26/04/2568

บทเรียน 17 พระเยโฮวาห์ผู้ดำรงอยู่นิรันดร์

 นามพระเจ้าบ่งบอกว่าทรงดำรงอยู่นิรันดร์ เป็นจุดเริ่มของสรรพสิ่ง ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด ถ้าปราศจากพระองค์จะไร้ซึ่งสรรพสิ่ง การดำรงอยู่ของพระองค์กับสรรพสิ่งเป็นของคู่กัน

คำถามก่อนเรียน :

            1) ท่านคิดว่าอะไรคือลักษณะสำคัญของพระเจ้า

            2) ท่านคิดว่าพระลักษณะพระเจ้ามีความสำคัญอย่างไร

 

            เมื่อพระเจ้าถูกถามว่าพระองค์ชื่ออะไร หรือเหตุการณ์ที่ต้องระบุนามพระองค์ “เยโฮวาห์” (ยาห์เวห์) คือนามนั้น

            คำว่า เยโฮวาห์” มาจากภาษาฮีบรู หมายถึง ผู้ดำรงอยู่ด้วยตัวเอง” หรือ “ผู้ดำรงอยู่นิรันดร์” เป็นพระลักษณะสำคัญหนึ่งของพระองค์

 

            เมื่อพระเจ้าเริ่มตรัสกับโยบ พระคัมภีร์ระบุนามพระองค์ว่านี่คือพระเจ้าผู้ที่กำลังพูด

            อ่าน โยบ.38:1-3

โยบ.38:1-3

1 แล้วพระเจ้าทรงตอบโยบออกมาจากพายุว่า

Then the LORD spoke to Job out of the storm. He said:

แล้วพระยาห์เวห์ทรงตอบโยบจากพายุว่า (ฉบับปี 2011)

2 "นี่ใครหนอที่ให้คำปรึกษา มืดมนไปด้วยถ้อยคำอันปราศจากความรู้

3 จงคาดเอวไว้อย่างกับลูกผู้ชายหน่อยซิ เราจะถามเจ้า ขอเจ้าตอบเรา

            รากศัพท์คำว่า “พระเจ้า” (ฉบับปี 1971) หรือ “LORD” (NIV) หรือ “พระยาห์เวห์” (ฉบับปี 2011) ในโยบ.38:1 คือ יְהוָֹה (อ่าน yeh-ho-vaw', เย-โฮ-วา) มีความหมายว่า ผู้ดำรงอยู่ด้วยตัวเองหรือผู้ดำรงอยู่นิรันดร์ (self-Existent or Eternal)

            เยโฮวาห์ (ยาห์เวห์) เป็นวิสามานยนามหรือคำนามเฉพาะ (Proper Noun) ระบุเจาะจงว่าคือใคร

“I AM WHO I AM.”:

          โมเสสถามพระองค์ชื่ออะไร

อพย.3:13-15

13 ฝ่ายโมเสสทูลพระเจ้าว่า "เมื่อข้าพระองค์ไปหาชนชาติอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า 'พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย ทรงสั่งข้าพเจ้ามาหาท่าน' และเขาจะถามข้าพระองค์ว่า 'พระองค์ทรงพระนามว่ากระไร' ข้าพระองค์จะตอบเขาอย่างไร"

Moses said to God, “Suppose I go to the Israelites and say to them, ‘The God of your fathers has sent me to you,’ and they ask me, ‘What is his name?’ Then what shall I tell them?”

14 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น" แล้วพระองค์ตรัสว่า "ไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า 'พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเราเป็น ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย'

God said to Moses, “I AM WHO I AM. This is what you are to say to the Israelites: ‘I AM has sent me to you.’ ”

พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ไปบอกชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า ‘พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเราเป็นทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย’ ” (ฉบับปี 2011)

15 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสอีกว่า "เจ้าจงกล่าวแก่ประชากรอิสราเอลว่าดังนี้ "พระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่าน คือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาท่าน' นี่แหละเป็นนามของเราตลอดไปเป็นนิตย์ นี่แหละเป็นอนุสรณ์ของเราตลอดทุกชั่วชาตพันธุ์

God also said to Moses, “Say to the Israelites, ‘The LORD, the God of your fathers—the God of Abraham, the God of Isaac and the God of Jacob—has sent me to you.’ “This is my name forever, the name you shall call me from generation to generation.

