บทเรียน 13 ผู้เชื่อผู้มีปัญญาของพระเจ้าจากโยบบทที่ 34

มนุษย์เห็นคุณค่าของปัญญา หลายคนทุ่มเทแสวงหาความรู้สติปัญญา โยบบทที่ 34 สอนหลักการอย่างไรจึงเรียกว่าผู้เชื่อผู้มีปัญญาของพระเจ้า

            อ่านโยบ บทที่ 34

คำถามก่อนเรียน :

            1) ท่านคิดว่าคนมีปัญญากับคนขาดปัญญาต่างกันอย่างไร

            2) ท่านคิดว่าคนมีปัญญามีลักษณะอย่างไร

ผู้เชื่อผู้มีปัญญาของพระเจ้า:

            จากโยบบทที่ 34 มีลักษณะดังนี้

1. ถ่อมใจเรียนรู้

โยบ.34:1-3

1 เอลีฮูพูดต่อไปว่า

2 "ท่านผู้มีปัญญา ขอฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า ท่านผู้มีความรู้ ขอเงี่ยหูฟังข้าพเจ้า

“Hear my words, you wise men; listen to me, you men of learning.

3 เพราะหูก็ชิมถ้อยคำ อย่างกับเพดานปากชิมอาหาร

            การเรียนรู้ในที่นี้หมายถึงการเรียนรู้หลักการคำสอนของพระเจ้า ตั้งใจเรียนด้วยใจถ่อม ยอมรับคำสอนแม้ตัวเขาได้ชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาอยู่แล้ว

            อธิบายขยายความ: ในสังคมของคนไม่เชื่อพระเจ้า พวกเขายึดถือปัญญาความรู้ตามแบบของพวกเขา มีสถานศึกษามากมายเชี่ยวชาญวิทยาการต่างๆ ความรู้หลายอย่างเป็นประโยนชน์ หลายอย่างสะท้อนการทรงสร้าง แต่ความรู้ที่จะเข้าถึงพระเจ้าอย่างแท้จริงมีอยู่ในพระองค์เท่านั้น

            ในชุมชนคนเชื่อพระเจ้า บางคนคิดว่าเขารู้แล้ว รู้มากแล้ว คนเหล่านี้เข้าใจผิดคิดเอาว่ารู้แล้ว ใครที่พูดว่ารู้มากอาจบ่งชี้ว่าไม่อยากเรียนรู้อีก ไม่คิดแก้ไขความเข้าใจผิด

            บางคนด้วยมีตำแหน่งในชุมชนสูงไม่ยินดีรับฟังผู้มีตำแหน่งต่ำกว่า นึกในใจอยู่เสมอว่าผู้มีตำแหน่งต่ำกว่าเป็นฝ่ายที่ต้องฟังตน บางคนถึงขั้นดื้อดึงทางความคิดไม่ยอมรับผิด (ด้วยคิดว่าตนมีตำแหน่งเหนือกว่า) คนเช่นนี้สมควรถูกลดตำแหน่งเพื่อช่วยให้เขามีใจถ่อม ยินดีศึกษาเพิ่มเติมจากทุกแหล่ง ยินดีแก้ไขส่วนที่ยังต้องเรียนรู้เพิ่ม

            ทุกคนลองพิจารณาตนเอง

            บริบทในตอนนี้โยบผู้รักพระเจ้า ตั้งใจรักษาบัญญัติสุดกำลัง มีพระเจ้าทรงนำ ชีวิตประสบความสำเร็จเป็นแบบอย่างแก่คนทั้งหลาย ยังเข้าใจผิดคิดว่าพระเจ้ากระทำผิดพลาด ลงโทษตนอย่างไม่สมควร ที่ผ่านมาโยบได้ถกเถียงกับเพื่อนถึง 3 คนแล้ว ยืนยันว่าตนคิดถูกเข้าใจถูก มาถึงตอนนี้เอลีฮูเพื่อนคนที่ 4 กำลังชี้แจงว่าอะไรถูกอะไรผิด

โยบ.29:3 เมื่อประทีปของพระองค์ส่องเหนือศีรษะข้า และข้าเดินฝ่าความมืดไปด้วยความสว่างของพระองค์

            อธิบายขยายความ: โยบเป็นอีกกรณีตัวอย่างของความไม่สมบูรณ์ดีพร้อม (not perfect) ท่านได้รับการทรงนำจริงแต่ไม่ได้หมายถึงท่านจะดีเลิศสมบูรณ์ทุกอย่าง โมเสส อิสยาห์ ดาวิด อัครทูตสมัยพระเยซูไม่สมบูรณ์เช่นกัน มีแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่สมบูรณ์ดีพร้อม ดังนั้น ทุกคนจึงยังเรียนรู้ได้ และโยบกำลังเรียนรู้เพิ่มเติม

2. รู้จักแยกแยะ

โยบ.34:4 ขอให้เราเลือกสิ่งที่ถูก ขอให้เราเรียนรู้ในพวกเราเองว่าอะไรดี

Let us discern for ourselves what is right; let us learn together what is good.

            พระคำโยบในข้อนี้สอนว่าต้องเรียนรู้จนสามารถแยกแยะว่าอะไรถูกอะไรผิด สามารถแก้ไขความคิดต่างๆ ว่าที่ถูกที่ควรเป็นอย่างไร

            การจดจำพระวจนเป็นเรื่องดีควรทำอย่างยิ่ง และต้องเข้าใจความล้ำลึกในข้อที่ท่องจำด้วย เป็นเครื่องช่วยแยกแยะว่าอะไรถูกอะไรผิด สามารถประยุกต์ใช้อย่างถูกต้อง สมดุล (ในความหมายเกิดผลสูงสุด)

            อธิบายขยายความ: บ่อยครั้งที่คริสเตียนคิดผิด-เข้าใจผิด-ทำผิด-หรือไม่ดีที่สุด โดยคิดว่าตนทำถูกแล้ว คิดเอาเองว่ากำลังทำตามหลักพระคัมภีร์อย่างถูกต้องสมบูรณ์

            ความจริงคือคริสเตียนไม่สามารถปฏิบัติตามพระคัมภีร์มากเกินกว่าที่เขารู้เข้าใจ (อย่างถูกต้อง) ด้วยเหตุนี้คริสเตียนที่เชื่อพระเจ้า 1 ปีจะปฏิบัติอย่างคนที่เข้าใจพระคัมภีร์ 1 ปี คริสเตียนที่เชื่อพระเจ้า 5 ปีจะปฏิบัติอย่างคนที่เข้าใจพระคัมภีร์ 5 ปี และคริสเตียนที่เชื่อพระเจ้า 20 ปีจะปฏิบัติอย่างคนที่เข้าใจพระคัมภีร์ 20 ปี ไม่มีใครสักคนที่ปฏิบัติครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งหมด ผู้เชื่อแต่ละคนปฏิบัติตามที่เขารู้เข้าใจ

            จึงเป็นที่มาของข้อสรุปข้างต้นว่าบ่อยครั้งที่คริสเตียนคิดเอาเองว่ากำลังทำตามหลักพระคัมภีร์อย่างถูกต้องสมบูรณ์ ... แต่ความล้ำลึกของพระวจนะนั้นเกินจะหยั่งถึง

รม.11:33 โอ พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้น ล้ำลึกเท่าใด ข้อตัดสินของพระองค์นั้นเหลือที่จะหยั่งรู้ได้ และทางของพระองค์ก็เหลือที่จะสืบเสาะได้

Oh, the depth of the riches of the wisdom and knowledge of God! How unsearchable his judgments, and his paths beyond tracing out!

            ในชีวิตผู้เชื่อจะมีประสบการณ์การเรียนรู้แยกแยะไม่สิ้นสุด พระเจ้าจะทดสอบว่าเขาแยกแยะถูกต้องยิ่งขึ้นหรือไม่

            การแยกแยะว่าอะไรถูกผิดไม่ได้แปลว่าผู้เชื่อคนนั้นจะทำได้ตามนั้น แต่ให้ทิศทางที่ถูกต้อง ยับยั้งชั่งใจหากจะทำผิด

3. ไม่เข้าข้างตัวเอง

โยบ.34:5-8

5 เพราะโยบกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเป็นคนชอบธรรม และพระเจ้าทรงเอาความยุติธรรมที่ควรตกแก่ข้าพเจ้าไปเสีย"

6 ข้าพเจ้าถูกนับเป็นคนมุสา ถึงแม้ข้าพเจ้าชอบธรรมแผลของข้าพเจ้ารักษาไม่หาย แม้ว่าข้าพเจ้าไม่มีการทรยศเลย

7 ใครหนอที่จะเหมือนโยบ ผู้ดื่มความเหยียดหยามเหมือนดื่มน้ำ

8 ผู้เข้าสังคมกับคนกระทำชั่ว และเดินไปกับคนอธรรม

            โยบมีสิ่งดีมากมาย พยายามดำเนินในความชอบธรรม เป็นที่ยกย่องนับถือ แต่ท่านยังมีจุดอ่อน ในตอนนี้เอลีฮูชี้ความผิดโยบที่ตีความเข้าข้างตนเองว่าตนเป็นคนชอบธรรม ไม่ทำผิดเรื่องใดเลยดังที่โยบยืนยันตั้งแต่ต้น

            เอลีฮูชี้ว่าคนมักตีความเข้าข้างตนเอง เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง โยบไม่ต่างจากคนอื่นๆ (6-8)

4. ไม่บิดเบือนความจริง

โยบ.34:9 เพราะท่านได้กล่าวว่า "ไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่มนุษย์เราที่เขาจะปีติยินดีในพระเจ้า"

For he says, ‘There is no profit in trying to please God.’

