปผิดตลอดเวลาทั้งแบบรู้ตัวกับไม่รู้ตัว บ่อยครั้งที่คริสเตียนไม่คิดว่าบาป ไม่เข้าใจว่าบาป ไม่รู้ตัวว่าทำบาปเพิ่มทุกวัน (เพราะขาดความเข้าใจเรื่องบาป เรื่องความบริสุทธิ์ชอบธรรม และไม่ตระหนักว่ากำลังทำอะไร ดำเนินชีวิตอย่างไร) แม้กระทั่งโยบที่ตั้งใจดำเนินตามธรรมบัญญัติ

            แต่เพราะทรงอดทนนาน ไม่ลงโทษโยบต่อความสงสัย กล่าวโทษพระเจ้า บาปทั้งหลายที่เกิดขึ้นมากมาย

            5.4 เสียเวลา (16ก)

            แทนที่โยบจะใช้เวลาทำสิ่งที่ถูกต้อง กลับมาเสียเวลาพูดเรื่องไม่สมควร (สงสัยและกล่าวโทษพระเจ้า)

            ผู้เชื่อแต่ละคนดำเนินตามความเข้าใจและการตอบสนองต่อความเข้าใจนั้น ถ้าเข้าใจถูกต้องเท่ากับเปิดโอกาสได้ทำสิ่งที่ตรงตามน้ำพระทัย ลดความบกพร่องจากการขาดความรู้ความเข้าใจ

            บางคนเสียเวลาหลายวัน หลายเดือน แม้กระทั่งหลายปีเพื่อจะตอบสนองอย่างถูกต้อง เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้อยู่ใต้การทรงนำต่อเนื่อง อยู่ในชุมชนคนของพระเจ้า

            5.5 ทำบาปซ้อนบาป (16ข)

            ด้วยความไม่รู้ ขาดความเข้าใจ จึงทำผิดอยู่เสมอ ทำบาปซ้อนบาป ในกรณีโยบคือไม่เข้าใจว่าทำผิดเรื่องใด นำสู่ความสงสัย ไม่มั่นใจพระเจ้าและกล่าวโทษพระองค์ (สังเกตว่าเริ่มจากความไม่เข้าใจแล้วนำสู่บาปอีกหลายเรื่อง)

          อธิบายขยายความ: แท้จริงแล้วไม่มีผู้เชื่อคนใดเข้าใจความรู้เรื่องพระเจ้าครบถ้วนบริบูรณ์ การให้อภัยกับการทรงนำจึงสำคัญ

            ผู้เชื่อหรือคริสเตียนต้องตระหนักอยู่เสมอว่าตนไม่สมบูรณ์ต้องขอการอภัยอยู่ในร่มพระคุณ ได้รับการปกป้องจากคริสตจักรชุมชนของพระเจ้า

            อีกข้อคือขอการทรงนำ มีท่าทีอยากเติบโตฝ่ายวิญญาณ อยากดำเนินตามน้ำพระทัยมากขึ้น พระเจ้าจะปกป้องและนำทาง เพราะเห็นความตั้งใจของเขาแม้เขายังทำผิดๆ ถูกๆ อยู่เสมอ

            ถ้ายังขาดความตั้งใจเติบโตสู่ความไพบูลย์ให้อธิษฐานสารภาพบาป ขอกำลังจากพระเจ้าที่จะทำได้ตามนั้น

            การอยู่ในคริสตจักรช่วยได้มาก จำต้องรับการเสริมสร้างจากชุมชน ฝึกฝนให้เข้าใจถูกต้อง ได้รับการหนุนใจ พระเจ้าต้องการให้คริสเตียนอยู่ร่วมเป็นชุมชน เสริมสร้างดูแลกันและกัน

            โยบ.35 ชี้ว่าพระเจ้ากำกับความเป็นไปของโลก ทรงยุติธรรม ทุกคนต้องรับผลการกระทำของตน ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ทุกข์ทรมานจากบาปที่ตนและผู้อื่นกระทำ (อยู่ในสังคมบาปที่ต่างทำบาปต่อกันและกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้) ลักษณะเด่นประการหนึ่งคือปฏิเสธพระเจ้าเที่ยงแท้

            ตอนท้ายของโยบ.35 กลับมาสอนเจาะจงต่อผู้เชื่อ (ในบริบทคือโยบ) อธิบายผลที่โยบทำบาปทำให้ห่างไกลพระเจ้า และทำบาปผิดตามมาอีกมาก ดีที่ทรงอดทนนาน และเนื่องจากโยบเป็นคนของพระเจ้าจึงได้รับการช่วยกู้ คือให้เพื่อนโยบช่วยแก้ไขความคิดความเข้าใจ กลับมาเดินในทางของพระเจ้าอย่างถูกต้อง ได้รับการอวยพรชีวิตฟื้นฟูใหม่อีกครั้ง

คำถามหลังคำสอน:

            1) ยกตัวอย่างประสบการณ์ส่วนตัวที่พบเห็นพระเจ้าสำแดงความยุติธรรม

            2) ใช้เวลาพิจารณาตัวเอง บาปที่ยังทำอยู่ ควรแก้ไขอย่างไร

--------------------------