            เมื่อโมเสสถามพระองค์ชื่ออะไร คำตอบแรกที่พระเจ้ามอบให้คือ "เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น"

 

            รากศัพท์คำว่า “เราเป็น” หรือ “I AM” ในอพย.3:14 คือ הָיָה (อ่าน haw-yaw) hayah เป็นคำกริยา มีความหมายว่า เป็น มี เกิด (be) เกิดขึ้น (happen) กลายเป็น (become) ดำรงอยู่ (exist)

            ใช้ในหลายที่ เช่น

ปฐก.1:3 พระเจ้าตรัสว่า "จงเกิดความสว่าง" ความสว่างก็เกิดขึ้น

And God said, “Let there be light,” and there was light.

ปฐก.1:14 พระเจ้าตรัสว่า "จงมีดวงสว่างบนฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้ดวงสว่างเป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี

And God said, “Let there be lights in the vault of the sky to separate the day from the night, and let them serve as signs to mark sacred times, and days and years,

ปฐก.1:30 ฝ่ายสัตว์ทั้งหมดบนแผ่นดิน นกทั้งปวงบนท้องฟ้าและสัตว์เลื้อยคลานทั้งหมดบนแผ่นดิน คือ สิ่งมีชีวิตที่มีลมหายใจนั้น เราให้พืชเขียวสดทั้งปวงเป็นอาหาร” ก็เป็นดังนั้น

And to all the beasts of the earth and all the birds in the sky and all the creatures that move along the ground—everything that has the breath of life in it—I give every green plant for food.” And it was so.

ฝ่ายสัตว์ทั้งหมดบนแผ่นดิน นกทั้งปวงบนท้องฟ้าและสัตว์เลื้อยคลานทั้งหมดบนแผ่นดิน คือ สิ่งมีชีวิตที่มีลมหายใจนั้น เราให้พืชเขียวสดทั้งปวงเป็นอาหาร” ก็เป็นดังนั้น (ฉบับปี 2011)

            ปฐก.1:30 คำว่า “ก็เป็น” คือ hayah

            การทรงสร้างสรรพสิ่งในปฐก.บทที่ 1 ล้วนคือคำว่า hayah

อธิบายขยายความ: “เราเป็น” หรือ “I AM”

อพย.3:14 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น" แล้วพระองค์ตรัสว่า "ไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า 'พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเราเป็น ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย'

God said to Moses, “I AM WHO I AM. This is what you are to say to the Israelites: ‘I AM has sent me to you.’ ”

พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ไปบอกชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า ‘พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเราเป็นทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย’ ” (ฉบับปี 2011)

            คำว่า “เราเป็น” หรือ “I AM” ในอพย.3:14 มีความหมายว่า ทรงสร้างหรือเป็นผู้สร้าง  ประโยค “I AM WHO I AM.” ทรงกำลังบอกว่านี่คือพระองค์ ผู้ดำรงอยู่ด้วยพระองค์เอง สรรพสิ่งเกิดขึ้นโดยพระองค์ และเล็งถึงกาลเวลาทั้งหมด ทั้งอดีตปัจจุบันและอนาคต ทรงเป็นอยู่เช่นนี้นิรันดร์

            พระเจ้าพูดประโยค “I AM WHO I AM.” เพื่อบ่งบอกว่าพระเจ้าคือตัวพระองค์เอง เป็นคำอธิบายถึงตัวพระองค์ได้ดีที่สุด เพราะมนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงพระลักษณะหรือความเป็นพระองค์ได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน

          I AM WHO I AM.” จึงเป็นที่มาของนามพระเจ้า เป็นประโยคแรกที่พระเจ้าตอบโมเสส

          แท้จริงแล้วพระเจ้าไม่มีนามเฉพาะอย่างคนทั่วไป เช่นชื่อ อับราฮัม อิสอัค ดาวิด

          แต่คำว่า “I AM” ที่เป็นคำกริยาเมื่อปรับเป็นคำนาม กลายเป็นชื่อเฉพาะของพระองค์ นั่นคือ เยโฮวาห์ หรือ พระเยโฮวาห์ ดังที่นิยมใช้

            และทรงให้โมเสสถ่ายทอดคำพูดว่า ตัวพระเจ้าเองคือผู้สั่งให้โมเสสไปหาคนอิสราเอล เนื่องจากอิสราเอลในสมัยนั้นยังไม่รู้จักชื่อเฉพาะของพระองค์

นามพระองค์คือเยโฮวาห์:

            พระเจ้าเอ่ยนามเฉพาะ "พระเยโฮวาห์” ในอพย.3:15

อพย.3:15 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสอีกว่า "เจ้าจงกล่าวแก่ประชากรอิสราเอลว่าดังนี้ "พระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่าน คือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาท่าน' นี่แหละเป็นนามของเราตลอดไปเป็นนิตย์ นี่แหละเป็นอนุสรณ์ของเราตลอดทุกชั่วชาตพันธุ์

God also said to Moses, “Say to the Israelites, ‘The LORD, the God of your fathers—the God of Abraham, the God of Isaac and the God of Jacob—has sent me to you.’ “This is my name forever, the name you shall call me from generation to generation.