            แท้จริงแล้วโยบสัตย์ซื่อมั่นคงต่อพระเจ้ามากเหนือบรรดาคนทั่วไป ได้รับการอวยพรมากมาย มีชีวิตที่ดีตามอย่างคนยึดมั่นในพระเจ้า แต่ด้วยความไม่สมบูรณ์ดีพร้อมเมื่อเผชิญภัยร้ายแรงกับชีวิตและครอบครัวจึงแสดงความอ่อนแอออกมา ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่รู้จักเจ็บปวด ทุกข์ใจ เศร้าเสียใจ คิดว่าไม่ได้รับความยุติธรรม สงสัยและแสดงท่าทีไม่ถูกต้องต่อพระเจ้า

5. ยึดความจริงไว้มั่น

            หลักการเบื้องต้นที่ช่วยผู้เชื่อให้สามารถชนะความอ่อนแอทั้งสิ้นคือ ยึดมั่นความจริงไว้มั่น เปรียบเหมือนเรือที่ตั้งเข็มทิศสู่ความบริสุทธิ์ชอบธรรมในทางของพระเจ้า

            แค่ความคิดเปลี่ยน ค่านิยมเปลี่ยน ชีวิตจะทรงพลังขึ้นทันที คนของพระเจ้าจะแสวงหาพระองค์ ติดตามพระองค์ ดำเนินชีวิตตามการทรงเรียก อยู่กับพระองค์ตั้งแต่วันนี้จนถึงนิรันดร์

โยบ.34:10-12

10 "เพราะฉะนั้น ท่านผู้มีความเข้าใจ ขอฟังข้าพเจ้าเมินเสียเถิดที่พระเจ้าจะทรงกระทำความอธรรม และที่องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะทรงกระทำผิด

11 เพราะพระเจ้าทรงสนองตามการกระทำของมนุษย์ และพระองค์ทรงให้เกิดแก่เขา ตามการกระทำของเขา

12 แน่นอนทีเดียว พระเจ้าจะไม่ทรงกระทำชั่ว และองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะไม่ทรงผันแปรความยุติธรรม

            หากตัวเราเป็นโยบเราอาจไม่ต่างจากโยบที่สงสัยว่าทำไมจึงเกิดเรื่องร้ายแรงกับตน ทำไมพระเจ้าลงโทษรุนแรง (แทนการอวยพร เขาได้รับการอวยพรมากมายมาตลอดไม่ใช่หรือ) มีคำถามในใจและวนเวียนอยู่กับความคิดนี้

            ทางแก้คือต้องยึดความจริงไว้ให้มั่น อันหมายถึงยึดพระวจนะซึ่งเป็นความจริงแท้อย่างมั่นคง แม้ไม่เข้าใจทั้งหมด แม้มีข้อสงสัย แม้เผชิญสถานการณ์ไม่พึงปรารถนา

            อธิบายขยายความ: บางคนต่อสู้ทางความคิดตั้งแต่เด็ก ติดอยู่ความคิดหลายปีหลายสิบปีว่าทำไมถึงจน ครอบครัวยากไร้ ฐานะสังคมต้อยต่ำ ขาดความอบอุ่น ทำไมเกิดมาเตี้ยหรือสูงเกินไป บางคนพิการตั้งแต่แรกเกิด ฯลฯ รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ มีเรื่องน่าผิดหวัง น่าเศร้าใจตั้งแต่เด็ก

            ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ต้องยึดพระวจนะให้มั่น ยึดว่าพระเจ้ามีพระประสงค์ที่ดี สิ่งที่ควรทำอย่างยิ่งคือกลับใจใหม่ แสวงหาใกล้ชิดพระเจ้า รับการทรงสร้าง รับการทรงนำ ดำเนินชีวิตกับพระองค์ นี่คือชีวิตผู้เชื่อ

2คร.5:16-18

16 เหตุฉะนั้นตั้งแต่นี้ไป เราจะไม่พิจารณาผู้ใดตามมาตรฐานของโลก แม้ว่าเมื่อก่อนเราเคยพิจารณาพระคริสต์ตามมาตรฐานของโลกก็จริง แต่เดี๋ยวนี้เราจะไม่พิจารณาพระองค์เช่นนั้นอีก

17 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น

18 ทั้งสิ้นนี้เกิดมาจากพระเจ้า ผู้ทรงให้เราคืนดีกันกับพระองค์ทางพระเยซูคริสต์ และทรงโปรดประทานให้เรามีพันธกิจเรื่องการคืนดีกัน

            คนที่น้อยเนื้อต่ำใจในเรื่องต่างๆ เพราะเขายึดมาตรฐานโลก (ยากจน ไม่หล่อไม่สวย ชีวิตลำบากตั้งแต่เด็ก) พระเจ้าให้ความสำคัญกับโลกหน้า ให้ความสำคัญกับการนำความรอดสู่คนทั้งหลาย (2คร.5:18) ทรงตั้งใจให้มีคนของพระเจ้าในที่ต่างๆ บริบทต่างๆ เพื่อให้พวกเขาสำแดงความเป็นพระคริสต์ เป็นตัวแทนพระองค์ในโลกนี้ (2คร.5:20)

2คร.5:20 ฉะนั้นเราจึงเป็นทูตของพระคริสต์ โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายทางเรา เราจึงขอร้องท่านในนามของพระคริสต์ให้คืนดีกันกับพระเจ้า

อฟ.4:22-24

22 ท่านจงทิ้งตัวเก่าของท่าน ซึ่งคู่กับวิถีชีวิตเดิมนั้นเสีย อันจะเสื่อมเสียไปสู่ความตายตามตัณหาอันเป็นที่หลอกลวง

23 และจงให้วิญญาณจิตของท่านเปลี่ยนใหม่

to be made new in the attitude of your minds;

24 และให้ท่านสวมสภาพใหม่ ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง

and to put on the new self, created to be like God in true righteousness and holiness.

            ผู้ที่ยึดมาตรฐานค่านิยมโลกมักแสวงหาความร่ำรวย ความหล่อความสวย ความสุขและชื่อเสียงที่โลกมอบให้ สิ่งต่างๆ ที่ล่อลวงมนุษย์ให้หลงไปกับสิ่งเหล่านั้น ส่วนคนของพระเจ้าจะแสวงหาพระองค์ ติดตามพระองค์ ดำเนินชีวิตตามการทรงเรียก อยู่กับพระองค์ตั้งแต่วันนี้จนถึงนิรันดร์

            คนของพระเจ้าจะแสวงหาพระองค์ ติดตามพระองค์ ดำเนินชีวิตตามการทรงเรียก อยู่กับพระองค์ตั้งแต่วันนี้จนถึงนิรันดร์ (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            แค่ความคิดเปลี่ยน ค่านิยมเปลี่ยน ชีวิตจะเปลี่ยน

6. พระลักษณะพระเจ้า

            คำสอนของพระเจ้ามีมากมาย มีหลายข้อที่ผู้เชื่อต้องยึดถือปฏิบัติ พระธรรมโยบตอนนี้สอนให้เข้าใจและยึดมั่นพระลักษณะเจ้า เช่น ทรงสิทธิอำนาจสูงสุด ทรงยุติธรรม

            โยบ.34:13-15 กำลังบรรยายว่าทรงมีพระลักษณะดังที่เคยเป็น เป็นอยู่และเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่สิ้นสุด

            ศาสนศาสตร์ตรงนี้คือพระเจ้าเป็นพระเจ้าดังที่เป็นอยู่ เหมือนดังเช่นอดีตกาล และเป็นเช่นนี้ในอนาคต ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ดังนั้นผู้เชื่อจึงต้องยำเกรง พึ่งพา วางใจพระองค์ ปฏิบัติต่อพระองค์อย่างถูกต้อง

            ความจริงที่ต้องยึดไว้มั่นจากพระวจนะตอนนี้คือ ...

