18/06/2568

บทเรียน 20 หน้าตาพระเจ้าเป็นอย่างไร

พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าพระองค์ พระเยซูได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ในโลกช่วงระยะหนึ่ง ทรงสำแดงพระเจ้ารวมทั้งหน้าตา

คำถามก่อนเรียน:

            1) ท่านเคยเห็นรูปภาพหรือรูปวาดพระเยซูหรือไม่ รูปที่เห็นมีหน้าตาอย่างไร

            2) ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่ามีพระเจ้าจริง ไม่ใช่แค่คำสอนในพระคัมภีร์ หรือที่คนอื่นเล่าให้ฟัง

 

คำถาม: หน้าตาพระเจ้าเป็นอย่างไร

            หลายคนเคยเห็นรูปพระเยซูผมสีทอง ควรเข้าใจว่าภาพดังกล่าวมาจากจินตนาการ ไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริง

            ความจริงแล้ว พระคัมภีร์ไม่ได้ระบุใบหน้าหรือหน้าตาของพระเจ้าพระบิดาและพระเยซูเลย ถ้าตอบตามความรู้ฝ่ายโลก คนอิสราเอลปัจจุบันมีผมสีดำ เช่นเดียวกับคนอาหรับกับอียิปต์ในแถบนั้น

            ถ้าถามว่าพระเจ้าพระบิดาบนสวรรค์มีหน้าตาอย่างไร คำตอบคือ พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ พระเยซูได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ช่วงระยะหนึ่ง พระเยซูสำแดงพระเจ้ารวมทั้งหน้าตา

1. พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ

            พระคัมภีร์อธิบายว่า พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ (ไม่ใช่กายอย่างมนุษย์)

            พระเยซูตรัสในยน.4:24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ

ยน.4:24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง"

God is spirit, and his worshipers must worship in the Spirit and in truth.”

            รากศัพท์คำว่า “วิญญาณ” หรือ “spirit” ในยน.4:24 คือ πνεῦμα (อ่านว่า pnyoo'-mah) หรือ ‘pneuma-นิวมา’ เป็นภาษากรีก หมายถึง ลม (wind) ลมหายใจ (breath) วิญญาณหรือจิตวิญญาณ (spirit) และเล็งถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์

            มีใช้ในหลายที่ เช่น

            เล็งถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์

มธ.1:20 แต่เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า "โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์

But after he had considered this, an angel of the Lord appeared to him in a dream and said, “Joseph son of David, do not be afraid to take Mary home as your wife, because what is conceived in her is from the Holy Spirit.

            คำว่า “วิญญาณ” หรือ Spirit ในมธ.1:20 คือ ‘pneuma-นิวมา เมื่อเติมคำว่า Holy จึงแปลไทยเป็น “พระวิญญาณบริสุทธิ์”

มธ.3:11 เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังเรา ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะถอดฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลาย รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ

มธ.3:16 ครั้นพระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้ว ในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจากน้ำ และท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบ ลงมาสถิตอยู่บนพระองค์

            ดังนั้น แต่แรกเริ่มพระเจ้ามีลักษณะเป็นพระวิญญาณ พระเยซูขณะสำแดงเป็นมนุษย์ มีพระฉายอย่างพระเจ้า

ยน.14:9 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ฟีลิปเอ๋ย เราได้อยู่กับท่านนานถึงเพียงนี้และท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า "ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น"

2. ไม่มีใครเห็นหน้าพระบิดา

            พระเยซูตรัสว่า ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้า

1ยน.4:11-12

11 ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราทั้งหลายเช่นนั้น เราก็ควรจะรักซึ่งกันและกันด้วย

12 ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้า ถ้าเราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในเราทั้งหลาย และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา

อพย.33:20 พระองค์จึงตรัสว่า เจ้าจะเห็นหน้าของเราไม่ได้ เพราะมนุษย์เห็นหน้าเราแล้วจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้

            มนุษย์ไม่เคยเห็น และจะเห็นไม่ได้ “เพราะมนุษย์เห็นหน้าเราแล้วจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้"

1ทธ.6:15-16

15 ซึ่งพระเจ้าผู้เสวยสุขและทรงฤทธิ์สูงสุดแต่พระองค์เดียว พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และพระผู้เป็นเจ้าเหนือเทพเจ้าทั้งปวง จะทรงสำแดงให้ปรากฏในเวลาอันควร

16 พระองค์ผู้เดียวทรงอมตะ และทรงสถิตในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง ผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็น และจะเห็นไม่ได้ พระเกียรติและฤทธานุภาพอันถาวรจงมีแด่พระองค์นั้น อาเมน

            ไม่มีใครสามารถมองพระพักตร์ ทูตสวรรค์ที่อยู่หน้าบัลลังก์ที่ประทับก็ทำไม่ได้ เสราฟิม (ทูตสวรรค์ประเภทหนึ่งที่อยู่หน้าบัลลังก์ที่ประทับ) ต้องใช้ 2 ปีกปิดตาไม่ให้เห็นพระองค์

อสย.6:2-3

2 เหนือพระองค์มีเสราฟิมยืนอยู่ แต่ละตนมีปีกหกปีก ใช้สองปีกบังหน้า และสองปีกคลุมเท้า และด้วยสองปีกบินไป

3 ต่างก็ร้องต่อกันและกันว่า "บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าจอมโยธา แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเต็มด้วยพระสิริของพระองค์"

            ดังนั้น ไม่มีมนุษย์คนใดเห็นพระเจ้า แต่สามารถสัมผัสพระองค์ มีประสบการณ์ในพระเจ้า

3. การสัมผัสพระเจ้า

            การสัมผัสพระเจ้า (Experiencing God, To touch God) คือ สภาพเข้าถึงการทรงพระชนม์อยู่ สามัคคีธรรมใกล้ชิดกับพระองค์ มีหลากหลายรูปแบบ สัมผัสพระสิริตามที่ทรงสำแดง อาจแบ่งออกเป็นหลายระดับตามความใกล้ชิดสนิทสนม ตามการสำแดงว่าเด่นชัดเพียงไร และตามที่ผู้สัมผัสเข้าถึงและเข้าใจ เป็นผลจากการที่ผู้เชื่อมุ่งแสวงหาพระเจ้า ติดสนิทกับพระองค์ พระเจ้าต้องการสื่อสาร ทรงนำชีวิต เป้าหมายสุดท้ายคือการกลับไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์

            พระคัมภีร์บางข้อเอ่ยถึงการ “พบ” พระเจ้า และบางครั้งใช้คำว่า “เห็น” แต่หมายถึงการสัมผัสพระองค์ในรูปแบบหนึ่ง ตามที่พระองค์ต้องการ และอยู่ที่การรับรู้ ความเข้าใจของผู้นั้นด้วย

อสย.6:1 ในปีที่กษัตริย์อุสซียาห์สิ้นพระชนม์ ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับ ณ พระที่นั่งสูงและเทิดทูนขึ้น และชายฉลองพระองค์ของพระองค์เต็มพระวิหาร

อสย.55:6 "จงแสวงหาพระเจ้า เมื่อจะพบพระองค์ได้ จงทูลพระองค์ ขณะพระองค์ทรงอยู่ใกล้

Seek the LORD while he may be found; call on him while he is near.

ยรม.29:13 เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า

            3.1 พระเจ้าต้องการสื่อสาร

            หลักพื้นฐานคือพระเจ้าต้องการสื่อสารกับมนุษย์ โดยเฉพาะคนของพระองค์ ทรงสำแดงตามอย่างที่ต้องการ (ไม่ใช่ตามอย่างที่มนุษย์คาดหวัง เช่น บางคนอยากเห็นใบหน้าพระองค์ ให้พระเจ้าปรากฏตัวต่อหน้าต่อตาซึ่งพระองค์จะไม่ทำเช่นนั้น)

            ตลอดพระคัมภีร์ พระเจ้าสื่อสารกับคนของพระองค์เสมอ ต่างมีประสบการณ์ในแบบของตน บางครั้งอาจคล้ายกัน บางครั้งอัศจรรย์มาก ทั้งหมดนี้ขึ้นกับว่าพระองค์ต้องการให้เป็นอย่างไร รวมทั้งการเข้าถึง ความเข้าใจของแต่ละคนด้วย

            ยกตัวอย่าง เสาเมฆและเสาเพลิง มานา นกคุ่ม

            ในถิ่นทุรกันดาร ทรงสำแดงด้วยเสาเมฆและเสาเพลิง มานา นกคุ่ม ฯลฯ เป็นรูปธรรมว่าพระองค์ทรงอยู่กับพวกเขา ทรงปกป้อง ดูแลตลอดเวลา

            พระเจ้าประทานมานาแก่อิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร

อพย.16:14-15

14 เมื่อน้ำค้างระเหยไปแล้ว ก็เห็นสิ่งหนึ่งเหมือนเกล็ดเล็กๆ เท่าเม็ดน้ำค้างแข็งอยู่ที่พื้นดินในถิ่นทุรกันดารนั้น

