26/04/2568

บทเรียน 17 พระเยโฮวาห์ผู้ดำรงอยู่นิรันดร์

 นามพระเจ้าบ่งบอกว่าทรงดำรงอยู่นิรันดร์ เป็นจุดเริ่มของสรรพสิ่ง ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด ถ้าปราศจากพระองค์จะไร้ซึ่งสรรพสิ่ง การดำรงอยู่ของพระองค์กับสรรพสิ่งเป็นของคู่กัน

คำถามก่อนเรียน :

            1) ท่านคิดว่าอะไรคือลักษณะสำคัญของพระเจ้า

            2) ท่านคิดว่าพระลักษณะพระเจ้ามีความสำคัญอย่างไร

 

            เมื่อพระเจ้าถูกถามว่าพระองค์ชื่ออะไร หรือเหตุการณ์ที่ต้องระบุนามพระองค์ “เยโฮวาห์” (ยาห์เวห์) คือนามนั้น

            คำว่า เยโฮวาห์” มาจากภาษาฮีบรู หมายถึง ผู้ดำรงอยู่ด้วยตัวเอง” หรือ “ผู้ดำรงอยู่นิรันดร์” เป็นพระลักษณะสำคัญหนึ่งของพระองค์

 

            เมื่อพระเจ้าเริ่มตรัสกับโยบ พระคัมภีร์ระบุนามพระองค์ว่านี่คือพระเจ้าผู้ที่กำลังพูด

            อ่าน โยบ.38:1-3

โยบ.38:1-3

1 แล้วพระเจ้าทรงตอบโยบออกมาจากพายุว่า

Then the LORD spoke to Job out of the storm. He said:

แล้วพระยาห์เวห์ทรงตอบโยบจากพายุว่า (ฉบับปี 2011)

2 "นี่ใครหนอที่ให้คำปรึกษา มืดมนไปด้วยถ้อยคำอันปราศจากความรู้

3 จงคาดเอวไว้อย่างกับลูกผู้ชายหน่อยซิ เราจะถามเจ้า ขอเจ้าตอบเรา

            รากศัพท์คำว่า “พระเจ้า” (ฉบับปี 1971) หรือ “LORD” (NIV) หรือ “พระยาห์เวห์” (ฉบับปี 2011) ในโยบ.38:1 คือ יְהוָֹה (อ่าน yeh-ho-vaw', เย-โฮ-วา) มีความหมายว่า ผู้ดำรงอยู่ด้วยตัวเองหรือผู้ดำรงอยู่นิรันดร์ (self-Existent or Eternal)

            เยโฮวาห์ (ยาห์เวห์) เป็นวิสามานยนามหรือคำนามเฉพาะ (Proper Noun) ระบุเจาะจงว่าคือใคร

“I AM WHO I AM.”:

          โมเสสถามพระองค์ชื่ออะไร

อพย.3:13-15

13 ฝ่ายโมเสสทูลพระเจ้าว่า "เมื่อข้าพระองค์ไปหาชนชาติอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า 'พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย ทรงสั่งข้าพเจ้ามาหาท่าน' และเขาจะถามข้าพระองค์ว่า 'พระองค์ทรงพระนามว่ากระไร' ข้าพระองค์จะตอบเขาอย่างไร"

Moses said to God, “Suppose I go to the Israelites and say to them, ‘The God of your fathers has sent me to you,’ and they ask me, ‘What is his name?’ Then what shall I tell them?”

14 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น" แล้วพระองค์ตรัสว่า "ไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า 'พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเราเป็น ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย'

God said to Moses, “I AM WHO I AM. This is what you are to say to the Israelites: ‘I AM has sent me to you.’ ”

พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ไปบอกชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า ‘พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเราเป็นทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย’ ” (ฉบับปี 2011)

15 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสอีกว่า "เจ้าจงกล่าวแก่ประชากรอิสราเอลว่าดังนี้ "พระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่าน คือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาท่าน' นี่แหละเป็นนามของเราตลอดไปเป็นนิตย์ นี่แหละเป็นอนุสรณ์ของเราตลอดทุกชั่วชาตพันธุ์

God also said to Moses, “Say to the Israelites, ‘The LORD, the God of your fathers—the God of Abraham, the God of Isaac and the God of Jacob—has sent me to you.’ “This is my name forever, the name you shall call me from generation to generation.

            เมื่อโมเสสถามพระองค์ชื่ออะไร คำตอบแรกที่พระเจ้ามอบให้คือ "เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น"

 

            รากศัพท์คำว่า “เราเป็น” หรือ “I AM” ในอพย.3:14 คือ הָיָה (อ่าน haw-yaw) hayah เป็นคำกริยา มีความหมายว่า เป็น มี เกิด (be) เกิดขึ้น (happen) กลายเป็น (become) ดำรงอยู่ (exist)

            ใช้ในหลายที่ เช่น

ปฐก.1:3 พระเจ้าตรัสว่า "จงเกิดความสว่าง" ความสว่างก็เกิดขึ้น

And God said, “Let there be light,” and there was light.

ปฐก.1:14 พระเจ้าตรัสว่า "จงมีดวงสว่างบนฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้ดวงสว่างเป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี

And God said, “Let there be lights in the vault of the sky to separate the day from the night, and let them serve as signs to mark sacred times, and days and years,

ปฐก.1:30 ฝ่ายสัตว์ทั้งหมดบนแผ่นดิน นกทั้งปวงบนท้องฟ้าและสัตว์เลื้อยคลานทั้งหมดบนแผ่นดิน คือ สิ่งมีชีวิตที่มีลมหายใจนั้น เราให้พืชเขียวสดทั้งปวงเป็นอาหาร” ก็เป็นดังนั้น

And to all the beasts of the earth and all the birds in the sky and all the creatures that move along the ground—everything that has the breath of life in it—I give every green plant for food.” And it was so.

ฝ่ายสัตว์ทั้งหมดบนแผ่นดิน นกทั้งปวงบนท้องฟ้าและสัตว์เลื้อยคลานทั้งหมดบนแผ่นดิน คือ สิ่งมีชีวิตที่มีลมหายใจนั้น เราให้พืชเขียวสดทั้งปวงเป็นอาหาร” ก็เป็นดังนั้น (ฉบับปี 2011)

            ปฐก.1:30 คำว่า “ก็เป็น” คือ hayah

            การทรงสร้างสรรพสิ่งในปฐก.บทที่ 1 ล้วนคือคำว่า hayah

อธิบายขยายความ: “เราเป็น” หรือ “I AM”

อพย.3:14 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น" แล้วพระองค์ตรัสว่า "ไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า 'พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเราเป็น ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย'

God said to Moses, “I AM WHO I AM. This is what you are to say to the Israelites: ‘I AM has sent me to you.’ ”

พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ไปบอกชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า ‘พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเราเป็นทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย’ ” (ฉบับปี 2011)

            คำว่า “เราเป็น” หรือ “I AM” ในอพย.3:14 มีความหมายว่า ทรงสร้างหรือเป็นผู้สร้าง  ประโยค “I AM WHO I AM.” ทรงกำลังบอกว่านี่คือพระองค์ ผู้ดำรงอยู่ด้วยพระองค์เอง สรรพสิ่งเกิดขึ้นโดยพระองค์ และเล็งถึงกาลเวลาทั้งหมด ทั้งอดีตปัจจุบันและอนาคต ทรงเป็นอยู่เช่นนี้นิรันดร์

            พระเจ้าพูดประโยค “I AM WHO I AM.” เพื่อบ่งบอกว่าพระเจ้าคือตัวพระองค์เอง เป็นคำอธิบายถึงตัวพระองค์ได้ดีที่สุด เพราะมนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงพระลักษณะหรือความเป็นพระองค์ได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน

          I AM WHO I AM.” จึงเป็นที่มาของนามพระเจ้า เป็นประโยคแรกที่พระเจ้าตอบโมเสส

          แท้จริงแล้วพระเจ้าไม่มีนามเฉพาะอย่างคนทั่วไป เช่นชื่อ อับราฮัม อิสอัค ดาวิด

          แต่คำว่า “I AM” ที่เป็นคำกริยาเมื่อปรับเป็นคำนาม กลายเป็นชื่อเฉพาะของพระองค์ นั่นคือ เยโฮวาห์ หรือ พระเยโฮวาห์ ดังที่นิยมใช้

            และทรงให้โมเสสถ่ายทอดคำพูดว่า ตัวพระเจ้าเองคือผู้สั่งให้โมเสสไปหาคนอิสราเอล เนื่องจากอิสราเอลในสมัยนั้นยังไม่รู้จักชื่อเฉพาะของพระองค์

นามพระองค์คือเยโฮวาห์:

            พระเจ้าเอ่ยนามเฉพาะ "พระเยโฮวาห์” ในอพย.3:15

อพย.3:15 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสอีกว่า "เจ้าจงกล่าวแก่ประชากรอิสราเอลว่าดังนี้ "พระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่าน คือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาท่าน' นี่แหละเป็นนามของเราตลอดไปเป็นนิตย์ นี่แหละเป็นอนุสรณ์ของเราตลอดทุกชั่วชาตพันธุ์

God also said to Moses, “Say to the Israelites, ‘The LORD, the God of your fathers—the God of Abraham, the God of Isaac and the God of Jacob—has sent me to you.’ “This is my name forever, the name you shall call me from generation to generation.

            รากศัพท์ הָיָה (อ่าน haw-yaw) hayah ที่มีความหมายว่า “I AM” กับ יְהוָֹה (อ่าน yeh-ho-vaw', เย-โฮ-วา) ใกล้เคียงกันมาก แต่นามเฉพาะจริงๆ ที่เอ่ยถึงพระเจ้าคือ יְהוָֹה (อ่าน yeh-ho-vaw', เย-โฮ-วา)

            “นี่แหละเป็นนามของเราตลอดไปเป็นนิตย์”

            คนในบรรพกาลอย่างอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ไม่มีชื่อพระเยโฮวาห์ พวกเขาเรียก “พระเจ้า” แบบคำนามทั่วไป (คนอิสราเอลในอียิปต์ที่โมเสสกำลังจะไปหาจึงยังไม่รู้จักเชื่อเฉพาะ แต่เรียก พระเจ้า” แบบคำนามทั่วไป)

อพย.6:3 เราปรากฏแก่อับราฮัม แก่อิสอัค และแก่ยาโคบด้วยนามว่าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ แต่เรามิได้สำแดงให้เขารู้จักเราในนามพระเยโฮวาห์

            ข้อพระคัมภีร์ในพระธรรมปฐมกาลบางข้อที่เอ่ยนามพระเจ้าเป็นคำนามทั่วไป

ปฐก.1:1-3

1 ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้าง ฟ้าและแผ่นดิน

In the beginning God created the heavens and the earth. (NIV, NKJV และ NASB)

ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน (ฉบับปี 2011)

2 แผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น

3 พระเจ้าตรัสว่า "จงเกิดความสว่าง" ความสว่างก็เกิดขึ้น

            รากศัพท์คำว่า “พระเจ้า” หรือ “God” ในปฐก.1:1 คือ אֱלהִים (อ่าน el-o-heem') หรือ elohim หมายถึงพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด (God) หรือในความหมายทั่วไปของคำว่าพระเจ้า เทพเจ้า ผู้พิพากษา ผู้ยิ่งใหญ่ (god) พระเจ้าที่คนอิสราเอลกับคริสเตียนศรัทธา แต่ไม่ใช่ชื่อเฉพาะ

            เยโฮวาห์เป็นนามเฉพาะของพระเจ้า ปรากฎตั้งแต่พระธรรมปฐมกาล เช่น

ปฐก.2:4 เรื่องฟ้าสวรรค์และแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสร้างมีดังนี้ ในวันที่พระเจ้าทรงสร้างแผ่นดินและฟ้าสวรรค์

This is the account of the heavens and the earth when they were created, when the LORD God made the earth and the heavens.

