13/01/2567

Ep16 ถ้าลดทำบาปชีวิตจะดีขึ้นเอง

คริสเตียนยังมีจุดต้องปรับปรุงอยู่เสมอ จึงอธิษฐานขอความช่วยเหลือ แต่ประสงค์ให้ผู้เชื่อทุกคน “จะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์”

มนุษย์รับผลดี-ผลเสียจากสิ่งที่พวกเขากระทำ:

โยบ.35:8 ความอธรรมของท่านก็เป็นอันตรายแก่คนอย่างท่านและความชอบธรรมของท่านก็เป็นประโยชน์แก่มนุษย์

          สิ่งที่มนุษย์ทำไม่มีผลต่อพระเจ้า แต่มีผลต่อตัวเองและคนอื่นๆ

          1. มีผลต่อตัวเอง

            กฎเกณฑ์พระเจ้าชัดเจน ใครหว่านสิ่งใดเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น

            คำสอน ธรรมบัญญัติระบุชัดถึงผลดี-ผลเสียของการทำตามหรือละเมิดคำสอนของพระเจ้า

ฉธบ.28:1-2

1 "ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และระวังที่จะกระทำตามพระบัญญัติของพระองค์ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงตั้งท่านไว้ให้สูงกว่าบรรดาประชาชาติทั้งหลายทั่วโลก

2 พระพรเหล่านี้จะตามมาทันท่าน ถ้าท่านทั้งหลายฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน

กท.6:7-8

7 อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น

8 ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังของตน ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณ ก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น

          2. มีผลต่อคนอื่น

            นอกจากมีผลต่อตัวเองก่อนแล้ว จะส่งผลต่อคนรอบข้างและคนในสังคม ดังจะเห็นว่าเมื่อคนหนึ่งทำบาป ชักนำให้คนรอบกายทำบาป บางครั้งผลของบาปกระจายตัวสู่ชุมชน กระทบทั้งเมืองและขยายออกไป

            หลักการพระเจ้าสอนเรื่องนี้ จึงเน้นอย่าให้ผู้ใดเพียงคนหนึ่งกระทำบาป หากพบใครคนหนึ่งในชุมชนทำบาปต้องรีบจัดการอย่างเด็ดขาด

1คร.5:1-6

1 มีข่าวเล่าลือว่า ในพวกท่านมีการผิดประเวณี และการผิดนั้นถึงแม้ในพวกต่างชาติก็ไม่มีเลย คือเรื่องมีว่า คนหนึ่งได้เอาภรรยาของบิดามาเป็นเมียของตน

2 และพวกท่านยังผยองแทนที่จะเป็นทุกข์เป็นร้อน ท่านควรที่จะตัดคนที่กระทำผิดเช่นนี้ออกเสียจากพวกท่าน

3 แม้ว่าตัวข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กับพวกท่าน แต่ใจของข้าพเจ้าก็อยู่ด้วยเสมือนว่าข้าพเจ้าได้อยู่ด้วย ข้าพเจ้าได้ตัดสินลงโทษคนที่ได้กระทำผิดเช่นนั้น

4 ในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประชุมกันและใจของข้าพเจ้าร่วมอยู่ด้วย พร้อมทั้งฤทธิ์เดชของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

5 พวกท่านจงมอบคนนั้นไว้ให้ซาตานทำลายเนื้อหนังเสีย เพื่อให้จิตวิญญาณของเขารอด ในวันของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า

6 การที่ท่านอวดอ้างนั้นไม่สมควรเลย ท่านไม่รู้หรือว่าเชื้อขนมเพียงนิดเดียว ย่อมทำให้แป้งดิบฟูทั้งก้อน

            ในสมัยพระคัมภีร์เดิม คนทำบาปบางเรื่องเพียงครั้งเดียว ต้องรับโทษด้วยการถูกหินขว้างตาย

แม่แบบ:

            มีคำพูดเสมอว่าครูเป็นแม่แบบของเด็ก จึงต้องมีครูที่ดีเป็นแบบอย่างแก่เด็กทั้งเรื่องวิชาความรู้ และที่อาจสำคัญกว่าคือลักษณะชีวิต นิสัย คำพูด กริยาท่าทาง

