บทเรียน 2 ควรทำอย่างไรแทนการโทษชีวิต

พระเจ้าสอนและเปลี่ยนมุมมองต่อชีวิต จงยึดมั่นพระองค์เสมอ หวังให้ใกล้ชิดติดสนิท เพราะโลกเป็นแค่บ้านชั่วคราว

บางคนเมื่อประสบเหตุร้ายแรงเผชิญความทุกข์ยากก็บ่นต่อว่าคนอื่น โทษสังคมคนรอบข้าง โทษฟ้าดิน ขมขื่นทุกข์ใจ จมอยู่ในความคิดแง่ลบ โลกช่างเลวร้ายเหลือเกิน ในบางกรณีการอธิบายดังกล่าวมีส่วนถูกต้องอยู่บ้างแต่ไม่ก่อประโยชน์เท่าไหร่

สำหรับคริสเตียน พระเจ้าสอนให้มองด้วยความเข้าใจที่ต่างออกไป โยบเป็นกรณีตัวอย่างที่เขาต้องสูญเสียลูก สูญเสียความมั่งคั่งทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่พยามยามดำเนินชีวิตชอบธรรม คิดไม่คิดออกว่าตนทำผิดอะไร ทำไมต้องเกิดเรื่องเช่นนี้กับเขา

พระธรรมโยบบทที่ 9 เป็นความคิดมุมมองที่โยบมีต่อเหตุร้ายแรงที่เกิดกับตัวเอง 

คำถามก่อนเรียน :

1) เคยพบเห็นคนบ่นต่อว่าชีวิตตัวเองหรือไม่ เช่น เกิดมาจน ครอบครัวต่ำต้อย คนรอบข้างไม่รัก เตี้ยเกินไป ตัวไม่ขาว ฯลฯ สภาพความคิดความรู้สึกของผู้นั้นเป็นอย่างไร 

2) คิดว่าความคิดแง่ลบต่อชีวิตตัวเองเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษมากกว่า

อ่านพระธรรมโยบบทที่ 9

ควรทำอย่างไรแทนการโทษชีวิต :

1. โยบยอมรับว่าพระเจ้าพิพากษาถูกต้อง

โยบ.9:2 "จริงทีเดียว ข้าทราบว่าเป็นอย่างนั้น แต่คนเราจะชอบธรรมจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างไร

บิลดัดเพื่อนโยบมั่นใจว่าการนี้มาจากพระเจ้าและทรงพิพากษาถูกต้อง โยบยอมรับว่าเป็นเช่นนั้น ไม่มีใครสามารถโต้แย้งและทำไม่ได้ถ้าอยากทำ เพราะสติปัญญาพระองค์เกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ และทรงฤทธานุภาพไม่มีใครเอาชนะได้ ดังนั้น แม้ตัวเขาคิดไม่ออกว่าทำผิดบาปตรงไหนแต่ยอมรับว่าพระเจ้าเป็นฝ่ายถูก

โยบ.9:3-14

โยบ.9:4-8

4 พระองค์ฉลาดอยู่ในพระทัย และพระกำลังก็แข็งแรงผู้ใดเคยได้แข็งต่อพระองค์และชนะได้เล่า

5 พระองค์ผู้ทรงเคลื่อนภูเขา และภูเขาทั้งหลายก็ไม่รู้ เมื่อพระองค์ทรงคว่ำมันเสียด้วยพระพิโรธของพระองค์

6 ผู้ทรงสั่นแผ่นดินโลกให้ออกจากที่ของมัน และเสาของมันก็สั่นสะเทือน

7 ผู้ทรงบัญชาดวงอาทิตย์ และมันไม่ขึ้น ผู้ทรงผนึกเก็บบรรดาดวงดาวไว้

8 ผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์ออกแต่พระองค์เดียว และทรงย่ำคลื่นของทะเล

1.1 การพิพากษาอยู่เหนือสติปัญญาของมนุษย์

มนุษย์ทุกคนต่างถูกหล่อหลอมด้วยทัศนคติ มุมมองจากสังคมรอบตัว บางคนอาจคิดว่าต้องหาความสุขใส่ตัวให้มากสุดแม้ต้องทำร้ายเบียดเบียนคนอื่น บางคนคิดว่าใครดีใครอยู่ แพ้เป็นทาสชนะเป็นนาย ฯลฯ มักคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก สมควรแล้วที่ตนได้รับแต่สิ่งดีๆ

  ในมุมมองคริสเตียนให้ความสำคัญกับพระเจ้าผู้ควบคุมทุกสิ่ง ให้ความสำคัญกับโลกหน้าที่อยู่กับพระเจ้า มนุษย์คิดเอาเองว่าตนถูกแต่พระองค์ชี้ว่าเขาบาป 

โยบ.9:4-20 ถึงแม้ข้าชอบธรรม ปากของข้าจะกล่าวโทษข้าแม้ว่าข้าจะดีรอบคอบ พระองค์จะพิสูจน์ว่าข้าบกพร่อง

Even if I were innocent, my mouth would condemn me; if I were blameless, it would pronounce me guilty.

