บทเรียน 9 การสร้างมนุษย์และการช่วยกู้ของพระเจ้าจากโยบ.33

มนุษย์เกิดมาทำไม ควรทำอย่างไร อย่างไรเรียกว่าชีวิตที่ดีมีสันติสุข คำตอบมีอยู่ในพระเจ้า พระธรรมโยบ บทที่ 33 ได้ให้คำตอบแล้ว

            โยบเป็นพระธรรมเล่มต้นๆ (อาจก่อนหรือหลังพระธรรมหมวดเบญจบรรณเล็กน้อย) โยบบทที่ 33 พูดการสร้างมนุษย์ สิทธิอำนาจของพระเจ้าและแผนการช่วยกู้ เป็นการอธิบายเรื่องมนุษย์ตั้งแต่การทรงสร้าง ผลความบาป แผนช่วยกู้ของพระเจ้า ชีวิตใหม่ผู้ดำเนินในทางของพระองค์

            อ่านโยบ บทที่ 33

คำถามก่อนเรียน :

            1) เคยสงสัยหรือไม่ว่าเกิดมาทำไม คิดว่าทำไมจึงเกิดมา

            2) ในมุมมองของท่าน อย่างไรคือชีวิตที่ดี


การสร้างมนุษย์และการช่วยกู้ของพระเจ้าจากโยบ.33:

    1. พระเจ้าสร้างมนุษย์

โยบ.33:4, 6

4 พระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงสร้างข้าพเจ้า และลมปราณขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้า

The Spirit of God has made me; the breath of the Almighty gives me life.

6 ดูเถิด ข้าพเจ้าอยู่อย่างท่านตรงพระพักตร์พระเจ้า พระองค์ทรงปั้นข้าพเจ้าขึ้นมาจากดินก้อนหนึ่งด้วยเหมือนกัน

            เอลีฮู (เพื่อนโยบคนที่ 4) เริ่มต้นด้วยศาสนศาสตร์เรื่องการทรงสร้าง

            ตั้งแต่แรกเริ่มมนุษย์มาจากลมปราณของพระเจ้า

            ลมปราณนี้คือพระวิญญาณของพระองค์ที่ใส่เข้าไปในดิน เกิดเป็นมนุษย์มีชีวิต (มีร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ)

            ในการทรงสร้างทั้งสิ้นมีแต่มนุษย์ที่มีลมปราณของพระเจ้าเป็นส่วนผสม มีพระฉาย (ฉายา) หรือลักษณะเหมือนพระองค์ (in our image) มนุษย์จึงเป็นการทรงสร้างพิเศษเหนือสรรพสิ่ง ทรงสร้างเดียวที่มีจิตวิญญาณที่มาจากพระเจ้า

ปฐก.1:26-27

26 แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน"

Then God said, “Let us make mankind in our image, in our likeness, so that they may rule over the fish in the sea and the birds in the sky, over the livestock and all the wild animals, and over all the creatures that move along the ground.”

27 พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง

So God created mankind in his own image, in the image of God he created them; male and female he created them.

ปฐก.2:7-8

7 พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต

8 พระเจ้าทรงปลูกสวนแห่งหนึ่งไว้ที่เอเดน ทางทิศตะวันออก และให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงปั้นมานั้นอยู่ที่นั่น

            อธิบายขยายความ: ตลอดพระคัมภีร์ Bible คือเรื่องราวของพระเจ้ากับมนุษย์ที่ทรงสร้าง โดยเฉพาะผู้เชื่อ (a believer) ที่ทรงรักหวงแหน มนุษย์เป็นสิ่งทรงสร้างเดียวที่มีลมปราณของพระเจ้าเป็นส่วนผสม สิ่งทรงสร้างเดียวที่มีจิตวิญญาณ มีพระฉาย (ฉายา) หรือลักษณะเหมือนพระองค์ (in our image)

            ทรงมีแผนช่วยกู้นำกลับมาหาพระองค์เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป ตลอดเรื่องราวของ Bible บรรยายการล้มลงในความบาป การช่วยเหลือครั้งแล้วครั้งเล่า ให้โอกาสครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อนำผู้เชื่อกลับสู่สภาพดี (สมบูรณ์ ครบบริบูรณ์) ได้ชีวิตที่มีจิตวิญญาณอีกครั้ง