            รากศัพท์ הָיָה (อ่าน haw-yaw) hayah ที่มีความหมายว่า “I AM” กับ יְהוָֹה (อ่าน yeh-ho-vaw', เย-โฮ-วา) ใกล้เคียงกันมาก แต่นามเฉพาะจริงๆ ที่เอ่ยถึงพระเจ้าคือ יְהוָֹה (อ่าน yeh-ho-vaw', เย-โฮ-วา)

            “นี่แหละเป็นนามของเราตลอดไปเป็นนิตย์”

            คนในบรรพกาลอย่างอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ไม่มีชื่อพระเยโฮวาห์ พวกเขาเรียก “พระเจ้า” แบบคำนามทั่วไป (คนอิสราเอลในอียิปต์ที่โมเสสกำลังจะไปหาจึงยังไม่รู้จักเชื่อเฉพาะ แต่เรียก พระเจ้า” แบบคำนามทั่วไป)

อพย.6:3 เราปรากฏแก่อับราฮัม แก่อิสอัค และแก่ยาโคบด้วยนามว่าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ แต่เรามิได้สำแดงให้เขารู้จักเราในนามพระเยโฮวาห์

            ข้อพระคัมภีร์ในพระธรรมปฐมกาลบางข้อที่เอ่ยนามพระเจ้าเป็นคำนามทั่วไป

ปฐก.1:1-3

1 ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้าง ฟ้าและแผ่นดิน

In the beginning God created the heavens and the earth. (NIV, NKJV และ NASB)

ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน (ฉบับปี 2011)

2 แผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น

3 พระเจ้าตรัสว่า "จงเกิดความสว่าง" ความสว่างก็เกิดขึ้น

            รากศัพท์คำว่า “พระเจ้า” หรือ “God” ในปฐก.1:1 คือ אֱלהִים (อ่าน el-o-heem') หรือ elohim หมายถึงพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด (God) หรือในความหมายทั่วไปของคำว่าพระเจ้า เทพเจ้า ผู้พิพากษา ผู้ยิ่งใหญ่ (god) พระเจ้าที่คนอิสราเอลกับคริสเตียนศรัทธา แต่ไม่ใช่ชื่อเฉพาะ

            เยโฮวาห์เป็นนามเฉพาะของพระเจ้า ปรากฎตั้งแต่พระธรรมปฐมกาล เช่น

ปฐก.2:4 เรื่องฟ้าสวรรค์และแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสร้างมีดังนี้ ในวันที่พระเจ้าทรงสร้างแผ่นดินและฟ้าสวรรค์

This is the account of the heavens and the earth when they were created, when the LORD God made the earth and the heavens.

ลำดับเรื่องการเนรมิตสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินมีดังนี้ ในวันที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างแผ่นดิน และฟ้าสวรรค์ (ฉบับปี 2011)

            ปฐก.2:4 พระคัมภีร์ไทยฉบับปี 1971 ใช้คำว่า “พระเจ้า” NIV ใช้คำว่า “LORD” ส่วนฉบับปี 2011 ใช้คำว่าพระยาห์เวห์

            สรุป เดิมคนอิสราเอลเอ่ยคำว่า “พระเจ้า” แบบนามทั่วไป โมเสสเป็นคนแรกที่ถามพระเจ้าว่าพระองค์ชื่ออะไร ทรงตอบว่านามพระองค์ในรูปคำนามคือ “”เยโฮวาห์” (ยาห์เวห์) คำนี้มีความหมายบ่งบอกพระลักษณะ (ชื่อมีความหมายตัวเอง)

เยโฮวาห์ยิ่งใหญ่สูงสุด:

โยบ.38:1 แล้วพระเจ้าทรงตอบโยบออกมาจากพายุว่า

Then the LORD spoke to Job out of the storm. He said:

แล้วพระยาห์เวห์ทรงตอบโยบจากพายุว่า (ฉบับปี 2011)

            รากศัพท์คำว่า “พระเจ้า” หรือ “LORD” ในโยบ.38:1 คือ יְהוָֹה (อ่าน yeh-ho-vaw', เย-โฮ-วา) คำนี้เป็นวิสามานยนามหรือคำนามเฉพาะ (Proper Noun) มีความหมายว่า ผู้ดำรงอยู่ด้วยตัวเองหรือผู้ดำรงอยู่นิรันดร์ (self-Existent or Eternal) ไม่มีใครสร้างพระองค์ ตัวพระองค์มีอยู่แล้ว ไม่มีจุดเริ่มต้นกับจุดสิ้นสุด