15 เมื่อชนชาติอิสราเอลเห็นจึงพูดกันว่า "นี่อะไรหนอ" เพราะเขาไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใด โมเสสจึงบอกเขาว่า "นี่แหละเป็นอาหารที่พระเจ้าประทานให้พวกท่านรับประทาน

            3.2 พัฒนาการของการสัมผัสพระเจ้า

            การสัมผัสพระเจ้าเป็นผลจากการที่ผู้เชื่อตั้งใจแสวงหาพระองค์ไม่หยุดหย่อน ทรงสำแดง (สื่อสาร) ในตอนต้นเขาอาจมีประสบการณ์พื้นๆ เช่น พระเจ้าตอบคำอธิษฐานอย่างเจาะจง (เช่น ของหายได้คืน) จากนั้นความเชื่อพัฒนาสูงขึ้นตามลำดับ มีประสบการณ์ล้ำลึกมากขึ้นทุกที สัมผัสพระวิญญาณบริสุทธิ์ (สำแดงการทรงสถิต) ได้ยินพระสุรเสียง สัมผัสความรักสันติสุขที่มาจากพระองค์ รับรู้ชัดเจนว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังนำชีวิต เป็นคนของพระเจ้าตัวแทนพระองค์ที่อยู่ในโลกนี้

          ดังนั้น ไม่มีใครเห็นหน้าตาพระเจ้าพระบิดา แต่สามารถมีประสบการณ์ในรูปแบบต่างๆ ตามที่ทรงสำแดง

            ตั้งแต่อดีตกาลจนปัจจุบัน บรรดาผู้เชื่อศรัทธาจึงเป็นพยานว่าเขามีประสบการณ์ในพระเจ้าที่เขารู้จักอย่างไร แต่ละคนแต่ละกลุ่มมีประสบการณ์เฉพาะ

4. พระเยซูสำแดงพระเจ้ารวมทั้งหน้าตา

ยน.1:18  ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระบุตรองค์เดียวผู้ทรงสถิตอยู่ในพระทรวงของพระบิดา พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว

            “ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย" ทรงสำแดงในสภาพเป็นมนุษย์ผ่านพระเยซู พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว

            ดังนั้น เมื่อถามว่าพระบิดาหน้าตาเป็นอย่างไร คำตอบคือ แต่แรกเริ่มพระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ทรงสำแดงพระองค์ในสภาพมนุษย์ผ่านพระเยซู (ทั้งกาย จิตใจและจิตวิญญาณ)

            อาดัม-เอวามีหน้าตาอย่างพระองค์เช่นกัน แต่ไม่ตรงกันทีเดียว (หลักทรงสร้างแต่ละคนอย่างมีเอกลักษณ์)

ปฐก.1:27 พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง

So God created mankind in his own image, in the image of God he created them; male and female he created them.

            พระเจ้าตั้งใจสร้างมนุษย์ (อาดัม) ให้มีพระฉายเหมือนพระองค์ (his own image) อาดัม-เอวาที่ยังไม่ทำบาปน่าจะคล้ายพระเยซูมาก (ในสภาพมนุษย์) แต่ทั้งคู่เป็นเพียงมนุษย์ ไม่ใช่พระเยซูที่เป็นพระเจ้า

            พระเยซูเป็นพระเจ้า ทรงสิทธิอำนาจสูงสุด ปราศจากบาปและไม่เคยทำบาป ดำรงอยู่เป็นนิจ ส่วนอาดัม-เอวาคือสิ่งทรงสร้าง อยู่ใต้สิทธิอำนาจพระเจ้า เมื่อทำบาปต้องรับผลของบาป

สรุป:

            ถ้าถามว่าพระเจ้าบนสวรรค์มีหน้าตาอย่างไร คำตอบคือ พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ไม่มีใครเคยใบเห็นหน้าพระองค์ พระเยซูได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ในโลกช่วงระยะหนึ่ง ทรงสำแดงพระเจ้ารวมทั้งหน้าตา แต่พระคัมภีร์ไม่ได้ระบุรูปร่างหน้าตาพระเยซู รูปภาพที่ปรากฏในที่ต่างๆ มาจากจินตนการ ปัจจุบันคริสเตียนผู้เชื่อสัมผัสพระองค์ในหลายรูปแบบ เป็นประสบการณ์ส่วนตัว

            พระเยซูคือพระเจ้าที่สำแดงเป็นมนุษย์

คำถามหลังคำสอน:

            1) สำคัญหรือไม่ที่ต้องเห็นตาพระเจ้า จึงจะมั่นใจว่าพระเจ้ามีจริง

            2) ท่านจะตอบอย่างไร เมื่อถูกถามว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหน ช่วยพามาให้เห็นหน้า

------------------------

 

06/06/2568

Ep27 ติดสนิทเบื้องบนเกิดผลเบื้องล่าง

“เพราะถ้าท่านระวังที่จะกระทำตามบัญญัติทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่าน คือรักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ดำเนินในทางทั้งสิ้นของพระองค์ และติดสนิทอยู่กับพระองค์แล้ว”

คำสอนที่ยากจะปฏิบัติครบถ้วน:

            ผู้มีกล่าวอย่างน่าฟังว่า ศาสนา คำสอนธรรมบัญญัติ พยายามเปลี่ยนคนจากภายนอก แต่พระวิญญาณเปลี่ยนจากภายใน สำแดงสู่ภายนอก

            ผู้เชื่อทุกคนต้องยึดธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิมกับคำสอนในพระคัมภีร์ใหม่ ทุกคนจำต้องรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด รู้ว่าอะไรที่พระเจ้าให้ทำกับอะไรที่สั่งห้าม เป็นมาตรฐานเบื้องต้น และเป็นข้อเตือนใจ แต่มนุษย์มักอ่อนแอไม่สามารถปฏิบัติตามครบถ้วน ชอบทำบาป คนอิสราเอลในสมัยพระคัมภีร์เดิมเป็นหลักฐานพิสูจน์แล้วว่าคนที่ยึดถือธรรมบัญญัติคำสอน พยายามปฏิบัติตาม มักจะละทิ้งพระเจ้าง่ายๆ (ไม่ทำตามธรรมบัญญัติ ถึงขั้นนมัสการรูปเคารพ)

            ปัจจุบันคริสเตียนผู้เชื่ออยากเป็นคนชอบธรรม ทำตามคำสอน แต่บ่อยครั้งทำไม่ได้ ไม่ครบถ้วน เพราะขาดกำลังฝ่ายวิญญาณ เป็นเหตุที่ต้องมีพระเยซูไถ่บาป มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่คอยช่วยเหลือ

การติดสนิท:

            ดังคำที่กล่าวว่า ติดสนิทเบื้องบนเกิดผลเบื้องล่าง

            ธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิมสอนเรื่องการติดสนิทเช่นกัน

ฉธบ.11:22 เพราะถ้าท่านระวังที่จะกระทำตามบัญญัติทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่าน คือรักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ดำเนินในทางทั้งสิ้นของพระองค์ และติดสนิทอยู่กับพระองค์แล้ว

For if you are careful to observe this entire commandment I am giving you, loving the LORD, your God, following his ways exactly, and holding fast to him,

            รักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน “ติดสนิทอยู่กับพระองค์”

            อธิบายขยายความ: ฉธบ.11:22 เริ่มต้นด้วยการสอนว่า “กระทำตามบัญญัติทั้งปวง” บัญญัติที่โมเสสสอนมีมากมาย ปรากฏในพระธรรมหมวดเบญจบรรณ จากนั้นฉธบ.11:22 (โมเสส) สรุปคำสอนพระเจ้าตั้งแต่แรกเริ่ม (สรุปคำสอนในหมวดเบญจบรรณ) สรุปไว้ 3 ข้อคือ 1) รักพระเจ้าของเจ้า 2) ดำเนินชีวิตตามแบบของพระองค์อย่างเที่ยงตรง 3) ติดสนิทกับพระองค์ ทั้งนี้ทั้ง 3 ข้อแยกจากกันไม่ได้

          ทั้ง 3 ข้อแยกจากกันไม่ได้ (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            ฉธบ.30:20 พูดซ้ำอีกครั้ง

ฉธบ.30:20 ด้วยมีความรักต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และติดพันอยู่กับพระองค์ กระทำเช่นนั้นจะได้ชีวิตและความยืนนาน เพื่อท่านจะได้อยู่ในแผ่นดินซึ่งพระเจ้าปฏิญาณแก่บรรพบุรุษของท่าน คือแก่อับราฮัมแก่อิสอัค และแก่ยาโคบว่า จะประทานแก่ท่านเหล่านั้น"

            เป้าหมายตามบริบทคือ ได้เข้าและอาศัยในแผ่นดินคานาอันตามพระสัญญา

อพย.3:17 เราสัญญาไว้แล้วว่า เราจะพาเจ้าทั้งหลายไปให้พ้นจากความทุกข์ในประเทศอียิปต์ ไปยังแผ่นดินของชาวคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ไปยังแผ่นดินซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งบริบูรณ์'"