ลำดับเรื่องการเนรมิตสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินมีดังนี้ ในวันที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างแผ่นดิน และฟ้าสวรรค์ (ฉบับปี 2011)

            ปฐก.2:4 พระคัมภีร์ไทยฉบับปี 1971 ใช้คำว่า “พระเจ้า” NIV ใช้คำว่า “LORD” ส่วนฉบับปี 2011 ใช้คำว่าพระยาห์เวห์

            สรุป เดิมคนอิสราเอลเอ่ยคำว่า “พระเจ้า” แบบนามทั่วไป โมเสสเป็นคนแรกที่ถามพระเจ้าว่าพระองค์ชื่ออะไร ทรงตอบว่านามพระองค์ในรูปคำนามคือ “”เยโฮวาห์” (ยาห์เวห์) คำนี้มีความหมายบ่งบอกพระลักษณะ (ชื่อมีความหมายตัวเอง)

เยโฮวาห์ยิ่งใหญ่สูงสุด:

โยบ.38:1 แล้วพระเจ้าทรงตอบโยบออกมาจากพายุว่า

Then the LORD spoke to Job out of the storm. He said:

แล้วพระยาห์เวห์ทรงตอบโยบจากพายุว่า (ฉบับปี 2011)

            รากศัพท์คำว่า “พระเจ้า” หรือ “LORD” ในโยบ.38:1 คือ יְהוָֹה (อ่าน yeh-ho-vaw', เย-โฮ-วา) คำนี้เป็นวิสามานยนามหรือคำนามเฉพาะ (Proper Noun) มีความหมายว่า ผู้ดำรงอยู่ด้วยตัวเองหรือผู้ดำรงอยู่นิรันดร์ (self-Existent or Eternal) ไม่มีใครสร้างพระองค์ ตัวพระองค์มีอยู่แล้ว ไม่มีจุดเริ่มต้นกับจุดสิ้นสุด

            ดังนั้น นามเฉพาะของพระเจ้าคือ יְהוָֹה (อ่าน yeh-ho-vaw', เย-โฮ-วา)

            อธิบายขยายความ:

            เรื่องนี้ขัดกับตรรกะความเข้าใจว่าสรรพสิ่งมีที่มาที่ไป มีผู้สร้างหรือผู้ให้กำเนิด ตัวเรามาจากพ่อแม่ มาจากการผสมพันธุ์ของอสุจิกับไข่ การรวมตัวของ DNA ที่กำเนิดเป็นชายหรือหญิง เซลล์เกิดใหม่มีวันตาย มนุษย์มีอายุขัย แม้กระทั่งดาวฤกษ์มีวันสิ้นแสง

            แต่ถ้ามี ผู้สร้างพระเจ้า ย่อมหมายความว่า ผู้สร้างพระเจ้า ยิ่งใหญ่กว่า พระเจ้า เป็นผู้สร้าง (กำหนด) ให้พระเจ้ายิ่งใหญ่อย่างที่เป็น หากเป็นเช่นนั้น พระเจ้า จะไม่ยิ่งใหญ่สูงสุด แต่มี ‘ผู้สร้างพระเจ้า’ ที่ยิ่งใหญ่กว่า ทรงสิทธิอำนาจมากกว่า กำหนดให้พระเจ้าเป็นอย่างที่เป็น

            ถ้าสามารถสร้างพระเจ้าหมายเลข 1 ย่อมน่าจะสามารถสร้างพระเจ้าหมายเลข 2, 3, 4

            และจะมีคำถามว่า “ใครคือผู้สร้าง ผู้สร้างพระเจ้า’” เช่นนี้ไม่สิ้นสุด

          การที่ไม่มีใครสร้างพระเจ้าจึงบ่งบอกว่า “พระเจ้า” หรือเยโฮวาห์ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นเช่นนี้นิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

            พระคัมภีร์ (Bible) สอนว่า

ปฐก.1:1 ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน

            หลักสำคัญคือพระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง ทำให้สิ่งนี้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ดำรงอยู่และจากไปตามพระประสงค์ ไม่ว่าใครจะยอมรับหรือไม่ ชอบหรือไม่ชอบ ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงนี้

            ด้วยเหตุที่เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งจึงยิ่งใหญ่สูงสุดเหนือสรรพสิ่ง เหนือนามทั้งปวง ไม่มีสิ่งใดหรือใครยิ่งใหญ่กว่าพระองค์อีกแล้ว ทรงเป็นจอมเจ้านายจอมราชา (Lord of lords and King of kings)

วว.17:14 กษัตริย์เหล่านี้จะกระทำสงครามกับพระเมษโปดก และพระเมษโปดกจะทรงมีชัยชนะ เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นจอมเจ้านาย และทรงเป็นจอมกษัตริย์ และผู้ที่อยู่กับพระองค์นั้น เป็นผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกและทรงเลือกไว้ และเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ก็จะมีชัยด้วย"

They will wage war against the Lamb, but the Lamb will triumph over them because he is Lord of lords and King of kings—and with him will be his called, chosen and faithful followers.”

          อธิบายขยายความ: คำว่า Lord กับ lords เป็นศัพท์เดียวกัน รากศัพท์คำว่า “Lord” หรือ “lord” ในวว.17:14 คือ κύριος (อ่านว่า koo'-ree-os) หมายถึง เจ้านาย ผู้มีอำนาจ (lord, master, sir) ในพระคัมภีร์ใหม่บางครั้งใช้คำนี้เป็นนามทั่วไปเพื่อเล็งถึงพระเจ้า (the Lord)

            เช่น คำว่า “พระเจ้า” ในมธ.2:19

มธ.2:19 ครั้นเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏในความฝันแก่โยเซฟ ที่ประเทศอียิปต์สั่งว่า

After Herod died, an angel of the Lord appeared in a dream to Joseph in Egypt.

            ดังนั้น Lord of lords ใน วว.17:14 แปลตรงตัวว่า เจ้านายของบรรดาเจ้านาย เป็นที่มาของคำว่า “จอมเจ้านาย”

            พระคัมภีร์สอนว่าพระเจ้าดำรงอยู่นิรันดร์ เป็นอมตะ ไม่สามารถสืบทราบจุดกำเนิดคือ ณ จุดใดของกาลเวลา ทรงเป็นพระเจ้าไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ยิ่งใหญ่สูงสุดตลอดเวลา ไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลง

อสย.44:6 พระเจ้า พระบรมมหากษัตริย์แห่งอิสราเอล และผู้ไถ่ของเขา พระเจ้าจอมโยธา ตรัสดังนี้ว่า "เราเป็นผู้ต้นและเราเป็นผู้ปลาย นอกจากเราแล้วไม่มีพระเจ้า

“This is what the LORD says— Israel’s King and Redeemer, the LORD Almighty: I am the first and I am the last; apart from me there is no God.

            รากศัพท์ของคำว่า LORD ใน อสย.44:6 คือ יְהוָֹה (อ่าน yeh-ho-vaw', เย-โฮ-วา) มีความหมายว่า ผู้ดำรงอยู่ด้วยตัวเองหรือผู้ดำรงอยู่นิรันดร์ (self-Existent or Eternal) หรือ พระเยโฮวาห์ (พระยาห์เวห์)

            ส่วนรากศัพท์ของคำว่า God อสย.44:6 คือ אֱלהִים (อ่าน el-o-heem') หรือ elohim หมายถึงพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด (God) หรือในความหมายทั่วไปของคำว่าพระเจ้า เทพเจ้า ผู้พิพากษา ผู้ยิ่งใหญ่ (god)

            สรุป อสย.44:6 พระเยโฮวาห์เปิดเผยกับอิสยาห์ว่า "เราเป็นผู้ต้นและเราเป็นผู้ปลาย นอกจากเราแล้วไม่มีพระเจ้า” พระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดเพียงหนึ่งเดียว ไม่เคยเปลี่ยนแปลงและจะไม่เปลี่ยนแปลง

วว.22:13 เราคืออัลฟาและโอเมกา เป็นเบื้องต้นและเป็นเบื้องปลาย เป็นปฐมและเป็นอวสาน"

          วว.22:13 ย้ำความเข้าใจว่าทรงเป็นจุดเริ่มของสรรพสิ่ง ถ้าปราศจากพระองค์จะไร้ซึ่งสรรพสิ่ง การดำรงอยู่ของพระองค์กับสรรพสิ่งเป็นของคู่กัน

            การดำรงอยู่นิรันดร์คู่กับทรงมีสติปัญญา รู้แจ้งทุกสิ่งทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต พระองค์เห็นหมดทุกอย่าง รู้หมดทุกสิ่ง ทรงสัพพัญญู (omniscience)

สดด.139:1-7

1 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ได้ทรงตรวจสอบข้าพระองค์และทรงรู้จักข้าพระองค์

2 เมื่อข้าพระองค์นั่งลงและลุกขึ้น พระองค์ทรงทราบ พระองค์ทรงประจักษ์ในความคิดของข้าพระองค์ได้แต่ไกล

3 พระองค์ทรงค้นวิถีของข้าพระองค์และการนอนของข้าพระองค์ และทรงคุ้นเคยกับทางทั้งสิ้นของข้าพระองค์

4 ข้าแต่พระเจ้า แม้ก่อนที่ลิ้นของข้าพระองค์จะพูด พระองค์ก็ทรงทราบความเสียหมดแล้ว

5 พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์อยู่ทั้งข้างหลังและข้างหน้า และทรงวางพระหัตถ์บนข้าพระองค์

6 ความรู้อย่างนี้อัศจรรย์เกินข้าพระองค์ สูงนัก ข้าพระองค์เอื้อมไม่ถึง

7 ข้าพระองค์จะไปไหน ให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้ หรือข้าพระองค์จะหนีไปไหนให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์

โยบ.36:26 ดูเถิด พระเจ้านั้นใหญ่ยิ่ง และเราก็หาหยั่งรู้ถึงพระองค์ไม่ อายุของพระองค์เป็นสิ่งที่ค้นหากันไม่ได้