คำว่าคนดีรอบคอบ (the blameless) ในตอนนี้ที่หมายถึงดีสมบูรณ์แบบตามมาตรฐานมนุษย์ แต่เป็นคนบาปในสายพระเนตรพระเจ้า เมื่อทำบาปก็ต้องรับผลแห่งบาป ต้องรับความทุกข์ยาก

ในสายพระเนตรพระเจ้าทุกคนบาป ไม่ว่าเขาจะตีความเอาเองว่าเป็น “คนดีรอบคอบ” หรือ “คนอธรรม”

โยบ.9:4-22 ก็เหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นข้าจึงว่า พระองค์ทรงทำลายทั้งคนดีรอบคอบและคนอธรรม

It is all the same; that is why I say, ‘He destroys both the blameless and the wicked.’

สดด.147:5 องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราใหญ่ยิ่งและทรงฤทธานุภาพอุดม ความเข้าใจของพระองค์นั้นวัดไม่ได้

Great is our Lord and mighty in power; his understanding has no limit.

2. ทรงสิทธิอำนาจสูงสุด

ไม่มีผู้ใดสามารถห้ามพระองค์ ทรงไม่อยู่ใต้อำนาจใคร

พระเจ้าคือองค์ผู้สูงสุด พระเจ้าเที่ยงแท้เพียงหนึ่งเดียว ไม่มีใครเหนือพระองค์อีก สรรพสิ่งล้วนอยู่ใต้อำนาจพระองค์ ดังนั้นเมื่อพระเจ้าให้โยบประสบเหตุร้ายจึงไม่มีใครห้ามได้

โยบ.9:13 ดูเถิด พระองค์ทรงฉวยไป ใครจะห้ามพระองค์ได้ใครจะทูลพระองค์ว่า "พระองค์ทรงกระทำอะไรนั่น"

โยบ.9:19 ถ้าเป็นการประลองกำลัง ก็ดูพระองค์ซิ ถ้าเป็นเรื่องการพิพากษา ใครจะนัดฟ้องพระองค์ได้

If it is a matter of strength, he is mighty! And if it is a matter of justice, who can challenge him?

3. สิ่งที่ควรทำคืออธิษฐานร้องขอความเมตตา

โยบคิดไม่ออกว่าทำผิดบาปตรงไหนและยอมรับว่าพระเจ้าเป็นฝ่ายถูก ไม่สามารถโต้แย้งพระองค์ (ทรงสิทธิอำนาจสูงสุด) สิ่งที่มนุษย์ควรทำคืออธิษฐานร้องขอความเมตตา (เช่น อธิษฐานขอความช่วยเหลือ อธิษฐานขอให้พ้นภัยอัตราย) 

หลักสำคัญตรงนี้คือเท่ากับยอมรับว่าพระองค์คือพระเจ้า ยอมรับว่าทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้นั่นเอง ยอมรับการทรงนำและแผนการพระเจ้าที่มีต่อชีวิตตน 

การอธิษฐานเป็นตัวอย่างชี้ว่าเชื่อพระเจ้าและพยามยามติดสนิทสัมพันธ์กับพระองค์ ตลอดพระธรรมโยบเต็มด้วยคำที่โยบพูดหรืออยากพูดกับพระองค์

โยบ.9:14-15

14 แล้วข้าจะตอบพระองค์ได้อย่างไร จะเลือกถ้อยคำอะไรมาโต้ตอบพระองค์

“How then can I dispute with him? How can I find words to argue with him?

15 แม้ว่าข้าไร้ผิด ข้าก็ตอบพระองค์ไม่ได้ ข้าจะต้องขอพระกรุณาต่อโจทก์ของข้า

Though I were innocent, I could not answer him; I could only plead with my Judge for mercy.