หลักเครื่องมือหรือกลไกของการติดสนิท:

            การติดสนิท เป็นเครื่องมือหรือกลไกที่พระเจ้าตั้งไว้ เพื่อสามารถทำตามน้ำพระทัย มีหลักการ ดังนี้

            1. แสวงหาพระเจ้า

            หลักข้อแรกและสำคัญที่สุดคือ แสวงหาพระเจ้า

            ผลดีของการแสวงหามีมากมาย เช่น รับกำลัง รับความช่วยเหลือ การทรงนำ ชีวิตที่มีพระวิญญาณเป็นพระผู้ช่วย

            คนที่ไม่แสวงหาพระเจ้า อาจกำลังปฏิบัติแบบนับถือศาสนา แค่ทำตามคำสอน ขาดความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์

               2. อยู่ในชุมชน

            การอยู่ในชุมชนผู้เชื่อศรัทธาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

            การอยู่ในชุมชนสมัยพระคัมภีร์เดิม – เริ่มต้นแต่ที่พระเจ้าทรงเลือก และสร้างชนชาติอิสราเอล

            การอยู่ในชุมชนสมัยพระคัมภีร์ใหม่ – ชุมชนคริสเตียน เป็นชุมชนของผู้เชื่อศรัทธาพระเยซูคริสต์

            การอยู่ในชุมชนทำให้ได้รับการปกคลุมฝ่ายวิญญาณ ได้รับการเสริมสร้าง ร่วมรับใช้ ขัดเกลาและดูแลกันและกัน

            เหมือนทารกที่ต้องมีพ่อแม่ดูแลจนเติบใหญ่ ในที่สุดเด็กกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องเลือกและตัดสินใจด้วยตัวเอง

            การตัดสินใจรับเชื่อพระเจ้า คือการตัดสินใจสำคัญครั้งแรกด้วยตัวเอง พ่อแม่หรือใครล้วนทำแทนไม่ได้

            คริสเตียนที่สามารถรักษาความรอด (ได้รับความรอดจริงๆ ไม่ทิ้งความเชื่อกลางทาง) ต้องตัดสินใจเลือกติดตามพระองค์ด้วยตัวเอง ด้วยความเต็มใจ พี่น้องคริสเตียนทำได้แค่ช่วยเสริม ให้ความเข้าใจ

            พระเจ้าต้องการผู้เชื่อศรัทธาแท้ ไม่ใช่เชื่อพระเจ้าแบบงงๆ ตามๆ กันไป ทรงต้องการคริสเตียนที่ยึดคำสอนด้วยความเข้าใจและเต็มใจ

            หากไม่รักศรัทธาจริง สุดท้ายอาจหลุดจากความเชื่อ

            ตัวอย่าง คนอิสราเอลในพระคัมภีร์เดิมอยู่ในชุมชน มีโครงสร้างเข้มงวด มีกฎเกณฑ์มากมาย แต่โครงสร้างกับบัญญัติคำสอนช่วยเขาไม่ได้ พวกเขาเลือกที่จะทำบาป บางครั้งร่วมกันทำบาปทั้งชุมชน

            จึงเป็นคำถามว่าชุมชนที่ดีควรเป็นอย่างไร นำคนให้ใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น หรือแค่พยายามให้อยู่ในกรอบระเบียบ ไปโบสถ์เพราะเป็นวัฒนธรรม ทำตามประเพณี

            จริงหรือไม่ ที่หลายคนทั่วโลกเพียงแค่นับถือศาสนาคริสต์

            คริสเตียนไม่ใช่คนที่ดีพร้อม น้ำพระทัยพระเจ้าคือให้เขาเติบโตสู่ความไพบูลย์ ซึ่งต้องใช้เวลา บางคนหลงหาย เกิดผลมากน้อยต่างกัน

            คำสอนดิน 4 ประเภท (มก.4:14-20) ให้ความเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่เกิดผล และการเกิดผลมีมากน้อยต่างกัน คริสเตียนผู้เชื่อได้แต่พยายามเต็มที่

               3. ทำตามน้ำพระทัย

            พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งด้วยความตั้งใจ มีพระประสงค์หรือเป้าหมายในทุกสิ่ง

            พระประสงค์หรือเป้าหมาย สามารถแยกหลายระดับ ทั้งแบบกว้างกับแบบเจาะจง

            แบบกว้างคือ ปฐมบัญชากับมหาบัญชา เป็นกรอบและเป็นทิศทางหลัก

            แบบเจาะจง ตั้งแต่ระดับชุมชน ไล่ลงมาจนถึงระดับการทรงเรียกส่วนตัว

            พระเจ้าสร้างและนำคริสตจักร ทั้งแบบชุมชนกับแบบบุคคล ให้แต่ละคริสตจักรมีเป้าหมายเฉพาะ (คริสเตียนแต่ละคนคือ 1 คริสตจักร)

            ทรงทำงานผ่านทุกคริสตจักร (ทั้งระดับชุมชนกับบุคคล)

            แผนงานของพระเจ้าล้ำลึกและซับซ้อน ไม่สามารถเข้าใจทั้งหมด สุดท้ายน้ำพระทัยจะสำเร็จทุกประการ เพราะทรงนำและทำให้สำเร็จด้วยตัวเอง ทรงกำหนดไว้แล้ว ชุมชนผู้เชื่อกับคริสเตียนเป็นเครื่องมือหรือกลไกของพระองค์ แม้พวกเขาไม่สมบูรณ์

            สรุป แท้จริงแล้วพระองค์ทรงกำหนดทุกอย่างไว้แล้ว (ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต) สิ่งที่คริสเตียนผู้เชื่อทำได้คือแสวงหาพระเจ้า เพื่อจะพยายามทำส่วนของตนให้ดีที่สุด

-----------------

24/05/2568

Ep26 จะรอดหรือไม่ถ้าเชื่อพระเยซูพร้อมกับนับถือศาสนาอื่น

คนที่เชื่อพระเจ้าจริง จะเชื่อศรัทธาพระเยซูเพียงหนึ่งเดียว ไม่บูชานมัสการพระเยซูพร้อมกับศาสนาหรือสิ่งอื่น ชีวิตทรงพลังและยั่งยืนด้วยการนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้

เกริ่นนำ:

            บางคนมาโบสถ์เพียงเพราะต้องการความช่วยเหลือ รับการอวยพร เช่น ขอให้หายป่วย ให้ธุรกิจรุ่งเรือง บางคนมาเพราะเห็นว่าคำสอนดี มีฤทธิ์เดช จึงมาโบสถ์เพราะหวังฤทธิ์เดชจากพระเจ้า

            บางคนคิดว่าเชื่อศรัทธาพระเยซูไม่เสียหายอะไร จึงรับเชื่อไปก่อน ยังกราบไหว้นับถือศาสนาอื่น

            คำถาม: จะรอดหรือไม่ถ้าเชื่อพระเยซูพร้อมกับนับถือศาสนาอื่น

            กรณีตัวอย่าง นาย ก เมื่อใกล้หมดลมหายใจ ญาติพี่น้องพยายามให้นาย ก รับเชื่อพระเยซูและประกอบพิธีกรรมหลายศาสนา เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้ขึ้นสวรรค์ ถามว่านาย ก ที่นับถือบูชาพระเยซูและศาสนาอื่นพร้อมกันจะได้ขึ้นสวรรค์หรือไม่

            นาย ข อยากมีชีวิตที่ดี ประสบความสำเร็จ และอยากขึ้นสวรรค์ด้วย จึงทำความดี บริจาคเงินสร้างวัดสร้างโบสถ์หลายศาสนา บางสัปดาห์นาย ข มาคริสตจักรนมัสการพระเจ้า บางครั้งไปงานวัด ร่วมกิจกรรมของศาสนา นาย ข เชื่อศรัทธาศาสนาและเชื่อพระเยซูคริสต์ ถามว่านาย ข จะได้ขึ้นสวรรค์หรือไม่

            คำตอบ: ตามคำสอนพระคัมภีร์ไบเบิล (Bible) คือ ไม่ได้

เหตุที่ต้องศรัทธาพระเยซูคริสต์เพียงหนึ่งเดียว:

1. ทางรอดมีทางเดียว

ยน.14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา

กจ.4:12 ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า"

รม.6:23 เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

            โลกมีคำสอนวิธีการขึ้นสวรรค์หลายแบบ ตามความเชื่อคริสเตียนต้องเชื่อศรัทธาพระเยซูคริสต์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

2. พระเยซูผู้พิพากษา

            เหตุผลที่ทางสู่ชีวิตนิรันดร์มีทางเดียว เพราะพระเยซูเท่านั้นเป็นผู้พิพากษาว่าใครจะได้รับชีวิตนิรันดร์

ยน.5:22,24

22 เพราะว่าพระบิดามิได้ทรงพิพากษาผู้ใด แต่พระองค์ได้ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร

24 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดฟังคำของเราและวางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว

2ทธ.4:1 ข้าพเจ้ากำชับท่านต่อพระพักตร์พระเจ้า และพระเยซูคริสต์ผู้จะทรงพิพากษาคนเป็นและคนตาย โดยอ้างถึงการที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏและแผ่นดินของพระเจ้าว่า

