10/11/2568

Ep28 ยำเกรงพระเจ้าและรู้จักองค์บริสุทธิ์

หนทางดีที่สุดคือผู้เชื่อมุ่งติดสนิท เติบโตในทางพระเจ้าอย่างมั่นคง ชีวิตเปลี่ยนแปลง ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนี้แหละคริสเตียนจะสำแดงแตกต่างจากคนทั้งปวง เกิดผลมากมาย

ยำเกรงพระเจ้าและรู้จักองค์บริสุทธิ์:

สภษ.9:10 ความยำเกรงพระเจ้าเป็นที่เริ่มต้นของปัญญา และซึ่งรู้จักองค์บริสุทธิ์เป็นความรอบรู้

The fear of the LORD is the beginning of wisdom, and knowledge of the Holy One is understanding.

            ยำเกรงพระเจ้าคือจุดเริ่ม (ยอมรับว่าพระเจ้าอยู่เหนือเรา เชื่อและเชื่อฟังพระองค์)

            การรู้จักหรือมีความรู้ในพระองค์คือความรอบรู้ เพราะพระองค์คือสติปัญญากับความรอบรู้ ความรู้ที่ช่วยให้พ้นบาป ดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ชอบธรรม

            สรุป: คนที่ยำเกรงพระเจ้าและรู้จักองค์บริสุทธิ์ คือ ผู้เชื่อและเชื่อฟังพระองค์ ศึกษาเข้าใจพระวจนะ ดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ชอบธรรม พระวิญญาณสถิตอยู่ด้วย

อพย.31:3 และได้ให้เขาประกอบด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า คือให้เขามีสติปัญญา ความเข้าใจและความรู้ในวิชาการทุกอย่าง

          จากอพย.31:3 สังเกตว่าพระวิญญาณอยู่คู่กับ “สติปัญญา ความเข้าใจและความรู้ในวิชาการทุกอย่าง” มีความรู้ความเข้าใจทุกด้าน ทั้งทางฝ่ายวิญญาณกับฝ่ายโลก

            การที่พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับผู้เชื่อจึงสำคัญ เพราะจะทรงนำ ให้ความเข้าใจ เปิดเผยความจริงแก่ผู้ที่พระวิญญาณสถิตอยู่ด้วย

อสย.11:2 และพระวิญญาณของพระเจ้าจะอยู่บนท่านนั้น คือวิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจ วิญญาณแห่งการวินิจฉัยและอานุภาพ วิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงพระเจ้า

 

มีความรู้ทักษะ 2 ด้านพร้อมกัน:

            บางคนคิดว่าความรู้ฝ่ายโลกอาจทำให้ห่างไกลพระเจ้า ชักจูงให้ทำบาป จึงเน้นความรู้ฝ่ายวิญญาณ ไม่สนใจความรู้ทักษะฝ่ายโลก คริสเตียนที่ยึดถือแนวทางนี้ไม่พยายามเรียนรู้ความเป็นไปของโลก สนใจความรู้ไม่กี่เรื่องที่จำเป็นเท่านั้น

            ความรู้ฝ่ายโลกจะเป็นโทษหรือประโยชน์ขึ้นกับการนำไป เช่น การจุดไฟมีประโยชน์และมีโทษ มีดผลไม้ใช้ฆ่าคนได้ (เราจะไม่ใช้ไฟเพราะกลัวไฟจะไหม้บ้านหรือ จะเลิกใช้มีดเพื่อป้องกันฆาตกรรมจากมีดหรือไม่) ความรู้ฟิสิกส์นิวเคลียร์สามารถใช้สร้างอาวุธนิวเคลียร์ ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ การรักษาโรคด้วยความรู้เรื่องนิวเคลียร์

            คริสเตียนเรียนรู้เรื่องยาเสพติดเพื่อเข้าใจพิษภัยยาเสพติด เรียนรู้ความขัดแย้งของโลกเพื่อป้องกันไม่เข้าสู่สงครามที่มิชอบ ศึกษาความรู้ล่าสุดเพื่อใช้ประโยชน์ สามารถแนะนำสังคมว่าอะไรควรหรือไม่ควร

            ทั้งนี้ขึ้นกับความเติบโตฝ่ายวิญญาณด้วย เทียบได้กับให้เด็กใช้ฟืนไฟ ของมีคม ควรรู้ว่าอะไรควรไม่ควร มีการทรงนำจากพระวิญญาณ เข้าใจพระคัมภีร์ มีผู้นำคอยให้คำแนะนำปรึกษา

ตัวอย่าง ดาเนียลกับเพื่อนทั้ง 3:

            พระเจ้าให้ดาเนียลกับเพื่อนทั้ง 3 มีความรู้ทุกอย่างในยุคนั้น มีปัญญาทั้งฝ่ายวิญญาณกับฝ่ายโลก

ดนล.1:17 ฝ่ายอนุชนทั้งสี่คนนี้ พระเจ้าประทานสรรพวิทยา และความชำนาญในเรื่องวิชาทั้งปวงและปัญญา และดาเนียลเข้าใจในนิมิตและความฝันทุกประการ

To these four young men God gave knowledge and understanding of all kinds of literature and learning. And Daniel could understand visions and dreams of all kinds.

            ดาเนียลกับเพื่อนทั้ง 3 ใช้ความรู้ความสามารถเป็นประโยชน์ต่อสังคม เหนือกว่าคนเก่งคนดังทั้งหลายที่ไม่เชื่อพระเจ้า

ดนล.1:18-21

18 พอสิ้นกำหนดเวลาที่พระราชาทรงบัญชาให้นำเขาทั้งหลายเข้าเฝ้า หัวหน้าขันทีจึงนำเขาทั้งหลายเข้ามาเฝ้าเนบูคัดเนสซาร์

19 และพระราชาก็ทรงสัมภาษณ์เขา ในบรรดาอนุชนเหล่านั้นไม่พบสักคนหนึ่งที่เหมือนดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอลและอาซาริยาห์ เพราะฉะนั้นเขาจึงได้เข้ารับราชการ

20 ในบรรดาเรื่องราวอันเกี่ยวกับปัญญาและความรอบรู้ ซึ่งพระราชาตรัสถามเขาทั้งหลาย ทรงเห็นว่าเขาทั้งหลายดีกว่าพวกโหร และพวกหมอดู ซึ่งอยู่ในอาณาจักรทั้งสิ้นของพระองค์สิบเท่า

21 และดาเนียลก็ได้รับราชการเรื่อยมาจนต้นรัชกาลพระราชาไซรัส

            สรุป: หนทางดีที่สุดคือผู้เชื่อมุ่งติดสนิท เติบโตในทางพระเจ้าอย่างมั่นคง ชีวิตเปลี่ยนแปลง ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนี้แหละคริสเตียนจะสำแดงแตกต่างจากคนทั้งปวง เกิดผลมากมาย

-----------------

31/10/2568

บทเรียน 24 จงเผชิญหน้าสัจธรรม (1)

โยบเป็นพระธรรมที่บรรจุศาสนศาสตร์สำคัญ อธิบายความเป็นพระเจ้า พระลักษณะ ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับผู้เชื่อ เตือนอย่าทำบาป

คำถามก่อนเรียน:

            1) ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่าพระเจ้าควบคุมกำกับสรรพสิ่ง รวมทั้งชีวิตของท่าน

            2) การที่พระเจ้าควบคุมกำกับสรรพสิ่งดีต่อคริสเตียนอย่างไร

 

            หลังพระเจ้าสอนและเตือนสติในโยบบทที่ 38-39 ทรงอธิบายย้ำอีกครั้งในโยบ.40:8 จนจบโยบ.41 (โยบบทที่ 40-41 คือส่วนที่พระองค์อธิบายเพิ่มเติมหลังอธิบายรอบหนึ่งแล้วในโยบบทที่ 38-39) การที่พระเจ้าบรรยายพระลักษณะด้วยพระองค์เองสำคัญมาก เพราะเป็นคำพูดของพระองค์

1. รับผิดไม่โต้แย้ง

โยบ.40:1-5

1 และพระเจ้าตรัสกับโยบว่า

2 "คนมักติจะโต้แย้งกับองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือ เขาผู้โต้แย้งกับพระเจ้า ขอให้เขาตอบหน่อยเถอะ"

“Will the one who contends with the Almighty correct him? Let him who accuses God answer him!”

3 แล้วโยบทูลตอบพระเจ้าว่า

4 "ดูเถิด ข้าพระองค์นี้ก็กระจิริด จะทูลพระองค์ว่ากระไรได้ ข้าพระองค์เอามือปิดปาก

5 ข้าพระองค์ได้กราบทูลครั้งหนึ่งแล้ว และจะไม่กราบทูลอีก สองครั้งแล้ว แต่ข้าพระองค์จะไม่ทูลต่อไป"

            หลังพระเจ้าอธิบายการทรงสร้างและความเป็นไปของโลกอันซับซ้อน (ในโยบบทที่ 38-39) จึงพูดกับโยบว่า "คนมักติจะโต้แย้งกับองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือ เขาผู้โต้แย้งกับพระเจ้า ขอให้เขาตอบหน่อยเถอะ" ทรงพูดเช่นนี้เพื่อเตือนสติและเปิดโอกาสให้โต้แย้ง เมื่อถึงตอนนี้โยบยอมรับคำตอบของพระองค์ ตระหนักว่าตัวเขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น เมื่อเทียบกับสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง (4ก) ไม่อาจเทียบกับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้เลย เมื่อสอบถามและได้คำตอบ เขาไม่โต้แย้งอีก คำตอบของพระองค์เป็นที่สิ้นสุด

          อธิบายขยายความ: ความจริงแล้วคำอธิบายที่เอลีฮูมอบให้ไม่ต่างจากพระเจ้าเท่าไหร่ แต่ที่โยบรับผิดไม่โต้แย้งเพราะคราวนี้ทรงสำแดงตน ตรัสด้วยพระองค์เอง ไม่ว่าจะเข้าใจทั้งหมดหรือไม่ ชอบหรือไม่ โยบน้อมรับทั้งสิ้น แสดงถึงการยอมรับสิทธิอำนาจ (4)

            หลักสำคัญคือ ไม่ขึ้นกับว่าโยบเข้าใจคำตอบทั้งสิ้นหรือไม่ พอใจคำตอบหรือไม่ รวมทั้งที่โยบต้องทนทุกข์ สำคัญที่พระเจ้าทรงสิทธิอำนาจสูงสุด พระองค์จะทำอะไรก็ได้ เป็นเอกสิทธิ์

            โยบเป็นกรณีพิเศษที่พระเจ้าสำแดงตน ตอบคำถามด้วยพระองค์เอง เรื่องราวโยบกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ให้ผู้เชื่อศรัทธาศึกษา เข้าใจความคิดอ่าน พระลักษณะ พระประสงค์ นำสู่คำตอบที่หลายคนอาจสงสัยแบบโยบ ว่าทำไมจึงเกิดเรื่องนี้เรื่องนั้นกับตน ไม่พอใจสภาพแวดล้อมกับตัวตนที่เป็นอยู่

            พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีความรู้สึกนึกคิด การมีความคิดความรู้สึกแบบโยบจึงไม่แปลก แต่ที่สุดแล้วต้องพาตัวเองสู่ความเข้าใจที่ถูกต้อง ยอมรับพระองค์ในทุกทางไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่ ดังที่โยบถ่อมใจยอบรับ

            ตรงข้ามคือยังต่อสู้ดื้อดึง ไม่ยอมรับน้ำพระทัย วนเวียนอยู่ในบาป นำชีวิตเศร้าหมอง ไม่ก่อประโยชน์ใดๆ

            ท่ามกลางความสงสัยไม่เข้าใจ พระเจ้าสอนให้วางใจพระองค์ ยึดมั่นดำเนินตามทางแห่งความบริสุทธิ์ชอบธรรม คนที่ตั้งใจเช่นนี้พระองค์จะนำย่างเท้าของเขา (สภษ.3:4) ไม่ว่าเขาจะเข้าใจแผนการพระองค์หรือไม่

สภษ.3:3-5

3 จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง

4 จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น

5 อย่าคิดว่าตนฉลาด จงยำเกรงพระเจ้า และหันจากความชั่วร้าย

            ต้องเชื่อมั่นว่าการติดตามพระเจ้าอย่างมั่นคง นำผลลัพธ์ปลายทางที่ดีที่สุด ไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้แล้ว

            คริสเตียนผู้เชื่อที่ยอมรับผิด หันหลังให้บาป ย่อมรับผลบาปน้อยลง รับผลดีเร็วขึ้นมากขึ้น เป็นเรื่องที่ใครจะตอบสนองถูกต้องก่อน โยบตอบสนองในทางที่ถูกทันที

            คำถาม: ท่านตอบสนองในทางที่ถูกต้องแล้วหรือยัง

2. จงเผชิญหน้าสัจธรรม

โยบ.40:6-7

6 แล้วพระเจ้าทรงตอบโยบออกมาจากพายุว่า

7 "จงคาดเอวไว้อย่างลูกผู้ชายหน่อยซี เราจะถามเจ้า ขอเจ้าตอบเรา

“Brace yourself like a man; I will question you, and you shall answer me. (NIV)

Now prepare yourself like a man; I will question you, and you shall answer Me: (NKJV)

"Now gird up your loins like a man; I will ask you, and you instruct Me. (NASB)

          รากศัพท์ “คาดเอว” (7ก) หมายถึงการกระชับร่างกายด้วยสายรัดคาดเอว อาจเป็นสายที่ทำด้วยผ้าหรือหนังสัตว์ (ทำหน้าที่เป็นเข็มขัด) พระคัมภีร์ NASB ยึดรากศัพท์เดิมนี้ (gird up your loins)

            ส่วน NIV กับ NKJV แปลด้วยการตีความ เตรียมตัวให้พร้อมอย่างลูกผู้ชาย พร้อมเผชิญหน้า เป็นคำแปลที่เน้นความหมายมากกว่าคำศัพท์