4. เตือนใจว่าชีวิตคนเราสั้น เวลาผ่านไปเร็วมาก 

คนเราเวลาปกติมักสาละวนกับการเรื่องชีวิตประจำวัน นักศึกษาต้องไปเรียน ทำการบ้าน เตรียมสอบ คนทำงานวุ่นวายอยู่กับหน้าที่การงาน ทุ่มเทและยุ่งอยู่กับงาน พ่อแม่ห่วงลูกตลอดเวลา ไม่ค่อยคิดว่าชีวิตอาจประสบเหตุร้าย ไม่ใส่ใจว่าเวลาผ่านไปเร็ว ยิ่งเมื่อผ่านไปนานๆ แล้วมองหันกลับมาจะยิ่งเห็นว่าชีวิตผ่านไปเร็วมาก

โยบก็เป็นเช่นนั้น เตือนใจว่าอนาคตไม่แน่นอน จากที่เคยมั่งคั่งมีสุขแล้ววันหนึ่งก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง 

โยบ.9:25-26

25 "วันทั้งหลายของข้าพระองค์เร็วกว่านักวิ่ง มันพ้นไป มันไม่เห็นสิ่งดีอะไร

26 มันผ่านไปอย่างกับเรือเร็ว ดังนกอินทรีโฉบลงบนเหยื่อ

ข้อแนะนำเพิ่มเติม :

1. ลืมอดีต มุ่งปัจจุบัน มองอนาคต

แทนที่จะคิดวกไปวนมาในเรื่องที่ผ่านไปแล้วและสร้างความทุกข์ใจ สารพัดความคิดแง่ลบ พระเจ้าสอนให้จดจ่อที่อนาคต เป้าหมายอนาคต และพยามยามทำวันนี้ให้ดีที่สุด

ไม่ว่าวันนี้ท่านเป็นอย่างไร เผชิญอะไร จงจดจ่อที่อนาคตและทำวันนี้ให้ดีที่สุด หวังรับรางวัลจากพระเจ้า

ฟป.3:12-14

12 มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว

13 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า

14 ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ

2. จดจ่อที่นิมิตการทรงเรียก

สำหรับคริสเตียน คำว่าอนาคตต้องสัมพันธ์กับนิมิตการทรงเรียก

2.1 สุดท้ายต้องเผชิญหน้าความตายและตายอยู่ดี

ไม่ว่าจะมีอายุยืน 80 หรือ 120 ปีสุดท้ายต้องเผชิญหน้าความตายและตายอยู่ดี โลกเป็นแค่บ้านชั่วคราว ข้อสำคัญคือก่อนจากโลกไปจะพูดคำว่า “สำเร็จแล้ว” ได้หรือไม่

อาจมีแรงผลักดันหลายอย่างให้คริสเตียนติดตามพระเจ้ารับใช้พระองค์ คริสเตียนไม่สมบูรณ์ แต่แรงผลักดันสูงสุดต้องไม่ใช่ความตื่นเต้นจากการพบเห็นอัศจรรย์ ไม่ใช่พระพรที่ได้รับ พวกที่หวังแต่ความตื่นเต้นอาจเป็นการติดตามพระเจ้าแบบฉาบฉวย บางคนที่หวังพระพรฝ่ายโลกไม่ต่างจากคนทั่วไปที่อยากได้สิ่งต่างๆ มาบำรุงบำเรอความต้องการของเนื้อหนัง พระเจ้าของพวกเขาคือความสุขของเนื้อหนัง

การทุ่มเทรับใช้พระเจ้า พยายามเป็นคนชอบธรรมเป็นสิ่งดี แต่อาจไม่ได้ดำเนินตามนิมิตการทรงเรียกและได้รางวัลน้อย

อธิบายขยายความ : นาย ก เป็นชาวเขาในพื้นที่ห่างไกล พระเจ้าต้องการให้นาย ก ประกาศสั่ง

สอนในพื้นที่นี้ แต่นาย ก ดิ้นรนเข้าเมืองใหญ่ ประกาศสั่งสอนแก่คนจำนวนมาก คิดว่าเขาตั้งใจทำงานพระเจ้า กำลังรับใช้เกิดผล แต่สำหรับพระเจ้านาย ก ไม่ได้ทำตามนิมิตการทรงเรียก 