          6.1 ทรงสิทธิอำนาจสูงสุด

โยบ.34:13-15

13 ใครแต่งตั้งให้พระองค์ปกครองโลก หรือใครเล่ามอบหมายทั้งโลกไว้กับพระองค์

14 ถ้าพระองค์ทรงให้วิญญาณของพระองค์กลับสู่พระองค์และทรงรวบรวมลมปราณของพระองค์กลับมาหาพระองค์

15 เนื้อหนังทั้งสิ้นก็จะพินาศไปด้วยกัน และมนุษย์ก็จะกลับไปเป็นผงคลีดิน

            โยบ.34:10-12 สอนให้ยึดความจริง จากนั้น (โยบ.34:13-15) เริ่มยกตัวอย่างความจริง ข้อแรกคือ “ทรงสิทธิอำนาจสูงสุด” ไม่มีผู้ใดสั่งหรือห้ามพระองค์ได้ ทรงทำตามพระประสงค์ของพระองค์เสมอ ไม่อยู่ใต้อำนาจใคร การตัดสินของพระองค์คือคำพิพากษาสุดท้าย นี่คือ “พระเจ้า”

            ในโลกนี้มีผู้ทรงอำนาจอยู่มากแต่พระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด เป็นจอมราชา จอมเจ้านาย

อสย.44:6 พระเจ้า พระบรมมหากษัตริย์แห่งอิสราเอล และผู้ไถ่ของเขา พระเจ้าจอมโยธา ตรัสดังนี้ว่า "เราเป็นผู้ต้นและเราเป็นผู้ปลาย นอกจากเราแล้วไม่มีพระเจ้า

“This is what the LORD says— Israel’s King and Redeemer, the LORD Almighty: I am the first and I am the last; apart from me there is no God.

ฉธบ.10:14 ดูเถิด ฟ้าสวรรค์และฟ้าสวรรค์อันสูงสุด และโลกกับบรรดาสิ่งสารพัดที่อยู่ในโลกเป็นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน

Look, the heavens, even the highest heavens, belong to the LORD, your God, as well as the earth and everything on it.

1ทธ.6:15-16

15 ซึ่งพระเจ้าผู้เสวยสุขและทรงฤทธิ์สูงสุดแต่พระองค์เดียว พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และพระผู้เป็นเจ้าเหนือเทพเจ้าทั้งปวง จะทรงสำแดงให้ปรากฏในเวลาอันควร

16 พระองค์ผู้เดียวทรงอมตะ และทรงสถิตในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง ผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็น และจะเห็นไม่ได้ พระเกียรติและฤทธานุภาพอันถาวรจงมีแด่พระองค์นั้น อาเมน

            พระเยซูเป็นพระเจ้า

            มธ.16:13-18 ในบริบทกำลังถกเถียงว่าพระเยซูคือใคร พระเยซูพูดถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์เอง ด้วยการทรงมอบสิทธิอำนาจแก่เหล่าสาวก (มธ.16:18-19) พระเยซูทำเช่นนี้ได้เพราะเป็นเจ้าของสิทธิอำนาจสูงสุด ทรงเป็นพระเจ้านั่นเอง ไม่ใช่แค่ผู้เผยพระวจนะหรือคนที่พระเจ้าส่งมา

มธ.16:13-18

13 ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเขตเมืองซีซารียา ฟีลิปปี จึงตรัสถามพวกสาวกของพระองค์ว่า "คนทั้งหลายพูดกันว่าบุตรมนุษย์เป็นผู้ใด"

14 เขาจึงทูลตอบว่า "เขาว่าเป็นยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา แต่บางคนว่าเป็นเอลียาห์ และคนอื่นว่าเป็นเยเรมีย์ หรือเป็นคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะ"

15 พระองค์ตรัสถามเขาว่า "แล้วพวกท่านเล่า ว่าเราเป็นใคร"

16 ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า "พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่"

17 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย ท่านก็เป็นสุขเพราะว่ามนุษย์มิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ

18 ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร {ภาษากรีกว่า เปโตร} และบนศิลา {ภาษากรีกว่า เปตรา} นี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้

19 เราจะมอบลูกกุญแจแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน ท่านจะกล่าวห้ามสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ เมื่อท่านจะกล่าวอนุญาตสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะกล่าวอนุญาตในสวรรค์ด้วย"

I will give you the keys of the kingdom of heaven; whatever you bind on earth will be bound in heaven, and whatever you loose on earth will be loosed in heaven.”

          6.2 ทรงดูแลกำกับความเป็นไปของโลก

            ด้วยความที่พระเจ้าคือผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงสิทธิอำนาจมากสุด สรรพสิ่งอยู่ใต้พระองค์ และทรงควบคุมกำกับดูแลสรรพสิ่ง ด้วย ...

          6.2.1 ด้วยความยุติธรรม

โยบ.34:16-20

16 "ถ้าท่านมีความเข้าใจ ขอฟังข้อนี้ ขอฟังเสียงถ้อยคำของข้าพเจ้า

17 ผู้ที่เกลียดชังความยุติธรรมควรจะปกครองหรือท่านจะประณามผู้ที่ชอบธรรมและทรงอานุภาพหรือ

18 ผู้ตรัสแก่พระราชาว่า "ท่านผู้ไร้ค่า" และแก่เจ้านายว่า "ท่านทั้งหลายผู้อธรรม"

19 ผู้ไม่ทรงแสดงอคติแก่เจ้านาย หรือไม่ทรงเห็นแก่คนมั่งคั่งมากกว่าคนยากจน เพราะคนทั้งหมดนี้เป็นพระหัตถกิจของพระองค์

20 สักครู่เดียวเขาทั้งหลายก็ตาย เวลาเที่ยงคืน ประชาชนตัวสั่นและตายไป และผู้มีอานุภาพก็ถูกเอาไปเสีย มิใช่ด้วยมือมนุษย์

They die in an instant, in the middle of the night; the people are shaken and they pass away; the mighty are removed without human hand.

            หลายคนเคยพบเจอความอยุติธรรมสารพัดรูปแบบ พระเจ้าทรงดูแลกำกับความเป็นไปของโลกด้วยความยุติธรรมอย่างถ้วนทั่ว ไม่เห็นแก่หน้าใคร

          อธิบายขยายความ: บางคนอาจเหมือนโยบที่คิดว่าเขาไม่รับความยุติธรรม พระองค์ไม่ยุติธรรมต่อเขาบางเรื่อง ความจริงคือความคิดความเข้าใจของมนุษย์จำกัด ในบริบทโยบผู้ดำเนินชีวิตในชอบธรรมพยายามรักษาบัญญัติเป็นอีกตัวอย่างให้เข้าใจความจำกัดของมนุษย์ ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าผู้เชื่อจะเข้าใจยอมรับหรือไม่ พระองค์ทรงความยุติธรรมในทุกเรื่องทุกเวลา ทรงเป็นเช่นนี้ไม่เปลี่ยนแปลง

            สิ่งที่ผู้เชื่อควรทำคือเรียนรู้เข้าใจพระเจ้าให้มากที่สุดและยึดความจริงไว้มั่น ในบริบทเอลีฮูสามารถแก้ความเข้าใจผิดของโยบโดยใช้ศาสนศาสตร์ที่โยบกับเพื่อนอีก 3 คนทำไม่ได้เช่นนั้น (ไม่ถูกต้องครบถ้วน) ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องย่อมนำพาชีวิตสู่ความถูกต้อง ไม่เสียเวลาคิดผิด-พูดผิด-ทำผิด

            ในตอนนี้พระธรรมโยบย้ำพระเจ้าทรงสิทธิอำนาจสูงสุด ควบคุมกำกับสรรพสิ่ง ชี้ว่ามนุษย์ตีค่าตัวเองสูงเกินไป คิดแต่ตัวเอง เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ความจริงแล้วชีวิตมนุษย์แสนสั้น อยู่ในโลกเพียงครู่เดียวเท่านั้นเมื่อเทียบกับพระเจ้าผู้ดำรงนิรันดร์ (20ก) พระองค์นี่แหละผู้กำหนดว่าจะให้เขาตายเมื่อไหร่อย่างไร (20ข, ง)

          อธิบายขยายความ: สำหรับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า สามารถข้ามพระธรรมโยบได้เลย เพราะไม่ยอมรับหรือไม่เข้าใจพระธรรม

            ส่วนผู้เชื่อที่ยอมรับว่าพระเจ้ามีจริง เป็นพระเจ้าของเขา จะต้องเชื่อและเข้าใจต่อไปว่าพระองค์ดูแลกำกับสรรพสิ่งให้เป็นไปตามพระประสงค์ ความยุติธรรมคือลักษณะหนึ่งที่ประกอบในแผนการเพราะพระเจ้ายุติธรรม ไม่อาจทำสิ่งอยุติธรรม (พระองค์ทรงเป็นพระองค์อยู่เสมอ ไม่เปลี่ยนแปลง)