          อธิบายขยายความ: บางคนไม่อยากฟังพระวจนะเพราะเตือนให้รู้ว่ากำลังทำบาป สัจธรรมทิ่มแทงใจ ขัดความต้องการทำบาป คริสเตียนบางคนจึงไม่สนใจพระวจนะ ฟังพอเป็นพิธี มักสนใจแต่พระพร ชอบขอให้ผู้อื่นอธิษฐานเผื่อ แต่ตัวเองไม่สนใจแสวงหาพระเจ้า ไม่อยากเปลี่ยนแปลงชีวิต

ฮบ.4:12 เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆแทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย

            คนทั่วไปต่อต้านไม่ยอมรับ แสดงออกหลายรูปแบบ เช่น ตั้งคำถามว่าพระเจ้ามีจริงหรือ หาความคิดปรัชญาหักล้าง เหตุที่บางคนสงสัยว่าพระเจ้ามีจริงหรือ ไม่ใช่เพราะสงสัยเรื่องนี้ แต่เป็นข้ออ้างเพื่อปฏิเสธพระองค์ อยากใช้ชีวิตตามใจชอบ

            บางคนที่โต้เถียงไม่ได้จึงเดินจากไปเฉยๆ ไม่อยากเข้าหาคริสเตียน กลัวต้องรับฟังพระวจนะที่จี้ใจดำอีก ฟังเทศนาคำสอนทีไรมีแต่เรื่องฟ้องผิด จิตสำนึกเปิดโปงความบาปของตัว

2ทธ.4:3-4

3 เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่มีหลักไม่ได้ แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟัง เพื่อบรรเทาความอยาก

4 เขาจะเลิกฟังความจริง และจะหันไปฟังเรื่องนิยายต่างๆ

            หลังการถามตอบในโยบ.40:1-5 พระเจ้าอธิบายย้ำอีกครั้งในโยบ.40:8 จนจบโยบ.41 (โยบบทที่ 40-41 คือส่วนที่พระองค์พูดย้ำและเพิ่มเติม หลังอธิบายรอบหนึ่งแล้วในโยบบทที่ 38-39)

            ต่อจากนี้คือพระวจนะพระเจ้าอีกรอบ ไม่ว่าฟังรื่นหูหรือไม่ จี้ใจดำหรือไม่ ทรงตรัสสัจธรรมความจริง

3. พระลักษณะพระเจ้า

โยบ.40:8-14

            พระองค์กล่าวย้ำพระลักษณะอีกครั้ง

          3.1 ทรงถูกต้องชอบธรรม

โยบ.40:8 เจ้ายังจะให้เราอยู่ฝ่ายผิดหรือ เจ้าจะหาว่าเราผิด เพื่อเจ้าจะเป็นฝ่ายชอบหรือ

“Would you discredit my justice? Would you condemn me to justify yourself?

            พระเจ้าเข้าเรื่องตรงประเด็นทันที เรื่องที่โยบสงสัยการตัดสินของพระองค์ ให้โยบรับทุกข์แสนสาหัส โดยไม่เข้าใจว่าทำผิดอะไร ทำไมต้องรับโทษหนักขนาดนั้น

            คำตอบของพระเจ้าคือ ทรงถูกต้องชอบธรรม พระองค์จะไม่กระทำการใดๆ ที่ขัดแย้งความชอบธรรม และไม่เคยผิดพลาด

            พระองค์ทำได้ทุกอย่าง ประสงค์สิ่งใดก็เกิดสิ่งนั้น โยบเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ทรงสร้างท่ามกลางมนุษย์นับล้าน เป็นสิ่งเล็กๆ ที่อายุสั้นท่ามกลางสรรพสิ่งในช่วงเวลาแสนยาวนาน ที่โยบเกิดและมีชีวิตจนบัดนี้ก็เพราะประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น

            ทรงถูกต้องชอบธรรมเสมอ แต่มนุษย์อาจยังไม่เข้าใจเรื่องที่สงสัย หรือไม่ยอมรับ

            อธิบายขยายความ: บางคนยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง คิดว่าตัวเองสมควรมีความสุข ประสบความสำเร็จ มีชีวิตหลังความตายที่ดี (ตามความต้องการผู้นั้น) ความคิดเช่นนี้ผิด ที่ถูกต้องคือทรงประสงค์สิ่งใดก็เป็นเช่นนั้น แม้กระทั่งหลายคนที่เกิดมาเพื่อถูกทำลาย

สภษ.16:4 พระเจ้าทรงกระทำให้ทุกสิ่งมีเป้าหมายของมันแม้คนชั่วร้ายก็เพื่อวันลำเค็ญ

            พระเจ้าไม่สนับสนุนการทำบาป และรู้ว่ามีคนทำบาป

            ยกตัวอย่าง พระเจ้าสั่งห้ามอาดัมทำบาป เตือนว่าผลบาปร้ายแรง-ถึงตาย แต่ทรงรู้ว่าอาดัมจะทำบาป ส่งผลต่อมนุษยชาติ มนุษย์คนบาปทำร้ายกันและกัน กดขี่ข่มเหง เกิดสงคราม ความทุกข์ยากนานา เรื่องนี้กลายเป็นส่วนหนี่งของแผนช่วยกู้ บางคนได้รับความรอด

            มนุษย์โต้แย้งพระประสงค์ได้หรือ ความจริงมนุษย์ไม่มีสิทธิ์ในตัวเองด้วยซ้ำ

            มนุษย์คิดได้ มีความต้องการส่วนตัว แต่สุดท้ายจะเป็นตามที่พระเจ้าต้องการ ถ้าทำบาปต้องรับโทษ

รม.11:36 เพราะสิ่งสารพัดมาจากพระองค์ โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ ขอพระสิริจงมีแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน

            หลายครั้งที่มนุษย์ขัดแย้งพระเจ้าเพราะไม่เข้าใจความชอบธรรมของพระองค์ สิ่งที่มนุษย์คิดว่าชอบธรรม (ควรเป็นเช่นนั้น) เช่น ตัวเองสมควรมีความสุข ประสบความสำเร็จ มีชีวิตหลังความตายที่ดี ความจริงแล้วอาจตรงข้ามกับความคิดของพระเจ้า

            ใครที่คิดว่าตนเป็นใหญ่ คิดเช่นนี้ก็ผิดแล้ว พระเจ้าต่างหากที่ยิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง มนุษย์อยู่ภายใต้การกำกับควบคุมของพระองค์ ดังชีวิตโยบในตอนนี้

            สิ่งที่ถูกสร้างไม่อาจขัดขวางผู้สร้าง ทรงชอบธรรมเสมอ

          3.2 ทรงฤทธานุภาพสูงสุด

โยบ.40:9 เจ้ามีแขนเหมือนพระเจ้าหรือ และเจ้าทำเสียงกัมปนาทเหมือนเสียงของพระองค์ได้หรือ

            ทรงสอนด้วยการตั้งคำถามให้คิด เปรียบเทียบโยบกับพระองค์ มนุษย์มีฤทธานุภาพอย่างพระองค์หรือไม่ เพื่อให้ตระหนักว่าทรงเหนือกว่ามนุษย์มากมาย เทียบพระองค์ไม่ได้เลย

            อธิบายขยายความ: พระเจ้ามีฤทธานุภาพไม่จำกัด (omnipotence) หมายถึง ทำได้ทุกสิ่ง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ เป็นเครื่องบ่งบอกว่าเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ องค์ผู้สูงสุด ทรงทำได้ ไม่มีใครสามารถขัดขวาง

1พศด.29:11 ข้าแต่พระเจ้า ความยิ่งใหญ่ ฤทธานุภาพ พระสิริ ชัยชนะและความโอ่อ่าตระการเป็นของพระองค์ และบรรดาสิ่งที่มีอยู่ในฟ้าสวรรค์ และในแผ่นดินโลกเป็นของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ราชอาณาจักรเป็นของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นที่ยกย่อง เป็นจอมของสิ่งสารพัด

Yours, LORD, is the greatness and the power and the glory and the majesty and the splendor, for everything in heaven and earth is yours. Yours, LORD, is the kingdom; you are exalted as head over all.

วว.1:8 พระเจ้าผู้ทรงอยู่เดี๋ยวนี้ ผู้ได้ทรงเป็นอยู่ในกาลก่อน ผู้จะเสด็จมานั้น และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ได้ตรัสว่า "เราเป็นอัลฟาและโอเมกา"

รม.1:20 ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย

            อย่าขัดขวางต่อต้านถ้าไม่เป็นเหมือนพระองค์

          3.3 ทรงสง่าราศี

โยบ.40:10 "จงเอาความโอ่อ่าตระการและความสง่าผ่าเผยประดับตัว จงเอาศักดิ์ศรีและความสง่างามห่มตัว

Then adorn yourself with glory and splendor, and clothe yourself in honor and majesty.

            ทรงโอ่อ่าตระการเต็มด้วยสง่าราศีเป็นองค์จอมราชา

            พระองค์พูดเช่นนี้เพื่อให้โยบ (มนุษย์) สำรวจว่าเต็มด้วยพระสิริอย่างพระองค์หรือไม่

            โยบ.40:10 พระเจ้าตั้งใจใช้ศัพท์หลายคำพร้อมกัน เพื่อบรรยายพระสิริ สง่าราศี เกียรติยศ (glory, splendor, honor, majesty) ตั้งใจบรรยายละเอียด ให้มนุษย์เข้าถึงความเป็นพระองค์ สง่าราศีของพระองค์เกินกว่ามนุษย์จะเข้าถึงโดยสมบูรณ์ ไม่มีใครเทียบได้แม้แต่น้อย

            บางคนที่คิดว่าตนยิ่งใหญ่ สูงส่ง มีเกียรติยศ เป็นเพียงเศษเสี้ยวและไม่ยั่งยืน เมื่อเทียบกับพระองค์

            1ทธ.1:17 เป็นตัวอย่างอีกข้อ ที่บรรยายพระสิริ สง่าราศีของพระเจ้าพระเยซู

1ทธ.1:17 พระเกียรติและพระสิริจงมีแด่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระเจริญอยู่นิรันดร์ ผู้ทรงเป็นองค์อมตะ ซึ่งมิได้ปรากฏพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียวสืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน

Now to the King eternal, immortal, invisible, the only God, be honor and glory for ever and ever. Amen.

1ทธ.6:14-16

14 ให้ท่านรักษาคำบัญชานี้ไว้อย่าให้ด่างพร้อย และอย่าให้มีที่ติได้ จนถึงเวลาที่พระเยซูคริสตเจ้าของเราจะเสด็จมา

15 ซึ่งพระเจ้าผู้เสวยสุขและทรงฤทธิ์สูงสุดแต่พระองค์เดียว พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และพระผู้เป็นเจ้าเหนือเทพเจ้าทั้งปวง จะทรงสำแดงให้ปรากฏในเวลาอันควร

16 พระองค์ผู้เดียวทรงอมตะ และทรงสถิตในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง ผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็น และจะเห็นไม่ได้ พระเกียรติและฤทธานุภาพอันถาวรจงมีแด่พระองค์นั้น อาเมน

            อธิบายขยายความ: พระสิริหรือสง่าราศีสะท้อนความเป็นพระเจ้า มนุษย์สามารถตกแต่งประดับประดาให้ตัวเองดูดีมีสง่า มียศถาบรรดาศักดิ์ เป็นที่ยกย่อง แต่ไม่ใช่พระสิริอย่างพระเจ้า เพราะเป็นพระสิริอันเนื่องจากความบริสุทธิ์ชอบธรรม ผู้ทรงเป็นองค์อมตะ

            คริสเตียนสามารถสำแดงพระสิริบางส่วน ด้วยการที่พระเจ้าสำแดงพระสิริผ่านผู้เชื่อแต่ละคนอย่างเจาะจง และด้วยชีวิตที่เปลี่ยนเป็นเหมือนพระคริสต์ (รม.13:14ก)

รม.13:13-14

13 เราจงประพฤติตัวให้เหมาะสมกับเวลากลางวัน มิใช่เลี้ยงเสพสุราเมามาย มิใช่หยาบโลนลามก มิใช่วิวาทริษยากัน

14 แต่ท่านจงประดับกายด้วยพระเยซูคริสตเจ้า และอย่าจัดเตรียมอะไรไว้บำรุงบำเรอตัณหาของเนื้อหนัง

1ปต.3:3-4

3 การประดับกายของท่านนั้น อย่าให้เป็นการประดับภายนอก ด้วยการถักผม ประดับด้วยเครื่องทองคำและนุ่งห่มเสื้อผ้าสวยงาม

4 แต่จงให้เป็นการประดับภายในจิตใจ แต่งด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลาย คือด้วยจิตใจที่สงบและสุภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่งในสายพระเนตรพระเจ้า

            พระสิริของพระเจ้าจึงต่างจากชื่อเสียงเกียรติยศฝ่ายโลก การประดับกายของคนทั่วไป คริสเตียนสำแดงพระสิริด้วยชีวิตที่เปลี่ยนแปลงเหมือนพระคริสต์

          3.4 ทรงควบคุมทุกอำนาจ

โยบ.40:11-12

11 เทความกริ้วที่ล้นของเจ้านั้นออกมา จงดูทุกคนที่เย่อหยิ่ง และทำให้เขาตกต่ำลง

12 จงดูทุกคนที่เย่อหยิ่งและดึงเขาลงมา และเหยียบคนอธรรมไว้ตรงที่ที่เขายืนอยู่นั้น

            บริบทพูดถึงพระเจ้าทรงจัดการคนเย่อหยิ่ง คนที่คิดว่าเลอเลิศ มีอำนาจมาก แต่ไม่มีใครเหนือกว่าพระองค์ เพราะทรงสร้างทุกอำนาจและควบคุมสรรพสิ่ง กำกับทุกความเป็นไป สรรพสิ่งทั้งหมดจึงกำเนิด ดำรงอยู่ เคลื่อนไป และสิ้นสุดตามพระทัย