รม.11:33-34

33 โอ พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้น ล้ำลึกเท่าใด ข้อตัดสินของพระองค์นั้นเหลือที่จะหยั่งรู้ได้ และทางของพระองค์ก็เหลือที่จะสืบเสาะได้

34 เพราะว่า ใครเล่ารู้พระทัยของพระเจ้า หรือใครเล่าเป็นที่ปรึกษาของพระองค์

อย่างไรคือการรู้จักนามพระเจ้า:

            การรู้จักนามพระเจ้าไม่ใช่แค่ความรู้ในสมอง ไม่ใช่แค่ความรู้พระคัมภีร์ หรือเรื่องราวของคนอื่นที่รู้จักพระองค์ การรู้จักนามพระเจ้านอกจากเป็นความรู้จากพระคัมภีร์ ยังมีส่วนของประสบการณ์ที่รู้จักพระเจ้าเป็นการส่วนตัว ผลของความรู้จากพระคัมภีร์กับประสบการณ์ส่วนตัวทำให้เกิดใจรัก เชื่อวางใจ รักผูกพัน สรรเสริญนมัสการ

            อธิบายขยายความ: จะเห็นว่าเรื่องราวระหว่างพระเจ้ากับผู้เชื่อศรัทธา มักเป็นประสบการณ์ของผู้เชื่อคนนั้นกับพระเจ้าของเขา ในพระคัมภีร์คนของพระเจ้าล้วนมีประสบการณ์แบบนี้ เช่น อับราฮัม โมเสส โยเซฟ ดาวิด พวกผู้วินิจฉัย บรรดาผู้เผยพระวจนะ เปโตร เปาโล บรรดาสาวกในพระธรรมกิจการ (เหตุการณ์รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์)

            จะเห็นว่าผู้เชื่อสามารถเผชิญทุกเหตุการณ์ ทุกสถานการณ์ ดำเนินชีวิตตามนิมิต การทรงเรียก เพราะมีประสบการณ์กับพระเจ้า (ขณะที่ดำเนินติดตามพระองค์) พระเจ้าทรงอยู่ด้วย

การรู้จักนามพระเจ้าในทางปฏิบัติ:

            การ “รู้จักนามพระเจ้า” ไม่ใช่กระบวนการที่สำเร็จในวันเดียวหรือปีเดียว คนในพระคัมภีร์อย่างโมเสส โยเซฟ ดาวิด ล้วนสะท้อนว่าพวกเขาค่อยๆ เติบโตในทางพระเจ้า

            ตัวอย่าง โมเสส

            โมเสสเพิ่งเข้าใจธรรมบัญญัติเมื่อพระเจ้าประทานให้โมเสส (ตอนนั้นโมเสสอายุมากกว่า 80 ปี) พระองค์สอนโมเสส ทรงใช้เวลากับโมเสสในพลับพลา

            โยเซฟได้รับนิมิตจากพระเจ้าตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม โยเซฟค่อยๆ เติบโตฝ่ายวิญญาณ เพราะพระวิญญาณสถิตอยู่ ผ่านอุปสรรคมากมาย เรียนรู้จากความยากลำบาก พระเจ้าเตรียมชีวิต (เช่นสอนการบริหารจัดการขณะที่เป็นนักโทษในคุก) ในที่สุดสามารถอธิบายนิมิตที่ได้รับ ว่าพระเจ้าใช้ตนอย่างไร

            ดาวิดเกิดในครอบครัวสามัญชน ตอนเป็นเด็กมีหน้าที่เลี้ยงแกะ แม้ได้รับการเจิมจากพระเจ้าผ่านซามูเอล ชีวิตของกษัตริย์ดาวิดทำผิดพลาดร้ายแรงหลายครั้ง ไม่ว่าชีวิตจะเผชิญเรื่องดีหรือร้าย ดาวิดรักผูกพันพระเจ้าเสมอ

            เปโตรเดิมเป็นชาวประมง เปาโลรู้ธรรมบัญญัติแต่เข้าใจน้ำพระทัยผิด พระเจ้าเข้ามาช่วยและได้รับการสอนให้เข้าใจถูกต้อง

          คนของพระเจ้าไม่จำเป็นต้องดีพร้อม แต่เป็นคนที่พระเจ้าใช้ให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งและทรงสนับสนุนให้สำเร็จตามนิมิตการทรงเรียกที่มีต่อแต่ละคน

            การมีนิมิตการทรงเรียกและกระทำตามจึงสำคัญ คนเหล่านี้รู้จักนามพระเจ้า

            สรุป การ “รู้จักนามพระเจ้า” เป็นเรื่องสำคัญ ช่วยให้คริสเตียนสามารถติดตามพระเจ้าจนถึงที่สุด ถึงปลายทางที่ทรงกำหนด

สรุป:

            นามพระเจ้าบ่งบอกว่าทรงดำรงอยู่นิรันดร์ เป็นจุดเริ่มของสรรพสิ่ง ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด ถ้าปราศจากพระองค์จะไร้ซึ่งสรรพสิ่ง การดำรงอยู่ของพระองค์กับสรรพสิ่งเป็นของคู่กัน

คำถามหลังคำสอน :

            1) จากความเข้าใจเรื่องนามพระเจ้า คริสเตียนควรขอบคุณพระองค์อย่างไร

            2) นาม “เยโฮวาห์” ควรมีผลต่อชีวิตผู้เชื่อโดยเฉพาะท่านอย่างไร

------------------------

07/04/2568

ทำไมเชื่อพระเจ้าแล้วไม่ได้รับความรอด

หลายคนคิดว่าขอเพียงเชื่อพระเจ้าแล้วจะรอด ได้ขึ้นสวรรค์แน่นอน เรื่องนี้เป็นความเข้าใจผิดที่พบบ่อยทั้งในหมู่คริสเตียนกับคนทั่วไป ที่คิดว่าถ้าเชื่อพระเจ้าแล้วไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้ไปสวรรค์

            จริงหรือไม่บางคนที่ปากบอกว่าเป็นคริสเตียนแต่ใช้ชีวิตไม่ต่างจากคนบาปทั่วไป บางคนเคยเชื่อพระเจ้าหลายปีแล้วเลิกเชื่อในที่สุด คริสเตียนที่เติบโตฝ่ายวิญญาณช่วยรักษาความรอด ได้รับพระพรเต็มที่ เป็นผู้เชื่อที่พระเยซูต้องการ

 

            บางคนเข้าใจว่าถ้ารับด้วยปากและเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็จะได้รับความรอด โดยยึดข้อพระคัมภีร์ รม.10:9

รม.10:9 คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด

            ดังนั้น หลังจากรับเชื่อแล้ว ขอเพียงยึดความเชื่อไว้ก็จะรอด จึงใช้ชีวิตตามใจชอบ ทำบาปสารพัด โดยยึดว่าพระเจ้าเป็นความรัก ให้อภัยเสมอ

          ความเข้าใจเช่นนี้ผิด มาจากการไม่ใช้พระคัมภีร์ทั้งเล่ม

            พระเยซูตรัสใน มธ.7:21 ว่า ...

มธ.7:21 "มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า" จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้

ยก.2:14 ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า แม้ผู้ใดจะว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่ประพฤติตามจะได้ประโยชน์อะไร ความเชื่อของเขาจะช่วยเขาให้รอดได้หรือ

            มธ.7:21 กับ ยก.2:14 เป็นตัวอย่างชี้ว่าการยึดรม.10:9 เพียงข้อเดียวไม่เพียงพอ เรื่องความรอดมีมากกว่านั้น

            ความเข้าใจที่ถูกต้องคือ การเชื่อศรัทธาพระเยซูเป็นเพียงจุดเริ่ม นำสู่การเชื่อฟังคำสอนอื่นๆ มารซาตานรู้จักพระเจ้าอย่างดีแต่ไม่เชื่อฟัง ไม่ทำตามคำสอน

          การไม่เชื่อฟังจึงไม่ทำตามคำสอน ในทางกลับกันคนที่ศรัทธาพระเยซูจริงจะเชื่อฟัง มีท่าทีตั้งใจทำตามพระคัมภีร์ คนของพระเจ้าจะคิด-พูด-ทำเหมือนพระองค์มากขึ้นตามลำดับ

            ไม่ใช่แค่พยายามประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่ชีวิตเปลี่ยน เหมือนพระคริสต์มากขึ้นทุกที

            มารซาตานที่รู้จักพระเจ้าแต่ไม่เชื่อฟังจึงต้องรับโทษในที่สุด ใครก็ตามที่บอกว่าเชื่อพระเจ้าแต่ไม่ตั้งใจทำตามคำสอนอาจเป็นคริสเตียนแต่ปาก น่ากังวลว่าปลายทางของพวกเขาอาจไม่ต่างจากมารซาตาน

การประกาศ ผู้เชื่อใหม่ และคริสเตียนที่เติบโต:

            บางคนอาจแย้งว่าทำไมจึงมักได้ยินคริสเตียนพูดว่า “เชื่อพระเจ้าแล้วจะรอด” (ยึด รม.10:9) ในการประกาศข่าวประเสริฐพูดอย่างนั้นไม่ใช่หรือ

            เรื่องนี้ต้องเข้าใจว่าการประกาศมีเวลาจำกัด ไม่สามารถใช้เวลาหลายชั่วโมงเพื่ออธิบายเรื่องความรอดอย่างละเอียด อีกทั้งจะทำให้คนฟังสับสน ยิ่งอธิบายลงลึกยิ่งไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงพูดบางส่วนก่อน การประกาศให้เชื่อพระเยซูแล้วจะรอดถูกต้องแล้ว

          การเชื่อศรัทธาพระเยซูเป็นจุดเริ่ม เมื่อผู้สนใจเชื่อพระเจ้าจึงเริ่มสอนพระคัมภีร์ให้เข้าใจครบถ้วน

            1ปต.2:2 เปรียบเทียบผู้เชื่อใหม่เหมือนทารกแรกเกิด ที่ต้องได้รับน้ำนมคือพระวจนะ เพื่อเจริญขึ้นสู่ความรอด

1ปต.2:2 เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ เพื่อโดยน้ำนมนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้นสู่ความรอด

Like newborn babies, crave pure spiritual milk, so that by it you may grow up in your salvation,

            คำว่า “เจริญขึ้นสู่ความรอด” ชี้ว่าไม่ใช่แค่ “รับเชื่อพระเยซู” แล้วหยุดเท่านี้ ยังต้องเติบโตฝ่ายวิญญาณเพื่อความรอดนั้น

            อาหารดีที่สุดของทารกคือน้ำนมมารดา มีสารอาหารครบถ้วน ภูมิต้านทานสูง ทั้งยังปราศจากการปนเปื้อนสารปรุงแต่ง พระวจนะคืออาหารดีที่สุดของผู้เชื่อ จึงต้องศึกษาพระคัมภีร์ทุกข้อทุกตอน เพื่อจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรง เป็นคริสเตียนที่เติบโตสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ (เติบโตฝ่ายวิญญาณจนสมบูรณ์)

            ถ้าอ่าน 1เปโตร บทที่ 2 เพียงแค่ 5 ข้อก็ชี้ว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าเป็นคริสเตียนต้องทำอะไรหลายอย่าง

1ปต.2:1-5

1 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงละความชั่วทั้งปวง การอุบายต่างๆ ความไม่จริงใจ ความริษยา และคำพูดส่อเสียดทั้งหลาย

2 เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ เพื่อโดยน้ำนมนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้นสู่ความรอด

Like newborn babies, crave pure spiritual milk, so that by it you may grow up in your salvation,

3 เพราะท่านได้ลิ้มรสพระกรุณาคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้า

4 จงมาหาพระองค์ คือพระศิลาที่ทรงชีวิต ซึ่งมนุษย์ได้ปฏิเสธไม่ยอมรับแล้ว แต่ว่าตามพระดำริของพระเจ้านั้นเป็นศิลาที่ทรงเลือกไว้ และทรงค่าอันประเสริฐ

As you come to him, the living Stone—rejected by humans but chosen by God and precious to him—

5 และท่านทั้งหลายก็เสมือนศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายพระวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายวิญญาณ ที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์

you also, like living stones, are being built into a spiritual house to be a holy priesthood, offering spiritual sacrifices acceptable to God through Jesus Christ.