            ผู้ที่คิดว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรมเท่ากับกำลังชี้ว่าทรงอธรรม (ไม่ชอบธรรม) กำลังบอกว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า

            เอลีฮูจึงกล่าวว่าการที่โยบสงสัยพระเจ้าเท่ากับกำลังชี้ว่าพระเจ้าไม่ชอบธรรม สรุปคือโยบกำลังสงสัยพระองค์ว่าเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้หรือไม่ (โดยที่โยบไม่รู้ตัว โยบยังเคารพบูชาดังที่ปฏิบัติเรื่อยมา)

            เอลีฮูเป็นตัวอย่างผู้ยึดความจริงไว้มั่นและใช้อย่างถูกต้อง เพราะเข้าใจพระวจนะมากกว่า ลึกซึ้งกว่า ยึดพระคำไว้มั่น สามารถประยุกต์ใช้ในบริบทต่างๆ เหนือกว่าโยบและเพื่อนอีก 3 คน

          6.2.2 อย่างทั่วถึงทุกเรื่องทุกเวลา

โยบ.34:21-23

21 "เพราะพระเนตรของพระองค์มองดูทางของคน พระองค์ทรงเห็นย่างเท้าของเขาหมด

22 ไม่มีที่มืดครึ้มหรือที่มืดทึบ ซึ่งคนชั่วจะซ่อนตัวได้

23 เพราะพระองค์ไม่ต้องทรงกำหนดเวลาให้แก่ใครให้เข้าเฝ้าพระเจ้ารับการพิพากษา

            บุคคลผู้รักษาความยุติธรรมในโลกมีข้อจำกัดมากมายแม้ตั้งใจพยายามรักษาความยุติธรรมเต็มที่ พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพไม่จำกัดเท่านั้นที่ดูแลได้ครบถ้วน ทรงสัพพัญญู (omniscience-รู้หมดทุกอย่าง) ไม่มีใครไม่มีสิ่งใดหลบซ่อนพระองค์ได้เลย

สดด.139:1-7

1 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ได้ทรงตรวจสอบข้าพระองค์และทรงรู้จักข้าพระองค์

2 เมื่อข้าพระองค์นั่งลงและลุกขึ้น พระองค์ทรงทราบ พระองค์ทรงประจักษ์ในความคิดของข้าพระองค์ได้แต่ไกล

3 พระองค์ทรงค้นวิถีของข้าพระองค์และการนอนของข้าพระองค์ และทรงคุ้นเคยกับทางทั้งสิ้นของข้าพระองค์

4 ข้าแต่พระเจ้า แม้ก่อนที่ลิ้นของข้าพระองค์จะพูด พระองค์ก็ทรงทราบความเสียหมดแล้ว

5 พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์อยู่ทั้งข้างหลังและข้างหน้า และทรงวางพระหัตถ์บนข้าพระองค์

6 ความรู้อย่างนี้อัศจรรย์เกินข้าพระองค์ สูงนัก ข้าพระองค์เอื้อมไม่ถึง

7 ข้าพระองค์จะไปไหน ให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้ หรือข้าพระองค์จะหนีไปไหนให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์

            ทรงสัพพัญญู (omniscience-รู้หมดทุกอย่าง) เป็นพระลักษณะพระเจ้าอีกข้อที่มีแต่พระองค์เท่านั้นที่มีความสามารถข้อนี้ มารซาตานรู้หลายสิ่งด้วยอยู่มานาน มีสมุนอยู่มาก แต่ไม่มีความสามารถเรื่องความสัพพัญญู

          6.2.3 พิพากษาทันทีตามน้ำพระทัย

โยบ.34:24-25

24 พระองค์ทรงสังหารผู้มีอานุภาพโดยไม่ต้องสอบสวนและทรงตั้งคนอื่นไว้แทน

25 เช่นนี้แหละ ด้วยทรงทราบกิจการของเขาแล้ว จึงทรงคว่ำเขาเสียในกลางคืน เขาก็แหลกไป

            สรรพสิ่งอยู่ภายใต้การตรวจสอบกำกับโดยพระองค์ ทรงดูแลให้เป็นไปตามน้ำพระทัย สิ่งใดที่ไม่ตรงน้ำพระทัยจะถูกปรับเปลี่ยนหรือทำลายทิ้งตามที่ทรงเห็นควร

             พระเจ้ามีเวลาของพระองค์ บางเรื่องทรงให้มนุษย์มีเวลากลับใจ ให้เวลาปรับแก้ หาไม่แล้วพระองค์จะจัดการอย่างใดอย่างหนึ่ง ท้ายที่สุดสรรพสิ่งดำเนินตามแผนการน้ำพระทัย

2ปต.3:9 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้า ในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายมาช้านาน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย แต่ทรงปรารถนาที่จะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่

          อธิบายขยายความ: คริสเตียนบางคนเข้าใจผิด คิดว่าการเป็นคริสเตียนเป็นเรื่องของการได้รับความรอด (ได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์) เมื่อเป็นคริสเตียนจะดำเนินชีวิตอย่างไรก็ได้ ขอเพียงรักษาความเชื่อก็ไม่ต้องห่วงว่าจะได้ขึ้นสวรรค์หรือไม่ (ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตโลกหน้า) ความเข้าใจเช่นนี้ผิดมหันต์ ที่ถูกต้องคือพระเจ้าให้คุณให้โทษมนุษย์ทุกคนอยู่เสมอ ใครทำบาปต้องรับผลบาปขณะมีชีวิตในโลก (โยบ.34:25-26) ส่วนผู้ประพฤติชอบธรรมตรงตามน้ำพระทัยจะได้รับการอวยพร

            พระเจ้าทรงยุติธรรม อย่าหลงเลย ทุกคนจะเก็บเกี่ยวผลดี-ผลเสียตามท่าทีความประพฤติอย่างยุติธรรม ทรงตีสอนคนของพระองค์ด้วยความรัก

          คำถาม: ถ้าสารภาพบาป ขอการอภัยจะช่วยได้หรือไม่ อย่างไร

            ทำไมมีคำสอนมากมายว่าขอเพียงสารภาพบาปก็จะหมดปัญหา

            ความจริงอีกข้อคือ ถ้าการเชื่อพระเจ้าช่วยให้ได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ ควรเข้าใจให้ครบถ้วนว่าเขาได้อยู่กับพระเจ้าหรือมีพระองค์อยู่เคียงข้างตั้งแต่ที่เชื่อพระเจ้า (จริง) แล้ว

            (อนึ่ง การทรงสถิตของพระเจ้าเป็นเรื่องซับซ้อนมีรายละเอียดมาก เช่น พระเจ้าคือความบริสุทธิ์ที่ไม่เข้ากับความบาป ผู้เชื่อบริสุทธิ์ชอบธรรมเฉพาะในทางนิตินัย ทรงสอนให้ผู้เชื่อแสวงหาพระองค์)

            โดยหลักการแล้ว คริสเตียนจึงอยู่กับพระเจ้า (มีพระองค์อยู่ด้วย) ตั้งแต่วันที่เขาเชื่อศรัทธา (จริง) ไม่ต้องรอจนถึงโลกหน้า แม้เขายังไม่สมบูรณ์

          6.2.4 พิพากษาตามมาตรฐานพระองค์

โยบ.34:26-27

26 พระองค์ทรงตีเขาเพราะความอธรรมของเขา ต่อหน้าต่อตามนุษย์

27 เพราะว่าเขาทั้งหลายหันกลับเสียจากการติดตามพระองค์ และไม่นับถือมรรคาของพระองค์แต่อย่างใดเลย

            กฎหมายมุ่งรักษาความยุติธรรม ความสงบเรียบร้อย แต่กฎหมายมีจุดอ่อนข้อบกพร่อง กระบวนการรักษากฎหมายไม่สมบูรณ์  ส่วนพระเจ้าคือความสมบูรณ์แบบ พระองค์พิพากษาตามมาตรฐานพระองค์ ไม่ตามมาตรฐานฝ่ายโลก

          อธิบายขยายความ: จริงหรือไม่ที่บ่อยครั้งคริสเตียนทำผิดโดยไม่รู้ว่าผิด บางครั้งคิดว่ากำลังทำสิ่งถูกต้องแต่ผิดมาตรฐานพระเจ้า (การเชื่อพระเจ้าไม่ได้หมายความว่าจะทำสิ่งที่ถูกต้องครบถ้วน) การศึกษาพระคัมภีร์ การอยู่ในชุมชนคนของพระเจ้าจึงสำคัญช่วยให้เข้าใจว่าถูกผิดเป็นอย่างไร