อสย.2:11-12

11 และท่าอันผยองของมนุษย์จะตกต่ำลง และความจองหองของคนจะถูกปราบลง พระเจ้าองค์เดียวจะเป็นผู้เทิดทูน ในวันนั้น

12 เพราะว่าพระเจ้าจอมโยธาทรงมีวันหนึ่ง ที่สู้สารพัดที่เย่อหยิ่งและสูงส่ง ที่สู้สารพัดที่ถูกยกขึ้นและสูง

รม.13:1-2

1 ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอำนาจปกครอง เพราะว่าไม่มีอำนาจใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่ทรงอำนาจนั้น พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น

2 เหตุฉะนั้นผู้ที่ขัดขืนอำนาจนั้น ก็ขัดขืนผู้ซึ่งพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น และผู้ที่ขัดขืนนั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ

            ไม่มีอำนาจใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้ามีใครทำได้อย่างพระองค์

            เพื่อบางคนรับพระเมตตา และบางคนรับพระอาชญา ทรงกำหนดให้เป็นเช่นนั้น

รม.6:20-23

20 เมื่อท่านทั้งหลายเป็นทาสของบาป ความชอบธรรมก็ไม่ได้ครอบครองท่าน

21 ขณะนั้นท่านได้ประโยชน์อะไรในการเหล่านั้น ซึ่งบัดนี้ท่านทั้งหลายก็ละอาย ด้วยว่าผลสุดท้ายของการเหล่านั้น ก็คือความตาย

22 แต่เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายพ้นจากการเป็นทาสของบาป และกลับมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว ผลสนองที่ท่านได้รับก็คือการชำระให้บริสุทธิ์ และผลสุดท้ายคือชีวิตนิรันดร์

23 เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

          3.5 ทรงพิพากษาให้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก

โยบ.40:13-14

13 ซ่อนเขาไว้ในผงคลีด้วยกัน มัดหน้าของเขาไว้ด้วยกันในโลกบาดาล

14 แล้วเราเองจะสรรเสริญเจ้าว่า มือขวาของเจ้าอาจช่วยเจ้าได้

            ในโลกนี้ทุกคนอยู่ใต้อำนาจใครบางคนหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอ

            เมื่อเกิดต้องไปแจ้งเกิด ทำบัตรประชาชนเมื่ออายุถึงเกณฑ์ ระหว่างมีชีวิตอยู่ใต้อำนาจกฎหมายมากมายทั้งทางตรงทางอ้อม รัฐบาลหรือผู้ปกครองมีผลต่อเราทุกด้านทุกเวลา บ้านที่เราอยู่อาศัยมีกฎหมายในนั้น เช่นเดียวกับสิ่งที่กิน ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ มีอำนาจรัฐเกี่ยวข้อง เป็นเช่นนี้จนถึงวันตาย และเมื่อเสียชีวิตต้องมีคนช่วยแจ้งตาย

            ดินฟ้าอากาศมีผลต่อทุกชีวิต เมื่อวานฝนตกวันนี้แดดร้อน คนเมืองหนาวใช้ชีวิตต่างจากคนเขตร้อน

            ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ มนุษย์ทุกคนอยู่ใต้อำนาจสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอ

            แต่อำนาจฝ่ายโลกอยู่กับเรายามมีชีวิตเท่านั้น ชีวิตในโลกชั่วคราว ไม่ยั่งยืน ที่ถาวรนิรันดร์คือผลพิพากษาว่าจะได้อยู่กับพระเจ้านิรันดร์หรือไม่

สดด.39:4-7

4 "ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ข้าพระองค์ทราบถึงบั้นปลายของข้าพระองค์ และวันเวลาของข้าพระองค์จะนานสักเท่าใด ขอให้ข้าพระองค์ทราบว่าชีวิตข้าพระองค์ไม่เที่ยงอย่างไร

5 ดูเถิด พระองค์ทรงกระทำให้วันเวลาของข้าพระองค์ยาวสองสามฝ่ามือเท่านั้น ชั่วชีวิตของข้าพระองค์ ไม่เท่าไรเลย เฉพาะพระพักตร์พระองค์ มนุษย์ทุกคนดำรงอยู่อย่างลมหายใจแน่ทีเดียว

6 มนุษย์ไปๆ มาๆ อย่างเงาแน่ทีเดียว เขาทั้งหลายยุ่งอยู่เปล่าๆ แน่ทีเดียว มนุษย์โกยกองไว้ และไม่ทราบว่าใครจะเก็บไป"

7 "ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ข้าพระองค์จะรอคอยอะไร ความหวังของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์

            ใครต้องการความสำเร็จที่ยั่งยืน ใครต้องการความสุขนิรันดร์

สดด.14:2 พระเจ้าทรงมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ดูลูกหลานของมนุษย์ ว่าจะมีคนใดบ้างที่ฉลาดที่เสาะแสวงหาพระเจ้า

The LORD looks down from heaven on all mankind to see if there are any who understand, any who seek God.

รม.3:10-18

10 ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า “ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย

11 ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า

12 เขาทุกคนหลงผิดไปหมด เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี ไม่มีเลย

13 ลำคอของเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง พิษงูร้ายอยู่ใต้ริมฝีปากของเขา

14 ปากของเขาเต็มไปด้วยคำแช่งด่าและคำเผ็ดร้อน

15 เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด

16 ในทางเดินของเขามีความพินาศและความทุกข์

17 และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข

18 เขาไม่เคยคิดที่จะยำเกรงพระเจ้าเลย

            สันติสุขแท้มีอยู่ในพระเจ้าเท่านั้น

4. พระผู้สร้างและกำกับรอบด้าน

            ในตอนนี้พระเจ้ายกสัตว์ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าเบเฮโมทเป็นตัวอย่าง อธิบายการทรงสร้าง การดูแล เหมือนกับที่ปฏิบัติต่อมนุษย์

          4.1 ทรงสร้างมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ (15ก)

โยบ.40:15 "ดู เบเฮโมทเถิด ซึ่งเราได้สร้างอย่างที่เราได้สร้างเจ้า มันกินหญ้าเหมือนวัว

“Look at Behemoth, which I made along with you and which feeds on grass like an ox.

            มนุษย์มาจากพระเจ้า ทรงสร้างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เบเฮโมท (Behemoth) เป็นสัตว์ในพระคัมภีร์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะบางอย่างคล้ายวัว

            ทรงใช้เบเฮโมทอธิบายเปรียบเทียบกับมนุษย์

          4.2 ทรงสร้างอาหาร (15ข)

            สิ่งมีชีวิตต้องการอาหาร ทรงกำหนดและสร้างอาหารให้พวกเขา

            ในที่นี้พูดถึงการสร้างหญ้าเพื่อเบเฮโมท

          อธิบายขยายความ: มนุษย์ปลูกข้าว เตรียมปุ๋ย สร้างระบบชลประทาน ปรับปรุงพันธุ์สัตว์ คิดค้นเทคโนโลยีการเกษตรใหม่

            มนุษย์วิจัยพันธุ์ข้าวใหม่ ได้วัวเนื้อคุณภาพ แต่มนุษย์ไม่สามารถคิดค้นสร้างต้นข้าว คิดค้นสร้างสัตว์แต่ละชนิดอย่างพระเจ้า ผู้ริเริ่มคิดสร้างตั้งแต่แรก เริ่มจากศูนย์ เบเฮโมทที่กำลังกล่าวถึงสะท้อนหลักผู้ริเริ่มสร้างจากศูนย์

            เมื่อพระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน แต่แรกไม่มีสิ่งใดเลย ทรงคิดสร้างสรรพสิ่งจากศูนย์ สิ่งทรงสร้างมีองค์ประกอบ มีรายละเอียด และทำงานอย่างสอดคล้อง เป็นระบบนิเวศที่ซับซ้อนใหญ่โต

ปฐก.1:1-3, 11-12

1 ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน

In the beginning God created the heavens and the earth. (NIV, NKJV และ NASB)

2 แผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น

3 พระเจ้าตรัสว่า "จงเกิดความสว่าง" ความสว่างก็เกิดขึ้น

11 พระเจ้าตรัสว่า "แผ่นดินจงเกิดพืช คือ ผักหญ้าที่มีเมล็ดและต้นไม้ที่ออกผล มีเมล็ดในผลตามชนิดของมันบนแผ่นดิน" ก็เป็นดังนั้น

12 แผ่นดินก็เกิดพืช คือผักหญ้าที่มีเมล็ดตามชนิดของมัน และต้นไม้ที่ออกผลมีเมล็ดในผลตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี

            ตั้งแต่โบราณกาลจวบจนทุกวันนี้ มนุษย์ยังคงพยายามทำความเข้าใจ เรียนรู้สิ่งทรงสร้างต่างๆ

          4.3 ทรงสร้างให้มีร่างกายอย่างที่เป็น (16-19)

โยบ.40:16-18

16 ดูเถิด กำลังของมันอยู่ในเอว และฤทธิ์ของมันอยู่ในกล้ามเนื้อท้อง

17 มันขยับหางของมันให้แข็งเหมือนไม้สนสีดาร์ เอ็นโคนขาของมันก็สานเข้าด้วยกัน

18 กระดูกของมันเหมือนท่อทองสัมฤทธิ์ และแข้งขาของมันเหมือนท่อนเหล็ก

            ในตอนนี้พูดรายละเอียดร่างกายเบเฮโมท ทรงกำหนดรายละเอียดให้สรรพสิ่ง

            พิจารณามนุษย์ ถ้าดูรวมๆ ร่างกายมนุษย์คล้ายสิ่งมีชีวิตอื่นที่มีแขนขา มีหูตาจมูก มีระบบประสาท ระบบย่อยอาหาร แต่รายละเอียดต่างจากสัตว์อื่นที่ใกล้เคียงมากที่สุด

            มนุษย์กับสิ่งมีชีวิตอื่นอาจมีร่างกายอวัยวะคล้ายกันบ้าง แต่ไม่เหมือนกันทีเดียว

            พระเจ้าตั้งใจสร้างมนุษย์ (อาดัม) ให้เป็นอย่างที่เป็น มีพระฉายาเหมือนพระองค์ (his own image)

ปฐก.1:27 พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง

So God created mankind in his own image, in the image of God he created them; male and female he created them.

ปฐก.2:7 พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต

Then the LORD God formed a man from the dust of the ground and breathed into his nostrils the breath of life, and the man became a living being.

            การสร้างตามพระฉายากับการระบายลมปราณเข้ามนุษย์ ทำให้มนุษย์เป็นสิ่งทรงสร้างพิเศษเหนือสิ่งอื่นๆ (ลมปราณคือจิตวิญญาณ)

          4.4 ให้พลังอำนาจ (19)

โยบ.40:19 "มันเป็นพระราชกิจชิ้นที่หนึ่งของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างมันนำดาบมาให้

            สิ่งมีชีวิตมีพลังอำนาจต่างกัน บางชนิดเป็นนักล่า สุนัขมีจ่าฝูง บางตัวแข็งแรงกว่า

            พระเจ้ากำหนดให้โลกมีระบอบปกครอง แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติมีระบบนิเวศน์ ที่มีผู้ทำหน้าที่แตกต่างกัน มีนักล่า ผู้ถูกล่าและผู้ย่อยสลายซาก

            มนุษย์มีสติปัญญาเหนือกว่า ทรงกำหนดให้ปกครองโลก

            พระเจ้ากำหนดให้มนุษย์ปกครองโลก หมายถึงทรงให้ปกครองโลกตามพระประสงค์ ตามแบบพระองค์ ดังเช่นให้อาดัมอยู่และดูแลสวนเอเดน

ปฐก.2:8-9,15

8 พระเจ้าทรงปลูกสวนแห่งหนึ่งไว้ที่เอเดน ทางทิศตะวันออก และให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงปั้นมานั้นอยู่ที่นั่น

9 แล้วพระเจ้าทรงให้ต้นไม้ทุกชนิดที่งามน่าดูและที่น่ากิน เป็นอาหารงอกขึ้นจากดิน มีต้นไม้แห่งชีวิตต้นหนึ่งอยู่ท่ามกลางสวนนั้น กับต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่วต้นหนึ่งด้วย

15 พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและรักษาสวน

            ทรงกำหนด “ให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและรักษาสวน”

          4.5 ทรงกำหนดวิถีชีวิต (20-24)

            พระเจ้าทรงสร้างอย่างสมบูรณ์ การที่ชีวิตอยู่ได้ ต้องอาศัยปัจจัยมากมาย มีอากาศ มีแสงแดด อาหารนานาชนิด ระบบนิเวศซับซ้อน สัตว์กับพืชแต่ละชนิดมีคุณลักษณะแตกต่าง บางชนิดเป็นนักล่า บางชนิดสร้างมาเพื่อเป็นอาหารของนักล่า บางชนิดย่อยสลายซาก สิ่งมีชีวิตแต่และชนิดแต่ละหน่วยต่างใช้ชีวิตของมัน ทรงกำหนดวิถีชีวิตของพวกมันแล้ว

โยบ.40:20-24

20 ภูเขาผลิตอาหารให้มันแน่ เป็นที่ที่สัตว์ป่าทุ่งทุกชนิดเล่น

21 มันนอนอยู่ใต้ต้นตะครอง ในเพิงอ้อและในบึง

22 ต้นตะครองเป็นเงาคลุมมัน ต้นไค้แห่งธารน้ำล้อมมันไว้

23 ดูเถิด ถ้าแม่น้ำไหลเชี่ยว มันก็ไม่ตกใจ มันวางใจแม้ว่าแม่น้ำจอร์แดนจะพุ่งเข้าใส่ปากมัน

24 ผู้หนึ่งผู้ใดอาจจับนัยน์ตามันลากไป หรือจะเอาบ่วงสนตะพายมันได้หรือ

            โยบ.40 พระเจ้าใช้เบเฮโมท (Behemoth) เป็นตัวอย่างอธิบายการทรงสร้าง โยบ.40:20-24 บรรยายระบบนิเวศที่มันอยู่อาศัย