            พระเยซูเป็นผู้พิพากษาชีวิตหลังความตาย

3. นมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้

            ความเชื่อของคริสเตียนยึดพระคัมภีร์ไบเบิล พระเจ้าเที่ยงแท้มีเพียงหนึ่งเดียว ไม่ศรัทธาพระอื่น ไม่กราบไหว้บูชาสิ่งอื่น

อพย.20:2-6

2 “เราคือพระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์คือจากแดนทาส

3 “อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา

4 “อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน

5 อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน

6 แต่เราแสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเรา และปฏิบัติตามบัญญัติของเราจนถึงพันชั่วอายุคน

            คริสเตียนจึงไม่บูชาชื่อเสียง เงินทอง ลาภยศ หรือสิ่งใดๆ ที่ไม่ใช่พระเจ้า ไม่อยู่เพื่อสิ่งเหล่านั้น

          คนที่เชื่อศรัทธาพระเจ้าจริง จะเชื่อศรัทธาพระเยซูเพียงหนึ่งเดียว ไม่บูชานมัสการพระเยซูพร้อมกับศาสนาหรือสิ่งอื่น

            ชีวิตทรงพลังและยั่งยืนด้วยการนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้

----------------

14/05/2568

บทเรียน 19 ผลของการรักผูกพันพระเจ้าจากสดด.91:14-16

ผลลัพธ์ข้อหนึ่งคือผู้เชื่อเติบโตฝ่ายวิญญาณมากขึ้น มีประสบการณ์ในพระเจ้าเพิ่มขึ้น และผูกพันกับพระองค์มากขึ้นตามลำดับ ทรงอยู่กับเขาไม่ใช่หรือ ทรงอยู่ด้วยตั้งแต่วันนี้จนถึงนิรันดร์

คำถามก่อนเรียน :

            1) พระเจ้ารักผู้เชื่อและสอนให้ผู้เชื่อรักพระองค์และคนอื่น เรื่องนี้สำคัญเพียงไร

            2) เล่าถึงความรักของท่านที่มีต่อพระเจ้าเป็นอย่างไร

            อ่านสดด.91:14-16

เกริ่นนำ :

            คริสเตียนรู้จักคำสอนว่าพระเจ้ารักเรา และทรงสั่งให้เรารักพระองค์และเพื่อนมนุษย์

ยน.3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์

            รากศัพท์คำว่า “รัก” ใน ยน.3:16 เป็นภาษากรีก คือคำว่าอากาเป้ (agape) ความรักนี้ไม่ใช่รักแบบที่มนุษย์มีต่อกัน เช่น พ่อแม่รักลูก พี่น้องรักกัน สัมพันธ์หนุ่มสาว เพื่อนซี้เพื่อนเกลอ (ความรักระหว่างมนุษย์ดังกล่าวภาษากรีกใช้ศัพท์อื่น)

          การใช้คำว่า อากาเป้ ในพระคัมภีร์ สื่อว่าเป็นความรักที่มาจากพระเจ้าโดยตรง

            พระเจ้าไม่ใช่ผู้ที่ขาดความรักจึงร้องหาความรัก ในทางกลับกันทรงเป็นความรัก (God is love) ทรงเปี่ยมด้วยรักและรักมนุษย์ทุกคน หากผู้เชื่อตอบสนองจะเกิดผลดีกับตัวเขาเอง

1ยน.4:8 ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก

Whoever does not love does not know God, because God is love.

            ประโยคนี้อาจแปลใหม่ว่า ผู้ใดไม่มีอากาเป้ผู้นั้นไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นอากาเป้

            คำถาม: วันนี้คุณมีอากาเป้แล้วหรือยัง

ผลดีของการรักผูกพันพระเจ้า:

            ผลดีของการรักผูกพันพระเจ้า มีมากมาย ในที่ยกตัวอย่างจาก สดด.91:14-16 ดังนี้

สดด.91:14-16

14 เพราะเขาผูกพันกับเราด้วยความรัก เราจะช่วยกู้เขา เราจะป้องกันเขาไว้ เพราะเขารู้จักนามของเรา

Because he hath set his love upon me, therefore will I deliver him: I will set him on high, because he hath known my name. (KJV)

“Because he loves me,” says the LORD, “I will rescue him; I will protect him, for he acknowledges my name.

15 เมื่อเขาร้องทูลเรา เราจะตอบเขา เราจะอยู่กับเขาในยามลำบาก เราจะช่วยเขาให้พ้นและให้เกียรติเขา

He will call on me, and I will answer him; I will be with him in trouble, I will deliver him and honor him.

16 เราจะให้เขาอิ่มใจด้วยชีวิตยืนยาว และสำแดงความรอดของเราแก่เขา

With long life I will satisfy him and show him my salvation.”


1. ทรงรักเราตั้งแต่แรก (14ก)

            รากฐานความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับผู้เชื่อคือความรัก ทั้งที่พระเจ้ารักเรา เรารักพระองค์

            พระคัมภีร์เดิมพูดถึงความรักที่พระเจ้ามีต่อผู้เชื่อมากมาย

อพย.20:6 แต่เราแสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเรา และปฏิบัติตามบัญญัติของเราจนถึงพันชั่วอายุคน

ความรักมั่นคงเป็นของพระองค์

but showing love to a thousand generations of those who love me and keep my commandments.

            รากศัพท์ฮีบรูของวลีว่า “ผูกพัน ... ด้วยความรัก” ในสดด.91:14 หรือ “Because he hath set his love” (KJV) หรือ “Because he loves” (NIV) คือคำว่า חָשַׁק  (อ่านว่า khaw-shak') หรือ “chashaq” เป็นคำกริยา หมายถึง มีใจรัก (To love) ผูกพันกับ ติดอยู่กับ (to be attached to) ชื่นชมยินดีใน (to delight in) เกาะติด (to cling)

            ไม่มีศัพท์ฮีบรูใดที่ตรงกับ agape โดยตรง chashaq เป็นศัพท์ฮีบรูคำหนึ่งที่ใช้เมื่อพูดถึงความรักของพระเจ้า ตัวอย่างข้อพระคัมภีร์เดิมที่ใช้คำว่า chashaq เช่น

ฉธบ.7:7 ที่พระเจ้าทรงรักและทรงเลือกท่านทั้งหลายนั้น มิใช่เพราะท่านทั้งหลายมีจำนวนมากกว่าประชาชนชาติอื่น ด้วยว่าในบรรดาชนชาติทั้งหลาย ท่านเป็นจำนวนน้อยที่สุด

อสย.38:17 นี่แน่ะ เพราะเห็นแก่สวัสดิภาพของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงมีความขมขื่นมากยิ่ง แต่พระองค์ทรงรักชีวิตของข้าพระองค์ ไม่ให้ตกหลุมแห่งความพินาศ เพราะพระองค์ทรงเหวี่ยงบาปทั้งสิ้นของข้าพระองค์ ไว้เบื้องพระปฤษฎางค์ของพระองค์

            แต่ดั้งเดิมพระเจ้าทรงรักคนของพระองค์ พระเยซูเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่แสดงความรักต่อผู้เชื่อ ทรงรักเราไม่เปลี่ยนแปลง

            คำว่า ผูกพัน ... ด้วยความรัก” แสดงถึงการรักอย่างลึกซึ้ง จริงจัง รักเสมอ

            คนที่ปากบอกว่ารักพระเจ้ามีมาก พระเจ้าจะอวยพรอย่างมากมายต่อคนที่รักพระองค์จริงๆ เพราะว่าเขารักด้วยใจจริง

สดด.103:11 เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเท่าใด ความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อบรรดาคนที่เกรงกลัวพระองค์ก็ใหญ่ยิ่งเท่านั้น

For as high as the heavens are above the earth, so great is his love for those who fear him;

นหม.1:5 ข้าพเจ้าทูลว่า "ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่ง และน่าเกรงกลัว ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและดำรงความรักมั่นคงกับบรรดาผู้ที่รักพระองค์ และรักษาพระบัญญัติของพระองค์

Then I said: “LORD, the God of heaven, the great and awesome God, who keeps his covenant of love with those who love him and keep his commandments,

            นหม.1:5 พูดถึง “พันธสัญญาแห่งรัก” (covenant of love) “บรรดาผู้ที่รักพระองค์” (those who love him) พระเจ้าทรงตั้งพันธสัญญากับคนของพระองค์ เป็นพันธสัญญาแห่งรัก และปรารถนาให้คนของพระเจ้ารักพระองค์ โดยที่พระองค์รักพวกเขาก่อน พันธสัญญาคือหลักฐานหรือเจตจำนงของพระเจ้า ทรงจริงจังต่อความรักนี้

2. จะช่วยกู้ (14ข)