          6.2.5 ทรงควบคุมคนชั่ว ความชั่วร้ายของโลก

โยบ.34:28-29

28 เหตุนี้เขาจึงกระทำให้เสียงร้องของคนยากจนมาถึงพระองค์ และพระองค์ทรงฟังเสียงร้องของผู้รับความทุกข์ใจ

29 เมื่อพระองค์ทรงนิ่งเสีย ใครจะกล่าวโทษพระองค์ได้ เมื่อพระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์ ใครจะเห็นพระองค์ได้ ไม่ว่าจะทำแก่ประชาชาติหรือแก่บุคคลก็เหมือนกัน

            การกดขี่บีบบังคับโดยคนชั่ว (18-19) ทำให้คนมากมายทุกข์ยาก (ผู้กดขี่กับผู้ถูกกดขี่ทำบาปทั้งคู่) เป็นโลกของคนบาปที่ทำบาปต่อกัน ด้วยเหตุนี้พวกที่ถูกกดขี่จึงกลับมาแสวงหาพระเจ้า ร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์ (28)

            อธิบายขยายความ: ทั้งผู้มีอำนาจกับประชาชนทั้งหลายต่างทำบาปต่อพระเจ้า หันหลังให้พระองค์ คนชั่วย่อมทำชั่วต่อกัน ประชาชนถูกกดขี่ข่มเหง ในที่สุดร้องความช่วยเหลือจากพระเจ้า หันกลับมาแสวงหาพระเจ้าอีกครั้ง

            อนึ่งพระธรรมโยบเน้นคนที่เชื่อพระเจ้าหรืออาจตีความว่าคือคนชาติอิสราเอล โยบกับครอบครัวและเพื่อนคือส่วนหนึ่งของชุมชนที่เชื่อพระเจ้า พระธรรมโยบจึงบรรยายว่าพวกเขาร้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า (ไม่ใช่จากพระอื่นๆ)

            โลกเป็นเช่นนี้ ประวัติศาสตร์คนอิสราเอลเป็นเช่นนี้ พวกเขาทิ้งพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ไปแสวงหาพระอื่น กระทำตามอำเภอใจ ความบาปนำความทุกข์มาให้ จนในที่สุดร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เป็นวัฏจักรที่กลับมาแสวงหาพระเจ้าแล้วทอดทิ้งอีก

            ดังที่ชนชาติอิสราเอลแม้พวกเขาสามารถเข้าคานาอัน ตั้งถิ่นฐานที่นั่น แต่พวกเขาทอดทิ้งพระเจ้าอีกครั้งหลังสิ้นโยชูวา และได้รับผลแห่งบาป อิสราเอลตกต่ำ ชนชาติอื่นเข้ามากดกี่ข่มเหง เมื่อคนอิสราเอลร้องหาพระเจ้า พระเจ้าส่งผู้วินิจฉัย (คือคนที่พระเจ้าส่งมา) เข้ามาช่วย และเมื่อสิ้นผู้วินิจฉัยท่านนั้น คนอิสราเอลละทิ้งพระเจ้าอีกและเริ่มตกต่ำอีกครั้ง เหตุการณ์วนเวียนอยู่เช่นนี้ (ยุคผู้วินิจฉัย)

วนฉ.2:18-19

18 พระเจ้าทรงตั้งผู้วินิจฉัยขึ้นเมื่อไร พระเจ้าก็ทรงสถิตกับผู้วินิจฉัยนั้นเมื่อนั้น และพระองค์ทรงช่วยเขาทั้งหลายให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรูตลอดชีวิตของผู้วินิจฉัย เพราะพระเจ้าทรงกลับพระทัยสงสารเขาทั้งหลาย เมื่อทรงฟังเสียงคร่ำครวญของเขาเนื่องด้วยผู้ข่มเหงและบีบบังคับ

19 แต่อยู่มาเมื่อผู้วินิจฉัยนั้นสิ้นชีวิต เขาทั้งหลายก็หันกลับประพฤติชั่วร้ายเสียยิ่งกว่าบิดาของเขาหลงไป ติดตามปรนนิบัติ และกราบไหว้พระอื่น เขามิได้เคยงดเว้นความชั่วที่เคยกระทำหรือหายจากทางดื้อดึงของเขา

วนฉ.2:17 แต่เขาทั้งหลายก็ยังไม่เชื่อฟังผู้วินิจฉัยทั้งหลายของเขา เพราะเขาทั้งหลายเล่นชู้กับพระอื่น และกราบไหว้พระอื่น ไม่ช้าเขาก็หันไปเสียจากทางซึ่งบรรพบุรุษของเขาได้ดำเนิน ผู้ได้เชื่อฟังพระธรรมบัญญัติของพระเจ้า แต่เขาทั้งหลายมิได้กระทำตาม

            ต่อมาพวกเขาเรียกร้องอยากได้กษัตริย์ (ตามอย่างชนชาติอื่นรอบข้างที่ปกครองด้วยกษัตริย์) และพระองค์ประทานให้ เกิดยุคกษัตริย์ที่มีทั้งกษัตริย์ผู้ติดตามพระเจ้ากับที่ไปนมัสการรูปเคารพ วนเวียนอยู่อย่างนี้ทำนองเดียวกับยุคผู้วินิจฉัย จนในที่สุดพระเจ้าให้ทำลายทั้งอาณาจักรอิสราเอลกับยูดาห์ รวมถึงเยรูซาเล็มและพระวิหาร

            โยบ.34:28 อธิบายให้เห็นความเป็นไปของโลกอย่างชัดเจน เพราะเป็นโลกแห่งความบาป คนทั้งหลายต่างทำบาปต่อกัน ทำให้บางคนร้องขอความช่วยเหลือ กลับมาแสวงหาพระเจ้า

            คนกลับมาแสวงหาพระเจ้า สามารถแบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม คือพวกที่กลับใจครั้งแรกกับผู้เชื่อที่กลับใจซ้ำ

            1) พวกที่กลับใจครั้งแรก

            ดังที่พระเยซูกล่าวว่า คนป่วยต้องการหมอ

ลก.5:31-32

31 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ

32 เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีตให้กลับใจเสียใหม่"

            พวกกลับใจใหม่ครั้งแรกมักมาจากคนที่อยากได้ความช่วยเหลือ อยากรับการอวยพร พวกที่เห็นว่าชีวิตตนขาดบางสิ่งบางอย่างจึงแสวงหาความจริงและพบพระเจ้า จิตสำนึกร้องหาความจริงแท้ ความหมายแห่งชีวิต

            2) ผู้เชื่อที่กลับใจซ้ำ

            กลุ่มนี้เทียบได้กับชนชาติอิสราเอลที่รู้จักพระเจ้าอยู่แล้ว กลับมาแสวงหาพระองค์เมื่อเขารับความทุกข์ยาก หรือเป็นพวกที่ขอการอภัยหลังยอมรับว่าตนทำผิดบาปอีกแล้ว

 

            ด้วยอิทธิพลของโลกแห่งความบาป มนุษย์คนบาป ความไม่สมบูรณ์ของผู้เชื่อ คนทั้งหลายจึงมักทำบาปต่อกันและกัน รับผลของบาปตลอดเวลา สภาพของโลกขณะนี้คือผลของความบาปทั้งสิ้น ทั้งจากที่ตัวเราก่อกับที่คนอื่นก่อ ทั้งบาปจากปัจจุบันกับผลบาปที่สะสม กล่าวได้ว่าความบาปเป็นของสามัญที่พบเจอดาษดื่น

            ทั้งหมดอยู่ในสายพระเนตร ทรงกำกับควบคุมเป็นไปตามแผน ผู้ทำบาปจะรับผลของบาปตามพระบัญญัติ ไม่ว่าผู้คนจะพูดถึงพระองค์อย่างไร พระองค์ไม่ได้นิ่งเฉยอย่างที่บางคนเข้าใจ (โยบ.34:29) ทรงให้โลกเป็นไปตามพระบัญญัติ

            โอ้ ข้าพเจ้าช่างเป็นคนน่าสงสารเหลือเกินพระเจ้าข้า

            ข้าพเจ้ายอมรับแล้วว่าทุกคนควรพินาศ

            เหลือแต่พวกได้รับพระคุณความรักเท่านั้น

            ไม่ว่ามนุษย์จะเข้าใจหรือไม่ ยอมรับหรือไม่ โลกเป็นไปตามแผนการน้ำพระทัย หนทางที่ดีที่สุดคือแสวงหาพระเจ้า หาพระองค์ให้พบและติดตามพระองค์ พระเจ้าต้องการเช่นนั้นและตั้งใจจะช่วยอยู่แล้ว