            ด้วยหลักการเดียวกัน พ่อแม่ ทุกคนที่ใกล้ชิดเด็กต่างมีฐานะเป็นแม่แบบด้วย ลูกหลานของเรา (ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่) เด็กทั้งหลายค่อยๆ เรียนรู้ซึมซับแบบอย่างคนรอบข้าง บริบทรอบกายที่เขาสัมผัสเข้าถึง สิ่งแวดล้อมจึงหล่อหลอมเขาขึ้นมาและมีผลต่อชีวิต 

            ชีวิตของแต่ละคนจึงมีผลต่อคนอื่น คริสเตียนที่เติบโตฝ่ายวิญญาณ ลูกหลานของเขาจะเห็นแบบอย่างนั้นตั้งแต่เด็กและเห็นแบบอย่างนั้นเป็นประจำ

ลดทำบาป ชีวิตจะดีขึ้นเอง:

            บางคนอ้างข้อพระคัมภีร์ว่าถ้าอธิษฐานแล้วพระเจ้าจะแก้ปัญหาให้ ไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็ตาม เป็นความจริงที่คริสเตียนมีจุดต้องปรับปรุงอยู่เสมอ จึงต้องสารภาพบาป ขอความช่วยเหลือ แต่พระองค์มีคำสอนอื่นด้วย ประสงค์ให้ผู้เชื่อทุกคน “จะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์”

อฟ.4:13-14

13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์

14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง

            ถ้าท่านเป็นพ่อแม่ ท่านอยากให้ลูกของท่านแบมือขอท่านเรื่อยไปเพราะช่วยตัวเองไม่ค่อยได้ (เหมือนเด็กเล็กๆ ที่พ่อแม่ต้องคอยป้อนน้ำป้อนข้าว) ไม่รู้จักโต ต้องให้อภัยอยู่เสมอเพราะทำบาปสารพัดแทบไม่พัฒนาหรือไม่ ความคิดของพระเจ้าต่อผู้เชื่อก็เป็นเช่นนั้น

            คำถาม: ทำไมพระเจ้าต้องการให้ผู้เชื่อเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ (ตอบให้ครอบคลุมทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น)

            ถ้าคริสเตียนลดทำบาป ชีวิตจะดีขึ้นเอง (แน่ละจะส่งผลต่อลูกหลานคนใกล้ชิดด้วย) เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณมากขึ้น

-----------------------

12/01/2567

ควรทำอะไรแทนการคิดว่าทำไมเกิดมาจน

การใช้เวลาแสวงหาพระเจ้า ติดตามพระองค์ ก่อประโยชน์มหาศาล ดีกว่าการนั่งคิดเรื่องไร้สาระว่าทำไมเกิดมาจน เผชิญเหตุร้าย ฯลฯ

โยบ.35:1-7

1 เอลีฮูพูดต่อไปว่า

2 "ท่านคิดว่า นี่ยุติธรรมหรือ ท่านพูดหรือว่า "ความชอบธรรมของข้าพเจ้ายิ่งกว่าของพระเจ้า"

3 ที่ท่านถามว่า "ข้าพเจ้าจะได้ประโยชน์อะไร ข้าพเจ้าจะดีอะไรขึ้นกว่าข้าพเจ้าทำบาป"

4 ข้าพเจ้าจะตอบท่าน กับมิตรสหายของท่านด้วย

5 จงมองดูท้องฟ้าเถิด ดูเมฆซึ่งอยู่สูงกว่าท่าน

6 ถ้าท่านทำบาป ท่านจะได้อะไรที่กระทบกระเทือนพระองค์ ถ้าการทรยศของท่านทวีขึ้น ท่านทำอะไรแก่พระองค์

7 ถ้าท่านเป็นคนชอบธรรม ท่านถวายอะไรแก่พระองค์หรือพระองค์ทรงรับอะไรจากมือของท่าน

            บริบทตอนนี้ โยบผู้พยายามดำเนินชีวิตอย่างสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ กำลังเผชิญเหตุร้ายแรง สูญเสียลูกหลานทรัพย์สมบัติ และตัวเองเจ็บป่วยหนัก โยบที่พระเจ้าอวยพรมาตลอด สงสัยว่าทำไมจึงเกิดเหตุร้ายเช่นนี้กับตัวเอง ทุกข์ใจยิ่งนัก