            พระเจ้าจะช่วยให้พ้นจากปัญหาความทุกข์ที่เผชิญอยู่

2ซมอ.22:44 "พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากการเกี่ยงแย่งประชาชนของข้าพระองค์ พระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ไว้ให้เป็นหัวหน้าของบรรดาประชาชาติ ชนชาติที่ข้าพระองค์ไม่เคยรู้จักก็จะปรนนิบัติข้าพระองค์

สดด.18:2 พระเจ้าทรงเป็นพระศิลา ป้อมปราการ และผู้ช่วยกู้ของข้าพระองค์ เป็นพระเจ้าของข้าพระองค์เป็นพระศิลาซึ่งข้าพระองค์เข้าลี้ภัยอยู่ในพระองค์ เป็นโล่ เป็นพลังแห่งความรอดของข้าพระองค์ เป็นที่กำบังเข้มแข็งของข้าพระองค์

            คริสเตียนมักอธิษฐานขอให้พระเจ้าช่วยเหลือปัญหาความทุกข์ต่างๆ ขอเพียงผู้นั้นรักพระองค์จริง พระเจ้าจะช่วยคนนั้นแน่นอน ทรงรู้อยู่แล้วว่าใครมีปัญญาอะไร รู้ก่อนที่ผู้นั้นจะอธิษฐานเสียอีก

            อธิบายขยายความ: คริสเตียนพึงเข้าใจว่าความรักที่พระเจ้ามีให้นั้น ไม่ใช่ความรักเพื่อตามใจเรา บางครั้งอธิษฐานขอแล้วได้ทันทีแต่บางครั้งต้องรอ ความรักของพระเจ้าไม่ใช่เพื่อให้ผู้เชื่อใช้ชีวิตอยู่ในความบาปต่อไป

            จุดสำคัญคือต้องเข้าใจน้ำพระทัยว่าพระองค์ต้องการสิ่งใด ระหว่างนาย ก ที่ทำบาปอยู่เรื่อย ชีวิตแทบไม่เปลี่ยนแปลง แล้วได้รับความรอด กับนาย ข ที่ชีวิตเปลี่ยนแปลงตามลำดับ จนได้อยู่กับพระองค์นิรันดร์ พระเจ้าอยากให้คริสเตียนเป็นแบบนาย ข มากกว่า

            บางคนเป็น “คริสเตียน 500” หมายความว่าถ้ามีเงินในกระเป๋ามากกว่า 500 บาทก็จะเริ่มคิดถึงแต่ตัวเอง มองหาความสุขส่วนตัว ไม่สนใจพระเจ้า หลงเจิ่นจากทางชอบธรรม (ทำบาป) พระเจ้าจึงจัดการให้คริสเตียนเช่นนี้มีเงินไม่เกิน 500 บาท เพื่อจะมีเหตุต้องอธิษฐานพึ่งพาพระองค์อยู่เสมอ ต้องหันกลับมาหาพระเจ้าอีกครั้ง

            “คริสเตียน 500” ไม่ใช่เรื่องเงินเท่านั้น อาจเป็นตำแหน่งหน้าที่การงาน ชื่อเสียง เกียรติยศ รูปแบบการใช้ชีวิต ฯลฯ

            ในสายตามนุษย์มักมองหาความสุขระยะสั้น พระองค์เห็นว่าเป็นการดีกว่าถ้าบางคนทนทุกข์บ้าง อยู่ในบางปัญหา เพื่อจะมีเหตุให้แสวงหาพระเจ้า ดำเนินในทางของพระองค์

            ความรอดสำคัญกว่ามิใช่หรือ โลกแค่ของชั่วคราว ท่านจะอยู่ในโลกอีกกี่ปี

            อนึ่ง คำว่า ”เราจะช่วยกู้เขา” (14ข) กับ “เราจะช่วยเขาให้พ้น” (15ค) เป็นรากศัพท์คนละตัว แต่ความหมายคล้ายกัน เล็งถึงการช่วยให้พ้นจากปัญหาความทุกข์ที่เผชิญอยู่

3. จะปกป้องเชิดชู (14ค)

            รากศัพท์คำว่า “ป้องกัน” หมายถึง ปกป้อง ให้ปลอดภัย เชิดชู ตั้งไว้ในที่สูง

            คำนี้ถูกใช้ในหลายที่ เช่น

สดด.69:29 แต่ข้าพระองค์ทุกข์ยากและเจ็บปวด ข้าแต่พระเจ้า ขอความรอดของพระองค์ตั้งข้าพระองค์ไว้ให้สูง

But as for me, afflicted and in pain— may your salvation, God, protect me.

แต่ข้าพระองค์ทุกข์ยากและเจ็บปวด ข้าแต่พระเจ้า ขอการช่วยกู้ของพระองค์พิทักษ์รักษาข้าพระองค์ (ฉบับปี 2011)

สภษ.18:10 พระนามของพระเจ้าเป็นป้อมเข้มแข็ง คนชอบธรรมวิ่งเข้าไปในนั้นและปลอดภัย

            ชีวิตคริสเตียนอยู่ในสงครามฝ่ายวิญญาณ อยู่ในบริบทแวดล้อมที่ล่อลวงให้ทำบาป การปกป้องจากพระเจ้าจึงสำคัญ ป้องกันไว้ก่อน ไม่ต้องรอให้เกิดปัญหาแล้วจึงร้องขอความช่วยเหลือ

            คนที่รักผูกพันพระเจ้า ปัญหาจะน้อยลง และจะได้รับการปกป้อง

            อธิบายขยายความ: จริงหรือไม่เมื่อคริสเตียนเปลี่ยนแปลงชีวิต หันหนีจากความบาป ชีวิตเขาจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปัญหาความทุกข์ยากลดลง เช่น

            นาย ก มีหนี้สินเพราะใช้จ่ายฟุ่มเฟือย รายได้ไม่พอรายจ่าย เมื่อมาเชื่อพระเจ้าไม่เป็นทาสความฟุ่มเฟือย กลับมามีเงินเก็บเงินเหลือใช้อีกครั้ง

            นาย ข พยายามเลิกบุหรี่หลายครั้ง แต่เลิกได้จริงๆ เมื่อมาเชื่อพระเจ้า สุขภาพของนาย ข ดีขึ้นทันที มีความสุขมากขึ้น

            นาย ค มักชอบด่าว่าทุบตีภรรยา เมื่อเชื่อพระเจ้าเริ่มเรียนรู้หน้าที่สามีตามพระคัมภีร์ ครอบครัวกลับมามีความสุขอีกครั้ง

            ฯลฯ

            ดังที่กล่าวว่า กันไว้ดีกว่าแก้ คนที่รักผูกพันพระเจ้าชีวิตจะเปลี่ยนเหมือนพระองค์มากขึ้นๆ กลับไปเป็นมนุษย์ที่ดีพร้อมอย่างที่พระองค์ต้องการ

            คำถาม: ทบทวนชีวิตของท่านว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว ชีวิตท่านดีขึ้นอย่างไร

4. พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน (15ก)

- เมื่อเขาร้องทูลเรา เราจะตอบเขา

            การอธิษฐานกับคริสเตียนเป็นของคู่กัน ผู้เชื่อจะอธิษฐานเสมอ ทั้งเพื่อขอบพระคุณ ขอทรงการนำ ขอความช่วยเหลือ หรือเพื่อพูดคุยติดสนิท มีชีวิตแห่งการอธิษฐาน

            การอธิษฐานขอความช่วยเหลือเป็นหัวข้อที่มีเสมอ

สดด.50:15 และจงร้องทูลเราในวันทุกข์ยากลำบาก เราจะช่วยกู้เจ้า และเจ้าจะถวายพระสิริแก่เรา"

1 ปต.3:12 เพราะว่าพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าเฝ้าดูคนชอบธรรม และพระกรรณของพระองค์ทรงสดับคำอ้อนวอนของเขา แต่พระพักตร์ของพระองค์ไม่เป็นมิตรกับคนทั้งหลายที่ทำความชั่ว

            พระเจ้าอยากให้ผู้เชื่ออธิษฐาน ไม่เพียงเพื่อ “ขอ” แต่เป็นชีวิตที่ใกล้ชิดติดสนิท ให้การอธิษฐานคือส่วนหนึ่งของการสื่อสารกับพระองค์ อธิษฐานนำสู่การพัฒนาความสัมพันธ์

            การอธิษฐานไม่ใช่การท่องบทสวด ไม่จำต้องใช้คำสวยหรู เป็นการสื่อสารกับพระเจ้ารูปแบบหนึ่งที่ง่ายเพราะแค่พูดเท่านั้น แต่ที่ดูเหมือนง่ายมีความลึกล้ำ สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างผู้เชื่อกับพระเจ้าที่เขารู้จัก

5. พระเจ้าอยู่ด้วยในยามลำบาก (15ข)

- เราจะอยู่กับเขาในยามลำบาก

            มีคำกล่าวว่า มิตรแท้จะอยู่กับเราแม้ในยามยาก ส่วนมิตรแต่ปากยามยากจะหายไปเราสามารถรู้ว่าใครรักเราจริงในยามเผชิญความทุกข์ยาก