            เบเฮโมทใช้ชีวิตในแถบทุ่งหญ้าใกล้ภูเขา มีอาหารอุดมสมบูรณ์ (20) อาศัยอยู่กับสัตว์อื่นๆ มันใช้ประโยชน์จากพืชในบริเวณนั้น เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต เช่น นอนเล่น หลบแดด (21-22) มันคุ้นเคยช่วงน้ำหลาก ไม่ตกใจกลัวในวันที่น้ำไหลเชี่ยว (23) ใช้ชีวิตอิสระ ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง (24)

            เป็นวิถีชีวิตของเบเฮโมท ทรงสร้างและกำหนดให้เป็นเช่นนั้น

            อธิบายขยายความ: ในตอนนี้ทรงใช้เบเฮโมทอธิบายว่าพระเจ้าไม่เพียงสร้างมนุษย์ ทรงสร้างตั้งแต่ฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลก สรรพสิ่งที่อยู่ในนั้น เป็นระบบนิเวศอันซับซ้อน และให้มนุษย์อาศัยอยู่ที่นั่น ทรงกำหนดวิถีชีวิตให้ด้วย

ปฐก.1:24 พระเจ้าตรัสว่า "แผ่นดินจงเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน คือสัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ป่าตามชนิดของมัน" ก็เป็นดังนั้น

            คำบรรยายเหล่านี้ชี้ให้มองย้อนกลับไปถึงอาดัมในสวนเอเดน ที่ทรงสร้างและให้มนุษย์อยู่ที่นั่น

ปฐก.2:8-15

8 พระเจ้าทรงปลูกสวนแห่งหนึ่งไว้ที่เอเดน ทางทิศตะวันออก และให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงปั้นมานั้นอยู่ที่นั่น

9 แล้วพระเจ้าทรงให้ต้นไม้ทุกชนิดที่งามน่าดูและที่น่ากิน เป็นอาหารงอกขึ้นจากดิน มีต้นไม้แห่งชีวิตต้นหนึ่งอยู่ท่ามกลางสวนนั้น กับต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่วต้นหนึ่งด้วย

10 มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลจากเอเดนรดสวนนั้น จากที่นั่นก็แยกออกเป็นสี่สาย

11 ชื่อแม่น้ำสายที่หนึ่งคือปิโชน เป็นแม่น้ำที่ไหลรอบแผ่นดินฮาวิลาห์ที่นั่นมีแร่ทองคำ

12 ทองคำที่เมืองนั้นเป็นทองคำเนื้อดี และมียางไม้ตะคร้ำและโมรา

13 ชื่อแม่น้ำสายที่สองคือกิโฮน ไหลรอบแผ่นดินคูช

14 ชื่อแม่น้ำสายที่สามคือไทกริส ไหลไปทางทิศตะวันออกของเมืองอัสซีเรีย และแม่น้ำสายที่สี่ชื่อยูเฟรติส

15 พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและรักษาสวน

            ปฐก.2:8-15 บรรยายสวนเอเดนว่าอุดมสมบูรณ์และสวยงาม มีพืชพรรณนานา (9) ที่นั่นไม่แห้งแล้ง มีทรัพยากรล้ำค่า และกว้างใหญ่ (10-14) ทรงกำหนด “ให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและรักษาสวน”

            ไม่เพียงเท่านั้น พระเจ้าทรงกำกับดูแลต่อเนื่อง เห็นว่าอาดัมควรมีคู่อุปถัมภ์

ปฐก.2:18 พระเจ้าตรัสว่า "ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียวเราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่สมกับเขาขึ้น"

            เมื่ออาดัมเอวาทำบาป พระเจ้าลงโทษตามที่ควรได้รับ แต่ไม่ละทิ้งพวกเขา ยังทรงกำกับดูแล กำหนดแผนช่วยกู้มนุษย์ คือแผนสำหรับอาดัมเอวาและลูกหลานนั่นเอง

            แผนช่วยกู้คือนำมนุษย์กลับสู่สภาพสมบูรณ์ ปราศจากบาป เทียบได้กับการกลับคืนสู่สวนเอเดน แต่เป็นสวนเอเดนใหม่หรือสวรรค์ที่ผู้เชื่อศรัทธาจะไปนั่นเอง

สรุป:

            ครึ่งแรกของโยบ.40 พระเจ้าบรรยายพระลักษณะพระองค์ ทรงชอบธรรม ทรงฤทธานุภาพสูงสุดและควบคุมทุกอำนาจ ฯลฯ ครึ่งหลังบรรยายว่าทรงเป็นผู้สร้างและกำกับรอบด้าน มนุษย์คือส่วนหนึ่งของการทรงสร้าง และให้มีชีวิตตามที่พระองค์ประสงค์

            การที่พระเจ้าบรรยายพระลักษณะด้วยพระองค์เองสำคัญมาก เพราะเป็นคำพูดของพระองค์

            ชีวิตของโยบอยู่ภายใต้การกำกับเช่นกัน แม้ช่วงหนึ่งต้องทุกข์ยากสาหัส ทรงมีพระประสงค์ในนั้น ชีวิตของโยบกลายเป็นส่วนหนึ่งของไบเบิล เป็นพระธรรมที่บรรจุศาสนศาสตร์มากมาย อธิบายความเป็นพระเจ้า พระลักษณะ ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับผู้เชื่อ เตือนอย่าทำบาป เหล่านี้เป็นหัวข้อพื้นฐานที่ผู้เชื่อศรัทธาควรเข้าใจ สามารถอธิบายว่าพระเจ้าเป็นอย่างไร ทรงนำชีวิตอย่างไร ผู้เชื่อศรัทธาควรปฏิบัติอย่างไร ฯลฯ

            การทรงสร้างและกำกับสรรพสิ่งสอดคล้องกับพระลักษณะทุกประการ นี่คือพระเจ้าและพระราชกิจ

คำถามหลังคำสอน:

            1) ในฐานะคริสเตียน ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าพระเจ้าทรงชอบธรรรม ยุติธรรมเสมอ

            2) คริสเตียนควรตัดสินใจเรื่องต่างๆ อย่างไร จึงก่อผลดีต่อตัวเองมากที่สุด

------------------------

 

11/10/2568

อาดัมมีรูปร่างหน้าตาเหมือนพระเจ้าหรือไม่

พระเจ้าให้ความสำคัญลักษณะชีวิตมากกว่ารูปร่างหน้าตา เพราะชีวิตนิรันดร์บริสุทธิ์ ปราศจากบาป ส่วนในโลกนี้ให้คริสเตียนเป็นตัวพระคริสต์ สำแดงพระสิริ

คำถามก่อนเรียน:

            1) ท่านเคยเห็นรูปภาพหรือรูปปั้นอาดัมเอวาหรือไม่ รูปที่เห็นมีหน้าตาอย่างไร

            2) ท่านคิดว่าหน้าตาอาดัมเอวาก่อนและหลังล้มในบาป เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

 

            มีผู้ตั้งคำถามว่า อาดัมกับเอวามีใบหน้างดงามอย่างพระเจ้าหรือไม่ โดยอ้างอิงปฐก.1:27 "ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์" (his own image)

            คำตอบของคำถามนี้ นำสู่ความเข้าใจเรื่องสำคัญ สามารถไล่เลียงดังนี้ ...

1. ความหมายตามรากศัพท์

            พระเจ้าตั้งใจสร้างมนุษย์ (อาดัม) ให้เป็นอย่างที่เป็น “ตามพระฉายาของพระองค์” (his own image)

ปฐก.1:27 พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง

So God created mankind in his own image, in the image of God he created them; male and female he created them.

พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง (ฉบับปี 2011)

1คร.11:7 ผู้ชายไม่สมควรคลุมศีรษะเพราะว่าผู้ชายเป็นพระฉายาและพระรัศมีของพระเจ้า ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นรัศมีของผู้ชาย

A man ought not to cover his head, since he is the image and glory of God; but woman is the glory of man.

            ทั้งปฐก.1:27 กับ1คร.11:7 ต่างระบุว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ ปฐก.1:27 เป็นภาษาฮีบรู ส่วน1คร.11:7เป็นภาษากรีก

           1) ความหมายตามรากศัพท์ภาษาฮีบรู

            รากศัพท์คำว่า “ฉายา” ใน ปฐก.1:27 คือ צֶלֶם (อ่านว่า tseh'-lem) หมายถึง ภาพ รูป พระฉายา (images, image) เหมือน คล้ายคลึง เป็นอย่าง (likenesses)

            คำนี้ใช้ในหลายที่ เช่น คำว่า “ฉายา” “รูป” ใน ปฐก.5:3 1ซมอ.6:11 อสค.7:20

ปฐก.5:3 เมื่ออาดัมอยู่มาได้ร้อยสามสิบปี จึงมีบุตรชายคนหนึ่งตามอย่างตามฉายาของเขาชื่อเสท

1ซมอ.6:11 และเขาก็วางหีบแห่งพระเจ้าไว้บนเกวียนพร้อมกับหีบหนูทองคำและรูปฝีของเขา

อสค.7:20 ความโอ่อ่าของสิ่งเหล่านั้น เขาใช้เพื่อเกียรติจอมปลอมเขาใช้สร้างรูปเคารพอันลามก และสิ่งน่าสะอิดสะเอียนของเขา เพราะฉะนั้นเราจะกระทำสิ่งเหล่านั้นให้เป็นสิ่งที่มลทินแก่เขา

            คำว่าฉายาถ้าใช้ในความหมาย “รูป” จะเหมือนในด้านรูปร่างหน้าตาเท่านั้น แต่เนื่องจากมนุษย์มีร่างกายจิตใจ (ไม่ใช่แค่รูปวาดหรือรูปปั้น) อาดัมจึงมีทั้งกายใจจิตตามอย่างพระองค์ ดังจะเห็นว่าอาดัมมีสติปัญญา เช่น สามารถตั้งชื่อสัตว์ต่างๆ มีอำนาจปกครอง ทรงประทานทั้งสติปัญญากับสิทธิอำนาจ และมีจิตวิญญาณอย่างพระเจ้า

            การที่พระเจ้าใส่จิตวิญญาณเข้าไปในมนุษย์ เป็นอีกส่วนที่ทำให้อาดัมเป็นสิ่งทรงสร้างตามพระฉายามากที่สุด

           2) ความหมายตามรากศัพท์ภาษากรีก

            รากศัพท์คำว่า “ฉายา” ใน 1คร.11:7 คือ εκών (อ่านว่า i-kone') หมายถึง ภาพเหมือนหรือรูปเหมือน (a likeness) รูปปั้นหรือภาพด้านข้าง (statue, profile) ตัวแทนหรือความคล้ายคลึง (representation, resemblance)

            รากศัพท์ภาษากรีกของคำว่า “ฉายา” ไม่ใช่ความเหมือนทางกายภาพเสมอไป อาจเหมือนหรือคล้ายทางด้านแนวคิดหรือลักษณะชีวิต ดังเช่นลูกเสือคล้ายพ่อเสือ (ลูกเสือคล้ายพ่อเสือทั้งรูปร่างหน้าตาและวิถีชีวิต)

            คำนี้ใช้ในหลายที่ เช่น คำว่า “รูป” ใน ลก.20:24 “รูปจำลอง” ในวว.13:14 “พระฉายหรือพระฉายา” ใน รม.8:29

ลก.20:24 "จงให้เราดูเงินตราเหรียญหนึ่งเถิด รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร" เขาทูลตอบว่า "ของซีซาร์"

วว.13:14 มันล่อลวงคนทั้งหลายที่อยู่ในโลกด้วยหมายสำคัญนั้น ซึ่งทรงยอมให้มันกระทำต่อหน้าสัตว์ร้ายตัวเดิมนั้น และมันสั่งให้คนทั้งหลายที่แผ่นดินโลก สร้างรูปจำลองให้แก่สัตว์ร้ายที่ถูกฟันด้วยดาบ แต่ยังไม่ตายนั้น

Because of the signs it was given power to perform on behalf of the first beast, it deceived the inhabitants of the earth. It ordered them to set up an image in honor of the beast who was wounded by the sword and yet lived.

            สรุป ตามรากศัพท์ฮีบรูกับกรีก คำว่า “ฉายา” หมายถึง ภาพเหมือน การมีรูปลักษณ์ภายนอก คุณสมบัติ แนวทางชีวิตตรงกันหรือคล้ายคลึงกัน เมื่อพูดถึงคนที่มีทั้งกายใจจิต พระเจ้าสร้างมนุษย์ (อาดัม) ตามแบบพระองค์ (เหมือนพระองค์) ดังเช่นลูกเสือกับพ่อเสือ ลูกเสือมีกริยาท่าทางและจิตใจตามอย่างพ่อ อีกทั้งมีจิตวิญญาณด้วย


(ตัวอย่างภาพอาดัมเอวาในจิตนาการ)

2. พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ

            พระคัมภีร์สอนว่า พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ (ไม่ใช่กายอย่างมนุษย์)

            พระเยซูตรัสในยน.4:24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ” (God is spirit)

ยน.4:24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง"

God is spirit, and his worshipers must worship in the Spirit and in truth.”

            รากศัพท์คำว่า “วิญญาณ” หรือ “spirit” ในยน.4:24 คือ πνεῦμα (อ่านว่า pnyoo'-mah) หรือ ‘pneuma-นิวมา’ เป็นภาษากรีก หมายถึง ลม (wind) ลมหายใจ (breath) วิญญาณหรือจิตวิญญาณ (spirit) และเล็งถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์

            2.1 พระเจ้าพระบิดาไม่มีรูปร่างหน้าตา

            การที่พระเจ้าเป็นพระวิญญาณจึงปราศจากสสาร (ไม่มีเนื้อหนัง อวัยวะ) ไม่มีรูปร่างหน้าตา

            อธิบายขยายความ: พระเจ้าพระวิญญาณไม่สามารถมองเห็นด้วยตา แสงไม่สามารถกระทบวิญญาณแล้วสะท้อนสู่ตาจนเห็นเป็นภาพ ส่วนภาพที่เห็นร่างวิญญาณในหนังสือหรือสื่อต่างๆ นั้น เป็นจินตนาการสร้างรูปวิญญาณเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น

            อย่างไรก็ตาม บางครั้งพระวิญญาณบริสุทธิ์สำแดงผ่านสัญลักษณ์ที่มนุษย์มองเห็นด้วยตา เช่น เห็นเป็นรูปนกพิราบกับเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้น

           1) นกพิราบ

มธ.3:16 ครั้นพระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้ว ในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจากน้ำ และท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบ ลงมาสถิตอยู่บนพระองค์

As soon as Jesus was baptized, he went up out of the water. At that moment heaven was opened, and he saw the Spirit of God descending like a dove and alighting on him.