            1ปต.2:1-5 สอนคริสเตียนผู้เชื่อต้องละทิ้งชีวิตเก่าที่เป็นบาป (1) พยายามเติบโตฝ่ายวิญญาณ (2) สัมผัสพระคุณความรัก ไม่ใช่แค่เชื่อที่สมอง (3) แสวงหาพระเจ้า ยึดพระองค์ไว้มั่น ทรงมีคุณค่าสูงสุด (4) ผู้เชื่อกำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายพระวิญญาณ (5ก) เป็นผู้รับใช้พระเจ้า (ปุโรหิต) อย่างที่พระเยซูต้องการ (5ข)

            ฐานะผู้รับใช้เกิดขึ้นทันทีเมื่อเชื่อพระเจ้า และกำลังเติบโตฝ่ายวิญญาณมากขึ้น

            พระวจนะ 1ปต.2:1-5 เพียง 5 ข้อให้ผู้เชื่อเข้าใจว่ามีอะไรอีกมาก ไม่เพียงแค่ “เชื่อพระเจ้าแล้วจะรอด”

            จริงหรือไม่ บางคนที่บอกว่าเป็นคริสเตียนแต่ใช้ชีวิตไม่ต่างจากคนไม่เชื่อพระเจ้า บางคนเชื่อพระเจ้าแล้วเลิกเชื่อในที่สุด 1ปต.2:1-5 สอนว่าคริสเตียนที่เติบโตแข็งแรงฝ่ายวิญญาณช่วยรักษาความรอด (ผ่านการทดสอบทดลอง สุดท้ายได้รับความรอดจริงๆ) ได้รับพระพรเต็มที่ เป็นผู้เชื่อที่พระเยซูต้องการ

อฟ.4:22-24

22 ท่านจงทิ้งตัวเก่าของท่าน ซึ่งคู่กับวิถีชีวิตเดิมนั้นเสีย อันจะเสื่อมเสียไปสู่ความตายตามตัณหาอันเป็นที่หลอกลวง

23 และจงให้วิญญาณจิตของท่านเปลี่ยนใหม่

24 และให้ท่านสวมสภาพใหม่ ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง

            เป็นคริสเตียนที่ทรงพลังเพราะชีวิตเปลี่ยน เป็นคนใหม่ คนของพระเจ้า

-------------------

18/03/2568

Ep24 เฝ้าเดี่ยวในยามเช้า

ผู้มีชีวิตทรงพลังจะอิ่มด้วยรักอันยิ่งใหญ่จากพระเจ้าทั้งวัน เพราะเขาแสวงหาพระเจ้า สัมผัสความรักสดใหม่ทุกเช้า พระเจ้าอยู่กับเขาตั้งแต่เช้ามิใช่หรือ

 

            การเฝ้าเดี่ยวเป็นพื้นฐานชีวิตคริสเตียน คือการใช้เวลาส่วนตัวกับพระเจ้า เวลาติดสนิทพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นส่วนหนึ่งของ “ชีวิตคริสเตียนที่ดำเนินกับพระเจ้า”

            มีผู้อธิบายอย่างน่าฟังว่า การเฝ้าเดี่ยวเหมือนการใช้เวลากับคนรักสองต่อสอง กอดคอพูดคุยกับเพื่อนสนิท หรือเวลาเข้าเฝ้ามหากษัตริย์ตามลำพัง (ขึ้นกับลักษณะความสัมพันธ์ของผู้เชื่อกับพระเจ้าของเขา)

            บางครั้งการเฝ้าเดี่ยวอาจทำเป็นกลุ่ม แต่การใช้เวลาแบบกลุ่มไม่อาจทดแทนหรือเหมือนการเฝ้าเดี่ยวที่เป็นส่วนตัวจริงๆ การเฝ้าเดี่ยวไม่ใช่การรับคำสอนจากบุคคลที่ 3 แต่ที่ทำเป็นกลุ่มมีเป้าหมายบางอย่าง เช่นเพื่อสามัคคีธรรมกับพี่น้องชุมชน ได้รับคำสอนการหนุนใจ

          หลักสำคัญของการเฝ้าเดี่ยวคือการที่คริสเตียนคนนั้นติดสนิทกับพระองค์โดยตรง เป็นความสัมพันธ์ส่วนตัว

เฝ้าเดี่ยวตอนไหนดี:

            ถ้าถามว่าควรสามัคคีธรรมตอนไหน คำตอบคือเวลาไหนก็ได้และควรทำบ่อยๆ ให้เหมาะกับบริบทของตัวเอง คนทำงานกะดึกอาจไม่สามารถเฝ้าเดี่ยวตอนเช้า คนที่ตื่นบ่ายอาจเฝ้าเดี่ยวตอนบ่ายเมื่อตื่นนอน

            โดยทั่วไปควรเฝ้าเดี่ยวตอนเช้าหลังตื่นนอน

สดด.90:14 ขอทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายอิ่มในเวลาเช้าด้วยความรักมั่นคงของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้เปรมปรีดิ์และยินดีตลอดวันเวลาของข้าพระองค์

Satisfy us in the morning with your unfailing love, that we may sing for joy and be glad all our days.

            แต่ไหนแต่ไร พระเจ้าสอนให้ผู้เชื่อดำรงอยู่ในความรักพระองค์ ให้อิ่มด้วยความรักอันอุดมและให้เป็นเช่นนี้ตลอดชีวิต

            สดด.90:14 ยังสอนว่าให้อิ่มด้วยรักตั้งแต่เช้า เมื่อเริ่มต้นวันใหม่ ด้วยเช่นนี้เขาจะได้เปรมปรีดิ์ทั้งวัน เล็งถึงว่า

            1) ต้องพาตัวเองให้สัมผัสพระองค์จนอิ่มในตอนเช้า

            2) ทำเช่นนี้ทุกวัน เป็นวิถีชีวิตของเขา

            อธิบายขยายความ: คริสเตียนบางคนยุ่งวุ่นวายตั้งแต่ตื่น บางคนยุ่งเรื่องเรียน บางคนยุ่งเรื่องงาน เรื่องครอบครัว แม้กระทั่งยุ่งอยู่กับงานรับใช้พระเจ้า จนขาดการเฝ้าเดี่ยว ขาดเวลาสัมพันธ์สนิทกับพระองค์ คริสเตียนเช่นนี้คงยุ่งวุ่นวายอีกนาน

            สดด.90:14 สอนว่าสิ่งแรกสุดที่ควรทำคือแสวงหาพระเจ้า โดยการอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ สรรเสริญนมัสการ ให้อิ่มด้วยรักจากพระเจ้าตั้งแต่เช้าก่อนทำกิจกรรมอื่นๆ เพื่อเขาจะได้รับกำลัง รับการทรงนำ รับการอวยพรทั้งวัน สะท้อนออกมาเป็นชีวิตที่ชื่นชมยินดีในพระเจ้า เป็นผู้เชื่อที่มีพลัง

            ผู้มีชีวิตทรงพลังจะอิ่มด้วยรักอันยิ่งใหญ่จากพระเจ้า เพราะเขาแสวงหาพระองค์ สัมผัสความรักสดใหม่ ทรงอยู่กับเขาตั้งแต่เช้ามิใช่หรือ

            ตัวอย่าง พระเยซูทำพระราชกิจมากโดยไม่ละเลยที่จะแสวงหาพระเจ้าพระบิดาเป็นการส่วนตัว

ลก.5:1-16

ลก.5:16 แต่พระองค์เสด็จออกไปในที่เปลี่ยวและทรงอธิษฐาน

            ถ้ารู้เช่นนี้ ท่านจะรอช้าอยู่ไย จงแสวงหาพระเจ้า พระกำลังของพระองค์

            ชีวิตทรงพลังแต่เช้าด้วยการเฝ้าเดี่ยว

มธ.4:4 ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า "มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า

1พศด.16:8-11

8 จงโมทนาพระคุณพระเจ้า และร้องทูลออกพระนามพระองค์ จงให้บรรดาพระราชกิจของพระองค์แจ้งแก่ชนชาติทั้งหลาย

9 จงร้องเพลงถวายพระองค์ ร้องเพลงสดุดีถวายพระองค์ จงเล่าถึงการอัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์

10 จงอวดพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์ ให้จิตใจของบรรดาผู้แสวงหาพระเจ้าเปรมปรีดิ์

Glory in his holy name; let the hearts of those who seek the LORD rejoice.

11 จงแสวงพระเจ้าและพระกำลังของพระองค์ แสวงพระพักตร์ของพระองค์เรื่อยไป

Look to the LORD and his strength; seek his face always.

            เฝ้าเดี่ยวไม่กี่นาทีช่วยให้ชีวิตทรงพลังทั้งวัน

-----------------------

22/02/2568

บทเรียน 16 พระเจ้ายิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง

 จงรู้เถิดว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง ทรงกำกับควบคุมโลกตลอดเวลา ควบคุมชีวิตทุกคน จงยำเกรงพระเจ้า

            คริสเตียนคุ้นเคยกับคำว่า “พระเจ้ายิ่งใหญ่” เรามักสรรเสริญพระองค์อย่างนั้น คำถามคือ “พระเจ้ายิ่งใหญ่” เป็นอย่างไร ยิ่งใหญ่อย่างไร ผู้เชื่อควรตอบสนองอย่างไร

            โยบ บทที่ 37 อธิบาย “พระเจ้ายิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง”

            อ่านโยบ.37

คำถามก่อนเรียน :

            1) จงอธิบาย คำว่า “พระเจ้ายิ่งใหญ่” หมายถึงอย่างไร พระเจ้ายิ่งใหญ่อย่างไร

            2) ผู้เชื่อควรตอบสนองพระเจ้าอย่างไร

บริบท :

            เอลีฮูเพื่อนโยบย้ำพระลักษณะสำคัญของพระเจ้าอีกครั้ง อธิบายด้วยการยกตัวอย่าง พูดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ชี้ว่าทรงยิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง กำกับควบคุมโลกตลอดเวลา ควบคุมชีวิตทุกคน ความยิ่งใหญ่ของพระองค์เกินกว่าจะเข้าใจทั้งหมด สิ่งที่มนุษย์ควรทำอย่างยิ่งคือ “ยำเกรงพระองค์” ไม่มีวิธีอื่นใดดีกว่านี้อีกแล้ว

โยบ.37:24 เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงยำเกรงพระองค์ พระองค์ไม่ทรงนับถือผู้ใดที่ถือตัวว่ามีปัญญา"

Therefore, people revere him, for does he not have regard for all the wise in heart?