            พระเจ้าสัพพัญญู รู้ดีว่าคริสเตียนกำลังเผชิญอะไร ทรงสัญญาว่า “เราจะอยู่กับเขาในยามลำบาก” ในยามที่ผู้เชื่อต้องการกำลังใจ ต้องการความช่วยเหลือ

            เป็นเหตุให้ผู้เชื่อไว้วางใจพระองค์ ไม่มีใครที่สามารถช่วยเราได้ดีมากเท่ากับพระเจ้าอีกแล้ว

สดด.23:4 แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์

อสย.41:10 อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะหนุนกำลังเจ้า เออ เราจะช่วยเจ้า เออ เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา

            พระเจ้าจะอยู่กับคนของพระองค์ตั้งแต่วันนี้และสืบไปเพราะเขารู้จักนามของเรา(สดด.91:14ง)

6. ให้เกียรติให้ความสำคัญ (15ง)

- และให้เกียรติเขา

            คำว่า “ให้เกียรติเขา” หมายถึง ให้เกียรติ ให้ความสำคัญ

อพย.20:12 "จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า

กดว.22:37 บาลาคพูดกับบาลาอัมว่า "เราได้อุตส่าห์ใช้คนไปเชิญท่านมามิใช่หรือ เหตุไฉนท่านไม่มาหาเราเล่า เราไม่สามารถที่จะให้เกียรติแก่ท่านหรือ"

            เมื่อผู้เชื่อรักผูกพันพระเจ้า พระองค์แสดงออกหลายอย่าง ในที่นี้ (สดด.91:14-16) ทรงแสดงความรัก ช่วยแก้ปัญหา คอยปกป้องจากศัตรู ตอบคำอธิษฐาน อยู่ด้วยในยามลำบาก เพราะทรงให้ความสำคัญกับคนที่รักผูกพันพระองค์

            จะเห็นว่าเมื่อคนของพระเจ้ารักผูกพันพระองค์ จะมีผลดีหลายอย่างเกิดขึ้นทันที เป็นคนสำคัญของพระองค์

            เป็นข้อคิดแก่คริสเตียนว่า อย่างไรดีกว่า

            ก) ใช้เวลาอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยเรื่องนั้นเรื่องนี้

            ข) ให้เวลากับการรักผูกพันพระเจ้า ด้วยการสรรเสริญนมัสการ อธิษฐานติดสนิท ฟังพระสุรเสียงจากพระวจนะของพระองค์

7. อายุยืนยาว (16ก)

- เราจะให้เขาอิ่มใจด้วยชีวิตยืนยาว

            การมีชีวิตยืนยาวเป็นพระพรสำคัญ เพราะคนในอดีตมักเสี่ยงอายุสั้น เช่น การกันดารอาหาร ภัยพิบัติ โจรผู้ร้าย สงคราม การแพทย์ยังไม่ก้าวหน้า หลายคนเสียชีวิตตั้งแต่เด็กหรือวัยหนุ่มสาว

            พระเจ้าปกป้องคนของพระองค์ให้มีอายุยืน

สภษ.10:27 ความยำเกรงพระเจ้านั้นยืดชีวิตให้ยาวไป แต่ปีเดือนของคนชั่วร้ายนั้นจะสั้นเข้า

            การขอให้อายุยืนจึงมักเป็นส่วนหนึ่งของคำอธิษฐาน

สดด.72:15 ขอท่านผู้นั้นมีชีวิตยืนนาน ให้คนถวายทองคำเมืองเชบาแก่ท่าน ให้เขาอธิษฐานเผื่อท่านเรื่อยไป และอวยพรท่านวันยังค่ำ

            พระวจนะตอนนี้ พระเจ้าสัญญาให้อิ่มใจด้วยชีวิตยืนยาว หมายถึง ทรงให้มีความสุขจากการมีอายุยืน เป็นพระพรอีกประการที่จะได้รับ

            ตัวอย่าง อับราฮัม

            อับราฮัมคือตัวอย่างผู้ที่พระเจ้าอวยพรให้มีอายุยืนยาว จน “เขาอิ่มใจ” เพียงพอแล้วที่มีอายุยืนขนาดนั้น พอใจแล้วสำหรับมนุษย์คนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในโลกนี้

            ไม่เพียงอายุยืนเท่านั้น อับราฮัมใช้ชีวิตอย่างผู้ที่พระเจ้าทรงอำนวยพระพรทุกประการ ในฐานะคนของพระเจ้าที่ไม่ต้องการสิ่งใดจากโลกมากกว่านี้อีกแล้ว

ปฐก.24:1 ฝ่ายอับราฮัมก็ชราแล้ว มีอายุมากทีเดียว และพระเจ้าทรงอำนวยพระพรอับราฮัมทุกประการ

ปฐก.25:7 อายุของอับราฮัม คือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าปี

            สิ่งสำคัญกว่าที่คนของพระเจ้าต้องการคือชีวิตนิรันดร์ ทรงจัดเตรียมให้อับราฮัมแล้วเช่นกัน

            สำหรับคนของพระเจ้าไม่ว่าวันนี้จะเผชิญสิ่งใด เขา... “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ” อย่างมีความเข้าใจ รับรู้ผลพระสัญญาที่จะได้ในอนาคต

รม.1:17 เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดย เริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ

ฮบ.11:40 เพราะพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งซึ่งประเสริฐยิ่งกว่านั้นไว้สำหรับเขา เพื่อเขาทั้งหลายจะได้รับความสมบูรณ์ด้วยกันกับเราเท่านั้น

            พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง ผู้กำกับควบคุมโลกตลอดเวลา ได้จัดเตรียมสิ่งประเสริฐที่อยู่เบื้องบนให้กับคนของพระองค์แล้วมิใช่หรือ เขาอิ่มใจตั้งแต่วันนี้จนถึงนิรันดร์

8. ได้รับความรอด (16ข)

- และสำแดงความรอดของเราแก่เขา

            คนอิสราเอลในพระคัมภีร์เดิมจะรอคอยพระเมสสิยาห์ (พระผู้ช่วยให้รอด) คือความรอดผ่านพระเยซูคริสต์นั่นเอง

            ความรอดเป็นพระสัญญาสำคัญที่ผู้เชื่อคาดหวัง แต่ใช่ว่าทุกคนที่รับเชื่อจะสามารถ รักษาความรอด ไว้ได้ การรับเชื่อพระเจ้า เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่การ รักษาความรอดมักกินเวลายาวนาน อาจหลายปีหรือหลายสิบปี จำต้องผ่านสงครามฝ่ายวิญญาณ การทดสอบทดลองมากมาย “แต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุดผู้นั้นจะรอด”

มธ.24:10-13

10 คราวนั้นคนเป็นอันมากจะถดถอยไป และอายัดกันและกันทั้งจะเกลียดชังซึ่งกันและกันด้วย

11 ผู้เผยพระวจนะปลอมหลายคนจะเกิดมีขึ้น และล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป

12 ความรักของคนส่วนมากจะเยือกเย็นลง เพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป

13 แต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุดผู้นั้นจะรอด

            เป็นโจทย์สำคัญแก่ผู้เชื่อว่า ทำอย่างไรจึงสามารถรักษาความรอดจนถึงปลายทาง พระคัมภีร์ สดด.91:14 ให้คำตอบเรื่องนี้

            คนที่ “ผูกพันกับเราด้วยความรัก ... เขารู้จักนามของเรา” จะได้รับการอวยพรตั้งแต่รับเชื่อจนแก่ชรา และสามารถรักษาความรอดไว้ได้

สดด.91:14 เพราะเขาผูกพันกับเราด้วยความรัก เราจะช่วยกู้เขา เราจะป้องกันเขาไว้ เพราะเขารู้จักนามของเรา

Because he hath set his love upon me, therefore will I deliver him: I will set him on high, because he hath known my name. (KJV)

“Because he loves me,” says the LORD, “I will rescue him; I will protect him, for he acknowledges my name.