โยบ.30:16-17

16 "บัดนี้จิตใจของข้าก็ละลายไปด้วยความเศร้าสลด วันแห่งความทุกข์ใจยึดตัวข้าไว้

17 กลางคืนกระดูกข้าผุไป และความเจ็บปวดที่แทะข้านั้นไม่หยุดพักเลย

โยบ.30:31 เพราะฉะนั้นเสียงพิณเขาคู่ของข้า กลายเป็นเสียงโหยไห้ และเสียงปี่ของข้ากลายเป็นเสียงของผู้ที่ร้องไห้

            เอลีฮูเป็นเพื่อนโยบคนที่ 4 อธิบายชี้แจงด้วยศาสนศาสตร์ตอกย้ำความเป็นพระเจ้าว่าทรงอยู่เหนือสรรพสิ่ง เหนือความบาปความดีของมนุษย์ ไม่ว่าคนจะทำบาปหรือทำดีล้วนไม่มีผลต่อพระองค์ ทรงเป็นพระเจ้าเป็นนิจไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องไร้สาระที่ใครคนหนึ่งจะกล่าวหากล่าวโทษพระองค์ (โยบ.35:2-3) เพราะไม่มีผลใดๆ ต่อพระเจ้าแต่อาจมีผลต่อผู้กล่าวโทษพระองค์

            การที่พระเจ้าอยู่เหนือความบาปความดีของมนุษย์เป็นหลักฐานหนึ่งบ่งชี้ว่าทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ ที่แม้กระทั่งความบาปความดีใดๆ หรือโลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ล้วนไม่มีผล ไม่ส่งผลต่อพระองค์ได้เลย ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลงนิรันดร์

          อธิบายขยายความ: ดังที่ได้อธิบายแล้วว่าเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ถ้าใครหนึ่งคนคิดว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรม ไม่เสมอภาค เช่น เกิดมาจน ตัวเตี้ย ผอมเกิน เจ็บป่วยรุนแรง เผชิญเหตุร้าย ฯลฯ เหล่านี้มนุษย์กำลังพิจารณาตัดสินด้วยความคิดตัวเอง ตามมาตรฐานโลก (ไม่ใช่มาตรฐานพระเจ้า) สิ่งที่ผู้เชื่อควรทำคือดำเนินชีวิตด้วยความเชื่ออย่างสัตย์ซื่อ เที่ยงตรงต่อพระเจ้า นี่คือสิ่งดีที่สุดที่มนุษย์ทำได้ (แม้ไม่เข้าใจว่าทำไมเกิดมาจน เผชิญเหตุร้าย ฯลฯ) ดีกว่ากล่าวโทษพระเจ้า (ไม่ว่าจะด้วยเรื่องใดๆ ก็ตาม) เพราะการกล่าวโทษกล่าวหาใดๆ ไม่มีผลต่อพระองค์เลย เป็นการเสียเวลา ไร้สาระ หาประโยชน์อันใดมิได้ ทั้งอาจเป็นผลเสียต่อผู้พูด

            หรือบางคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องเจ็บป่วยและเสียชีวิต พาลกล่าวโทษพระเจ้าว่าทรงทำให้ทุกข์ทรมาน บางคนคิดไกลถึงขั้นว่าทรงพอพระทัยที่เห็นมนุษย์เจ็บปวด ฯลฯ ข้อนี้ไร้สาระเช่นกัน ไม่ว่ามนุษย์จะเข้าใจหรือไม่ พระองค์ยังทรงเป็นพระเจ้าผู้ครอบครองสรรพสิ่งอยู่ดี ทรงสิทธิอำนาจสูงสุดไม่เปลี่ยนแปลง

            ผู้มีปัญญาจะไม่เสียเวลากับความคิดไร้สาระ แต่จงแสวงพระเจ้า เรียนรู้จักพระองค์ พยายามพัฒนาความเชื่อ ดำเนินชีวิตโดยมีพระองค์เคียงข้าง นั่นแหละดีที่สุด

สดด.23:4 แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์

Even though I walk through the darkest valley, I will fear no evil, for you are with me; your rod and your staff, they comfort me.