            ขณะที่พระเยซูรับบัพติศมาพระองค์ได้ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบพระคัมภีร์ไม่ได้ชี้ว่าพระวิญญาณเหมือนนกพิราบตัวหนึ่ง แต่ “สำแดงให้เห็นดุจ...” เพื่อให้เข้าถึง เข้าใจง่ายขึ้น

           2) เปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้น

            ก่อนพระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์ได้สั่งให้สาวกรอคอยพระผู้ช่วยที่จะเสด็จมา

กจ.1:8-9

8 แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก"

9 เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา

            เมื่อถึงเทศกาลเพ็นเทคศเต พวกสาวกได้รวมตัวในห้อง และรับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์

กจ.2:1-3

1 เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคศเตมาถึง จำพวกศิษย์จึงรวมอยู่ในที่แห่งเดียวกัน

2 ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น

3 มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน

They saw what seemed to be tongues of fire that separated and came to rest on each of them.

และพวกเขาเห็นบางสิ่งที่คล้ายเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแผ่กระจายอยู่บนตัวพวกเขาทุกคน (ฉบับ 2011)

            ครั้งนั้นพระวิญญาณสำแดงเป็น “เปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้น/บางสิ่งที่คล้ายเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้น” (what seemed to be tongues of fire) พระวิญญาณไม่ใช่เปลวไฟและไม่ใช่ลิ้น ทรงสำแดงให้เห็นเช่นนั้นเพื่อให้สาวกเข้าใจว่าพระวิญญาณสำแดงตน พวกเขาได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์

           2.2 สัมผัสพระเจ้าสัมผัสพระวิญญาณ

            ปัจจุบัน พระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เป็นพระผู้ช่วยแก่แต่ละคน คริสเตียนทุกคนสามารถสัมผัสพระเจ้า เชื่อมต่อสัมพันธ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระองค์จะสำแดงให้เข้าใจเข้าถึงความจริง

            พระวิญญาณสถิตในเรา

1คร.3:16-17

16 ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน

17 ถ้าผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้น เพราะวิหารของพระเจ้าเป็นที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ และท่านทั้งหลายเป็นวิหารนั้น

            เราอยู่ในพระองค์และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา เพราะพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณของพระองค์เองแก่เรา”

1ยน.4:12-15

12 ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้า ถ้าเราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในเราทั้งหลาย และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา

13 ดังนี้แหละเราทั้งหลายจึงรู้ว่า เราอยู่ในพระองค์และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา เพราะพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณของพระองค์เองแก่เรา

14 และเราทั้งหลายได้เห็นและเป็นพยานว่า พระบิดาได้ทรงใช้พระบุตรมาเป็นผู้ช่วยมนุษย์โลกให้รอด

15 ผู้ใดยอมรับว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็จะทรงสถิตอยู่ในคนนั้น และคนนั้นอยู่ในพระเจ้า

            พระองค์จะสำแดงให้เข้าใจความจริง

ยน.16:13 เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัส สิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น

But when he, the Spirit of truth, comes, he will guide you into all the truth. He will not speak on his own; he will speak only what he hears, and he will tell you what is yet to come.

            “ที่จริงพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย”

กจ.17:26-28

26 พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติ สืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่

27 เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้าและมุ่งหวังจะคลำหาให้พบพระองค์ ที่จริงพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย

God did this so that they would seek him and perhaps reach out for him and find him, though he is not far from any one of us.

28 ด้วยว่า “เรามีชีวิต และไหวตัว และเป็นอยู่ในพระองค์” ตามที่กวีบางคนในพวกท่านได้กล่าวว่า “แท้จริงเราทั้งหลายเป็นเชื้อสายของพระองค์”

            คริสเตียนสามารถสัมผัสพระเจ้าหลากหลายรูปแบบ ขึ้นกับการสำแดง การรับรู้ การตีความสิ่งที่เกิดขึ้น

            ยกตัวอย่าง ผู้แต่งสดด.90:14 มีประสบการณ์อิ่มด้วยรักในยามเช้า

สดด.90:14 ขอทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายอิ่มในเวลาเช้าด้วยความรักมั่นคงของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้เปรมปรีดิ์และยินดีตลอดวันเวลาของข้าพระองค์

Satisfy us in the morning with your unfailing love, that we may sing for joy and be glad all our days.

            ผู้แต่งสดด.90:14 มีประสบการณ์อิ่มด้วยรักในยามเช้า จึงอธิษฐานทูลขออีก และรู้ว่าผลของการอิ่มด้วยรักทุกเช้าคือ “เปรมปรีดิ์และยินดี” ตลอดชีวิต การอิ่มด้วยรักคือการสัมผัสพระเจ้ารูปแบบหนึ่ง

            คำถาม: เช้านี้ท่านได้อิ่มด้วยความรักมั่นคงของพระองค์หรือยัง

               2.3 พระเยซูมีพระฉาย/พระฉายาอย่างพระเจ้า

            แต่แรกเริ่มพระเจ้ามีลักษณะเป็นพระวิญญาณ พระเยซูขณะสำแดงเป็นมนุษย์ มีพระฉาย/พระฉายาอย่างพระเจ้า

ยน.14:9 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ฟีลิปเอ๋ย เราได้อยู่กับท่านนานถึงเพียงนี้และท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า "ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น"

            การที่พระเยซูมีพระฉาย/พระฉายาอย่างพระเจ้า จึงเน้นความหมายเชิงพระลักษณะ สิทธิอำนาจ (ทรงเป็นพระเจ้า) ไม่เน้นความหมายเชิงหน้าตาหรือร่างกาย เพราะพระเจ้าพระบิดาไม่มีรูปร่างหน้าตา ชีวิตพระเยซูสะท้อนพระลักษณะ เช่น เปี่ยมด้วยความรักเมตตา ทรงสิทธิอำนาจ บริสุทธิ์ ชอบธรรม

3. อาดัมมีรูปร่างหน้าตาเหมือนพระเจ้าหรือไม่

            จากความเข้าใจข้างต้น การที่ "ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์" จึงเน้นหรือให้ความสำคัญเรื่องลักษณะชีวิต ทัศนคติ ค่านิยม สติปัญญาแบบพระเจ้า เช่น ยึดมั่นความบริสุทธิ์ชอบธรรม มีความรัก (อากาเป้) รู้จักบทบาทหน้าที่ (อาดัมดูแลสวน ปกครองโลก)

            ไม่เน้นความหมายด้านรูปร่างหน้าตา (อาดัมมีรูปร่างหน้าตา ส่วนพระเจ้าที่อยู่ในสวนเอเดนเป็นพระวิญญาณ ไม่มีรูปร่างหน้าตา)

            สรุป อาดัมตามพระฉายาหมายถึงมีลักษณะชีวิตเหมือนพระเจ้า พระคัมภีร์ไม่ให้ความสำคัญเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก พูดได้แต่ว่าอาดัมถูกสร้างขึ้นอย่างดี

4. คริสเตียนผู้สำแดงพระคริสต์

รม.8:28-29

28 เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์

29 เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉาย แห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก

For those God foreknew he also predestined to be conformed to the image of his Son, that he might be the firstborn among many brothers and sisters.

เพราะว่าทุกคนที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้แล้ว พระองค์ทรงกำหนดไว้ก่อนให้เป็นตามพระฉายาแห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพี่น้องจำนวนมาก (ฉบับปี 2011)

            อธิบายขยายความ: พระธรรมโรม 8 ตั้งใจสอนคริสเตียนว่า “เป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์” (รม.8:17)

รม.8:17 และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์นั้น ก็เพื่อเราทั้งหลายจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย

          รม.8:29 อธิบายชัดว่าพระเจ้าตั้งใจสร้างคริสเตียน “ตามพระฉายาแห่งพระบุตร” ที่หมายถึงลักษณะชีวิตของพระเยซูมากกว่ารูปร่างหน้าตา

            คริสเตียนดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระเยซูคริสต์ รับการเปลี่ยนแปลงเป็นเหมือนพระองค์ “เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก” นี่คือความหมายของ “ตามลักษณะพระฉาย แห่งพระบุตรของพระองค์”

            คริสเตียนจึงต่างจากคนอิสราเอลที่เชื่อพระเจ้าและยึดถือพันธสัญญาเดิม แต่ดำเนินตามพันธสัญญาใหม่ เป็นคริสเตียนผู้สำแดงพระเยซูคริสต์

5. ประดับกายด้วยพระสิริ

            พระเจ้าให้ความสำคัญลักษณะชีวิต มากกว่าความสวยงามตามค่านิยมโลก

            ทรงต้องการให้ผู้เชื่อสำแดงพระสิริด้วยชีวิตที่เปลี่ยนเป็นเหมือนพระคริสต์ (รม.13:14ก)

รม.13:13-14

13 เราจงประพฤติตัวให้เหมาะสมกับเวลากลางวัน มิใช่เลี้ยงเสพสุราเมามาย มิใช่หยาบโลนลามก มิใช่วิวาทริษยากัน

14 แต่ท่านจงประดับกายด้วยพระเยซูคริสตเจ้า และอย่าจัดเตรียมอะไรไว้บำรุงบำเรอตัณหาของเนื้อหนัง

1ปต.3:3-4

3 การประดับกายของท่านนั้น อย่าให้เป็นการประดับภายนอก ด้วยการถักผม ประดับด้วยเครื่องทองคำและนุ่งห่มเสื้อผ้าสวยงาม

4 แต่จงให้เป็นการประดับภายในจิตใจ แต่งด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลาย คือด้วยจิตใจที่สงบและสุภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่งในสายพระเนตรพระเจ้า

            พระสิริของพระเจ้าจึงต่างจากชื่อเสียงเกียรติยศฝ่ายโลก การประดับกายของคนทั่วไป คริสเตียนสำแดงพระสิริด้วยชีวิตที่เปลี่ยนแปลงตามแบบพระคริสต์

6. กลับสู่ความไพบูลย์

            สำหรับผู้เชื่อทั้งหลาย พระเจ้าต้องการให้คริสเตียนเติบโตจนถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์ คือกลับสู่สภาพสมบูรณ์นั่นเอง

อฟ.4:13-14

13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์

14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง

            มนุษย์คนบาปสูญเสียพระสิริ พระเจ้าต้องการให้ผู้เชื่อกลับสู่สภาพเดิม อันหมายถึงสู่ลักษณะชีวิตอย่างพระเจ้าอีกครั้ง (อฟ.4:13-14) เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากบาป

            ทรงย้ำเรื่องลักษณะชีวิตมากกว่ารูปร่างหน้าตา เพราะชีวิตนิรันดร์คือชีวิตบริสุทธิ์ ปราศจากบาป

            พระองค์บริสุทธิ์

------------------

คำถามหลังคำสอน:

            1) จำเป็นหรือไม่ หากจะแสดงภาพพระเจ้าที่มีรูปร่างหน้าตา ในเมื่อพระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ไม่มีรูปร่างหน้าตา จงอภิปรายข้อดี-ข้อเสีย

            2) แบ่งปันวิธีที่ช่วยให้คริสเตียนสำแดงพระสิริมากขึ้น ให้คนทั้งหลายเห็นมากขึ้น  

------------------------

19/08/2568

วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ (22): ถวายพระสิริแด่พระเจ้า ชนะเพื่อถวายพระสิริแด่พระเจ้า

การขอบพระคุณ สรรเสริญนมัสการ จะออกมาจากชีวิตของเขาเรื่อยๆ เหมือนน้ำที่ไหลพุ่งออกมาจากน้ำพุ ไม่ว่าเขาจะเอ่ยคำว่าพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม 

            ชนะเพื่อถวายพระสิริแด่พระเจ้าหรือชนะเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า ประกาศพระบารมี ให้พระองค์เป็นที่สรรเสริญเทิดทูน ปรากฏแก่คนทั้งปวงสมกับที่พระองค์เป็น

            เป้าหมายพื้นฐานของการสรรเสริญนมัสการคือการถวายเกียรติ ประกาศพระบารมีว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด เป็นจอมเจ้านายจอมราชา ผู้ทรงเหนือนามใดๆ ผ่านชีวิตของผู้นมัสการ

            คำว่าชัยชนะ ความสำเร็จของคริสเตียน จึงหมายถึงชัยชนะและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ไม่ใช่ของมนุษย์คนใด

            อ่านพระธรรม 1ซามูเอล บทที่ 17

บริบท:

            พวกฟิลิสเตียยกกองทัพประชิดอิสราเอล 2 ฝ่ายเผชิญหน้ากัน พวกฟิลิสเตียส่งโกลิอัทสุดยอดทหารท้าทายกองทัพอิสราเอลให้สู้ตัวต่อตัว ฝ่ายใดแพ้ต้องยอมเป็นข้าของอีกฝ่าย

1ซมอ.17:10 และคนฟีลิสเตียคนนั้น กล่าวว่า "วันนี้ข้าขอท้ากองทัพอิสราเอล จงส่งคนมาสู้กันเถิด"

            พวกฟิลิสเตียรวมทั้งโกลิอัทมั่นใจว่าตนจะเป็นฝ่ายชนะจึงท้าเช่นนั้น ใครก็ตามที่ออกไปสู้กับโกลิอัทจึงเป็นตัวแทนกองทัพ และกุมอนาคตอิสราเอล