            คือคนนั้นที่รักพระเจ้า จิตวิญญาณแนบสนิทกับพระองค์

9. สรุป

            พระเจ้ารักเราก่อน คนบาปตอบสนองด้วยการเชื่อและได้รับความรอด แต่การรักษาความรอดเป็น กระบวนการ ที่มักกินเวลายาวนาน จำต้องผ่านสงครามฝ่ายวิญญาณ การทดสอบทดลองทั้งหลาย มีประสบการณ์ในพระเจ้าหลายหลายรูปแบบ (ทั้งการอวยพรกับการตีสอน)

            ผลลัพธ์ข้อหนึ่งคือผู้เชื่อเติบโตฝ่ายวิญญาณมากขึ้น มีประสบการณ์ในพระเจ้าเพิ่มขึ้น และผูกพันกับพระองค์มากขึ้นตามลำดับ ทรงอยู่กับเขาไม่ใช่หรือ ทรงอยู่ด้วยตั้งแต่วันนี้จนถึงนิรันดร์

คำถามหลังคำสอน :

            1) จงแบ่งปัน คริสเตียนสามารถรักพระเจ้ามากขึ้นอย่างไร

            2) ท่านคิดว่าการเฝ้าเดี่ยว การอธิษฐาน นมัสการ อ่านพระคัมภีร์ส่วนตัว ช่วยให้รักพระเจ้ามากขึ้นได้หรือไม่ อย่างไร

------------------------

08/05/2568

วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ (3) :มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง

การเป็นคริสเตียนคือกลับมาคืนดีกับพระเจ้า ความสัมพันธ์ที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง “ถ้าการสรรเสริญนมัสการไม่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง เช่นนั้นก็บาปแล้ว”

เป็นคริสเตียนคือกลับมาคืนดีกับพระเจ้า:

            ความหมายพื้นฐานประการหนึ่งของการเป็นคริสเตียน คือการกลับมาคืนดีกับพระเจ้า

2คร.5:17-21

17 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น

18 ทั้งสิ้นนี้เกิดมาจากพระเจ้า ผู้ทรงให้เราคืนดีกันกับพระองค์ทางพระเยซูคริสต์ และทรงโปรดประทานให้เรามีพันธกิจเรื่องการคืนดีกัน

19 คือพระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์โดยพระคริสต์ มิได้ทรงถือโทษในการผิดของเขา และทรงมอบเรื่องการคืนดีกันนั้นให้เราประกาศ

20 ฉะนั้นเราจึงเป็นทูตของพระคริสต์ โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายทางเรา เราจึงขอร้องท่านในนามของพระคริสต์ให้คืนดีกันกับพระเจ้า

21 เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาปให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์

            การคืนดีเป็นผลจากการมีชีวิตใหม่ในพระคริสต์ (17) พระเจ้าเป็นผู้ประทาน “ผู้ทรงให้เราคืนดีกันกับพระองค์ทางพระเยซูคริสต์” (18ข) เรื่องราวของคริสเตียนผู้เชื่อคือเรื่อง การกลับมาสัมพันธ์ดีกับพระเจ้าการประกาศข่าวประเสริฐคือการนำคนให้มาคืนดีกับพระองค์ (19)

            คำถาม: ความสัมพันธ์ของท่านกับพระเจ้าในวันนี้เป็นอย่างไร

            การเป็นคริสเตียนจึงไม่ใช่การนับถือศาสนาคริสต์ ไม่ใช่การพยายามทำตามบัญญัติคำสอน แต่เป็นการคืนดีกับพระคริสต์ มีความสัมพันธ์ดีต่อกัน

มีสัมพันธ์ดีคือมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง:

            ความสัมพันธ์จึงเป็นหลักการสำคัญของคริสเตียน ผูกพัน ติดสนิทกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ กิจกรรมหรือพิธีกรรมต่างๆ จะต้องมุ่งสู่เป้าหมายนี้

            การคืนดียังหมายถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ด้วย ที่ผู้เชื่อจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดติดสนิทพระเจ้ามากขึ้นตามลำดับ การสรรเสริญนมัสการคือหนึ่งในวิธีนั้น

            ในทางนิตินัย คริสเตียนเป็นคนใหม่โดยสมบูรณ์แล้ว แต่ทางพฤตินัยเป็นผู้เชื่อที่อยู่ระหว่างการทรงสร้างให้เป็นเหมือนดั่งพระองค์ เป็นทูตของพระคริสต์ ระหว่างการทรงสร้างจึงยังไม่สมบูรณ์ แสดงความอ่อนแอ ทำบาป

            การทรงสร้างทางพฤตินัยเป็นแผนการพระเจ้า พระองค์ไม่ต้องการให้สมบูรณ์ทันทีเมื่อกลับใจเชื่อพระเจ้า ประสงค์ให้ผู้เชื่อผ่านประสบการณ์ต่างๆ บุคคลในพระคัมภีร์เป็นเช่นนี้ ลองนึกถึงชีวิตของอับราฮัม โยเซฟ โมเสส เอลียาห์ เยเรมีย์ โยบ ดาวิด เปโตร เปาโล ฯลฯ

            ประสบการณ์ในระหว่างทางไม่ใช่ความราบรื่นเท่านั้น บางช่วงเผชิญการทดสอบทดลอง ต้องอดทนต่อความยากลำบากหลายรูปแบบ สำคัญคือในทุกยามมีพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ทรงอยู่ที่นั่น ผู้เชื่อมีความคิด ความรู้สึก อย่างใดอย่างหนึ่งต่อพระองค์ มีพัฒนาการของความสัมพันธ์ลึกซึ้งขึ้น

            ชีวิตแห่งความสัมพันธ์มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง มีพระองค์เกี่ยวข้องด้วยเสมอ มุ่งหน้าสู่ทางของพระองค์ ตามการทรงเรียกทรงนำ พระวิญญาณอยู่กับผู้เชื่อ นำเขาสู่สันติสุขนิรันดร์

            การมีพระเจ้าเกี่ยวข้องด้วยจึงไม่ใช่แค่การพยายามปฏิบัติตามคำสอนเท่านั้น มีความสัมพันธ์อยู่ในนั้น

          การมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากน้อยเป็นตัววัดระดับความสัมพันธ์ แม้วัดเป็นตัวเลขไม่ได้ แต่รักมากกับรักน้อยนั้นแตกต่าง แยกแยะได้

            ยิ่งบริสุทธิ์ (ทางพฤตินัย) ยิ่งใกล้ชิดพระองค์

            ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เชื่อกับพระเจ้าจะสัมบูรณ์เมื่ออยู่ในสวรรค์

การสรรเสริญนมัสการเป็นวิธีการ:

            การสรรเสริญนมัสการเป็นวิธีการหนึ่ง ช่วยนำกาย ใจ และจิตวิญญาณ ของผู้เชื่อเข้าใกล้พระองค์

            ทุกครั้งที่สรรเสริญนมัสการคือการปฏิสัมพันธ์ การเชื่อมต่อฝ่ายวิญญาณระหว่างผู้เชื่อคนนั้นกับพระเจ้าของเขา แสดงออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างกัน (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            การร้องเล่นเต้นรำจึงไม่ใช่การนมัสการเสมอไป การนมัสการเป็นแสดงออกฝ่ายวิญญาณผ่านการร้องเล่นเต้นรำ อย่างสอดคล้องคำสอนในพระคัมภีร์

พระธรรมสดุดีชีวิตที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง:

            ทุกวันนี้เมื่อคริสเตียนอ่านพระธรรมสดุดี บางคนอาจมองว่าคือพระธรรมเล่มหนึ่งในบรรดา 66 เล่ม ความจริงที่บางคนอาจนึกไม่ถึงคือ พระธรรมสดุดีเดิมเป็น “หนังสือเพลง” ที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า

            พระธรรมสดุดีเหมือนพระธรรมหลายเล่ม ที่บางส่วนบรรยายความคิดความรู้สึก ประสบการณ์กับพระเจ้าในหลายบริบท ทั้งสุขทั้งทุกข์ รับการอวยพรและถูกตีสอน ทั้งสิ้นคือชีวิตที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง สรรเสริญนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงองค์เดียว

            ในพันธสัญญาใหม่เอ่ยถึงพระธรรมสดุดี

            ยกตัวอย่าง พระเยซูกับสาวกร้องเพลงสรรเสริญ (มธ.26:30) คำว่า เพลงสรรเสริญ หรือ hymn หมายถึงบทเพลงในพระธรรมสดุดีนั่นเอง

มธ.26:26-30

26 ระหว่างอาหารมื้อนั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา และเมื่อถวายสาธุการแล้ว ทรงหักส่งให้แก่เหล่าสาวกตรัสว่า "จงรับกินเถิด นี่เป็นกายของเรา"

27 แล้วพระองค์จึงทรงหยิบถ้วยโมทนาพระคุณและส่งให้เขา ตรัสว่า "จงรับไปดื่มทุกคนเถิด

28 ด้วยว่านี่เป็นโลหิตของเรา อันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งต้องหลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนเป็นอันมาก

29 เราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มน้ำผลแห่งเถาองุ่นต่อไปอีกจนวันนั้นมาถึง คือวันที่เราจะดื่มกันใหม่กับพวกท่านในแผ่นดินแห่งพระบิดาของเรา"

30 เมื่อร้องเพลงสรรเสริญแล้ว เขาก็พากันออกไปยังภูเขามะกอกเทศ

When they had sung a hymn, they went out to the Mount of Olives.