            โยบ.37:24 เป็นข้อสรุปของบทนี้ จงยำเกรงพระเจ้าไม่เช่นนั้นจะพินาศ

1. ทรงกำกับควบคุมโลก

โยบ.37:1-4

1 เรื่องนี้กระทำให้หัวใจของข้าพเจ้าสั่นรัว สะทกสะท้านขวัญหนีดีฝ่อ

2 จงฟัง จงฟังเสียงกัมปนาทของพระองค์ และเสียงกระหึ่มที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์

3 พระองค์ทรงปล่อยให้ไปทั่วใต้ฟ้าทั้งสิ้น และฟ้าแลบของพระองค์ไปถึงสุดปลายแผ่นดินโลก

4 พระสุรเสียงของพระองค์ครางกระหึ่มตามไป พระองค์ทรงแผดพระสุรเสียงอันโอฬารึกของพระองค์ พระองค์มิได้ทรงหน่วงเหนี่ยวฟ้าแลบ เมื่อได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์

            เอลีฮูย้ำเรื่องพระเจ้าควบคุมโลกเพราะเป็นของพระองค์ โดยยกตัวอย่างเรื่องลมฟ้าอากาศ (ฟ้าผ่า-ส่วนหนึ่งของลมฟ้าอากาศ) แสดงให้เห็นถึงพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ ไม่มีใครพ้นมือพระองค์

สดด.29:4-5

4 พระสุรเสียงของพระเจ้า ทรงฤทธานุภาพ พระสุรเสียงของพระเจ้า เต็มด้วยความสูงส่ง

5 พระสุรเสียงของพระเจ้าหักต้นสนสีดาร์ พระเจ้าทรงฟาดต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอน
            อธิบายขยายความ
: สภาพดินฟ้าอากาศมีผลต่อทุกคนทั่วโลก มีผลต่อการใช้ชีวิต คนในแถบเมืองหนาวกับคนในเขตร้อนฝนชุก ดินฟ้าอากาศส่งผลต่อวิถีชีวิต มีผลต่อสุขภาพ ความคิดการกระทำของมนุษย์

            อาดัมเอวาล้มลงในความบาปส่งผลถึงปัจจุบัน มนุษย์อยู่ใต้อิทธิพลบาปและทำบาป ถึงกระนั้นพระเจ้ายังกำกับควบคุมโลก มารซาตานไม่เหนือกว่าพระองค์ ที่สุดแล้วมารซาตานจะถูกพิพากษาลงโทษ

2. ซับซ้อนเกินกว่าเข้าใจทั้งหมด

            พระธรรมโยบตอนนี้ชี้ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง ความยิ่งใหญ่ของพระองค์เกินกว่าจะเข้าใจทั้งหมด คริสเตียนจึงต้องใช้ความเชื่อ อยู่คู่ความเชื่อ

โยบ.37:5 พระเจ้าทรงสำแดงกัมปนาทอย่างประหลาดด้วยพระสุรเสียงของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำการใหญ่โตซึ่งเราเข้าใจไม่ได้

            โยบ.37:5 ชี้ว่าแผนและวิธีการของพระเจ้าซับซ้อนเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ

อสย.55:8-9

8 เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งทางของเจ้าไม่เป็นวิถีของเรา" พระเจ้าตรัสดังนี้

9 "เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น"

            อธิบายขยายความ: ความเป็นไปของโลกเป็นเรื่องสำคัญน่าติดตาม พระคัมภีร์พูดถึงบ่อยครั้ง หลายคนหลายชีวิต ประเด็นสำคัญคือคริสเตียนผู้เชื่อควรตอบสนองอย่างไร ทำอย่างไร ในเบื้องต้นพระคัมภีร์แนะนำ 3 ขั้นตอน 1) เริ่มต้นด้วยความเชื่อ 2) ดำเนินด้วยความเชื่อ 3) ลงท้ายด้วยความเชื่อ

            1) เริ่มต้นด้วยความเชื่อ

            คนไม่เชื่อพระเจ้าจะอธิบายเรื่องราวต่างๆ ด้วยความคิดเหตุผลของเขา บางคนยึดหลักปรัชญา บางคนยึดวิทยาศาสตร์ คริสเตียนเชื่อว่ามีพระเจ้า ทรงสร้างและควบคุมสรรพสิ่ง ผู้เชื่อสามารถเข้าถึงการทรงพระชนม์ด้วยการมีประสบการณ์ในพระองค์

            ตลอดพระคัมภีร์คนของพระเจ้ามีประสบการณ์ตรงกับพระองค์ เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค พระเจ้าของโยเซฟ พระเจ้าของโมเสส พระเจ้าของดาวิด พระเจ้าของอิสยาห์ ฯลฯ คนเหล่านี้อยู่คนละช่วงเวลา คนละพื้นที่ แต่ล้วนมีประสบการณ์ในพระองค์

            คริสเตียนบางคนมีประสบการณ์ใกล้ชิดพระเจ้าสม่ำเสมอ พระองค์ทรงอยู่ใกล้

            การเชื่อวางใจ พยายามดำเนินชีวิตตามคำสอนจะช่วยให้มีประสบการณ์กับพระเจ้า พระองค์จะคอยสนับสนุนด้วยวิธีการต่างๆ

          การเชื่อก่อนเป็นจุดเริ่มต้น ถ้าไม่เชื่อก็ยังไม่เริ่มต้น

            2) ดำเนินด้วยความเชื่อ

            แม้ผู้เชื่อพยายามมากแค่ไหนก็ไม่อาจเข้าถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าได้ครบถ้วน จะเข้าใจเฉพาะส่วนที่พระองค์เปิดเผยให้เข้าถึง มากเพียงพอที่จะดำเนินตามแผนการน้ำพระทัย

            บางคนอาจสงสัยว่าทำไมเชื่อพระเจ้าดำเนินชีวิตในความชอบธรรมยังเจออุปสรรคปัญหา คำตอบหนึ่งคือบ่อยครั้งอุปสรรคเป็นส่วนหนึ่งในแผนการพระองค์ มีตัวอย่างในพระคัมภีร์มากมาย เช่น โยเซฟ (ปฐก.45:4-11) โยบ (โยบ.40:6-9, 42:1-2) ชีวิตของผู้เผยพระวจนะหลายคน การข่มเหงคริสเตียนในคริสตจักรสมัยแรก ชีวิตหลายช่วงของอ.เปาโล และอีกมากที่ปรากฏในพระคัมภีร์

            บางครั้งอาจเป็นเพราะพระเจ้ากำลังทดสอบ ประสงค์สำแดงความยิ่งใหญ่ผ่านคนนั้น ดังเช่นโยบผู้ดีรอบคอบ พระเจ้าให้ซาตานทดลองโยบและโยบผ่านการทดสอบ ชีวิตโยบกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา เข้าใจศาสนศาสตร์พระลักษณะพระเจ้า ความคิดอ่านของพระองค์

            การทดสอบช่วยให้รู้จักพระเจ้ามากขึ้น เชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น ได้รับผลดี

ยก.1:2-3

2 ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี

3 เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า การทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง

1ปต.1:6-7

6 ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดี ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้ จำเป็นที่ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ

7 เพื่อการลองดูความเชื่อของท่าน อันประเสริฐยิ่งกว่าทองคำ ซึ่งแม้เสียไปได้ก็ยังถูกลองด้วยไฟ จะได้เป็นเหตุให้เกิดความสรรเสริญเกิดศักดิ์ศรีและเกียรติ ในเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาปรากฏ

            ทั้งหมดทั้งสิ้นพระเจ้ารู้เห็น ทรงกำกับควบคุม

1คร.10:13 ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่าน นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้

            ความรู้ความเข้าใจพระคัมภีร์ช่วยได้ ทำให้เข้าใจมากขึ้น เข้าใจอย่างมีตรรกะ ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อทั้งส่วนที่ “เข้าใจ” กับ “ไม่เข้าใจ”

            3) ลงท้ายด้วยความเชื่อ

            แทนที่จะจมอยู่กับความยากลำบาก รู้สึกขัดเคืองใจ ควรระลึกถึงเจตนาบริสุทธิ์ของพระองค์ นึกถึงพระพรมากมายที่ได้รับ พระพรปัจจุบันและอนาคต เชื่อว่าพระองค์จัดเตรียมสิ่งดีที่สุดให้เสมอ เข้าถึงว่าทรงเป็นพระเจ้าแสนดีต่อเรา จิตใจมุ่งตรงต่อพระองค์

            การนี้จำต้องอาศัย "ความเชื่อวางใจ" ประสบการณ์และความสัมพันธ์ สูงกว่านั้นต้องอาศัยความเชื่อกับการเชื่อฟัง เพราะมนุษย์ไม่อาจเข้าถึงความล้ำลึกได้ทั้งหมด ใจมนุษย์มักอ่อนไหวต่ออนาคต

            การแสวงหาพระเจ้า อ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน นมัสการ อยู่ใกล้พระองค์ช่วยได้

สดด.126:1-6

1 เมื่อพระเจ้าทรงให้ศิโยนกลับสู่สภาพดี เราก็เป็นเหมือนคนที่ฝันไป

2 ปากของเราได้หัวเราะเต็มที่ และลิ้นของเราได้เปล่งเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน แล้วเขาได้พูดกันท่ามกลางประชาชาติว่า "พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เขา"

3 พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี

4 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับสู่สภาพดี อย่างทางน้ำไหลที่ในเนเกบ

5 ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน

6 ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่าน จะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย

            รม.1:17 สอน 3 ขั้นตอนดังกล่าว 1) เริ่มต้นด้วยความเชื่อ 2) ดำเนินด้วยความเชื่อ 3) ลงท้ายด้วยความเชื่อ

รม.1:17 เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดย เริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ

            “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ”

3. ให้มนุษย์รู้ว่ามีพระเจ้า

โยบ.37:6-7

6 เพราะพระองค์ตรัสกับหิมะว่า "ตกลงบนแผ่นดินซี" และในทำนองเดียวกันก็ตรัสกับฝน และกับห่าฝนอันหนักของพระองค์

7 พระองค์ทรงมัดมือของมนุษย์ทุกคน เพื่อทุกคนซึ่งพระองค์ทรงสร้างจะรู้ได้

So that everyone he has made may know his work, he stops all people from their labor.