          6.2.6 ทุกคนได้รับความยุติธรรม

โยบ.34:30 เพื่อว่าคนชั่วจะไม่ได้ครอบครอง และเขาจะไม่วางกับดักประชาชน

            ทุกคนได้รับการพิพากษาทั้งในโลกนี้กับโลกหน้า ไม่ว่าวันนี้เขาจะมีอำนาจบารมีมากเพียงไร (ที่คนคิดว่าไม่มีใครจัดการผู้นี้ได้) มีความสามารถในการสร้างภาพ สามารถหลบซ่อนความผิดบาปหรือไม่มีใครเอาผิดเขา อำนาจบารมีของผู้มีอำนาจดำรงอยู่เพียงชั่วขณะ ความบาปทุกเรื่องที่ทำพระองค์ทรงนับไว้หมดแล้ว

            การพิพากษาในโลกนี้คือรับการอวยพรหรือรับผลของบาปขณะมีชีวิต ส่วนในโลกหน้าคือเรื่องชีวิตที่อยู่กับพระเจ้านิรันดร์หรือไม่

            ไม่ว่ามนุษย์จะเข้าใจหรือไม่ (บางคนคิดว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม คิดว่าบางคนได้รับโทษน้อยเกินหรือมากเกินไป) พระเจ้าพิพากษาทุกคนอย่างยุติธรรม ทรงตอบแทนทุกคนตามมาตรฐานพระองค์

            คริสเตียนผู้มีปัญญาจึงระวังตัวไม่ทำผิดบาป ไม่ว่าคนจะเห็นหรือไม่ พระเจ้าตอบแทนแก่แต่ละคนอย่างเหมาะสมแล้ว แผนการพระองค์ดำเนินต่อไปไม่มีใครขัดขวางได้

7. ไม่มีผู้ใดแก้ตัวได้ว่าไม่ทำบาป

โยบ.34:31-33

31 "เพราะมีผู้ใดร้องทูลพระเจ้าว่า "ข้าพระองค์ได้รับการตีสอนแล้ว ข้าพระองค์จะไม่ทำผิดต่อไปอีก

“Suppose someone says to God, ‘I am guilty but will offend no more.

32 ขอทรงโปรดสอนข้าพระองค์ถึงสิ่งที่ข้าพระองค์มองไม่เห็น ถ้าข้าพระองค์กระทำบาปชั่ว ข้าพระองค์จะไม่กระทำอีก"

Teach me what I cannot see; if I have done wrong, I will not do so again.’

33 การตอบสนองของพระองค์จะต้องเป็นอย่างที่ท่านต้องการหรือ ท่านจึงไม่รับ ท่านเองต้องเลือก และไม่ใช่ข้าพเจ้า เหตุฉะนั้นท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ก็พูดไปเถิด

Should God then reward you on your terms, when you refuse to repent? You must decide, not I; so tell me what you know.

          7.1 ในกรณีผู้เชื่อ

            พระเจ้าทรงตีสอนผู้เชื่อเมื่อเขาทำผิดบาป ด้วยหวังว่าเขาจะรู้ตัว ยอมรับและกลับใจ ทรงทำเช่นนี้กับผู้เชื่อทุกคนด้วยความรัก ไม่มีข้อยกเว้น

            ไม่มีใครสมบูรณ์ ผู้เชื่อทุกคนทำบาปและมักทำผิดซ้ำเรื่องเดิม สะท้อนว่าแม้เชื่อพระเจ้าแล้วยังไม่สมบูรณ์ ทางออกไม่ใช่สารภาพบาปและทำบาปต่อไป ที่ถูกต้องคือสารภาพบาปแล้วแสวงหาใกล้ชิดพระเจ้าเพื่อจะได้รับกำลัง จิตวิญญาณฟื้นฟู มีพลังที่จะเอาชนะบาป เติบโตเข้าใกล้ความไพบูลย์มากขึ้น เข้าถึงความสำคัญของพระคุณ เพื่อยึดพระคุณไว้มั่น (คือยึดความรอดอย่างมั่นคง ทุกคนรอดด้วยพระคุณไม่ใช่ด้วยความสามารถตน) ดำเนินชีวิตที่มีพระองค์อยู่เคียงใกล้มากขึ้นและมากขึ้น พระเจ้าใช้การได้มากขึ้น สำแดงชีวิตที่ทรงพลังตามแบบฉบับคนของพระเจ้า

            นี่คือวิธีการของพระเจ้า แผนการน้ำพระทัยพระองค์ทำผ่านคนที่ไม่สมบูรณ์แต่ยินดีให้พระเจ้าใช้ เพื่อเขาได้รับความรอดและรางวัลทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เพื่อที่จะไม่มีใครอวดได้

อฟ.2:8-10

8 ด้วยว่าซึ่งเราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวเราทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้

9 ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้

10 เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ

          7.2 ในภาพรวมทุกคน

            พระเจ้าทรงสอน ทรงเตือนสติซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้มนุษย์กลับใจ ละทิ้งบาป หันกลับมาแสวงหาพระเจ้า ทรงทำเช่นนี้เพื่อไม่มีใครสามารถโต้แย้งว่าหากพระเจ้าสอนเขา เตือนสติและตีสอนแล้ว เขาจะไม่ทำผิดบาปอีก

            ความจริงคือพระเจ้าให้โอกาสครั้งแล้วครั้งเล่าแต่มนุษย์เลือกที่จะทำบาป คิดว่าเรื่องพระเจ้าไร้สาระ รักบาปมากกว่ารักพระเจ้า ดำเนินชีวิตในความบาป ไม่มีผู้ใดดีพร้อมสมบูรณ์ ดังนั้น จึงไม่มีใครสามารถโต้แย้งว่าขอเพียงมีคนสอน หากพระเจ้าเข้ามาเตือนสติเขาจะดำเนินชีวิตในทางของพระองค์อย่างดี ไม่ต้องรับผลบาป ด้วยเหตุนี้เมื่อพระเจ้าตอบแทนการดีกับการชั่วของแต่ละคนจึงเหมาะสมแล้ว

            อธิบายขยายความ: บางคนสงสัยว่าหากคนที่อยู่ห่างไกลจากผู้คนมากๆ ตลอดชีวิตไม่เคยได้ยินข่าวประเสริฐเลย คนเช่นนี้เหมือนขาดโอกาสได้รับความรอด โยบ.34:31-33 ให้ความกระจ่างว่าพระเจ้าทรงสอดส่องผู้นั้นเหมือนคนอื่นๆ ทั่วโลก ทรงพิพากษาเขา รับผลดี-ผลเสียจากสิ่งที่เขาคิด-พูด-ทำขณะมีชีวิตในโลกนี้และท้ายที่สุดต้องถูกพิพากษาเหมือนคนอื่นๆ ตามมาตรฐานพระเจ้า

            ถามต่อว่าผู้นั้นจะได้รับความรอด จะได้อยู่กับพระองค์นิรันดร์หรือไม่ คำตอบคือผู้เชื่อไม่ควรตอบคำถามนี้แทนพระเจ้า การพิพากษาเป็นสิทธิอำนาจของพระองค์เพียงผู้เดียว (เราสามารถศึกษา สามารถคิดในเชิงคำสอน แต่เราไม่รู้ทุกสิ่งไม่เข้าถึงทุกอย่าง ไม่สามารถสรุปหรือตัดสินแทนพระเจ้า ไม่ควรคาดเดาในเรื่องที่ไม่แน่ใจ)

            สิ่งที่มนุษย์ควรทำคือการยอมรับและอยู่ใต้สิทธิอำนาจพระเจ้า ขอความเมตตาที่จะไม่ต้องรับผลความผิดบาปใดๆ ไม่ว่าจะที่ตนทำหรือที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยอาดัมเอวา

            ผู้เชื่อต้องมีความเข้าใจว่าในยุคพระคัมภีร์เดิม ยังไม่มีพระเยซู ข่าวประเสริฐยังมาไม่ถึง ทุกคนสามารถรับความรอดผ่านความเชื่อ คือเชื่อว่าพระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้า ความเชื่อนี่แหละช่วยให้เขาไม่ต้องรับโทษบาปในวันพิพากษา แสดงออกด้วยการดำเนินชีวิตตามธรรมบัญญัติ เป็นเครื่องแสดงว่าเขาเชื่อพระเจ้า พยายามทำตามคำสั่งคำสอน

            ฮีบรู บทที่ 11 ได้อธิบายเรื่องที่คนในพระคัมภีร์เดิมเชื่อพระเจ้า ยอมรับว่าทรงเป็นพระเจ้า

ฮบ.11:3 โดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น

            3 ข้อแรกของธรรมบัญญัติ 10 ประการของโมเสส ให้ยึดพระเจ้าองค์เดียว คือเชื่อว่าพระเยโฮวาห์เท่านั้นที่เป็นพระเจ้า นมัสการพระองค์เพียงผู้เดียว นี่คือความเชื่อหลักที่พวกเขายึดถือ