            รากศัพท์คำว่า “เพลงสรรเสริญ” หรือ “hymn” คือ μνέω (อ่านว่า hoom-neh'-o) เป็นคำกริยา หมายถึง ร้องบทเพลงสรรเสริญ (to sing a hymn) สรรเสริญ (to praise)

            ใช้ในที่ต่างๆ เช่น

กจ.16:25 ประมาณเที่ยงคืน เปาโลกับสิลาสก็อธิษฐานและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า นักโทษทั้งหลายในคุกก็ฟังอยู่

ฮบ.2:12 ดังที่พระองค์ตรัสว่า เราจะประกาศพระนามของพระองค์แก่พี่น้องของเรา เราจะสรรเสริญพระองค์ในท่ามกลางชุมนุมชน

 

            อธิบายขยายความ: ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม พระธรรมสดุดีเป็นหนังสือเพลงที่ใช้ร้องสรรเสริญนมัสการ

            ผู้ประพันธ์มีหลายคน เด่นสุดคือดาวิด

            พระธรรมสดุดีมีเนื้อหายาวมาก พูดถึงพระเจ้าทุกแง่มุม พูดถึงความสัมพันธ์ของผู้เชื่อกับพระเจ้าทุกแง่มุมเช่นกัน รวมความแล้วพระธรรมสดุดีชี้ว่าในทุกสถานการณ์ ผู้เชื่อจะคิดถึงพระเจ้า ไม่ว่าจะยามทุกข์หรือยามสุข ยามรุ่งเรืองหรือเผชิญความยากลำบาก ถูกไล่ล่า ดูหมิ่นเหยียดหยาม พวกเขาร้องสรรเสริญพระเจ้า ร้องทูลพระเจ้า อธิษฐานต่อพระองค์ด้วยบทเพลง เนื้อหาบางส่วนตั้งใจให้เป็นคำสอน บางส่วนเป็นคำเผยพระวจนะ คำพยากรณ์

            ยกตัวอย่าง เป็นคำสอน –

สดด.2:1 จงปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความยำเกรง และจงเกษมเปรมปรีดิ์จนเนื้อเต้น

            เป็นคำอธิษฐาน –

สดด.5:1-2

1 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเอียงพระโสตสดับถ้อยคำของข้าพระองค์ ขอทรงฟังเสียงคร่ำครวญของข้าพระองค์

2 ข้าแต่พระบรมกษัตริย์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงฟังเสียงร้องทูลของข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์อธิษฐานทูลต่อพระองค์

สดด.7:1 โอ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ลี้ภัยอยู่ในพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นภัยจากผู้ไล่ตามทั้งมวลขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์

            คร่ำครวญถึงพระเจ้า –

สดด.22:1 พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย เหตุใด พระองค์ทรงเมินเฉยที่จะช่วยข้าพระองค์และต่อถ้อยคำคร่ำครวญของข้าพระองค์

            บรรยายพระลักษณะพระเจ้า

สดด.33:3-5

3 จงร้องเพลงบทใหม่ถวายพระองค์ จงดีดสายอย่างแคล่วคล่องพร้อมกับโห่ร้อง

4 เพราะพระวจนะของพระเจ้าเที่ยงธรรม และพระราชกิจของพระองค์ก็สำเร็จด้วยความซื่อสัตย์

5 พระองค์ทรงรักความชอบธรรมและความยุติธรรม แผ่นดินโลกเต็มด้วยความรักมั่นคงของพระเจ้า

            มีตัวอย่างอีกมาก สามารถดูในพระธรรมสดุดี ผู้ที่ต้องการศึกษาการสรรเสริญนมัสการต้องหมั่นศึกษาพระธรรมเล่มนี้ มีรายละเอียดความล้ำลึกที่รอให้พระเจ้าเปิดเผย

            เนื้อหาที่ปรากฏในพระธรรมสดุดี ในแง่มุมหนึ่งสรุปรวบยอดได้ว่า “คริสเตียนหรือผู้เชื่อคือผู้ที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง พวกเขานึกถึงพระเจ้าในทุกบริบท มีความสัมพันธ์กับพระองค์เสมอ นี่คือหลักการนมัสการด้วยชีวิต นมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”

คำสอนการนมัสการจากเรื่องมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง:

            เป็นไปได้หรือไม่ว่าบางครั้งท่านซ้อมนมัสการ โดยไม่ยึดพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ท่านร้องโดยที่ให้ความสำคัญกับความไพเราะมากกว่าถวายเกียรติพระเจ้า

            นักนมัสการต้องตระหนักว่า “ถ้าการสรรเสริญนมัสการไม่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง เช่นนั้นก็บาปแล้ว” (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            และจะมีคำถามว่า ท่านกำลังสรรเสริญนมัสการสิ่งใดกันแน่

            หลังซ้อมหรือเล่นจริงทุกครั้ง ต้องตรวจสอบว่ามีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางหรือไม่

            พระธรรมสดุดี (บทเพลง) มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง เมื่อถึงยุคพันธสัญญาใหม่ บทเพลงใหม่ๆ มีพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง เนื้อหาถูกต้องตามหลักการพระคัมภีร์ การร้องเพลงจากใจจะมีพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง พระวิญญาณจะนำทิศทาง พูดถึงพระคุณความรอด พระลักษณะ พระราชกิจ คำสอนต่างๆ การเผยพระวจนะ ประสบการณ์ช่วยกู้ การอวยพร รวมทั้งอาจเป็นคำอธิษฐานในรูปบทเพลง

            รวมความแล้ว คริสเตียนคือวิถีชีวิตของผู้มีพระเจ้าพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง เพลงสรรเสริญสดุดี เพลงนมัสการบรรจุเนื้อหาหลักการพระเจ้า พระราชกิจ ประสบการณ์ในพระองค์ เพลงบทใหม่ที่ร้องโดยการทรงนำของพระวิญญาณจะพูดถึงพระเจ้า มีพระองค์เป็นศูนย์กลาง

ฉธบ.10:21 พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญของท่านทั้งหลาย พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของท่าน ผู้ทรงกระทำการใหญ่และน่ากลัวซึ่งนัยน์ตาของท่านได้เห็นนี้

He is your praise; he is your God, who has done for you those great and awesome things that your own eyes have seen.

            ผู้แสวงหาพระเจ้าและยึดพระคริสต์ไว้มั่น จะสามารถเติบโตอย่างแข็งแรงมั่นคง เป็นนักนมัสการที่จำเริญ มุ่งสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ การนมัสการของเขาจะพัฒนาควบคู่กับความเข้าใจ ชีวิตที่เปลี่ยนไป พระวจนะข้อแล้วข้อเล่าเป็นจริงในชีวิตของเขา (ชีวิตสำแดงพระวจนะ) เข้าสู่การนมัสการขั้นสูง และสมบูรณ์มากขึ้น จนเหมือนหรือใกล้เคียงการนมัสการในสวรรค์

------------------

วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ (3) :มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง

            ไม่เอาเพลงเป็นศูนย์กลาง

ไม่เอาความไพเราะเป็นศูนย์กลาง

ไม่เอาบรรยากาศเป็นศูนย์กลาง

ไม่เอาคนข้างๆ เป็นศูนย์กลาง

ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง

            ให้ใจจดจ่อที่พระเจ้าตลอดเวลา (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            โจทย์: จงอธิบายขยายความ สสด.16:8-9

สสด.16:8-9

8 ข้าพเจ้าตั้งพระเจ้าไว้ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ เพราะพระองค์ประทับทางเบื้องขวาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นไหว

I keep my eyes always on the LORD. With him at my right hand, I will not be shaken.

9 เพราะฉะนั้นจิตใจข้าพเจ้าจึงยินดีและจิตวิญญาณก็ปรีดา ร่างกายของข้าพเจ้าก็อาศัยอยู่อย่างปลอดภัยด้วย

Therefore my heart is glad and my tongue rejoices; my body also will rest secure,

            วิธีการง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ ทำได้ดังนี้

            1. ตัดสินใจแต่แรกก่อนเริ่มนมัสการ ว่าจะนมัสการพระเจ้า ไม่นมัสการคนข้างๆ

            2. แม้คนข้างๆ จะนมัสการหรือไม่ ตัวเราจะสรรเสริญนมัสการเต็มที่

            3. มั่นใจว่าการนมัสการพระเจ้าแต่ละครั้งมีประโยชน์ ไม่อ้างว่าได้นมัสการแล้วเมื่อหลายวันก่อน วันนี้จะนมัสการหรือไม่ก็ได้

            4. ขณะเมื่อใกล้จะเริ่มนมัสการ ให้ละคนข้างๆ ชั่วคราว ถ้ากำลังพูดคุยขอให้หยุดก่อน

            5. เริ่มอธิษฐานกับพระเจ้า (ไม่ว่ามีการนำอธิษฐานหรือไม่)

            6. ตั้งเป้าว่าจะสรรเสริญนมัสการเต็มที่ หวังพบพระองค์ผ่านการนมัสการ (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ ทำได้เช่นนี้เอง

            คริสเตียนคือผู้ที่ยึดพระเจ้าเป็นศูนย์กลางชีวิต มีพระเจ้าในทุกเวลา ไม่ใช่เฉพาะวันอาทิตย์หรือวันรวมกลุ่ม

            ในทุกวันเวลาจงสรรเสริญนมัสการผ่านเสียงเพลง ผ่านชีวิตของท่าน

รม.12:1 พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย

----------------------

บทความแนะนำ

บทเรียน 20 หน้าตาพระเจ้าเป็นอย่างไร

พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าพระองค์ พระเยซูได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ในโลกช่วงระยะหนึ่ง ทรงสำแดงพระเจ้ารวมทั้งหน้าตา คำถามก่อนเรีย...