อสย.55:3 เอียงหูของเจ้า และมาหาเรา จงฟัง เพื่อจิตวิญญาณของเจ้าจะมีชีวิต และเราจะทำพันธสัญญานิรันดร์กับเจ้า อนุสนธิ์ ความรักอันมั่นคงแน่นอนของเราต่อดาวิด

Give ear and come to me; listen, that you may live. I will make an everlasting covenant with you, my faithful love promised to David.

อสย.55:6 "จงแสวงหาพระเจ้า เมื่อจะพบพระองค์ได้ จงทูลพระองค์ ขณะพระองค์ทรงอยู่ใกล้

Seek the LORD while he may be found; call on him while he is near.

            การใช้เวลาแสวงหาพระเจ้า ติดตามพระองค์ ก่อประโยชน์มหาศาล ดีกว่าการนั่งคิดเรื่องไร้สาระว่าทำไมเกิดมาจน เผชิญเหตุร้าย ฯลฯ

            การแสวงหาพระเจ้าคือหลักการพื้นฐานที่พระเจ้าให้ไว้เพื่อมีชีวิตทรงพลัง

มธ.6:33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้

-----------------------

01/01/2567

Ep14 ชีวิตทรงพลังเชื่อมต่อพระเจ้า

 จงแสวงหาพระเจ้า เชื่อมต่อกับพระองค์ ได้ชีวิตทรงพลัง

โยบ.33:26 เขาจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า และพระองค์จะทรงพอพระทัยเขา เขาจะเข้ามาเฝ้าต่อพระพักตร์ พระองค์ด้วยความชื่นบาน

then that person can pray to God and find favor with him, they will see God’s face and shout for joy; he will restore them to full well-being. (NIV)

He shall pray to God, and He will delight in him, He shall see His face with joy, For He restores to man His righteousness. (NKJV)

            สิ่งหนึ่งที่ผู้เชื่อ (สามารถ) ทำคืออธิษฐานต่อพระเจ้า “เข้ามาเฝ้าต่อพระพักตร์พระองค์”

            คนไม่เชื่อพระเจ้าย่อมไม่อธิษฐาน ส่วนผู้เชื่อจะอธิษฐาน พระเจ้าพอพระทัยที่เขากลับใจแสวงหาพระองค์ ผลลัพธ์ข้อหนึ่งคือผู้เชื่อรับความชื่นบานเมื่อสัมผัสพบพระองค์ สะท้อนว่ามีจิตวิญญาณแข็งแรง

            ผู้เข้มแข็งในความเชื่อย่อมปรารถนา (ชอบ) ที่จะแสวงหาพระเจ้า รักที่จะเข้าหาและพบพระองค์ ยิ่งแสวงหามากเพียงไรก็ยิ่งสัมพันธ์สนิทกับพระองค์มากเพียงนั้น

            การสัมผัสพบพระเจ้าเกิดจากการที่ทรงอนุญาตให้เข้าถึง เนื่องด้วยเขากลับคืนสู่ “ความชอบธรรม” อันเป็นผลจากพระคุณความรัก

“เขาจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า”

            การเป็นผู้เชื่อหรือคริสเตียนไม่ใช่การนับถือศาสนา ที่ผู้นับถือศรัทธาพยายามปฏิบัติตามบัญญัติคำสอนศาสนา แม้พระเจ้ามีคำสอนมากมาย