อพย.20:1-6

1 พระเจ้าตรัสพระวจนะทั้งสิ้นต่อไปนี้ว่า

2 "เราคือพระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์คือจากแดนทาส

3 "อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา

4 "อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน

5 อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน

6 แต่เราแสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเรา และปฏิบัติตามบัญญัติของเราจนถึงพันชั่วอายุคน {หรือจำนวนหลายพันคน}

            คนในยุคพระคัมภีร์เดิม (พันธสัญญาเดิมหรือ Old Testament) จึงรอดด้วยความเชื่อ สำแดงว่าตนเชื่อด้วยการดำเนินชีวิตตามธรรมบัญญัติ เป็นบัญญัติที่วางไว้ตั้งแต่ต้น

            พระเยซูทรงย้ำบัญญัติข้อนี้

มก.12:28-29

28 มีธรรมาจารย์คนหนึ่ง เมื่อมาถึงได้ยินเขาไล่เลียงกัน และเห็นว่าพระองค์ทรงตอบเขาได้ดีจึงทูลถามพระองค์ว่า "ธรรมบัญญัติข้อใดเป็นเอกเป็นใหญ่กว่าธรรมบัญญัติทั้งปวง"

29 พระเยซูจึงตรัสตอบคนนั้นว่า "ธรรมบัญญัติเอกนั้นคือว่า โอ ชนอิสราเอล จงฟังเถิด พระเจ้าของเราทั้งหลายทรงเป็นพระเจ้าเดียว

            “พวกยึดธรรมบัญญัติ” กับ “พวกยึดคำสอนในพระคัมภีร์ใหม่” (ผู้เชื่อ 2 ยุค) ล้วนพบความจริงว่าไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหนก็ไม่สามารถทำตามธรรมบัญญัติ ไม่สามารถทำตามคำสอนพระเยซูครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่มีใครรอดด้วยการประพฤติแต่ด้วยความเชื่อเท่านั้น

            คำถาม คริสเตียนคนไหนกล้าพูดว่าตนทำตามคำสอนพระเยซูได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่เคยทำบาปเลย ไม่ต้องสารภาพบาป

            ดังนั้น ความรอดของผู้เชื่อทั้ง 2 ยุคจึงไม่ขึ้นกับการกระทำ (เป็นเช่นนี้ทั้งคู่) แต่มาจากความรักมั่นคง (อพย.20:6) หรือที่พระคัมภีร์ใหม่ใช้คำว่าพระคุณ (grace) คำว่าพระคุณให้ความหมายว่า ได้รับแม้ไม่สมควร ทั้งนี้พระเจ้าประทานให้โดยมีข้อแม้ว่าต้องเชื่อพระเจ้าจริง พระองค์เป็นผู้ริเริ่ม มีรากฐานจากความรักพระองค์

            พระคัมภีร์ใหม่สอนว่าในยุคพระคัมภีร์เดิม ทุกคนได้รับความรอดผ่านความเชื่อ คือเชื่อว่าพระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้า ความเชื่อนี่แหละช่วยให้เขาไม่ต้องรับโทษบาปในวันพิพากษา (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

ฮบ.11:39-40

39 คนเหล่านั้นทุกคนมีชื่อเสียงดีเพราะความเชื่อของเขา แต่เขาก็ยังไม่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้

40 เพราะพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งซึ่งประเสริฐยิ่งกว่านั้นไว้สำหรับเขา เพื่อเขาทั้งหลายจะได้รับความสมบูรณ์ด้วยกันกับเราเท่านั้น

            พระธรรมฮีบรูบทที่ 11 สอนเรื่องความเชื่อ ยกตัวอย่างคนในสมัยพระคัมภีร์เดิมที่มีความเชื่อ สมควรเป็นแบบอย่างแก่คริสเตียน (ยุคพระคัมภีร์ใหม่หรือพันธสัญญาใหม่) คนเหล่านั้นล้วนเชื่ออย่างมั่นคงว่าพระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้า สำแดงออกผ่านชีวิต การกระทำตามคำสั่งคำสอนพระเจ้า (อ่านฮีบรูบทที่ 11)

            สรุป คนในสมัยพระคัมภีร์เดิมได้รับความรอดผ่านความเชื่อ คือเชื่อว่าพระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้า แสดงออกด้วยการดำเนินชีวิตตามธรรมบัญญัติ เป็นเครื่องแสดงว่าเขาเชื่อพระเจ้า พยายามทำตามคำสั่งคำสอน (ที่ไม่มีใครทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ความรอดจึงมาทางความเชื่อเท่านั้น)

            ไม่ต่างจากคริสเตียนที่รอดผ่านความเชื่อ แต่เป็นความเชื่อที่สมบูรณ์กว่าคือเชื่อว่าพระเยซูได้ไถ่เราแล้วที่กางเขน (ความเชื่อที่สมบูรณ์กว่านี้คือความเชื่อตามแผนการพระเจ้า ถึงเวลาพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์และไถ่บาป ต่างจากผู้เชื่อสมัยพันธสัญญาเดิมที่รอคอยพระผู้ไถ่)

8. เตือนคนบาปต้องรับผลบาป

โยบ.34:34-37

34 คนที่เข้าใจจะพูดกับข้าพเจ้า คือคนฉลาดที่ฟังข้าพเจ้า จะพูดว่า

“Men of understanding declare, wise men who hear me say to me,

35 "โยบพูดอย่างไม่มีความรู้ ถ้อยคำของเขาไม่มีแก่นสารเสียเลย"

36 อยากจะให้โยบถูกทดลองต่อไปถึงที่สุด เพราะว่าเขาตอบเหมือนอย่างคนอธรรม

Oh, that Job might be tested to the utmost for answering like a wicked man!

37 เพราะเขาเพิ่มความทรยศเข้ากับบาปของเขา เขาตบมือเย้ยอยู่ท่ามกลางเรา และทวีถ้อยคำของเขากล่าวร้ายพระเจ้า"

            ตอนสุดท้ายของ โยบ.34 เอลีฮูสรุปย้ำว่าโยบผิด (หลังจากอธิบายชี้แจงแล้ว) และตักเตือนดังนี้

          8.1 คำเตือนคำสอนสำหรับทุกคน (34)

            หลังพูดชี้แจงตามหลักศาสนศาสตร์ เอลีฮูเพื่อนโยบคนที่ 4 กล่าวสรุปอีกครั้ง เป็นคำสอนคำเตือนโยบและทุกคน

            โยบมีชีวิตที่ดีอยู่แล้ว มีความเข้าใจธรรมบัญญัติและพยายามปฏิบัติอย่างครบถ้วน ถึงกระนั้นโยบไม่สมบูรณ์แบบ เป็นที่มาของข้อสงสัยต่อพระเจ้า ชีวิตโยบให้บทเรียนสำคัญว่าทุกคนต้องรับคำสอนรับการเตือนสติ ไม่คิดว่าเข้าใจหมดแล้ว

            คน 2 คนมีข้อดีข้อเสียต่างกัน โยบมีดีมากมายและอาจเหนือกว่าเอลีฮู แต่เอลีฮูมีความเข้าใจบางอย่างเหนือโยบสามารถเข้ามาตอบโยบช่วยเขาที่จุดนั้น

            หากเลือกที่จะยึดมั่นความคิดความเข้าใจของตัวเอง ไม่รับฟังคำเตือนสติ โยบจะยังเข้าใจผิด-คิดผิด-ประพฤติผิดต่อไป การรับฟังคำเตือนสติ คำสอนจากผู้อื่นเป็นจุดเริ่มนำสู่การกลับใจ ไม่ต้องอยู่ในบาปรับผลบาป พลาดโอกาสได้รับสิ่งดีที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้

          8.2 ต้องเข้าใจอย่างถูกต้อง (35)

            ปัญหาของโยบคือมีข้อสงสัยพระเจ้า ไม่เข้าใจว่าทำไมชีวิตต้องเผชิญเรื่องร้ายแรง

โยบ.34:5 เพราะโยบกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเป็นคนชอบธรรม และพระเจ้าทรงเอาความยุติธรรมที่ควรตกแก่ข้าพเจ้าไปเสีย"

            ทุกคนมีความคิด สามารถใช้ความคิด คนของพระเจ้ามีสติปัญญา มีความคิดบนหลักการพระองค์

            การเป็นคริสเตียนคือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ใหม่ ผู้เชื่อจำต้องเรียนรู้ แสวงหาความเข้าใจเพิ่มเติมตลอดชีวิต เป็นปัจจัยสำคัญช่วยให้สามารถดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง เติบโตสมบูรณ์มากขึ้น

            ใครรู้ก่อน ย่อมสามารถประพฤติอย่างถูกต้องเร็วกว่า

            เมื่อโยชูวาเข้ารับหน้าที่แทนโมเสส หนึ่งในคำสั่งแรกๆ ของพระเจ้าต่อโยชูวา คือ ให้ดำเนินไปกับพระเจ้าตามหลักการของพระองค์ โดยศึกษาทำตามธรรมบัญญัติ