1ซมอ.17:11 เมื่อซาอูลและคนอิสราเอลทั้งสิ้นได้ยินถ้อยคำของคนฟีลิสเตียคนนั้น เขาทั้งหลายก็ท้อใจและกลัวมาก

            กษัตริย์ซาอูลกับอิสราเอลทั้งปวงวิตกกังวล ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ซาอูลผู้มีตัวสูงใหญ่ (1ซมอ.10:23-24) และเป็นนักรบยังไม่กล้าสู้

            ดาวิดบุตรเจสซี น้องคนสุดท้องของพี่น้องรวม 8 คน ขณะนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มเลี้ยงแกะ (1ซมอ.17:33) ไม่ใช่ทหาร

ซมอ.17:33 และซาอูลกล่าวแก่ดาวิดว่า "เจ้าไม่สามารถที่จะไปสู้รบกับชายฟีลิสเตียคนนั้นดอก เพราะเจ้าเป็นแต่เด็กหนุ่ม และเขาเป็นทหารชำนาญศึกมาตั้งแต่หนุ่มๆ แล้ว"

            ตั้งแต่สมัยโมเสส ชายอิสราเอลอายุ 20 ปีขึ้นไปจะขึ้นทะเบียนเป็นทหาร

กวด.1:19-20

19 ตามที่พระเจ้าตรัสสั่งโมเสสไว้ ท่านจึงนับคนที่ถิ่นทุรกันดารซีนายดังนี้

20 คนเผ่ารูเบนบุตรหัวปีของอิสราเอล ชาตพันธุ์ของเขาตามตระกูลตามครอบครัว ตามจำนวนรายชื่อผู้ชายเรียงตัวทุกคน ที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด

            การขึ้นทะเบียนพวกเลวีก็เช่นกัน จะนับชายผู้มีอายุ 20 ปีขึ้น (1พศด.23:24)
            ดาวิดในขณะนั้นอายุไม่ถึง 20 ยังไม่ถูกขึ้นทะเบียนเป็นทหาร
(1ซมอ.17:42)

            เนื้อหาพระคัมภีร์ช่วงนี้มุ่งเน้นบรรยายหนุ่มดาวิด ผู้ได้รับการเจิมให้เป็นกษัตริย์ในอนาคต ให้เห็นลักษณะชีวิตของดาวิดที่เหมาะกับตำแหน่งกษัตริย์ การที่ดาวิดมีประสบการณ์กับพระเจ้าอย่างชัดเจน มั่นใจว่าตนคือทหารแห่งกองทัพพระเจ้า ในอนาคตเมื่อดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์จะกลายเป็นผู้นำชนชาติอิสราเอลที่เป็นของพระเจ้า (ไม่ใช่ของมนุษย์)

            กษัตริย์ดาวิดในอนาคตคือผู้ที่แสวงหาและใกล้ชิดพระเจ้า ต่างจากกษัตริย์องค์อื่นๆ ที่ไม่จริงใจหรือไม่เต็มร้อยต่อพระองค์

ลักษณะคนของพระเจ้าผู้ถวายพระสิริ :

            จากพระธรรม 1ซามูเอล บทที่ 17 มีลักษณะดังนี้

1. คิดถึงพระเจ้ากับอาณาจักรพระองค์เป็นที่ตั้ง

1ซมอ.17:25-26

25 คนอิสราเอลพูดว่า "เจ้าเคยเห็นคนที่ออกมานั้นหรือ เขาออกมาท้าทายอิสราเอลแท้ๆ ถ้าใครฆ่าเขาได้ พระราชาจะพระราชทานทรัพย์ให้เขามากมาย และจะมอบราชธิดาให้ด้วยและกระทำให้ครอบครัวของบิดาของเขาเป็นคนยกเว้นการเกณฑ์ในอิสราเอล"

26 และดาวิดกล่าวแก่ชายคนที่ยืนอยู่ข้างเขาว่า "เขาจะทำอย่างไรแก่คนที่ฆ่าคนฟีลิสเตียคนนี้ได้ และนำเอาความเหยียดหยามอิสราเอลไปเสีย คนฟีลิสเตียผู้มิได้เข้าสุหนัตคนนี้คือใครเล่า เขาจึงมาท้าทายกองทัพของพระเจ้าอยู่"

            ในใจของดาวิดคิดว่าโกลิอัทกำลังเหยียดหยามอิสราเอล ท้าทายกองทัพพระเจ้าหรือท้าทายพระเจ้า ดาวิดเดือดร้อนใจเรื่องนี้ ประโยชน์ที่ตนจะได้เป็นรอง

2. คือพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่

1ซมอ.17:26 และดาวิดกล่าวแก่ชายคนที่ยืนอยู่ข้างเขาว่า "เขาจะทำอย่างไรแก่คนที่ฆ่าคนฟีลิสเตียคนนี้ได้ และนำเอาความเหยียดหยามอิสราเอลไปเสีย คนฟีลิสเตียผู้มิได้เข้าสุหนัตคนนี้คือใครเล่า เขาจึงมาท้าทายกองทัพของพระเจ้าอยู่"

David asked the men standing near him, “What will be done for the man who kills this Philistine and removes this disgrace from Israel? Who is this uncircumcised Philistine that he should defy the armies of the living God?”

            คำว่า “พระเจ้า” ใน1ซมอ.17:26 หมายถึงพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ (living God)

            ในใจดาวิดมีแต่พระเจ้า พูดถึงพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ พระเจ้าที่เข้าถึง รับรู้ สัมผัส มีประสบการณ์ว่าพระองค์มีอยู่จริง ณ ตอนนั้น ไม่ใช่แค่พระเจ้าที่อยู่ในพระคัมภีร์ จากธรรมบัญญัติโมเสส หรือพูดต่อๆ กันมา

            1ซมอ.17:36 ดาวิดพูดอีกครั้งว่า “ด้วยเขาได้ท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่"

            “พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

3. อาสาตัวรับใช้พระเจ้า

1ซมอ.17:31-32

31 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินคำที่ดาวิดพูด เขาทั้งหลายก็เล่าความให้ซาอูลทราบ ซาอูลจึงใช้คนให้มาตามดาวิด

32 ดาวิดก็ทูลซาอูลว่า "อย่าให้จิตใจของผู้ใดฝ่อไปเพราะชายคนนั้นเลย ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียคนนี้"

            ความกล้าหาญที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ดังไกลถึงหูกษัตริย์ ซาอูลจึงเรียกดาวิดไปพบ และดาวิดไม่เพียงแค่พูด ดาวิดลงมือทำ อาสาตัวไปสู้กับโกลิอัท สอดคล้องกับคำพูดของตน (1ซมอ.17:26)

4. ดาวิดไม่กล่าวโทษใคร

            เหตุการณ์ในตอนนี้มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ ดาวิดไม่กล่าวโทษใคร ไม่โทษซาอูลผู้เป็นกษัตริย์ เป็นนักรบ เคยชนะศึกมาก่อนแต่ตอนนี้ไม่กล้าออกรบ ไม่โทษพี่น้องอิสราเอลอื่นๆ ที่มีบทบาทรับผิดชอบเป็นทหารปกป้องประเทศตอนนี้หัวหดหวาดวิตก

               4.1 ซาอูลผู้สูญเสียการเจิม

            สามารถอธิบายว่าเพราะซาอูลสูญเสียการเจิมแล้ว และเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าให้ดาวิดครองบัลลังก์ในอนาคต

            มีคำถามว่าทหารอิสราเอลนับหมื่นนับแสน ไม่มีใครที่เก่งกล้าสามารถเลยหรือ ไม่มีใครแสดงความกล้าหาญดังเช่นดาวิดเลยหรือ ที่สุดของคำถามนี้คือ ไม่มีใครมีประสบการณ์ สัมผัสใกล้ชิดกับพระเจ้าเลยหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นการดำรงอยู่ของอาณาจักรอิสราเอลในขณะนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องของความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ขาดการใกล้ชิดพระเจ้า เป็นอิสราเอลที่นับถือศาสนามากกว่าใกล้ชิดติดสนิทพระองค์

            อธิบายขยายความ: การอยู่ร่วมของชนชาติอิสราเอลขณะนั้นมาจากปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน เป็นการอยู่ร่วมเป็นชนชาติที่ดำเนินมาเนิ่นนาน (อาจนับตั้งแต่โมเสสพาบรรพบุรุษพวกเขาออกจากอียิปต์และมาตั้งถิ่นฐานที่นี่) พวกเขาอยู่เป็นเผ่า เป็นตระกูล เป็นครอบครัว เป็นพัฒนาการเชิงประวัติศาสตร์ที่ทำให้อิสราเอลในขณะนั้นปกครองโดยกษัตริย์ ตามที่พวกเขาร้องขอและได้ซาอูลเป็นกษัตริย์องค์แรก

            จะเห็นว่าการอยู่ร่วมของพวกเขาเป็นความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ที่พวกเขาขาดคือความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้า

            หนุ่มน้อยดาวิดแตกต่างจากคนอื่น

               4.2 รักพี่น้องแต่ต้องรักพระเจ้าด้วย

            พระเยซูสอนว่าสาวกต้องรักซึ่งกันและกัน แต่ต้องไม่ลืมว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างสาวกหรือผู้เชื่อต้องตั้งอยู่บนความสัมพันธ์กับพระเจ้า” มีพระองค์เป็นศูนย์กลาง (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

ยน.13:34-35

34 เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น

35 ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา"

            สัมพันธ์กันด้วยความเป็น ”สาวก” ของพระเจ้า

            ดังนั้น ต้องไม่แยกความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ (ผู้เชื่อ) ออกจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า แต่ต้องควบคู่กันเสมอ (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

1ยน.4:6-8

6 เราทั้งหลายเป็นฝ่ายพระเจ้า ผู้ที่คุ้นกับพระเจ้าก็ฟังเรา และผู้ที่ไม่ใช่ฝ่ายพระเจ้าก็ไม่ฟังเรา ดังนี้แหละเราทั้งหลายจึงรู้จักวิญญาณของความจริง และวิญญาณของความเท็จ

7 ท่านที่รักทั้งหลาย ขอให้เรารักซึ่งกันและกัน เพราะว่าความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่รักก็บังเกิดมาจากพระเจ้า และรู้จักพระเจ้า

8 ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก

            ความรักระหว่างผู้เชื่อคือความรักที่มาจากพระเจ้า เป็นความรักที่ได้รับจากพระองค์ (รักแบบ agape) ก่อเกิดเพราะเชื่อศรัทธาพระเจ้า (ข้อ 8)

            ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เชื่อต้องตั้งอยู่บนความรักที่มาจากการรู้จักพระเจ้า จิตวิญญาณใกล้ชิด คุ้นเคยพระองค์ (ข้อ 6) (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เชื่อที่ขาดพระเจ้าหรือมีน้อยเกินไป (รักพี่น้องมากกว่าพระเจ้า ชุมชนที่ตั้งอยู่บนความรักแบบมนุษย์มากกว่ารักจากพระเจ้า) เช่นนั้นไม่ใช่แบบที่พระองค์ต้องการ

            คำถาม: วันนี้ท่านรักพี่น้องมากกว่าพระเจ้าหรือไม่ ชุมนุมผูกพันด้วยความรักแบบใด หรือด้วยเหตุผลใด

            อย่างไรเรียกว่าอาณาจักรของพระคริสต์

               4.3 มองที่พระเจ้า ดำเนินชีวิตตามการทรงเรียก

            ดาวิดไม่มองความไม่สมบูรณ์ของคนรอบข้าง เพราะมนุษย์ไม่สมบูรณ์ (แม้กระทั่งตัวท่านเอง) ดาวิดมุ่งที่พระเจ้า พยายามดำเนินชีวิตตามการทรงเรียก การทรงนำ ทำส่วนของตัวเอง

5. ประสบการณ์กับพระเจ้าชัดเจน

            กษัตริย์ซาอูลเตือนดาวิดว่าสู้ไม่ได้ แต่ดาวิดเชื่อว่าสู้ได้ เพราะมีประสบการณ์พระเจ้าช่วยฆ่าสิงโตกับหมี

1ซมอ.17:36-37

36 ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทได้ฆ่าสิงห์และหมีนั้นมาแล้ว คนฟีลิสเตียผู้มิได้เข้าสุหนัตคนนี้ก็เป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้นตัวหนึ่ง ด้วยเขาได้ท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่"

Your servant has killed both the lion and the bear; this uncircumcised Philistine will be like one of them, because he has defied the armies of the living God.

37 และดาวิดทูลต่อไปว่า "พระเจ้าผู้ทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากขยุ้มเท้าของสิงห์ และจากขยุ้มเท้าของหมี จะทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากมือของคนฟีลิสเตียคนนี้" และซาอูลจึงตรัสแก่ดาวิดว่า "จงไปเถอะ และพระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับเจ้า"

The LORD who rescued me from the paw of the lion and the paw of the bear will rescue me from the hand of this Philistine.” Saul said to David, “Go, and the LORD be with you.”