พระเจ้าสร้างมนุษย์แต่ละคนอย่างเจาะจง สร้างอาดัมกับเอวาอย่างมีเป้าหมายเฉพาะ คริสเตียนแต่ละคนต้องรู้ว่าพระเจ้าสร้างท่านมาเพื่ออะไร รู้นิมิตที่มาจากพระเจ้าและดำเนินชีวิตเพื่อนิมิตนั้น ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามนิมิตจะเกิดผลสูงสุดเพราะพระเจ้ารับรอง พระเยซูเป็นตัวอย่างที่ทำทุกอย่างตามพระประสงค์พระเจ้าและพระองค์บอกว่า “สำเร็จแล้ว” และทรงก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์ (ยน.19:28-30)

คริสเตียนจดจ่อที่นิมิตการทรงเรียก

2.2 การทรงเรียกเฉพาะบุคคลจากพระเจ้า

แรงผลักดันสูงสุดของผู้เชื่อคือปฐมบัญชากับมหาบัญชาด้วยความเชื่อและรักพระองค์ พูดให้เจาะจงกว่านี้คือนิมิต (ในความหมายเป้าหมาย) การทรงเรียกเฉพาะบุคคลจากพระเจ้า

สภษ.16:4 พระเจ้าทรงกระทำให้ทุกสิ่งมีเป้าหมายของมันแม้คนชั่วร้ายก็เพื่อวันลำเค็ญ

The LORD works out everything to its proper end— even the wicked for a day of disaster.

สำหรับผู้เชื่อ นิมิตคือเหตุผลของการทรงสร้าง เป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเคลื่อนไหวนำพาและรับรองการทรงเรียกนั้น

จงสำรวจตัวเอง วันนี้ท่านทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อใครหรือเพื่ออะไรกันแน่ ... 

2.2.1 ตัวอย่าง โยนาห์ 

โยนาห์พยายามหนีการทรงเรียก พระองค์มีวิธีการทำให้การทรงเรียกสำเร็จ 

ยนา 1:1-4

1 พระวจนะของพระเจ้ามาถึงโยนาห์ บุตรอามิททัยว่า

2 "จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์นครใหญ่ และร้องกล่าวโทษชาวเมืองนั้น เหตุความชั่วของเขาทั้งหลายได้ขึ้นมาถึงเราแล้ว"

3 แต่โยนาห์ได้ลุกขึ้นหนีไปยังเมืองทารชิชจากพระพักตร์พระเจ้า ท่านได้ลงไปยังเมืองยัฟฟา และพบกำปั่นลำหนึ่งกำลังไปเมืองทารชิช ดังนั้นท่านจึงชำระค่าโดยสาร และขึ้นเรือเดินทางร่วมกับเขาทั้งหลายไปยังเมืองทารชิช ให้พ้นจากพระพักตร์พระเจ้า

4 แต่พระเจ้าทรงขับกระแสลมใหญ่ขึ้นเหนือทะเล จึงเกิดพายุใหญ่ในทะเลนั้น จนน่ากลัวกำปั่นจะอับปาง

อธิบายขยายความ : คริสเตียนบางคนเหมือนโยนาห์ที่เขาไม่สมบูรณ์ ยังอยู่ในกระบวนการเติบโตฝ่ายวิญญาณ พระเจ้านำแต่ละคนอย่างเจาะจง (คนของพระเจ้าเป็นเช่นนี้ทุกคน) ขอเพียงโยนาห์เชื่อติดตามพระองค์นิมิตการทรงเรียกจะสำเร็จ อันที่จริงแล้วระหว่างทางคือกระบวนการเติบโต

ผู้เชื่อทำเต็มที่สุดกำลังแต่สำเร็จโดยพระเจ้า

“นิมิตการทรงเรียกจะเป็นตัวกำหนดเส้นทางชีวิต เส้นทางที่มีพระองค์ดำเนินไปด้วยตลอดทางจนสู่นิรันดร”

สดด.23:3-4, 6 “พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม”

3 ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์

4 แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์

6 แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์

นิมิตการทรงเรียกคือความชอบธรรม และมีความเฉพาะเจาะจง

2.2.2 ตัวอย่าง พระเยซู

พระเยซูเสด็จมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลก ปฏิบัติพระราชกิจไม่กี่ปี และไปที่กางเกงเพื่อไถ่บาปตามแผนการพระเจ้า พระองค์ตรัสว่า "สำเร็จแล้ว" และทรงก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์ (ยน.19:28-30)

จะเห็นว่าพระเยซูไม่ได้ทำทุกสิ่ง พระองค์ไม่ได้เดินทางทั่วโลกเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ แต่ได้ทำทุกอย่างตามแผนพระบิดา (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

ยน.4:34 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "อาหารของเราคือการกระทำตามพระทัยของพระองค์ ผู้ทรงใช้เรามา และทำให้งานของพระองค์สำเร็จ