            ดังนั้น นามเฉพาะของพระเจ้าคือ יְהוָֹה (อ่าน yeh-ho-vaw', เย-โฮ-วา)

            อธิบายขยายความ:

            เรื่องนี้ขัดกับตรรกะความเข้าใจว่าสรรพสิ่งมีที่มาที่ไป มีผู้สร้างหรือผู้ให้กำเนิด ตัวเรามาจากพ่อแม่ มาจากการผสมพันธุ์ของอสุจิกับไข่ การรวมตัวของ DNA ที่กำเนิดเป็นชายหรือหญิง เซลล์เกิดใหม่มีวันตาย มนุษย์มีอายุขัย แม้กระทั่งดาวฤกษ์มีวันสิ้นแสง

            แต่ถ้ามี ผู้สร้างพระเจ้า ย่อมหมายความว่า ผู้สร้างพระเจ้า ยิ่งใหญ่กว่า พระเจ้า เป็นผู้สร้าง (กำหนด) ให้พระเจ้ายิ่งใหญ่อย่างที่เป็น หากเป็นเช่นนั้น พระเจ้า จะไม่ยิ่งใหญ่สูงสุด แต่มี ‘ผู้สร้างพระเจ้า’ ที่ยิ่งใหญ่กว่า ทรงสิทธิอำนาจมากกว่า กำหนดให้พระเจ้าเป็นอย่างที่เป็น

            ถ้าสามารถสร้างพระเจ้าหมายเลข 1 ย่อมน่าจะสามารถสร้างพระเจ้าหมายเลข 2, 3, 4

            และจะมีคำถามว่า “ใครคือผู้สร้าง ผู้สร้างพระเจ้า’” เช่นนี้ไม่สิ้นสุด

          การที่ไม่มีใครสร้างพระเจ้าจึงบ่งบอกว่า “พระเจ้า” หรือเยโฮวาห์ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นเช่นนี้นิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

            พระคัมภีร์ (Bible) สอนว่า

ปฐก.1:1 ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน

            หลักสำคัญคือพระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง ทำให้สิ่งนี้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ดำรงอยู่และจากไปตามพระประสงค์ ไม่ว่าใครจะยอมรับหรือไม่ ชอบหรือไม่ชอบ ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงนี้

            ด้วยเหตุที่เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งจึงยิ่งใหญ่สูงสุดเหนือสรรพสิ่ง เหนือนามทั้งปวง ไม่มีสิ่งใดหรือใครยิ่งใหญ่กว่าพระองค์อีกแล้ว ทรงเป็นจอมเจ้านายจอมราชา (Lord of lords and King of kings)

วว.17:14 กษัตริย์เหล่านี้จะกระทำสงครามกับพระเมษโปดก และพระเมษโปดกจะทรงมีชัยชนะ เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นจอมเจ้านาย และทรงเป็นจอมกษัตริย์ และผู้ที่อยู่กับพระองค์นั้น เป็นผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกและทรงเลือกไว้ และเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ก็จะมีชัยด้วย"

They will wage war against the Lamb, but the Lamb will triumph over them because he is Lord of lords and King of kings—and with him will be his called, chosen and faithful followers.”

          อธิบายขยายความ: คำว่า Lord กับ lords เป็นศัพท์เดียวกัน รากศัพท์คำว่า “Lord” หรือ “lord” ในวว.17:14 คือ κύριος (อ่านว่า koo'-ree-os) หมายถึง เจ้านาย ผู้มีอำนาจ (lord, master, sir) ในพระคัมภีร์ใหม่บางครั้งใช้คำนี้เป็นนามทั่วไปเพื่อเล็งถึงพระเจ้า (the Lord)

            เช่น คำว่า “พระเจ้า” ในมธ.2:19

มธ.2:19 ครั้นเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏในความฝันแก่โยเซฟ ที่ประเทศอียิปต์สั่งว่า

After Herod died, an angel of the Lord appeared in a dream to Joseph in Egypt.

            ดังนั้น Lord of lords ใน วว.17:14 แปลตรงตัวว่า เจ้านายของบรรดาเจ้านาย เป็นที่มาของคำว่า “จอมเจ้านาย”

            พระคัมภีร์สอนว่าพระเจ้าดำรงอยู่นิรันดร์ เป็นอมตะ ไม่สามารถสืบทราบจุดกำเนิดคือ ณ จุดใดของกาลเวลา ทรงเป็นพระเจ้าไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ยิ่งใหญ่สูงสุดตลอดเวลา ไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลง

อสย.44:6 พระเจ้า พระบรมมหากษัตริย์แห่งอิสราเอล และผู้ไถ่ของเขา พระเจ้าจอมโยธา ตรัสดังนี้ว่า "เราเป็นผู้ต้นและเราเป็นผู้ปลาย นอกจากเราแล้วไม่มีพระเจ้า

“This is what the LORD says— Israel’s King and Redeemer, the LORD Almighty: I am the first and I am the last; apart from me there is no God.

