Ep4 อากาเป้ผู้อื่นคือชีวิตแห่งเกลือและแสงสว่าง

 ถ้ารักผู้อื่นจะทำร้ายผู้อื่นได้อย่างไร :

ถ้ายังไม่คิดทำดีต่อผู้อื่น อย่างน้อยต้องไม่คิดชั่วทำร้ายคนอื่น 

คำถาม จริงหรือไม่หากมนุษย์ไม่คิดทำร้ายกัน โลกจะน่าอยู่ขึ้นมาก หลักการพระจ้าสอนให้ทำความชั่วหรือ

เข้าใจอากาเป้ :

ถ้าไม่ยกเรื่องมหาบัญชากับปฐมบัญชา สามารถอธิบาย “ชีวิตแห่งเกลือและแสงสว่าง” ด้วยความรัก (อากาเป้)

พระเยซูสอนว่าบรรดาธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งสิ้น สรุปแล้วมีเพียง 2 ข้อคือรักพระเจ้า รักตนเองกับรักเพื่อนบ้าน (มนุษย์ทุกคน)

มธ.22:36-40 

36 "อาจารย์เจ้าข้า ในธรรมบัญญัตินั้นข้อใดสำคัญที่สุด"

37 พระเยซูทรงตอบเขาว่า "จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า

38 นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่ และข้อต้น

39 ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

40 ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งสิ้น ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้"

All the Law and the Prophets hang on these two commandments.”

ในคำสอนนี้ มี 3 บุคคลที่เกี่ยวข้องคือ พระเจ้า ผู้เชื่อ และเพื่อนบ้าน (ทุกคนในโลก)

เนื้อหาหลักคือว่า “รัก”

รากศัพท์คำว่า “รัก” ในที่นี้ไม่ใช่รักแบบมนุษย์ ไม่ใช่ความรักของพ่อแม่ต่อลูก ความรักใคร่ระหว่างสามีภรรยา มิตรภาพระหว่างเพื่อน ฯลฯ แต่เป็นความรักแบบของพระเจ้าหรืออากาเป้ (agape)

พระเยซูรักโลกด้วยรักของพระเจ้า (อากาเป้) เป็นรักที่ไม่เห็นแก่ตัว ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น เสียสละตัวเองเพื่อประโยชน์คนอื่น เมื่อพระเยซูสอนให้สาวกรักตัวเอง จึงหมายถึงให้เสียสละตัวเองแก่ผู้อื่น ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น พระเจ้าทำเป็นแบบอย่างแล้ว

ยน.3:16-17 

16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์

17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น

พระเยซูไม่ปฏิเสธการรักตนเอง เพียงแต่ต้องเข้าใจว่ารักในที่นี้หมายถึงอากาเป้ตนเอง พระเจ้าเที่ยงแท้บริสุทธิ์ อากาเป้จึงเป็นรักบริสุทธิ์ เป็นรักที่มีจุดเริ่มมาจากพระเจ้าเท่านั้น บัญชาให้คริสเตียนรักผู้อื่นทุกคนด้วยความรักนี้

สรุปคำสอนคือ อากาเป้พระเจ้า อากาเป้ตัวเองและผู้อื่น

สร้างโอกาสทำดีต่อผู้อื่นเสมอ :

เมื่อรัก (อากาเป้) ผู้อื่น ย่อมต้องมีทัศนคติอยากเห็นผู้อื่นได้ดีมีสุข (ตามหลักการพระคัมภีร์) จึงพยายามหาโอกาส สร้างโอกาสทำดีต่อผู้อื่น

เมื่อมีทัศนคติอยากเห็นผู้อื่นได้ดีมีสุข การทำความดีจะตามมาเอง จะรู้จักสร้างโอกาส ทุกคนทำความดีได้เสมอ ไม่คิดว่าเป็นภาระ เป็นวิถีชีวิตที่จะทำตัวเป็นคุณประโยชน์เสมอ เริ่มจากกระทำต่อคนใกล้ชิดรอบตัว เช่น พูดด้วยความคิดหวังดีต่อพวกเขา ไม่ละโอกาสช่วยคนอื่นในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ (สังเกตว่าการทำความดีจำต้องไม่เสียเงิน ไม่ใช้เวลามาก) ทำเช่นนี้สม่ำเสมอ

ขยับขึ้นมาคือทำความดีต่อสังคมชุมชนที่อาศัย เช่น มีส่วนร่วมพัฒนาหมู่บ้าน ช่วยรักษาความสะอาดในซอยที่อาศัย ผู้เชื่ออยู่ที่ไหนจะทำความดีที่นั่น เรียนรู้มีประสบการณ์การทำความดีคต่อผู้อื่น เข้าใจโลกมากขึ้น มีสติปัญญามากขึ้น 

และขยับสู่ระดับที่ใหญ่ขึ้น สู่ตำบล อำเภอ จังหวัด ประเทศ ฯลฯ

  จึงเป็นข้อสรุปว่าการรักผู้อื่นคือ “ชีวิตแห่งเกลือและแสงสว่าง” 

ยิ่งอากาเป้ตัวเองจะยิ่งอากาเป้คนอื่น และยิ่งสำแดง “ชีวิตแห่งเกลือและแสงสว่าง” (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

อากาเป้ผู้อื่นคือ “ชีวิตแห่งเกลือและแสงสว่าง”

มธ.22:39 ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

เป็นเรื่องแปลกถ้าบอกว่ารักพระเจ้า รับใช้พระองค์เต็มกำลัง แต่ไม่รักเพื่อนบ้าน เฉยชาต่อสังคม ไม่สนใจการเมืองการปกครองที่มีผลต่อสังคมประเทศชาติและโลกนี้

การรักผู้อื่นสำแดงเป็นชีวิตที่ทรงพลัง มีผลต่อคนจำนวนมาก พระเจ้าสถิตและอวยพรผู้นั้น

-----------------------