            ดาวิดไม่คิดว่าตัวเองเก่ง แต่มั่นใจว่าพระเจ้าที่เคยช่วยเขาจากสิงโตกับหมี จะช่วยให้ชนะโกลิอัทเหมือนกัน และเป็นเหตุผลที่ซาอูลยอมให้ดาวิดไปสู้กับโกลิอัท

            ซาอูลพูดประโยคสำคัญว่า “พระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับเจ้า”

            พระเจ้าของดาวิดคือพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ สถิตกับตน และมีประสบการณ์ส่วนตัวชัดเจน จึงคิดว่าเมื่อพระเจ้าช่วยเขาจากสัตว์ร้าย (เด็กหนุ่มที่ฆ่าสิงโตกับหมีด้วยตัวเอง) จะสามารถจัดการโกลิอัทได้เช่นกัน

            “คนฟีลิสเตียผู้มิได้เข้าสุหนัตคนนี้ก็เป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้นตัวหนึ่ง”

6. ใช้สิ่งที่มีอยู่บวกกับพระเจ้า

            โกลิอัทสวมชุดนักรบ ใส่เกราะ ถืออาวุธอย่างดี ดาวิดใช้สิ่งที่ตนมีและถนัด

1ซมอ.17:40 แล้วจึงถือไม้เท้าไว้ และเลือกก้อนหินเกลี้ยงจากลำธารได้ห้าก้อน จึงใส่ในย่ามผู้เลี้ยงแกะของเขาในถุงของเขาและมือถือสลิงอยู่ ท่านก็เข้าไปใกล้คนฟีลิสเตียคนนั้น

            แต่ที่ดาวิดมีนอกเหนือจากไม้เท้า หิน 5 ก้อนและสลิงคือ พระเจ้าสถิตด้วย (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            เขาคือทหารคนหนึ่งของพระเจ้า (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น) แม้ไม่เป็นทหารประจำการในกองทัพกษัตริย์

1ซมอ.17:45 แล้วดาวิดก็พูดกับคนฟีลิสเตียคนนั้นว่า "ท่านมาหาข้าพเจ้าด้วยดาบ ด้วยหอกและด้วยหอกซัด แต่ข้าพเจ้ามาหาท่านในพระนามแห่งพระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอล ผู้ซึ่งท่านได้ท้าทายนั้น

David said to the Philistine, “You come against me with sword and spear and javelin, but I come against you in the name of the LORD Almighty, the God of the armies of Israel, whom you have defied. (NIV)

Then David said to the Philistine, “You come to me with a sword, with a spear, and with a javelin. But I come to you in the name of the Lord of hosts, the God of the armies of Israel, whom you have defied. (NKJV)

Then David said to the Philistine, "You come to me with a sword, a spear, and a javelin, but I come to you in the name of the LORD of hosts, the God of the armies of Israel, whom you have taunted. (NASB)

            ดาวิดเอ่ยนามพระเจ้าแบบเต็มยศ ตั้งใจประกาศเช่นนั้นต่อหน้าศัตรู

               6.1 พระเจ้าจอมโยธา

            คำว่า Lord Almighty ใน NIV หรือ Lord of hosts (NKJV) เป็น 2 คำรวมกัน

            รากศัพท์คำว่า hosts หมายถึง คนเป็นกลุ่ม มักใช้กับกองทหาร กองทัพ คำว่า Lord Almighty หรือ Lord of hosts แปลตรงตัวว่าพระเจ้าของกองทัพ

            เมื่อใช้คำนี้เป็นชื่อ พระคัมภีร์ไทยจึงใช้คำว่า “พระเจ้าจอมโยธา” หรือ “พระยาห์เวห์จอมทัพ” (ฉบับปี 2011)

            ต่อหน้ากองทัพข้าศึก หนุ่มดาวิดพูดอย่างเป็นทางการว่าเขามาต่อสู้ในนามเยโฮวาห์ พระเจ้าของกองทัพอิสราเอล

               6.2 นามพระเจ้า

            คำที่ดาวิดใช้คือ “the Lord Almighty, the God of the armies of Israel,”

            รากศัพท์ของ Lord ใน1ซมอ.17:45 คือ יְהוָֹה (yeh-ho-vaw') เยโฮวาห์ (ยาห์เวห์) เป็นชื่อเฉพาะ (proper name) ระบุเจาะจงว่าคือใคร

            เยโฮวาห์เป็นชื่อที่พระเจ้าตอบ เมื่อโมเสสถามพระองค์ชื่ออะไร

อพย.3:13-15

13 ฝ่ายโมเสสทูลพระเจ้าว่า "เมื่อข้าพระองค์ไปหาชนชาติอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า 'พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย ทรงสั่งข้าพเจ้ามาหาท่าน' และเขาจะถามข้าพระองค์ว่า 'พระองค์ทรงพระนามว่ากระไร' ข้าพระองค์จะตอบเขาอย่างไร"

14 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น" แล้วพระองค์ตรัสว่า "ไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า 'พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเราเป็น ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย'

15 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสอีกว่า "เจ้าจงกล่าวแก่ประชากรอิสราเอลว่าดังนี้ "พระเยโฮวาห์ {ในที่นี้เข้าใจกันว่า แปลว่า "พระองค์ทรงเป็น" หรือ "พระองค์ทรงอยู่"} พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่าน คือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาท่าน' นี่แหละเป็นนามของเราตลอดไปเป็นนิตย์ นี่แหละเป็นอนุสรณ์ของเราตลอดทุกชั่วชาตพันธุ์

            ความหมายรากศัพท์ของคำว่าเยโฮวาห์ (ยาห์เวห์) คือ ผู้ดำรงอยู่ด้วยตัวเอง หรือผู้ดำรงอยู่นิรันดร์ (self-Existent or Eternal)

            ในพระคัมภีร์ปฐมกาล ช่วงที่ยังไม่มีชื่อเฉพาะจะใช้คำอื่นๆ ที่เป็นนามทั่วไป คำไทยคือ “พระเจ้า”

            ดังนั้น ทุกครั้งที่ใช้คำว่า “พระเยโฮวาห์” คือการเอ่ยชื่อเฉพาะ เจาะจงว่าคือพระเจ้าองค์นี้

1ซมอ.17:45 แล้วดาวิดก็พูดกับคนฟีลิสเตียคนนั้นว่า "ท่านมาหาข้าพเจ้าด้วยดาบ ด้วยหอกและด้วยหอกซัด แต่ข้าพเจ้ามาหาท่านในพระนามแห่งพระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอล ผู้ซึ่งท่านได้ท้าทายนั้น

David said to the Philistine, “You come against me with sword and spear and javelin, but I come against you in the name of the LORD Almighty, the God of the armies of Israel, whom you have defied. (NIV)

            สรุป คำแปลที่ถูกต้องกว่าของคำว่า LORD ใน 1ซมอ.17:45 คือคำว่าพระเยโฮวาห์

            คำว่า “พระเจ้าจอมโยธา” ใน 1ซมอ.17:45 อาจแปลว่า พระเยโฮวาห์จอมทัพ ดังที่พระคัมภีร์ฉบับปี 2011 ใช้คำว่า พระยาห์เวห์จอมทัพ”

            6.3 จอมโยธา

            ดาวิดใช้นามพระเจ้า LORD คู่กับคำว่า Almighty (hosts) เป็น LORD Almighty หรือ Lord of hosts

            รากศัพท์คำว่า “hosts” (ยึด NKJV เป็นหลัก) ใน 1ซมอ.17:45 คือ צָבָא (อ่านว่า tsaw-baw') เป็นคำนามเพศชาย (Noun Masculine) หมายถึง กลุ่มคนจำนวนมาก (a mass of persons) มักใช้เมื่อพูดถึงกองทหาร กองทัพ

            คำว่า Lord Almighty หรือ Lord of hosts แปลตรงตัวว่า พระเยโฮวาห์ของกองทัพ

            เมื่อเป็นใช้ชื่อ พระคัมภีร์ไทยใช้คำว่า “พระเจ้าจอมโยธา” หรือ “พระยาห์เวห์จอมทัพ” (ฉบับปี 2011)

            จาก “the Lord Almighty, the God of the armies of Israel” รากศัพท์คำว่า God ในที่นี้คือ “‘elohiym” หมายถึง “พระเจ้า” ที่เป็นพหูพจน์ (gods) แต่ไม่ใช่นามเฉพาะ

            วลี “the Lord Almighty, the God of the armies of Israel” จึงเป็นการพูดแบบขยายความว่า พระเยโฮวาห์ของกองทัพ พระเจ้า (‘elohiym) ของทหารอิสราเอลทั้งปวง

            ดาวิดใช้คำว่า God (‘elohiym) เพื่อชี้ผู้มีนามว่า Lord (Yehovah) คือพระเจ้าของกองทัพอิสราเอล

            เป็นการประกาศว่า พระเยโฮวาห์คือพระเจ้าของกองทัพอิสราเอล ในบริบทกองทัพ 2 ชาติเผชิญหน้ากัน

          สรุป ต่อหน้า 2 กองทัพที่ประจันหน้ากัน หนุ่มดาวิดพูดอย่างเป็นทางการว่า เขามาต่อสู้กับศัตรูในนามของเยโฮวาห์ พระเจ้าของกองทัพอิสราเอล

            เขามาต่อสู้กับศัตรูในนามของเยโฮวาห์ (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            ในข้อ 47 ดาวิดรับรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าสงครามครั้งนี้เป็นของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องระหว่างชนชาติหรืออาณาจักร ตนเป็นทหารของกองทัพพระเจ้า

1ซมอ.17:47 และชุมนุมชนนี้ทั้งสิ้นจะทราบว่า พระเจ้ามิได้ทรงช่วยด้วยดาบหรือด้วยหอก เพราะว่าการรบครั้งนี้เป็นของพระเจ้า พระองค์จะทรงมอบท่านไว้ในมือของเราทั้งหลาย"

All those gathered here will know that it is not by sword or spear that the LORD saves; for the battle is the LORD’s, and he will give all of you into our hands.”

            การสู้ครั้งนี้เขาไปในนามพระเยโฮวาห์ พระเจ้าจอมโยธา เพื่อถวายพระสิริแด่พระองค์

            อธิบายขยายความ: ในการรบกับฟิลิสเตีย การสู้กับโกลิอัท ดาวิดพูดชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าเป็นเรื่องของพระเจ้าโดยตรง พระคัมภีร์ไม่ได้บรรยายทำไมดาวิดเข้าใจอย่างนั้น เรื่องราวสะท้อนผ่านคำพูดดาวิด ข้อสรุปคือเป็นสงครามของพระเจ้า ดาวิดเป็นทหารแห่งกองทัพของพระองค์

7. รู้ล่วงหน้าว่าจะชนะ

            แม้ยังไม่สู้ ดาวิดมั่นใจว่าจะชนะ เพราะรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าที่มีอยู่จริง สถิตกับตน

            ดาวิดเข้าใจแต่แรกว่าไม้เท้า หิน 5 ก้อนและสลิงที่ติดตัว ไม่น่าจะชนะได้ (“พระเจ้ามิได้ทรงช่วยด้วยดาบหรือด้วยหอก”) แต่ที่ไปรบเพราะ “ในวันนี้พระเจ้าจะทรงมอบท่านไว้ในมือข้าพเจ้า”

1ซมอ.17:46-47

46 ในวันนี้พระเจ้าจะทรงมอบท่านไว้ในมือข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะประหารท่านและตัดศีรษะของท่านเสีย และในวันนี้ข้าพเจ้าจะให้ศพของกองทัพฟีลิสเตียแก่นกในอากาศและแก่สัตว์ป่า เพื่อทั้งพิภพนี้จะทราบว่ามีพระเจ้าพระองค์หนึ่งในอิสราเอล

47 และชุมนุมชนนี้ทั้งสิ้นจะทราบว่า พระเจ้ามิได้ทรงช่วยด้วยดาบหรือด้วยหอก เพราะว่าการรบครั้งนี้เป็นของพระเจ้า พระองค์จะทรงมอบท่านไว้ในมือของเราทั้งหลาย"

All those gathered here will know that it is not by sword or spear that the LORD saves; for the battle is the LORD’s, and he will give all of you into our hands.”

            ถ้าพระเจ้าต้องการให้ชนะ แค่สลิงกับหินก้อนเดียวก็พอแล้ว

1ซมอ.17:50 ดังนั้นดาวิดก็ชนะคนฟีลิสเตียคนนั้นด้วยสลิงและก้อนหินก้อนหนึ่ง และคว่ำคนฟีลิสเตียคนนั้นลง และฆ่าเขาเสีย ดาวิดไม่มีดาบอยู่ในมือ

            ถ้าอ่านพระคัมภีร์ต่อ ดาวิดมักจะสอบถามพระเจ้าก่อนเสมอว่าควรทำสิ่งใด และพระองค์ให้คำตอบที่ชัดเจน ยกตัวอย่าง

2ซมอ.2:1 ครั้นเรื่องนี้สิ้นไปแล้ว ดาวิดจึงทูลถามพระเจ้าว่า "สมควรที่ข้าพระองค์จะขึ้นไปยังหัวเมืองหนึ่งหัวเมืองใดในยูดาห์หรือไม่" และพระเจ้าตรัสตอบท่านว่า "จงขึ้นไปเถิด" ดาวิดทูลว่า "ควรที่ข้าพระองค์จะขึ้นไปที่ใด" พระองค์ตรัสว่า "เมืองเฮโบรน"

2ซมอ.5:19-20

19 และดาวิดทรงทูลถามพระเจ้าว่า "ควรที่ข้าพระองค์จะยกขึ้นไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียหรือ พระองค์จะทรงมอบเขาไว้ในมือข้าพระองค์หรือไม่" และพระเจ้าทรงตอบดาวิดว่า "จงขึ้นไปเถิด เพราะเราจะมอบคนฟีลิสเตียไว้ในมือของเจ้าเป็นแน่"

20 ดาวิดเสด็จมายังบาอัลเปราซิม และดาวิดทรงชนะคนฟีลิสเตียที่นั่น พระองค์ตรัสว่า "พระเจ้าทรงทะลวงข้าศึกของข้าพเจ้าดังกระแสน้ำที่พุ่งใส่" เพราะฉะนั้นจึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่า บาอัลเปราซิม

2ซมอ.5:22-24

22 คนฟีลิสเตียยกขึ้นมาอีกและขยายแนวอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม

23 และเมื่อดาวิดทูลถามพระเจ้าพระองค์ตรัสว่า "เจ้าอย่าขึ้น จงอ้อมไปข้างหลังของเขา และโจมตีเขาตรงข้ามกับหมู่ต้นโพธิ์

24 และเมื่อเจ้าได้ยินเสียงกระบวนทัพเดินอยู่ที่ยอดหมู่ต้นโพธิ์เจ้าจงรีบรุกไป เพราะพระเจ้าเสด็จไปข้างหน้าเพื่อจะโจมตีกองทัพของคนฟีลิสเตีย"

            พระเจ้าของดาวิดไม่ใช่แค่พระเจ้าในพระคัมภีร์ แต่เป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และอยู่กับท่าน

            คำถาม: ลองตรวจสอบตัวท่านเอง วันนี้พระเจ้าสถิตอยู่กับท่านหรือไม่ ท่านมั่นใจหรือไม่ เพราะเหตุใด

 

สรุป ชนะเพื่อถวายพระสิริแด่พระเจ้า :

1ซมอ.17:46 ในวันนี้พระเจ้าจะทรงมอบท่านไว้ในมือข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะประหารท่านและตัดศีรษะของท่านเสีย และในวันนี้ข้าพเจ้าจะให้ศพของกองทัพฟีลิสเตียแก่นกในอากาศและแก่สัตว์ป่า เพื่อทั้งพิภพนี้จะทราบว่ามีพระเจ้าพระองค์หนึ่งในอิสราเอล

This day the LORD will deliver you into my hands, and I’ll strike you down and cut off your head. This very day I will give the carcasses of the Philistine army to the birds and the wild animals, and the whole world will know that there is a God in Israel.