            รากศัพท์ของคำว่า LORD ใน อสย.44:6 คือ יְהוָֹה (อ่าน yeh-ho-vaw', เย-โฮ-วา) มีความหมายว่า ผู้ดำรงอยู่ด้วยตัวเองหรือผู้ดำรงอยู่นิรันดร์ (self-Existent or Eternal) หรือ พระเยโฮวาห์ (พระยาห์เวห์)

            ส่วนรากศัพท์ของคำว่า God อสย.44:6 คือ אֱלהִים (อ่าน el-o-heem') หรือ elohim หมายถึงพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด (God) หรือในความหมายทั่วไปของคำว่าพระเจ้า เทพเจ้า ผู้พิพากษา ผู้ยิ่งใหญ่ (god)

            สรุป อสย.44:6 พระเยโฮวาห์เปิดเผยกับอิสยาห์ว่า "เราเป็นผู้ต้นและเราเป็นผู้ปลาย นอกจากเราแล้วไม่มีพระเจ้า” พระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดเพียงหนึ่งเดียว ไม่เคยเปลี่ยนแปลงและจะไม่เปลี่ยนแปลง

วว.22:13 เราคืออัลฟาและโอเมกา เป็นเบื้องต้นและเป็นเบื้องปลาย เป็นปฐมและเป็นอวสาน"

          วว.22:13 ย้ำความเข้าใจว่าทรงเป็นจุดเริ่มของสรรพสิ่ง ถ้าปราศจากพระองค์จะไร้ซึ่งสรรพสิ่ง การดำรงอยู่ของพระองค์กับสรรพสิ่งเป็นของคู่กัน

            การดำรงอยู่นิรันดร์คู่กับทรงมีสติปัญญา รู้แจ้งทุกสิ่งทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต พระองค์เห็นหมดทุกอย่าง รู้หมดทุกสิ่ง ทรงสัพพัญญู (omniscience)

สดด.139:1-7

1 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ได้ทรงตรวจสอบข้าพระองค์และทรงรู้จักข้าพระองค์

2 เมื่อข้าพระองค์นั่งลงและลุกขึ้น พระองค์ทรงทราบ พระองค์ทรงประจักษ์ในความคิดของข้าพระองค์ได้แต่ไกล

3 พระองค์ทรงค้นวิถีของข้าพระองค์และการนอนของข้าพระองค์ และทรงคุ้นเคยกับทางทั้งสิ้นของข้าพระองค์

4 ข้าแต่พระเจ้า แม้ก่อนที่ลิ้นของข้าพระองค์จะพูด พระองค์ก็ทรงทราบความเสียหมดแล้ว

5 พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์อยู่ทั้งข้างหลังและข้างหน้า และทรงวางพระหัตถ์บนข้าพระองค์

6 ความรู้อย่างนี้อัศจรรย์เกินข้าพระองค์ สูงนัก ข้าพระองค์เอื้อมไม่ถึง

7 ข้าพระองค์จะไปไหน ให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้ หรือข้าพระองค์จะหนีไปไหนให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์

โยบ.36:26 ดูเถิด พระเจ้านั้นใหญ่ยิ่ง และเราก็หาหยั่งรู้ถึงพระองค์ไม่ อายุของพระองค์เป็นสิ่งที่ค้นหากันไม่ได้

รม.11:33-34

33 โอ พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้น ล้ำลึกเท่าใด ข้อตัดสินของพระองค์นั้นเหลือที่จะหยั่งรู้ได้ และทางของพระองค์ก็เหลือที่จะสืบเสาะได้

34 เพราะว่า ใครเล่ารู้พระทัยของพระเจ้า หรือใครเล่าเป็นที่ปรึกษาของพระองค์

อย่างไรคือการรู้จักนามพระเจ้า:

            การรู้จักนามพระเจ้าไม่ใช่แค่ความรู้ในสมอง ไม่ใช่แค่ความรู้พระคัมภีร์ หรือเรื่องราวของคนอื่นที่รู้จักพระองค์ การรู้จักนามพระเจ้านอกจากเป็นความรู้จากพระคัมภีร์ ยังมีส่วนของประสบการณ์ที่รู้จักพระเจ้าเป็นการส่วนตัว ผลของความรู้จากพระคัมภีร์กับประสบการณ์ส่วนตัวทำให้เกิดใจรัก เชื่อวางใจ รักผูกพัน สรรเสริญนมัสการ