ยชว.1:7-9

7 เพียงแต่จงเข้มแข็งและกล้าหาญยิ่งเถิด ระวังที่จะกระทำตามธรรมบัญญัติทั้งหมด ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของเราได้บัญชาเจ้าไว้นั้น อย่าหลีกเลี่ยงจากธรรมบัญญัตินั้นไปทางขวามือหรือทางซ้าย เพื่อว่าเจ้าจะไปในถิ่นฐานใดเจ้าจะได้รับความสำเร็จอย่างดี

8 อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างเหินไปจากปากของเจ้า แต่เจ้าจงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะกระทำตามข้อความที่เขียนไว้นั้นทุกประการ แล้วเจ้าจะมีความจำเริญ และเจ้าจะสำเร็จผลเป็นอย่างดี

9 เราสั่งเจ้าไว้แล้วมิใช่หรือว่าจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าตกใจหรือคร้ามกลัวเลย เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงสถิตกับเจ้า"

            พระเจ้าสอนและเตือนสติซาโลมอนเมื่อขึ้นเป็นกษัตริย์

2พศด.7:17-18

17 ส่วนเจ้า ถ้าเจ้าดำเนินต่อหน้าเราอย่างดาวิดบิดาของเจ้าดำเนินนั้น กระทำตามทุกสิ่งซึ่งเราได้บัญชาแก่เจ้า และรักษากฎเกณฑ์ของเราและกฎหมายของเรา

18 แล้วเราจะสถาปนาราชบัลลังก์ของเจ้า ดังที่เราได้กระทำพันธสัญญาไว้กับดาวิดบิดาของเจ้าว่า "เจ้าจะไม่ขาดชายผู้หนึ่งที่จะครอบครองเหนืออิสราเอล"

            ถ้าหนุ่มซาโลมอน ไม่ศึกษาไม่เรียนรู้ “กฎเกณฑ์ของเราและกฎหมายของเรา” เขาจะดำเนินกับพระเจ้าและจะ “กระทำตามทุกสิ่งซึ่งเราได้บัญชาแก่เจ้า” ได้อย่างไร

            ผลลัพธ์ของโยชูวากับซาโลมอนแตกต่างกัน

          8.3 ต้องผ่านทดลองทดสอบ (36-37)

            เอลีฮูเตือนสติว่าเรื่องที่เกิดกับโยบคือบททดสอบจากพระเจ้า สิ่งที่เขาต้องทำคือผ่านการทดสอบนี้ เมื่อยังไม่ผ่านจึงต้องอยู่ในการทดสอบทดลองนี้ต่อไป

            ถ้าเทียบกับคนทั่วไปโยบเหนือกว่าพวกเขามาก ติดตามพระเจ้าอย่างมั่นคง พยายามปฏิบัติตามธรรมบัญญัติเต็มกำลัง สำแดงชีวิตชอบบธรรม เป็นเกลือและแสงสว่างจนคนทั้งหลายยอมรับนับถือ ถึงกระนั้นโยบไม่ดีพร้อมไม่สมบูรณ์ มีจุดอ่อน

            ไม่ว่าโยบจะเผชิญอะไร เหตุร้ายแรงแค่ไหน โยบต้องตอบสนองอย่างถูกต้อง ผ่านการทดสอบทดลองให้จงได้

            อธิบายขยายความ: ดังที่อธิบายแล้วว่าถ้าเทียบกับคนทั่วไปโยบเหนือกว่าพวกเขามาก เป็นแบบอย่างผู้ติดตามพระเจ้าอย่างมั่นคง อย่างไรก็ตามพระเจ้าอยากให้โยบสมบูรณ์แบบมากขึ้น จึงอนุญาตให้เกิดเหตุร้ายกับชีวิตหวังให้ผ่านการทดสอบอีกครั้ง ชีวิตโยบที่ดีมากอยู่แล้วจะยิ่งดีขึ้นกว่าเดิม รับรางวัลจากชีวิตดีเลิศของตน

            ชีวิตผู้เชื่อต้องผ่านการทดสอบทดลองอยู่เสมอ อาจมาจากมารซาตานที่ล่อลวงให้ทำบาป (ให้ตกต่ำฝ่ายวิญญาณ) หรือมาจากพระเจ้าที่หวังให้เติบฝ่ายวิญญาณมากขึ้น เปรียบเหมือนการทำข้อสอบประจำชั้น ถ้าผ่านชั้นประถม 1 จะได้เรียนรู้และทำข้อสอบของชั้นประถม 2 พระเจ้ารู้ดีที่สุดว่าใครควรทำข้อสอบเรื่องใดอย่างไร เพื่อปั้นแต่งชีวิตผู้นั้นให้บริสุทธิ์สมบูรณ์แบบมากที่สุด โยบกำลังอยู่ในกระบวนนี้ไม่ต่างจากผู้เชื่ออื่นๆ

          8.3.1 ตอบสนองผิดเพิ่มบาปให้ตัวเอง

โยบ.34:37 เพราะเขาเพิ่มความทรยศเข้ากับบาปของเขา เขาตบมือเย้ยอยู่ท่ามกลางเรา และทวีถ้อยคำของเขากล่าวร้ายพระเจ้า"

            จากการที่โยบไม่เข้าใจจึงขอคำตอบจากพระเจ้า แต่พระองค์เป็นพระเจ้าผู้สิ่งใหญ่สูงสุด ไม่จำต้องรายงานใคร ไม่จำต้องตอบใคร (พระเจ้าอาจตอบคำอธิษฐานร้องทูล เป็นสิทธิอำนาจของพระองค์ที่จะตอบหรือไม่ตอบก็ได้)

            หากตอบสนองผิด (ในบริบทนี้คือ “กล่าวร้ายพระเจ้า”) คือการเพิ่มบาปให้กับตัวเอง

          8.3.2 ต้องเข้าใจและกลับใจใหม่

            ในบริบทนี้ โยบมีปัญหาความเข้าใจ จึงต้องแก้ความเข้าใจนี้ก่อน เพื่อนำสู่การกลับใจใหม่ เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญให้ผ่านบททดสอบทดลอง

            ท้ายที่สุดคือต้องเข้าใจให้ถูก ยอมรับว่าอะไรถูกผิด กลับใจใหม่ เปลี่ยนแปลงชีวิต นี่คือผู้มีปัญญาของพระเจ้า

1คร.2:13-16

13 เรากล่าวถึงเรื่องสิ่งเหล่านี้ ด้วยถ้อยคำซึ่งมิใช่ปัญญาของมนุษย์สอนไว้ แต่ด้วยถ้อยคำซึ่งพระวิญญาณได้ทรงสั่งสอน คือเราได้อธิบายความหมายของเรื่องฝ่ายวิญญาณ ให้คนที่มีพระวิญญาณฟัง

14 แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ

15 แต่มนุษย์ฝ่ายวิญญาณวิจัยสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่มีผู้ใดจะวิจัยใจคนนั้นได้

16 เพราะว่า ใครเล่ารู้จักพระทัยของพระเจ้าเพื่อจะแนะนำสั่งสอนพระองค์ได้ แต่เราก็มีพระทัยของพระคริสต์

for, “Who has known the mind of the Lord so as to instruct him?”

            ผู้มีปัญญาของพระเจ้าคือคนของพระองค์นั่นเอง พระเจ้าเปิดเผยให้เขาเข้าถึงปัญญาหรือพระทัยของพระองค์ และเขาตอบสนองพระปัญญา

1ทธ.4:1,6-8

1 พระวิญญาณได้ตรัสไว้อย่างชัดแจ้งว่า ต่อไปภายหน้าจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อ โดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวง และฟังคำสอนของพวกผีปิศาจ

6 ถ้าท่านจะให้คำแนะนำเหล่านี้แก่พวกพี่น้อง ท่านก็จะเป็นผู้รับใช้ที่ดีของพระเยซูคริสต์ เจริญด้วยคำสอนแห่งความเชื่อ และด้วยหลักธรรมอันดีที่ท่านได้ประพฤติตามนั้น

7 อย่าใส่ใจกับเทพนิยายอันหาสาระมิได้ จงฝึกตนในทางธรรม

8 เพราะถ้าการฝึกทางกายนั้นมีประโยชน์อยู่บ้าง ทางของพระเจ้าก็มีประโยชน์ในทุกทาง เพราะทรงไว้ซึ่งประโยชน์สำหรับชีวิตปัจจุบันและชีวิตอนาคตด้วย

คำถามหลังคำสอน :

            1) ยกตัวอย่าง เมื่อท่านได้รับการอวยพรเนื่องจากมีปัญญาจากพระเจ้า

            2) ท่านจะปรับปรุงตัวเองด้านใดเพื่อมีพระปัญญามากขึ้น

--------------------------