ยน.5:30 "เราจะทำสิ่งใดตามอำเภอใจไม่ได้ เราได้ยินอย่างไรเราก็พิพากษาอย่างนั้น และการพิพากษาของเราก็ยุติธรรม เพราะเรามิได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา

3. ประโชน์ของการทำตามนิมิตการทรงเรียก

3.1 คนมีนิมิตจะเป็นคนที่มีพลัง

เพราะ “นิมิตมาจากพระเจ้า พระองค์กระทำให้สำเร็จตามน้ำพระทัย” (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น) คนมีนิมิตจึงเป็นคนที่มีพลัง พระองค์สนับสนุนเขา

ถ้ายังไม่ทราบนิมิตการทรงเรียกหรือยังไม่แน่ใจควรตั้งใจแสวงหาพระเจ้าต่อไป พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำพาชีวิตจนเข้าใกล้นิมิตมากที่สุด (ตอนแรกอาจห่างแต่จะตรงเป้ามากขึ้นๆ จนใกล้ที่สุด)

แท้จริงแล้วชีวิตคริสเตียนขอการทรงนำต่อเนื่อง

อาจแบ่งนิมิตเป็น 3 ระดับ คือ นิมิตพระเจ้า (มหาบัญชากับปฐมบัญชา) นิมิตคริสตจักร และนิมิตการทรงเรียกที่เจาะจงกับตัวเอง จะสอดคล้องสนับสนุนทั้ง 3 ระดับตามแผนการณ์พระเจ้า

3.2 คนมีนิมิตจะเป็นจะอิ่มเอมใจมีสันติสุข 

สันติสุขขั้นสูงสุดจะเกิดเมื่อผู้เชื่อดำเนินชีวิตตามการทรงเรียกที่เจาะจงต่อเขา เพราะพระเจ้าสร้างแต่ละคนอย่างเจาะจง มีเป้าหมายเจาะจง ปฐมบัญชากับมหาบัญชาเป็นนิมิตกรอบกว้างแต่ไม่ระบุการทรงเรียกเจาะจง

เป็นสันติสุขที่พระเยซูประทานให้โดยตรง

ยน.14:27 เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย

ผู้ไม่ทำตามนิมิตการทรงเรียกส่วนตัวจะรู้สึกว่าชีวิตขาดบางสิ่งบางอย่างอยู่เสมอ แม้ทุ่มเทรับใช้ก็ยังรู้สึกขาด เพราะพระวิญญาณกำลังเร้าใจให้แสวงหาและทำตามการทรงเรียก (พระเจ้ากำลังนำให้เข้าเป้ามากสุด เกิดความขัดแย้งระหว่างเนื้อหนังกับพระวิญญาณ)

3.3 รางวัลนิรันดร์

ฟป.3:14 ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ

I press on toward the goal to win the prize for which God has called me heavenward in Christ Jesus.

ไม่เป็นคริสเตียนที่ชกลม “เรากระทำเพื่อจะได้มงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย”

1 คร.9:24-26

24 ท่านไม่รู้หรือว่าคนเหล่านั้นที่วิ่งแข่งกันก็วิ่งด้วยกันทุกคน แต่คนที่ได้รับรางวัลมีคนเดียว เหตุฉะนั้นจงวิ่งเพื่อชิงรางวัลให้ได้

25 ฝ่ายนักกีฬาทุกคนก็เคร่งครัดในระเบียบ เขากระทำอย่างนั้นเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ซึ่งร่วงโรยได้ แต่เรากระทำเพื่อจะได้มงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย

26 ส่วนข้าพเจ้าวิ่งแข่งโดยมีเป้าหมาย ข้าพเจ้ามิได้ต่อสู้อย่างนักมวยที่ชกลม

อย่าเป็นคริสเตียนที่แค่ดูดี (อย่าดำเนินชีวิตแค่ให้รายงานมนุษย์ได้ ไม่ถูกตำหนิ หวังเพียงช่วยกลบเกลื่อนใจฟ้องผิด) ไม่มีใครสมบูรณ์ พระเจ้าดูที่ท่าทีความตั้งใจ

คำถามหลังคำสอน :

1) จากบทเรียนตอนนี้ พระเจ้าสอนให้มีมุมองต่อชีวิตอย่างไร

2) จงสำรวจตัวเอง วันนี้ท่านทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อใครหรือเพื่ออะไรกันแน่ ...

------------------