Ep14 ชีวิตทรงพลังเชื่อมต่อพระเจ้า

 จงแสวงหาพระเจ้า เชื่อมต่อกับพระองค์ ได้ชีวิตทรงพลัง

โยบ.33:26 เขาจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า และพระองค์จะทรงพอพระทัยเขา เขาจะเข้ามาเฝ้าต่อพระพักตร์ พระองค์ด้วยความชื่นบาน

then that person can pray to God and find favor with him, they will see God’s face and shout for joy; he will restore them to full well-being. (NIV)

He shall pray to God, and He will delight in him, He shall see His face with joy, For He restores to man His righteousness. (NKJV)

            สิ่งหนึ่งที่ผู้เชื่อ (สามารถ) ทำคืออธิษฐานต่อพระเจ้า “เข้ามาเฝ้าต่อพระพักตร์พระองค์”

            คนไม่เชื่อพระเจ้าย่อมไม่อธิษฐาน ส่วนผู้เชื่อจะอธิษฐาน พระเจ้าพอพระทัยที่เขากลับใจแสวงหาพระองค์ ผลลัพธ์ข้อหนึ่งคือผู้เชื่อรับความชื่นบานเมื่อสัมผัสพบพระองค์ สะท้อนว่ามีจิตวิญญาณแข็งแรง

            ผู้เข้มแข็งในความเชื่อย่อมปรารถนา (ชอบ) ที่จะแสวงหาพระเจ้า รักที่จะเข้าหาและพบพระองค์ ยิ่งแสวงหามากเพียงไรก็ยิ่งสัมพันธ์สนิทกับพระองค์มากเพียงนั้น

            การสัมผัสพบพระเจ้าเกิดจากการที่ทรงอนุญาตให้เข้าถึง เนื่องด้วยเขากลับคืนสู่ “ความชอบธรรม” อันเป็นผลจากพระคุณความรัก

“เขาจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า”

            การเป็นผู้เชื่อหรือคริสเตียนไม่ใช่การนับถือศาสนา ที่ผู้นับถือศรัทธาพยายามปฏิบัติตามบัญญัติคำสอนศาสนา แม้พระเจ้ามีคำสอนมากมาย

            ธรรมบัญญัติหรือคำสอนระบุมาตรฐานว่ามนุษย์ควรเป็นอย่างไรทำสิ่งใด อะไรถูกหรือผิด พยายามดำเนินในทางที่ถูกต้อง แต่ที่สำคัญกว่าคือการแสวงหาพระเจ้า ให้รู้จักพระองค์จริง มีประสบการณ์ส่วนตัวว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ ไม่ใช่พระเจ้าที่คนอื่นพูดถึงหรืออยู่ในพระคัมภีร์เท่านั้น คนที่แสวงหาและติดตามพระองค์จะทำตามสิ่งที่พระองค์สอน ดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยได้ดีกว่าเพราะพระเจ้าเปลี่ยนแปลงเขา ได้รับกำลังที่มาจากพระองค์ (เขาไม่ได้พยายามเปลี่ยนตัวเอง พยายามทำความดี เป็นคนดี) พระองค์ประทานความสำเร็จแก่เขา นี่คือผลข้อหนึ่งของการแสวงหาพระเจ้า

กท.2:15-16

15 เราผู้มีสัญชาติเป็นยิว ไม่ใช่คนต่างชาติที่มีบาป

16 ก็ยังรู้ว่าไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมได้ โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่โดยศรัทธาในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ถึงเราเองก็มีใจศรัทธาในพระเยซูคริสต์ เพื่อจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยศรัทธาในพระคริสต์ ไม่ใช่โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ เพราะว่าโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้น ไม่มีมนุษย์คนใดเป็นคนชอบธรรมได้เลย

            ต้องสามารถพูดว่า “พระเจ้าของข้า” (ของฉัน ของผม ของหนู) ไม่ใช่พระเจ้าที่คนอื่นพูดถึงเท่านั้น

            การเป็น “พระเจ้าของข้า” ก่อเกิดความสัมพันธ์ส่วนตัวใกล้ชิดระหว่างผู้เชื่อกับพระเจ้า พระองค์ปรารถนาให้ผู้เชื่อใกล้ชิดอยู่แล้ว เหลือแต่ส่วนที่ผู้เชื่อต้องทำนั่นคือแสวงหาใกล้ชิดพระองค์ยิ่งกว่าเดิม

สดด.63:1-4

1 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ข้าพระองค์แสวงพระองค์ จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์ เนื้อหนังของข้าพระองค์กระเสือกกระสนหาพระองค์ ในดินแดนที่แห้งและอ่อนโหย ที่ที่ไม่มีน้ำ

You, God, are my God, earnestly I seek you; I thirst for you, my whole being longs for you, in a dry and parched land where there is no water.

2 เช่นนั้นแหละ ข้าพระองค์จึงเคยเห็นพระองค์ในสถานนมัสการ เห็นฤทธานุภาพและพระสิริของพระองค์

I have seen you in the sanctuary and beheld your power and your glory.

3 เพราะว่าความรักมั่นคงของพระองค์ดีกว่าชีวิต ริมฝีปากของข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์

4 เช่นนั้นแหละ ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ ตราบเท่าชีวิตของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ชูมือต่อพระนามของพระองค์

            การอธิษฐานของคริสเตียนจึงไม่ใช่การท่องบทสวด ไม่ใช่การใช้คำสวยหรู เป็นการสื่อสารกับพระเจ้ารูปแบบหนึ่งที่ง่ายเพราะแค่พูดเท่านั้น แต่ที่ดูเหมือนง่ายมีความลึกล้ำ สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างผู้เชื่อกับพระเจ้าที่เขารู้จัก

          พระเจ้าทรงพระชนม์คอยฟังคำอธิษฐานและตอบคำอธิษฐาน

1 ปต.3:12 เพราะว่าพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าเฝ้าดูคนชอบธรรม และพระกรรณของพระองค์ทรงสดับคำอ้อนวอนของเขา แต่พระพักตร์ของพระองค์ไม่เป็นมิตรกับคนทั้งหลายที่ทำความชั่ว

            จงแสวงหาพระเจ้า เชื่อมต่อกับพระองค์ ได้ชีวิตทรงพลัง

-----------------------