            พระเจ้าจำกัดการใช้ชีวิตด้วยสภาพดินฟ้าอากาศ ยกตัวอย่างหิมะกับฝนตกหนัก เป็นเครื่องเตือนว่าโลกมีพระเจ้าคอยกำกับควบคุม คนถูกจำกัดการทำงานหรืออยู่กับบ้านในสภาพอากาศดังกล่าว

            ตั้งแต่มนุษย์คนแรกทรงสำแดงว่ามีพระเจ้า มอบหมายหน้าที่และสนับสนุนอาดัมที่พระองค์ทรงสร้าง

ปฐก.2:18 พระเจ้าตรัสว่า "ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียวเราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่สมกับเขาขึ้น"

            พระองค์สัมพันธ์กับอาดัม กำกับดูแล สนับสนุน กระทั่งสร้างคู่อุปถัมภ์ให้

            แต่ความบาปทำให้มนุษย์ห่างไกลพระเจ้า ยิ่งทำบาปยิ่งห่างไกลพระองค์ ถูกอิทธิพลบาปผูกมัด บางคนไม่เชื่อ ไม่ยอมรับพระองค์ หันไปนมัสการสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้าเที่ยงแท้ ถือตนเป็นใหญ่ (นมัสการตัวเอง)

            อธิบายขยายความ: เป้าหมายการล่อลวงของบาปคือให้เลิกเชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก.3) มนุษย์ที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าคือบาป อยู่ในอิทธิพลบาป ทำบาปซ้อนบาป ทำบาปมากขึ้นทุกที โลกจึงเต็มด้วยบาป

            ถึงกระนั้นทรงสำแดงอยู่เสมอว่ามีพระเจ้า เพื่อเตือนใจให้กลับมาหาพระองค์ โยบในตอนนี้อธิบายว่าทรงสำแดงผ่านลมฟ้าอากาศ ความเป็นไปของโลก กระตุ้นจิตสำนึกมนุษย์ให้ตระหนักว่ามีพระเจ้า ทางออกของโลกคือกลับมาหาพระเจ้า

รม.1:20 ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย

            ทรงเลือกบางคนให้เชื่อพระองค์ กลับมาอยู่ใต้แผนการปลายทางที่ดีที่สุด

ยน.10:7-10

7 พระเยซูจึงตรัสกับเขาอีกว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เราเป็นประตูของแกะทั้งหลาย

8 บรรดาผู้ที่มาก่อนเรานั้นเป็นขโมยและโจร แต่ฝูงแกะก็มิได้ฟังเขา

9 เราเป็นประตู ถ้าผู้ใดเข้าไปทางเราผู้นั้นก็จะรอด เขาจะเข้าออกแล้วก็จะพบอาหาร

10 ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์

ยน.15:16 ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย และได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน

            โดยเหตุนี้ผู้เชื่อจึงดำเนินชีวิตด้วยความวางใจ พยายามแสวงหาพระเจ้า เข้าใจน้ำพระทัยและดำเนินตาม

4. สรรพสิ่งอยู่ใต้น้ำพระทัย

โยบ.37:8-12

8 แล้วสัตว์ป่าจึงเข้าไปสู่รังของมัน และพักอยู่ในถ้ำของมัน

9 พายุออกมาจากห้องทิศใต้ และความหนาวมาจากลมเหนือ

10 พระเจ้าประทานน้ำแข็งด้วยลมหายใจของพระองค์ และน้ำกว้างใหญ่ก็แข็งตัว

11 พระองค์ทรงบรรทุกความชุ่มชื้นไว้ที่เมฆทึบ พระองค์ทรงกระจายเมฆแห่งฟ้าแลบออกไป

12 มันหันไปๆ ตามการนำของพระองค์ เพื่อให้สำเร็จกิจทั้งสิ้นซึ่งพระองค์ทรงบัญชามันที่เหนือผิวพิภพที่มนุษย์อาศัยอยู่ได้

            วิถีของสรรพสิ่งเป็นไปตามที่พระองค์กำกับควบคุม วันเวลาเป็นของพระเจ้า ทุกสิ่งสำเร็จตามน้ำพระทัย

            โยบ.37:8-12 ขยายความพระเจ้าผู้อยู่เหนือสรรพสิ่ง มนุษย์มีความคิดมีแผน แต่ใครจะคิดอย่างคนของพระองค์ (ตรงข้ามคือคิดแบบคนบาป) ไม่ว่าใครจะคิดทำอย่างไร สุดท้ายทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนการน้ำพระทัย จึงสอนให้แสวงหาพระองค์ เรียนรู้จักพระองค์และดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัย เป็นความคิดและการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่มนุษย์ทำได้

            ผู้เชื่อคิดได้ ตัดสินใจได้ แต่ให้อยู่ภายใต้แผนการของพระองค์

สภษ.16:1-3

1 แผนงานของดวงความคิดเป็นของมนุษย์ แต่คำตอบของลิ้นมาจากพระเจ้า

2 ทางทั้งสิ้นของมนุษย์ก็บริสุทธิ์ในสายตาของเขาแต่พระเจ้าทรงชั่งจิตใจ

3 จงมอบงานของเจ้าไว้กับพระเจ้า และแผนงานของเจ้าจะได้รับการสถาปนาไว้

5. ทรงมีเป้าหมายในทุกสิ่ง

            วิถีของสรรพสิ่งที่พระองค์กำกับควบคุมนั้น ทรงทำอย่างมีเป้าหมาย มีเหตุผล

โยบ.37:13 ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการตีสอน หรือเพื่อแผ่นดินของพระองค์ หรือเพื่อความรักมั่นคง พระองค์ทรงกระทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น

He brings the clouds to punish people, or to water his earth and show his love.

            ในเบื้องต้นคือเตือนว่ามีพระเจ้าผู้ให้คุณให้โทษ สำหรับผู้เชื่อคือสอนให้รู้จักพระองค์ เข้าถึงแผนการทรงสร้าง เข้าใจน้ำพระทัย รับการเสริมสร้าง ตักเตือนตีสอนและรับพระพร

สภษ.16:4-6

4 พระเจ้าทรงกระทำให้ทุกสิ่งมีเป้าหมายของมันแม้คนชั่วร้ายก็เพื่อวันลำเค็ญ

5 ทุกคนผู้จองหองเป็นที่น่าเกลียดน่าชังแก่พระเจ้า จงแน่ใจเถิด เขาจะพ้นโทษก็หามิได้

6 ความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์ได้ลบมลทินบาปชั่ว และคนหลีกความชั่วร้ายได้โดยความยำเกรงพระเจ้า

          อธิบายขยายความ: ในกรณีผู้เชื่อ บางครั้งผู้เชื่อสงสัยทำไมจึงเผชิญเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่ไม่พึงปรารถนา แต่หากสิ่งนั้นมาจากพระเจ้าและตอบสนองอย่างถูกต้องจะกลายเป็นผลดีในที่สุด พระองค์จะนำสู่ผลลัพธ์ปลายทางที่ดี

ยน.10:10 ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์

            การยึดความเชื่อไว้มั่น เชื่ออย่างมั่นคงจึงสำคัญ ระลึกเสมอว่าพระเจ้าปรารถนาดี รักเรามากถึงขนาดให้พระเยซูตายไถ่บาปในขณะที่เรายังเป็นคนบาป

1ทธ.1:19 จงยึดความเชื่อไว้ และมีจิตสำนึกว่าตนชอบ ซึ่งข้อนี้บางคนได้ละทิ้งเสีย ความเชื่อของเขาจึงอับปางลง

            ท่านผู้เชื่อพระเจ้ายอมรับหรือไม่ว่าท่านยังทำบาป ท่านดำเนินชีวิตในความชอบธรรมมากขึ้นแต่ทำบาปด้วย ยังต้องขอการชำระกลับใจใหม่บางเรื่อง

            มีใครกล้าพูดว่าตัวเองบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ทำบาปเลย

1ยน.1:8 ถ้าเราทั้งหลายจะว่าเราไม่มีบาป เราก็ลวงตนเอง และสัจจะไม่ได้อยู่ในเราเลย

            ความเข้าใจสำคัญคือคริสเตียนยังทำบาปเสมอไม่มากก็น้อย ความเชื่อนำสู่ชีวิตนิรันดร์ แต่ในโลกนี้ยังต้องรับผลของบาปที่ทำ พระเจ้ายุติธรรม

            ใครหว่านสิ่งใดได้เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น “พระองค์ทรงสนองมนุษย์ตามการงานของเขา”

กท.6:7-8

7 อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น

8 ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังของตน ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณ ก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น

สดด.62:11-12

11 พระเจ้าตรัสครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยินอย่างนี้สองครั้งแล้วว่าฤทธานุภาพเป็นของพระเจ้า

12 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า และความรักมั่นคงเป็นของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสนองมนุษย์ตามการงานของเขา

and with you, Lord, is unfailing love”; and, “You reward everyone according to what they have done.”

            ตัวอย่าง นาย ก เป็นนักศึกษา เป็นคริสเตียนรับใช้พระเจ้า ใช้เวลาสอนสร้างสาวกจนดึกดื่น ในเวลาเรียนนาย ก มักนั่งหลับเสมอ หลังเลิกเรียนรีบทำการบ้านรายงานแบบลวกๆ เพื่อไปรับใช้พระเจ้า ทุกครั้งที่สอบนาย ก จะอธิษฐานขอให้ผลการเรียนออกมาดีและบางครั้งได้เช่นนั้นด้วย แต่โดยรวมผลการเรียนไม่สู้ดี

            หากต้องการผลการเรียนดีกว่านี้ นาย ก ควรให้เวลากับการศึกษามากขึ้น แบ่งเวลาระหว่างเรียน การรับใช้พระเจ้าและเรื่องอื่นอย่างเหมาะสม

            ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้าที่จะให้นาย ก ทำข้อสอบได้ทุกครั้งโดยไม่สนใจเรียนเท่าที่ควร เรียนไปหลับไป ถ้าการอธิษฐานคือวิธีหลักที่ทำให้คริสเตียนได้คะแนนดี มีความรู้สูง เช่นนั้นก็ไม่ต้องเข้าเรียนแล้ว

            ตัวอย่าง นาย ข ไปโบสถ์ทุกสัปดาห์ เข้าแคร์สม่ำเสมอ รับใช้งานคริสตจักรตามสมควร รักห่วงใยพี่น้องคริสเตียน แต่นาย ข มักมีปัญหาต้องเปลี่ยนงาน รายได้ไม่ค่อยพอ เมื่อสำรวจชีวิตพบว่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย นาย ข เป็นที่รักของพี่น้องคริสเตียนแต่ขาดมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน มักหลบเลี่ยงความรับผิดชอบในงานบริษัท

            จะเห็นว่านาย ข เป็นผู้เชื่อที่ดีเฉพาะกับพี่น้องคริสเตียนเท่านั้น ไม่สำแดงชีวิตผู้เชื่อแท้เมื่ออยู่กับคนอื่น สามารถเติมลักษณะนาย ข อื่นๆ เช่น เป็นพี่น้องที่ดีเมื่ออยู่ต่อหน้าคริสเตียนหญิง แต่เป็นคนเจ้าชู้เมื่ออยู่กับผู้หญิงอื่นๆ

            นาย ข มักขอให้ผู้นำช่วยอธิษฐานอวยพรเรื่องหน้าที่การงาน การมีรายได้เข้ามาบ้างช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ความยั่งยืนต้องมาจากการไม่ทำบาป เป็นคนดีรอบคอบ ดีต่อหน้าคริสเตียนและดีต่อหน้าคนอื่นๆ

            ใครหว่านสิ่งใดได้เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น “พระองค์ทรงสนองมนุษย์ตามการงานของเขา”

            หากวันนี้เรารับโทษรับผลเสียบางอย่าง ควรสำรวจตัวเองหรือไม่ว่าพระเจ้ากำลังสอนอะไรอยู่

6. เรียนรู้พระราชกิจอัศจรรย์

โยบ.37:14-18

14 "ท่านโยบเจ้าข้า ขอฟังข้อนี้ จงนิ่งพิจารณาการกระทำอันอัศจรรย์ของพระเจ้า

“Listen to this, Job; stop and consider God’s wonders.