            ธรรมบัญญัติหรือคำสอนระบุมาตรฐานว่ามนุษย์ควรเป็นอย่างไรทำสิ่งใด อะไรถูกหรือผิด พยายามดำเนินในทางที่ถูกต้อง แต่ที่สำคัญกว่าคือการแสวงหาพระเจ้า ให้รู้จักพระองค์จริง มีประสบการณ์ส่วนตัวว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ ไม่ใช่พระเจ้าที่คนอื่นพูดถึงหรืออยู่ในพระคัมภีร์เท่านั้น คนที่แสวงหาและติดตามพระองค์จะทำตามสิ่งที่พระองค์สอน ดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยได้ดีกว่าเพราะพระเจ้าเปลี่ยนแปลงเขา ได้รับกำลังที่มาจากพระองค์ (เขาไม่ได้พยายามเปลี่ยนตัวเอง พยายามทำความดี เป็นคนดี) พระองค์ประทานความสำเร็จแก่เขา นี่คือผลข้อหนึ่งของการแสวงหาพระเจ้า

กท.2:15-16

15 เราผู้มีสัญชาติเป็นยิว ไม่ใช่คนต่างชาติที่มีบาป

16 ก็ยังรู้ว่าไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมได้ โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่โดยศรัทธาในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ถึงเราเองก็มีใจศรัทธาในพระเยซูคริสต์ เพื่อจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยศรัทธาในพระคริสต์ ไม่ใช่โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ เพราะว่าโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้น ไม่มีมนุษย์คนใดเป็นคนชอบธรรมได้เลย

            ต้องสามารถพูดว่า “พระเจ้าของข้า” (ของฉัน ของผม ของหนู) ไม่ใช่พระเจ้าที่คนอื่นพูดถึงเท่านั้น

            การเป็น “พระเจ้าของข้า” ก่อเกิดความสัมพันธ์ส่วนตัวใกล้ชิดระหว่างผู้เชื่อกับพระเจ้า พระองค์ปรารถนาให้ผู้เชื่อใกล้ชิดอยู่แล้ว เหลือแต่ส่วนที่ผู้เชื่อต้องทำนั่นคือแสวงหาใกล้ชิดพระองค์ยิ่งกว่าเดิม

สดด.63:1-4

1 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ข้าพระองค์แสวงพระองค์ จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์ เนื้อหนังของข้าพระองค์กระเสือกกระสนหาพระองค์ ในดินแดนที่แห้งและอ่อนโหย ที่ที่ไม่มีน้ำ

You, God, are my God, earnestly I seek you; I thirst for you, my whole being longs for you, in a dry and parched land where there is no water.

2 เช่นนั้นแหละ ข้าพระองค์จึงเคยเห็นพระองค์ในสถานนมัสการ เห็นฤทธานุภาพและพระสิริของพระองค์

I have seen you in the sanctuary and beheld your power and your glory.

3 เพราะว่าความรักมั่นคงของพระองค์ดีกว่าชีวิต ริมฝีปากของข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์

4 เช่นนั้นแหละ ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ ตราบเท่าชีวิตของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ชูมือต่อพระนามของพระองค์

            การอธิษฐานของคริสเตียนจึงไม่ใช่การท่องบทสวด ไม่ใช่การใช้คำสวยหรู เป็นการสื่อสารกับพระเจ้ารูปแบบหนึ่งที่ง่ายเพราะแค่พูดเท่านั้น แต่ที่ดูเหมือนง่ายมีความลึกล้ำ สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างผู้เชื่อกับพระเจ้าที่เขารู้จัก

          พระเจ้าทรงพระชนม์คอยฟังคำอธิษฐานและตอบคำอธิษฐาน

1 ปต.3:12 เพราะว่าพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าเฝ้าดูคนชอบธรรม และพระกรรณของพระองค์ทรงสดับคำอ้อนวอนของเขา แต่พระพักตร์ของพระองค์ไม่เป็นมิตรกับคนทั้งหลายที่ทำความชั่ว

            จงแสวงหาพระเจ้า เชื่อมต่อกับพระองค์ ได้ชีวิตทรงพลัง

-----------------------

บทความแนะนำ

บทเรียน 17 พระเยโฮวาห์ผู้ดำรงอยู่นิรันดร์

 นามพระเจ้าบ่งบอกว่าทรงดำรงอยู่นิรันดร์ เป็นจุดเริ่มของสรรพสิ่ง ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด ถ้าปราศจากพระองค์จะไร้ซึ่งสรรพสิ่ง การดำรงอยู่ของพระองค์กั...