            อธิบายขยายความ: จะเห็นว่าเรื่องราวระหว่างพระเจ้ากับผู้เชื่อศรัทธา มักเป็นประสบการณ์ของผู้เชื่อคนนั้นกับพระเจ้าของเขา ในพระคัมภีร์คนของพระเจ้าล้วนมีประสบการณ์แบบนี้ เช่น อับราฮัม โมเสส โยเซฟ ดาวิด พวกผู้วินิจฉัย บรรดาผู้เผยพระวจนะ เปโตร เปาโล บรรดาสาวกในพระธรรมกิจการ (เหตุการณ์รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์)

            จะเห็นว่าผู้เชื่อสามารถเผชิญทุกเหตุการณ์ ทุกสถานการณ์ ดำเนินชีวิตตามนิมิต การทรงเรียก เพราะมีประสบการณ์กับพระเจ้า (ขณะที่ดำเนินติดตามพระองค์) พระเจ้าทรงอยู่ด้วย

การรู้จักนามพระเจ้าในทางปฏิบัติ:

            การ “รู้จักนามพระเจ้า” ไม่ใช่กระบวนการที่สำเร็จในวันเดียวหรือปีเดียว คนในพระคัมภีร์อย่างโมเสส โยเซฟ ดาวิด ล้วนสะท้อนว่าพวกเขาค่อยๆ เติบโตในทางพระเจ้า

            ตัวอย่าง โมเสส

            โมเสสเพิ่งเข้าใจธรรมบัญญัติเมื่อพระเจ้าประทานให้โมเสส (ตอนนั้นโมเสสอายุมากกว่า 80 ปี) พระองค์สอนโมเสส ทรงใช้เวลากับโมเสสในพลับพลา

            โยเซฟได้รับนิมิตจากพระเจ้าตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม โยเซฟค่อยๆ เติบโตฝ่ายวิญญาณ เพราะพระวิญญาณสถิตอยู่ ผ่านอุปสรรคมากมาย เรียนรู้จากความยากลำบาก พระเจ้าเตรียมชีวิต (เช่นสอนการบริหารจัดการขณะที่เป็นนักโทษในคุก) ในที่สุดสามารถอธิบายนิมิตที่ได้รับ ว่าพระเจ้าใช้ตนอย่างไร

            ดาวิดเกิดในครอบครัวสามัญชน ตอนเป็นเด็กมีหน้าที่เลี้ยงแกะ แม้ได้รับการเจิมจากพระเจ้าผ่านซามูเอล ชีวิตของกษัตริย์ดาวิดทำผิดพลาดร้ายแรงหลายครั้ง ไม่ว่าชีวิตจะเผชิญเรื่องดีหรือร้าย ดาวิดรักผูกพันพระเจ้าเสมอ

            เปโตรเดิมเป็นชาวประมง เปาโลรู้ธรรมบัญญัติแต่เข้าใจน้ำพระทัยผิด พระเจ้าเข้ามาช่วยและได้รับการสอนให้เข้าใจถูกต้อง

          คนของพระเจ้าไม่จำเป็นต้องดีพร้อม แต่เป็นคนที่พระเจ้าใช้ให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งและทรงสนับสนุนให้สำเร็จตามนิมิตการทรงเรียกที่มีต่อแต่ละคน

            การมีนิมิตการทรงเรียกและกระทำตามจึงสำคัญ คนเหล่านี้รู้จักนามพระเจ้า

            สรุป การ “รู้จักนามพระเจ้า” เป็นเรื่องสำคัญ ช่วยให้คริสเตียนสามารถติดตามพระเจ้าจนถึงที่สุด ถึงปลายทางที่ทรงกำหนด

สรุป:

            นามพระเจ้าบ่งบอกว่าทรงดำรงอยู่นิรันดร์ เป็นจุดเริ่มของสรรพสิ่ง ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด ถ้าปราศจากพระองค์จะไร้ซึ่งสรรพสิ่ง การดำรงอยู่ของพระองค์กับสรรพสิ่งเป็นของคู่กัน

คำถามหลังคำสอน :

            1) จากความเข้าใจเรื่องนามพระเจ้า คริสเตียนควรขอบคุณพระองค์อย่างไร

            2) นาม “เยโฮวาห์” ควรมีผลต่อชีวิตผู้เชื่อโดยเฉพาะท่านอย่างไร

------------------------

07/04/2568

ทำไมเชื่อพระเจ้าแล้วไม่ได้รับความรอด

หลายคนคิดว่าขอเพียงเชื่อพระเจ้าแล้วจะรอด ได้ขึ้นสวรรค์แน่นอน เรื่องนี้เป็นความเข้าใจผิดที่พบบ่อยทั้งในหมู่คริสเตียนกับคนทั่วไป ที่คิดว่าถ้าเชื่อพระเจ้าแล้วไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้ไปสวรรค์