            ดาวิดไม่คิดถึงเกียรติหรือผลประโยชน์ที่ตนจะได้มากกว่าพระเจ้า แม้มีสิทธิ (1ซมอ.17:25) การไปทำศึกคือการประกาศพระบารมี “เพื่อทั้งพิภพนี้จะทราบว่ามีพระเจ้าพระองค์หนึ่งในอิสราเอล”

            พูดอีกอย่างคือ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อให้โลกได้รู้ว่าพระเยโฮวาห์มีจริง พระองค์ผู้ทรงพระชนม์ประทับอยู่กับอิสราเอล อาณาจักรของพระเจ้า คนของพระองค์

            แท้จริงแล้ว พระสิริอยู่คู่พระองค์เสมอ ดำรงอยู่เป็นนิจ แต่ความบาป ลุ่มหลงในบาปปิดกั้น เป็นเครื่องบ่งบอกว่าอยู่ไกลจากพระองค์ ส่วนคนรู้จักพระเจ้าจะเริ่มสัมผัสพระสิริ ยิ่งใกล้ยิ่งสัมผัส เพื่อพระสิริจะสำแดงผ่านคนของพระองค์ เขาเป็นดั่งแสงสว่างของโลก ผู้ที่พระองค์สร้างและส่งออกไป นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า

คำสอนการนมัสการจากเรื่องดาวิดสังหารโกลิอัท :

            การถวายพระสิริหรือการถวายเกียรติพระเจ้าเป็นเป้าหมายพื้นฐานของการสรรเสริญนมัสการ

            การนมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ หมายถึง การนมัสการของผู้เชื่อคนนั้นที่รู้จักผูกพัน มีประสบการณ์ในพระองค์ ไม่ใช่แค่พระเจ้าในพระคัมภีร์ ในบทเรียนคำสอน หรือที่คนอื่นๆ รู้จัก

            อธิบายขยายความ: การร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ถ้าร้องโดยขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า แม้จะได้ประโยชน์จากการนมัสการ แต่ได้บางเรื่องบางระดับเท่านั้น

            ผู้ที่บอกว่าเชื่อพระเจ้า ประกาศตัวเป็นคริสเตียน เช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าเขามีประสบการณ์กับพระเจ้าเสมอไป หรือมีประสบการณ์ลึกซึ้งมากพอ คนเหล่านี้อาจอ่านพระคัมภีร์ ประกาศพระกิตติคุณ อบรมสั่งสอน รับใช้พระเจ้าในด้านต่างๆ ทั้งหมดเป็นเรื่องดี แต่เป็นการปฏิบัติตามคำสอนบางส่วน ยังไม่ถึงขั้นดำเนินชีวิตกับพระเจ้าอย่างสัมพันธ์ใกล้ชิด

            ในการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง ผู้นมัสการต้องมีความสัมพันธ์ มีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้าสม่ำเสมอ และพัฒนาลึกซึ้งมากขึ้นตามลำดับ

            ตัวอย่าง ดาวิดสรรเสริญนมัสการ (สดด.9:1-4) ด้วย “คำพยาน” ของเขาเอง (ไม่ใช่คำสอนในพระคัมภีร์)

สดด.9:1-4

1 ข้าพระองค์จะขอบพระคุณพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะบอกถึงการอัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์

2 ข้าพระองค์จะยินดีและปลาบปลื้มใจในพระองค์ ข้าแต่องค์ผู้สูงสุด ข้าพระองค์จะร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์

3 เมื่อพวกศัตรูของข้าพระองค์หันกลับ เขาทั้งหลายก็สะดุดและพินาศไปต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์

4 เพราะพระองค์ทรงให้ความยุติธรรมและความเที่ยงตรงแก่ข้าพระองค์ พระองค์ประทับบนพระที่นั่งและประทานการพิพากษาอันชอบธรรม

            การนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง เป็นการเชื่อมต่อฝ่ายวิญญาณ หรืออธิบายอีกอย่างว่า คือการหลอมรวมจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน (จิตวิญญาณผู้เชื่อกลับไปหาพระผู้ประทานจิตวิญญาณ)

            ความสัมพันธ์มีหลายระดับ เช่น พระเจ้าตอบคำอธิษฐานอย่างเจาะจง ประสบการณ์เข้าถึง รู้จัก ได้ยินพระสุรเสียง สัมผัสได้ สำแดงผลพระวิญญาณ ฯลฯ

            ความสัมพันธ์นี้เป็นได้ทั้งระดับส่วนตัวกับส่วนรวม

            1) ระดับส่วนตัว

            คนของพระเจ้าจะมีประสบการณ์ในพระองค์สม่ำเสมอ บางครั้งอัศจรรย์มาก เช่น พระเจ้าสำแดงกับเซาโล (กจ.9:1-20) พระเจ้าเลี้ยงดูเอลียาห์ในช่วงภัยแล้ง 3 ปี

1พกษ.17:6-7

6 และกาก็นำขนมปังและเนื้อมาให้ท่านในเวลาเช้า และนำขนมปังและเนื้อมาในเวลาเย็นและท่านก็ดื่มน้ำจากลำธาร

7 และต่อมาภายหลังลำธารก็แห้ง เพราะไม่มีฝนในแผ่นดิน

            2) ระดับส่วนรวม

            มักผ่านเหตุการณ์ของคนจำนวนมาก เช่น โมเสสพาอิสราเอลข้ามทะเลแดง การรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของสาวกที่ห้องชั้นบนในพระธรรมกิจการ

            บางครั้งเป็นประสบการณ์ส่วนรวมกับส่วนตัวพร้อมกัน เช่น เหตุการณ์อิสราเอลข้ามทะเลแดง ถือเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของโมเสสด้วย อ.เปาโลนมัสการในคุก (กจ.16:24-26) 

 

            การสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าทำได้หลายวิธี ไม่เพียงแต่การสรรเสริญนมัสการเท่านั้น การอ่านพระวจนะ อธิษฐาน รับใช้อย่างถูกต้อง ล้วนนำสู่ความสัมพันธ์กับพระองค์ได้ทั้งสิ้น

            ตัวอย่าง การรับใช้ของเปโตร ทำให้เห็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ เพิ่มพูนความเชื่อ ทรงทำการอัศจรรย์ผ่านท่าน (เปโตร) พระเจ้ามีจริง

กจ.3:6-9

6 เปโตรกล่าวว่า "เงินและทองเราไม่มี แต่ที่เรามีอยู่เราจะให้ท่าน คือในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด"

7 แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาพยุงขึ้น และในทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของเขาก็มีกำลัง

8 เขาจึงกระโดดขึ้นยืนและเดินเข้าไปในพระวิหาร ด้วยกันกับเปโตรและยอห์น เดินเต้นโลดสรรเสริญพระเจ้าไป

9 คนทั้งปวงเห็นเขาเดินและสรรเสริญพระเจ้า

            ผู้ที่สัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า คำขอบพระคุณ คำสรรเสริญนมัสการจะหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาจากปากของเขา จากกริยาท่าทาง ไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าจะขอบคุณสรรเสริญพระเจ้าเรื่องไหนอย่างไร

            ช่วงสรรเสริญนมัสการ (รวมทั้งการร้องเพลงจากใจ) คือช่วงที่แต่ละคนจะร้องหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพระเจ้าของเขา ร้องบนฐานประสบการณ์ในพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ดังเช่นเพลงหลายบทในพระธรรมสดุดีคือชีวิตจริงของดาวิด (กับผู้แต่งอีกหลายคน) ออกมาจากจิตวิญญาณที่สัมพันธ์กับพระเจ้าที่เกิดขึ้นจริง รับรู้หรือสัมผัสได้

            การขอบพระคุณ สรรเสริญนมัสการ จะออกมาจากชีวิตของเขาเรื่อยๆ เหมือนน้ำที่ไหลพุ่งออกมาจากน้ำพุ ไม่ว่าเขาจะเอ่ยคำว่าพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

ยน.4:14 แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์"

            ผลสุดท้ายของพระคุณความรักคือชีวิตนิรันดร์ สรรเสริญนมัสการนิรันดร์

            พระองค์อยู่ในชีวิตของเขา

            จิตวิญญาณที่ผูกพันติดสนิท นำมาซึ่งการสรรเสริญนมัสการ พูดอีกอย่างคือ จิตวิญญาณที่ใกล้ชิดพระเจ้าสำแดงออกเป็นการสรรเสริญนมัสการ

            การสรรเสริญนมัสการคือการปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้า (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

1คร.1:9 พระเจ้าเป็นผู้ทรงความสัตย์ พระองค์ได้ทรงเรียกท่านให้สัมพันธ์สนิทกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

God is faithful, who has called you into fellowship with his Son, Jesus Christ our Lord.

            ขณะร้องสรรเสริญคือกำลังปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้า นี่แหละเรียกว่านมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง เป็นรูปแบบหนึ่งที่แสดงออกถึงการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง

            ใครมีหูจงฟังเถิด

-------------------

กุญแจแห่งการสรรเสริญนมัสการ: ถวายพระสิริแด่พระเจ้า
วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ (22): ถวายพระสิริแด่พระเจ้า

            คนที่ขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า คนที่ไม่มั่นใจหรือยังไม่ยอมรับว่าพระเจ้าดี (แสนดี) การร้องสรรเสริญอาจเป็นเพียงร้องอีกเพลง ส่วนผู้รู้จักพระเจ้า สัมพันธ์ใกล้ชิดพระองค์ เสียงหรือการสรรเสริญนมัสการของเขาบรรยาย “ความสัมพันธ์” ระหว่างเขากับ “พระเจ้าของเขา” (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            เขากำลัง “นมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” พระองค์ที่เขารู้จัก

            เป็นอีกรูปแบบหรือลักษณะหนึ่งของการนมัสการด้วยจิตวิญญาณความจริง แบบที่พระเจ้าแสวงหา

ยน.4:23-24

23 แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์

Yet a time is coming and has now come when the true worshipers will worship the Father in the Spirit and in truth, for they are the kind of worshipers the Father seeks.

24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”

God is spirit, and his worshipers must worship in the Spirit and in truth.”

            “ผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้อง” NIV ใช้คำว่า “true worshipers

            วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าอย่างง่ายๆ ทำได้ดังนี้

            1. อย่าคิดว่ารับเชื่อพระเจ้าก็พอแล้ว จบแล้ว

            2. อย่าคิดว่าตัวเองดีแล้ว สบายแล้ว

            3. จงถวายพระสิริแด่พระเจ้า

            เพียงเริ่มต้นวันนี้ ตั้งใจใช้ชีวิตถวายเกียรติพระเจ้า ดำเนินตามนิมิตการทรงเรียก พระองค์จะเป็นผู้กระทำให้สำเร็จ ก่อเกิดพัฒนาความสัมพันธ์กับพระองค์ เหมือนเมล็ดที่ถูกหว่านในดินดี เติบโตเกิดดอกออกผล จนเป็นต้นไม้ใหญ่ของพระเจ้า

            การสรรเสริญนมัสการที่พระเจ้าพอพระทัยไม่ใช่ของยากเลย ถ้าออกมาจากชีวิตฝ่ายวิญญาณที่สัมพันธ์สนิทกับพระองค์

            วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ ทำได้เช่นนี้เอง

            โจทย์: จงอธิบายขยายความ สดด.27:4-6 (ดาวิด ผู้แต่ง)

สดด.27:4-6

4 ข้าพเจ้าทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะเสาะแสวงหาเสมอ คือที่ข้าพเจ้าจะได้อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ตลอดวันเวลาชั่วชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อจะดูความงามของพระเจ้า และเพื่อจะพินิจพิจารณาอยู่ในพระวิหารของพระองค์

5 เพราะพระองค์จะทรงซ่อนข้าพเจ้าในที่กำบังของพระองค์ ในยามยากลำบาก พระองค์จะปิดข้าพเจ้าไว้ภายใต้ร่มพลับพลาของพระองค์ พระองค์จะทรงตั้งข้าพเจ้าไว้สูงบนศิลา

6 และบัดนี้ศีรษะของข้าพเจ้าจะเชิดขึ้น เหนือศัตรูของข้าพเจ้าที่อยู่รอบข้าง และข้าพเจ้าจะถวายเครื่องสัตวบูชาในพลับพลาของพระองค์ด้วยการโห่ร้อง ข้าพเจ้าจะร้องเพลงและถวายสดุดีแด่พระเจ้า

--------------------


บทความแนะนำ

Ep28 ยำเกรงพระเจ้าและรู้จักองค์บริสุทธิ์

หนทางดีที่สุดคือผู้เชื่อมุ่งติดสนิท เติบโตในทางพระเจ้าอย่างมั่นคง ชีวิตเปลี่ยนแปลง ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนี้แหละคริสเตียนจะสำแดงแ...