15 ท่านทราบหรือว่าพระเจ้าทรงกำชับมันอย่างไร และกระทำให้ฟ้าแลบแห่งเมฆของพระองค์มีแสง

16 ท่านทราบถึงการทรงตัวของเมฆหรือ เป็นพระราชกิจอันประหลาดของพระองค์ผู้สมบูรณ์ในความรู้

17 ตัวท่าน ผู้ที่เสื้อผ้าของตนร้อน เมื่อแผ่นดินโลกซบเซาเพราะลมทิศใต้

18 ท่านแผ่ฟ้าออกไปอย่างพระองค์ได้หรือ ให้แข็งอย่างคันฉ่องหลอม

            คริสเตียนผู้เชื่อไม่สามารถเข้าถึงความรู้ความเข้าใจทั้งหมด กระนั้นยังต้องเอาใจใส่ศึกษาพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์ เรียนรู้ว่าพระเจ้าคิดอ่านอย่างไร วิธีการของพระองค์ พระประสงค์ต่อโลก ต่อชุมชนผู้เชื่อและต่อตัวท่านเองคืออย่างไร เพื่อดำเนินชีวิตอย่างผู้มีความเข้าใจ (มากขึ้น) สามารถทำอย่างถูกต้องที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

          อธิบายขยายความ: พวกฟาริสี ธรรมาจารย์ (คนที่พระเยซูกล่าวโทษ) น่าจะเข้าใจและรู้จักพระเจ้า แต่พวกเขาไม่รู้จริง ให้ความสำคัญพิธีกรรมโดยไม่เข้าถึงเหตุผลจุดประสงค์ของพิธีกรรมเหล่านั้น จึงเน้นประกอบศาสนกิจ ทั้งยังสอนผิดบางเรื่อง (เพราะไม่เข้าใจจริง บิดเบือนคำสอน) ทำผิดบางข้อ ไม่แสวงหาพระเจ้าจริงๆ

            พระเยซูกล่าวโทษพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี

มธ.23:13-15

13 "วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์ พวกเจ้าเองก็ไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ขัดขวางไว้

14 "วิบัติแก่เจ้าพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าริบเอาเรือนของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องมีโทษมากยิ่งขึ้น"

 15 "วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าเที่ยวไปตามทางทะเลและทางบกทั่วไป เพื่อจะได้แม้แต่คนเดียวเข้าจารีต เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาถึงนรกยิ่งกว่าเจ้าเองถึงสองเท่า

            6.1 คริสเตียนที่นับถือศาสนาคริสต์กับคริสเตียนที่รู้จักผูกพันพระคริสต์

             เมื่อพระเยซูเสด็จมาในโลก สภาพที่ปรากฏชัดคืออิสราเอลมุ่งยึดถือธรรมบัญญัติอย่างผิดๆ ประกอบพิธีกรรมโดยไม่เข้าถึงความหมาย คำสอนถูกบิดเบือน ไม่แสวงหาพระเจ้าจริง พระเยซูกล่าวโทษพวกธรรมาจารย์กับฟาริสีอย่างรุนแรง

            อิสราเอลในสมัยนั้นเป็นพวกนับถือศาสนามากกว่ารู้จักพระเจ้า ขาดความผูกพันใกล้ชิดพระองค์

            พระเยซูกล่าวโทษในมัทธิว 23

มธ.23:1-3, 23

1 ครั้งนั้น พระเยซูตรัสกับประชาชนและพวกสาวกของพระองค์ว่า

2 "พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส

3 เหตุฉะนั้น ทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอนพวกท่าน จงถือประพฤติตาม เว้นแต่การประพฤติของเขาอย่าได้ทำตามเลย เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน แต่เขาเองหาทำตามไม่

23 "วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าถวายทศางค์ ของสะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า ส่วนข้อสำคัญแห่งธรรมบัญญัติคือความยุติธรรมความเมตตา ความเชื่อนั้นได้ละเลยเสีย การถวายทศางค์พวกเจ้าก็ควรปฏิบัติ แต่ไม่ควรละเลยข้อสำคัญนั้นด้วย

“Woe to you, teachers of the law and Pharisees, you hypocrites! You give a tenth of your spices—mint, dill and cumin. But you have neglected the more important matters of the law—justice, mercy and faithfulness. You should have practiced the latter, without neglecting the former.

            ประเด็นที่สำคัญมากคือพระเยซูกล่าวโทษพวกเขาว่าไม่รู้จักพระเจ้า ไม่รู้จักพระเยโฮวาห์จริง เป็นพวกนับถือศาสนาและไม่เข้าใจคำสอนจริง (เข้าใจผิดบางส่วน)

ยน.8:13-19

ยน.8:19 เหตุฉะนั้นเขาจึงทูลพระองค์ว่า "พระบิดาของท่านอยู่ที่ไหน" พระเยซูตรัสตอบว่า "ตัวเราก็ดี พระบิดาของเราก็ดี ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก ถ้าท่านรู้จักเรา ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย"

Then they asked him, “Where is your father?” “You do not know me or my Father,” Jesus replied. “If you knew me, you would know my Father also.”

            อธิบายขยายความ: ธรรมาจารย์กับฟาริสีศึกษาพระคัมภีร์มาก สามารถท่องข้อพระคัมภีร์ ประกอบพิธีกรรม ถวายเครื่องบูชาเป็นประจำ แต่เข้าไม่ถึงพระองค์ (พระเยโฮวาห์) รู้จักพระเจ้าตามคำสอนธรรมบัญญัติเท่านั้น พระเยซูจึงกล่าวโทษพวกเขาว่า “พระบิดาของเราก็ดี ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก” ถ้าพวกเขารู้จักพระเยโฮวาห์จริงจะรู้จักพระเยซูด้วย เพราะคือพระเจ้าองค์เดียวกัน

            ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ (พระผู้ช่วยให้รอด) พวกเขาพลาดสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต ทั้งๆ ที่คนอิสราเอลสมัยนั้นรอคอยพระเมสสิยาห์ แต่เมื่อทรงเสด็จมาอยู่ตรงหน้ากลับปฏิเสธ

            พวกเขาไม่เข้าถึงพระเจ้าจึงไม่อาจรู้พระราชกิจอัศจรรย์

            จึงเป็นหลักการสำคัญเรื่อง “คริสเตียนที่นับถือศาสนาคริสต์กับคริสเตียนที่รู้จักผูกพันพระคริสต์”

            ยุคปัจจุบัน คริสเตียนบางคนรู้จักพระเจ้าเพียงผิวเผิน ไม่แสวงหาพระเจ้าจริงจัง ไม่สนใจศึกษาพระวจนะ บางคนคิดว่าตัวเองรู้มากแต่ความจริงรู้น้อย เข้าใจผิดมาก เป็นคริสเตียนที่นับถือศาสนาคริสต์มากกว่ามุ่งสัมพันธ์สนิทกับพระคริสต์

            คำถาม: การมุ่งสัมพันธ์สนิทพระเจ้าจะละเลยคำสอนอื่นหรือไม่

            ตอบ: คนที่ติดสนิทได้ต้องมีชีวิตบริสุทธ์ อันหมายถึงผู้นั้นต้องดำเนินชีวิตในความชอบธรรม (ปฏิบัติตามคำสอนต่างๆ) ดำเนินตามนิมิตการทรงเรียก หากไม่เป็นเช่นนี้คือพลาดเป้าหรือบาปนั่นเอง (ความบาปจะขวางการติดสนิท ความอธรรมกับความชอบธรรมอยู่ด้วยกันไม่ได้) ชีวิตของเขาจะสำแดงพระลักษณะมากขึ้นๆ (สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์มากขึ้นหรือบริสุทธิ์ทางพฤตินัยมากขึ้น) พระวิญญาณจะนำชีวิตและช่วยเหลือให้สำเร็จตามนิมิตการทรงเรียก เป็นตัวแทนพระองค์ในโลก

            การแสวงหาพระเจ้าส่วนตัวเป็นเรื่องสำคัญ พระเยซูทำพระราชกิจมากโดยไม่ละเลยที่จะแสวงหาพระบิดาเป็นการส่วนตัว

ลก.5:1-16

ลก.5:16 แต่พระองค์เสด็จออกไปในที่เปลี่ยวและทรงอธิษฐาน

1ปต.2:1-5

1 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงละความชั่วทั้งปวง การอุบายต่างๆ ความไม่จริงใจ ความริษยา และคำพูดส่อเสียดทั้งหลาย

2 เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ เพื่อโดยน้ำนมนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้นสู่ความรอด

3 เพราะท่านได้ลิ้มรสพระกรุณาคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้า

4 จงมาหาพระองค์ คือพระศิลาที่ทรงชีวิต ซึ่งมนุษย์ได้ปฏิเสธไม่ยอมรับแล้ว แต่ว่าตามพระดำริของพระเจ้านั้นเป็นศิลาที่ทรงเลือกไว้ และทรงค่าอันประเสริฐ

5 และท่านทั้งหลายก็เสมือนศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายพระวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายวิญญาณ ที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์

you also, like living stones, are being built into a spiritual house to be a holy priesthood, offering spiritual sacrifices acceptable to God through Jesus Christ.