            จริงหรือไม่บางคนที่ปากบอกว่าเป็นคริสเตียนแต่ใช้ชีวิตไม่ต่างจากคนบาปทั่วไป บางคนเคยเชื่อพระเจ้าหลายปีแล้วเลิกเชื่อในที่สุด คริสเตียนที่เติบโตฝ่ายวิญญาณช่วยรักษาความรอด ได้รับพระพรเต็มที่ เป็นผู้เชื่อที่พระเยซูต้องการ

 

            บางคนเข้าใจว่าถ้ารับด้วยปากและเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็จะได้รับความรอด โดยยึดข้อพระคัมภีร์ รม.10:9

รม.10:9 คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด

            ดังนั้น หลังจากรับเชื่อแล้ว ขอเพียงยึดความเชื่อไว้ก็จะรอด จึงใช้ชีวิตตามใจชอบ ทำบาปสารพัด โดยยึดว่าพระเจ้าเป็นความรัก ให้อภัยเสมอ

          ความเข้าใจเช่นนี้ผิด มาจากการไม่ใช้พระคัมภีร์ทั้งเล่ม

            พระเยซูตรัสใน มธ.7:21 ว่า ...

มธ.7:21 "มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า" จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้

ยก.2:14 ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า แม้ผู้ใดจะว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่ประพฤติตามจะได้ประโยชน์อะไร ความเชื่อของเขาจะช่วยเขาให้รอดได้หรือ

            มธ.7:21 กับ ยก.2:14 เป็นตัวอย่างชี้ว่าการยึดรม.10:9 เพียงข้อเดียวไม่เพียงพอ เรื่องความรอดมีมากกว่านั้น

            ความเข้าใจที่ถูกต้องคือ การเชื่อศรัทธาพระเยซูเป็นเพียงจุดเริ่ม นำสู่การเชื่อฟังคำสอนอื่นๆ มารซาตานรู้จักพระเจ้าอย่างดีแต่ไม่เชื่อฟัง ไม่ทำตามคำสอน

          การไม่เชื่อฟังจึงไม่ทำตามคำสอน ในทางกลับกันคนที่ศรัทธาพระเยซูจริงจะเชื่อฟัง มีท่าทีตั้งใจทำตามพระคัมภีร์ คนของพระเจ้าจะคิด-พูด-ทำเหมือนพระองค์มากขึ้นตามลำดับ

            ไม่ใช่แค่พยายามประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่ชีวิตเปลี่ยน เหมือนพระคริสต์มากขึ้นทุกที

            มารซาตานที่รู้จักพระเจ้าแต่ไม่เชื่อฟังจึงต้องรับโทษในที่สุด ใครก็ตามที่บอกว่าเชื่อพระเจ้าแต่ไม่ตั้งใจทำตามคำสอนอาจเป็นคริสเตียนแต่ปาก น่ากังวลว่าปลายทางของพวกเขาอาจไม่ต่างจากมารซาตาน

การประกาศ ผู้เชื่อใหม่ และคริสเตียนที่เติบโต:

            บางคนอาจแย้งว่าทำไมจึงมักได้ยินคริสเตียนพูดว่า “เชื่อพระเจ้าแล้วจะรอด” (ยึด รม.10:9) ในการประกาศข่าวประเสริฐพูดอย่างนั้นไม่ใช่หรือ

            เรื่องนี้ต้องเข้าใจว่าการประกาศมีเวลาจำกัด ไม่สามารถใช้เวลาหลายชั่วโมงเพื่ออธิบายเรื่องความรอดอย่างละเอียด อีกทั้งจะทำให้คนฟังสับสน ยิ่งอธิบายลงลึกยิ่งไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงพูดบางส่วนก่อน การประกาศให้เชื่อพระเยซูแล้วจะรอดถูกต้องแล้ว

          การเชื่อศรัทธาพระเยซูเป็นจุดเริ่ม เมื่อผู้สนใจเชื่อพระเจ้าจึงเริ่มสอนพระคัมภีร์ให้เข้าใจครบถ้วน

            1ปต.2:2 เปรียบเทียบผู้เชื่อใหม่เหมือนทารกแรกเกิด ที่ต้องได้รับน้ำนมคือพระวจนะ เพื่อเจริญขึ้นสู่ความรอด

1ปต.2:2 เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ เพื่อโดยน้ำนมนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้นสู่ความรอด

Like newborn babies, crave pure spiritual milk, so that by it you may grow up in your salvation,

            คำว่า “เจริญขึ้นสู่ความรอด” ชี้ว่าไม่ใช่แค่ “รับเชื่อพระเยซู” แล้วหยุดเท่านี้ ยังต้องเติบโตฝ่ายวิญญาณเพื่อความรอดนั้น

            อาหารดีที่สุดของทารกคือน้ำนมมารดา มีสารอาหารครบถ้วน ภูมิต้านทานสูง ทั้งยังปราศจากการปนเปื้อนสารปรุงแต่ง พระวจนะคืออาหารดีที่สุดของผู้เชื่อ จึงต้องศึกษาพระคัมภีร์ทุกข้อทุกตอน เพื่อจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรง เป็นคริสเตียนที่เติบโตสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ (เติบโตฝ่ายวิญญาณจนสมบูรณ์)

            ถ้าอ่าน 1เปโตร บทที่ 2 เพียงแค่ 5 ข้อก็ชี้ว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าเป็นคริสเตียนต้องทำอะไรหลายอย่าง

1ปต.2:1-5

1 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงละความชั่วทั้งปวง การอุบายต่างๆ ความไม่จริงใจ ความริษยา และคำพูดส่อเสียดทั้งหลาย

2 เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ เพื่อโดยน้ำนมนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้นสู่ความรอด

Like newborn babies, crave pure spiritual milk, so that by it you may grow up in your salvation,

3 เพราะท่านได้ลิ้มรสพระกรุณาคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้า

4 จงมาหาพระองค์ คือพระศิลาที่ทรงชีวิต ซึ่งมนุษย์ได้ปฏิเสธไม่ยอมรับแล้ว แต่ว่าตามพระดำริของพระเจ้านั้นเป็นศิลาที่ทรงเลือกไว้ และทรงค่าอันประเสริฐ

As you come to him, the living Stone—rejected by humans but chosen by God and precious to him—

5 และท่านทั้งหลายก็เสมือนศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายพระวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายวิญญาณ ที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์

you also, like living stones, are being built into a spiritual house to be a holy priesthood, offering spiritual sacrifices acceptable to God through Jesus Christ.

            1ปต.2:1-5 สอนคริสเตียนผู้เชื่อต้องละทิ้งชีวิตเก่าที่เป็นบาป (1) พยายามเติบโตฝ่ายวิญญาณ (2) สัมผัสพระคุณความรัก ไม่ใช่แค่เชื่อที่สมอง (3) แสวงหาพระเจ้า ยึดพระองค์ไว้มั่น ทรงมีคุณค่าสูงสุด (4) ผู้เชื่อกำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายพระวิญญาณ (5ก) เป็นผู้รับใช้พระเจ้า (ปุโรหิต) อย่างที่พระเยซูต้องการ (5ข)

            ฐานะผู้รับใช้เกิดขึ้นทันทีเมื่อเชื่อพระเจ้า และกำลังเติบโตฝ่ายวิญญาณมากขึ้น

            พระวจนะ 1ปต.2:1-5 เพียง 5 ข้อให้ผู้เชื่อเข้าใจว่ามีอะไรอีกมาก ไม่เพียงแค่ “เชื่อพระเจ้าแล้วจะรอด”

            จริงหรือไม่ บางคนที่บอกว่าเป็นคริสเตียนแต่ใช้ชีวิตไม่ต่างจากคนไม่เชื่อพระเจ้า บางคนเชื่อพระเจ้าแล้วเลิกเชื่อในที่สุด 1ปต.2:1-5 สอนว่าคริสเตียนที่เติบโตแข็งแรงฝ่ายวิญญาณช่วยรักษาความรอด (ผ่านการทดสอบทดลอง สุดท้ายได้รับความรอดจริงๆ) ได้รับพระพรเต็มที่ เป็นผู้เชื่อที่พระเยซูต้องการ

อฟ.4:22-24

22 ท่านจงทิ้งตัวเก่าของท่าน ซึ่งคู่กับวิถีชีวิตเดิมนั้นเสีย อันจะเสื่อมเสียไปสู่ความตายตามตัณหาอันเป็นที่หลอกลวง

23 และจงให้วิญญาณจิตของท่านเปลี่ยนใหม่

24 และให้ท่านสวมสภาพใหม่ ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง

            เป็นคริสเตียนที่ทรงพลังเพราะชีวิตเปลี่ยน เป็นคนใหม่ คนของพระเจ้า

-------------------

บทความแนะนำ

วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ (3) :มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง

การเป็นคริสเตียนคือกลับมาคืนดีกับพระเจ้า ความสัมพันธ์ที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง “ถ้าการสรรเสริญนมัสการไม่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง เช่นนั้นก็บาป...