7. เชื่อและเชื่อฟัง

โยบ.37:19-23

19 จงสอนเรามาว่าเราควรจะทูลพระองค์อย่างไร เพราะความมืดเราจึงร่างสำนวนของเราไม่ได้

20 จะทูลพระองค์ได้ไหมว่า ข้าพเจ้าอยากจะทูลมีใครเคยคิดไหมว่าเขาอยากจะตาย

21 "ฝ่ายมนุษย์เพ่งดูแสงสว่างไม่ได้ เมื่อมันสุกใสอยู่ในท้องฟ้า เมื่อลมผ่านไปกวาดให้กระจ่าง

22 แสงทองส่องมาจากทิศเหนือ พระเจ้าทรงฉลองพระองค์ด้วยความโอ่อ่าตระการอย่างน่าคร้ามกลัว

23 องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้น เราจะค้นพบพระองค์ไม่ได้ พระองค์ใหญ่ยิ่งในเรื่องฤทธานุภาพ ความยุติธรรมและความชอบธรรมอันมากยิ่งพระองค์จะไม่ทรงฝ่าฝืน

The Almighty is beyond our reach and exalted in power; in his justice and great righteousness, he does not oppress.

            เอลีฮูเพื่อนโยบสรุปตอนท้ายของบทนี้ว่า มนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงความคิดความอ่านพระองค์ได้ทั้งหมด ยิ่งคนบาปยิ่งเป็นไปไม่ได้ (ความบาปปิดกั้นไม่ให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ชอบธรรม) ดังนั้นแม้ไม่เข้าใจทั้งหมดก็ให้เชื่อฟังและยอมรับพระเจ้า มั่นใจว่าพระองค์ทรงดีต่อเรา (เหมือนกรณีโยบ) เป็นเหตุผลว่าท้ายที่สุดต้องใช้ความเชื่อ

            เป็นการเสียเวลาเปล่าและอาจพลาดน้ำพระทัยหากจะทำตามคำสอนก็ต่อเมื่อเข้าใจเท่านั้น ไม่มีใครเข้าใจความคิดของพระองค์ได้ทั้งหมด

1คร.13:9 เพราะความรู้ของเรานั้นไม่สมบูรณ์ และการเผยพระวจนะนั้นก็ไม่สมบูรณ์

            อธิบายขยายความ: พระเจ้าสั่งให้แสวงหา เรียนรู้จักพระองค์ ใกล้ชิดมากที่สุด แต่การแสวงหาพระองค์ไม่เป็นเหตุไม่ใช้ความเชื่อ ในทางตรงข้ามยิ่งเข้าถึงพระองค์ยิ่งมีความเชื่อและเชื่อฟัง

            ชีวิตผู้เชื่อติดตามพระเจ้าโดยใช้สมอง เรียนรู้เข้าใจตรรกะของพระองค์ และใช้ความเชื่อในส่วนที่ต้องใช้ การใช้ความคิดกับความเชื่อไม่ขัดแย้งกันแต่สนับสนุนกัน

            อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องถ้าจะเน้นยึดความเชื่ออย่างเดียว ละเลยการศึกษาพระวจนะ ไม่พยายามเข้าใจศาสนศาสตร์ ถ้าแค่ใช้ความเชื่ออย่างเดียวก็ไม่ต้องมีพระคัมภีร์แล้ว

            พระเจ้าย้ำเสมอให้ศึกษาพระคัมภีร์ พระวจนะมีส่วนที่ให้เข้าใจตรรกะพระองค์กับอีกส่วนให้ยึดถือด้วยความเชื่อ

            การศึกษาพระวจนะและปฏิบัติตามช่วยชำระจิตใจ เสริมสร้างกำลังฝ่ายวิญญาณ สามารถดำเนินชีวิตในความชอบธรรม บริสุทธิ์มากขึ้นในทางพฤตินัย (ทำบาปน้อยลง) จิตวิญญาณสัมผัสใกล้ชิดพระเจ้าง่ายขึ้น ลึกซึ้งขึ้น

            ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดเหนือนามทั้งปวง ไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่กว่าพระองค์อีกแล้ว ผู้สร้างสรรพสิ่ง จอมเจ้านายจอมราชา (Lord of lords and King of kings) พระธรรมโยบให้ความสำคัญศาสนศาสตร์เรื่องนี้มากที่สุด อธิบายข้อนี้ซ้ำไปซ้ำมา

โยบ.37:23 องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้น เราจะค้นพบพระองค์ไม่ได้ พระองค์ใหญ่ยิ่งในเรื่องฤทธานุภาพ ความยุติธรรมและความชอบธรรมอันมากยิ่งพระองค์จะไม่ทรงฝ่าฝืน

The Almighty is beyond our reach and exalted in power; in his justice and great righteousness, he does not oppress.

            ผู้เชื่อสามารถเชื่อวางใจแม้ไม่เข้าใจทั้งหมด ให้ตระหนักและยอมรับดังนี้

            1) ยอมรับว่าทรงเป็นพระเจ้า (23ก)

            องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์-ผู้สร้างและเป็นเจ้าของสรรพสิ่ง

            2) ไม่สามารถเข้าถึงอย่างสมบูรณ์ (23ข)

            เนื่องจากผู้เชื่อไม่สมบูรณ์ อยู่ในโลกแห่งความบาป คริสเตียนได้แต่พยายามแสวงหาพระเจ้าเต็มที่ ทรงเปิดเผยให้เข้าใจมากพอสำหรับการดีทุกสิ่ง พระองค์ทรงนำแม้ผู้เชื่อไม่สมบูรณ์ดีพร้อม

            3) ทรงฤทธานุภาพสูงสุด (23ค)

            ไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้ ไม่ใครสามารถขวางพระองค์ ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัยโดยไม่ตกหล่นแม้แต่น้อย

            4) ทรงยุติธรรม (23ง)

            โลกแห่งความบาปเต็มด้วยการทุจริตคดโกง หลอกลวง ไว้ใจไม่ได้ แต่พระเจ้าไม่เป็นเช่นนั้น ทรงยุติธรรม ประทานความยุติธรรมแก่ทุกคนๆ ต้องรับผลในสิ่งที่ตนทำ ไม่ว่าดีหรือร้าย

          อธิบายขยายความ: เพราะพระเจ้ายุติธรรมผู้เชื่อจึงไว้วางใจพระองค์ มั่นใจว่าการติดตาม ดำเนินชีวิตตามคำสอนคือหนทางที่ดีที่สุด และเป็นเครื่องเตือนใจว่าอย่าทำบาป

            5) ทรงชอบธรรม (23จ)

            ทุกการตัดสิน ทุกการกระทำของพระองค์ถูกต้องชอบธรรม ไม่มีดีกว่านี้อีกแล้ว

          อธิบายขยายความ: บางคนพยายามปฏิบัติอย่างถูกต้องชอบธรรมต่อตัวเองและคนอื่น แต่ความคิดความสามารถของมนุษย์จำกัดแม้พยายามถึงที่สุด ส่วนพระเจ้าไม่จำกัด ทรงทำอย่างชอบธรรมดีเลิศทุกครั้งทุกเรื่อง ไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย ความยุติธรรมกับความชอบธรรมของพระองค์อยู่คู่กันเสมอ

            6) ไม่กดขี่ (not oppress-23ฉ)

            พระเจ้าไม่กดขี่รังแกผู้ใดแม้กระทั่งต่อคนบาป ไม่มีอคติ ทรงให้คนบาปทุกคนรับผลบาปอย่างยุติธรรม ไม่มากหรือน้อยเกินไป เมื่อทำดีชอบธรรมพระองค์ให้เขารับผลดีอย่างสมควรเช่นกัน

8. จงยำเกรงพระเจ้า

โยบ.37:24 เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงยำเกรงพระองค์ พระองค์ไม่ทรงนับถือผู้ใดที่ถือตัวว่ามีปัญญา"

Therefore, people revere him, for does he not have regard for all the wise in heart?

            โยบบทที่ 37 เอลีฮูเพื่อนโยบย้ำพระลักษณะสำคัญของพระเจ้าอีกครั้ง ด้วยการยกหลายตัวอย่าง เพื่อเป็นเหตุผลนำสู่ข้อสรุปว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง ทรงกำกับควบคุมโลกอยู่ตลอดเวลา ความยิ่งใหญ่ของพระองค์เกินกว่าจะเข้าใจทั้งหมด สิ่งที่มนุษย์ควรทำอย่างยิ่งคือ “ยำเกรงพระองค์” (โยบ.37:24) ปัญญาแท้คือปัญญาที่ยอมอยู่ใต้สิทธิอำนาจ

            โยบ.37:24 เป็นข้อสรุปของบทนี้ จงยำเกรงพระเจ้าไม่เช่นนั้นจะพินาศ

          อธิบายขยายความ: มนุษย์ที่คิดว่าตัวเองดีแล้ว ฉลาดแล้ว ถูกแล้วตามแนวทางตัวเอง มักจะไม่แสวงหาพระเจ้า ไม่ตอบสนองพระองค์

            สดด.53:1-2 ใครคือคนโง่ คนฉลาดเป็นอย่างไร

สดด.53:1-2

1 คนโง่รำพึงอยู่ในใจของตนว่า "ไม่มีพระเจ้า" เขาทั้งหลายก็เสื่อมทรามกระทำความบาปผิดที่น่าเกลียดน่าชัง ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี

2 พระเจ้าทรงมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ ดูบุตรชายทั้งหลายของมนุษย์ ว่าจะมีคนใดบ้างที่ฉลาด ที่เสาะหาพระเจ้า

God looks down from heaven on all mankind to see if there are any who understand, any who seek God.

ลก.5:31-32

31 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ

32 เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีตให้กลับใจเสียใหม่"

รม.3:10-18

10 ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย

11 ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า

12 เขาทุกคนหลงผิดไปหมด เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี ไม่มีเลย

13 ลำคอของเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง พิษงูร้ายอยู่ใต้ริมฝีปากของเขา

14 ปากของเขาเต็มไปด้วยคำแช่งด่าและคำเผ็ดร้อน

15 เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด

16 ในทางเดินของเขามีความพินาศและความทุกข์

17 และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข

18 เขาไม่เคยคิดที่จะยำเกรงพระเจ้าเลย

อสย.5:21 วิบัติแก่คนเหล่านั้นที่ฉลาดในสายตาของตัวและเฉียบแหลมในสายตาของตน

            ปลายทางของคนที่ไม่ยำเกรงพระองค์คือความพินาศ

สรุป:

            สรุปโยบบทที่ 37 จงกลับใจ ยำเกรงพระเจ้า

คำถามหลังคำสอน :

            1) แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวที่ท่านเรียนรู้ ภายหลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว ว่าพระเจ้าควบคุมโลก

            2) ท่านมั่นใจอย่างไรว่าปลายทางชีวิตของท่านจะได้รับผลดี หากเชื่อฟังติดตามพระเจ้าอย่างมั่นคง ท่านจะดำเนินชีวิตอย่างไรในระหว่างที่ยังไม่ได้รับผลดีเต็มที่

--------------------------

บทความแนะนำ

บทเรียน 17 พระเยโฮวาห์ผู้ดำรงอยู่นิรันดร์

 นามพระเจ้าบ่งบอกว่าทรงดำรงอยู่นิรันดร์ เป็นจุดเริ่มของสรรพสิ่ง ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด ถ้าปราศจากพระองค์จะไร้ซึ่งสรรพสิ่ง การดำรงอยู่ของพระองค์กั...