            และบรรจุคำสอน คำพยาน (เรื่องราวของผู้เชื่อแต่ละคนหรือที่แต่ละคนเขียน) เช่น อับราฮัม โยเซฟ ดาวิด อิสยาห์ เยเรมีย์ เปโตร เปาโล ยอห์น เพื่อให้ผู้เชื่อรุ่นหลังได้เรียนรู้ เห็นแบบอย่าง มีคำเผยพระวจนะและคำพยากรณ์

            พระคัมภีร์ Bible เป็นคู่มือแห่งชีวิต ด้วยทรงตั้งใจว่ามนุษย์โดยเฉพาะเชื่อจะศึกษาและปฏิบัติตาม

            สันติสุขและความชื่นชมยินดีของพระเจ้าจึงอยู่กับผู้ศึกษาและดำเนินชีวิตตามพระคัมภีร์ทั้งในโลกนี้และนิรันดร์

ยชว.1:1, 7-9

1 อยู่มาเมื่อโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้าสิ้นชีวิตแล้ว พระเจ้าตรัสกับโยชูวาบุตรนูนรองโมเสสว่า

7 เพียงแต่จงเข้มแข็งและกล้าหาญยิ่งเถิด ระวังที่จะกระทำตามธรรมบัญญัติทั้งหมด ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของเราได้บัญชาเจ้าไว้นั้น อย่าหลีกเลี่ยงจากธรรมบัญญัตินั้นไปทางขวามือหรือทางซ้าย เพื่อว่าเจ้าจะไปในถิ่นฐานใดเจ้าจะได้รับความสำเร็จอย่างดี

8 อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างเหินไปจากปากของเจ้า แต่เจ้าจงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะกระทำตามข้อความที่เขียนไว้นั้นทุกประการ แล้วเจ้าจะมีความจำเริญ และเจ้าจะสำเร็จผลเป็นอย่างดี

9 เราสั่งเจ้าไว้แล้วมิใช่หรือว่าจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าตกใจหรือคร้ามกลัวเลย เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงสถิตกับเจ้า"

สดด.119:111-117

111 บรรดาพระโอวาทของพระองค์ข้าพระองค์รับไว้เป็นมรดกเป็นนิตย์ พระเจ้าข้า เป็นความชื่นบานแก่ใจข้าพระองค์

Your statutes are my heritage forever; they are the joy of my heart.

112 ข้าพระองค์โน้มจิตใจข้าพระองค์ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ เป็นนิตย์จนอวสาน

113 ข้าพระองค์เกลียดชังคนสองใจ แต่ข้าพระองค์รักพระธรรมของพระองค์

114 พระองค์ทรงเป็นที่ซ่อนและเป็นโล่ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์หวังในพระวจนะของพระองค์

115 แน่ะ เจ้าคนทำชั่ว ไปเสียจากข้า เพื่อข้าจะรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าของข้า

116 ขอทรงประคองข้าพระองค์ไว้ตามพระดำรัสของพระองค์เพื่อข้าพระองค์จะเป็นอยู่ และอย่าให้ข้าพระองค์ขายหน้าในความหวังของข้าพระองค์

117 ขอทรงชูข้าพระองค์ขึ้น เพื่อข้าพระองค์จะปลอดภัย และมีความนับถือกฎเกณฑ์ของพระองค์สืบๆ ไป

Uphold me, and I will be delivered; I will always have regard for your decrees.

รม.5:1-5

1 เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้วเราจึงมีสันติสุขในพระเจ้า ทางพระเยซูคริสตเจ้าของเรา

2 โดยทางพระองค์เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่และเราชื่นชมยินดีในความไว้วางใจ ว่าจะได้มีส่วนในพระสิริของพระเจ้า

3 ยิ่งกว่านั้น เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น ทำให้เกิดความอดทน

4 และความอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ และการที่เราเห็นเช่นนั้นทำให้เกิดมีความหวังใจ

5 และความหวังใจมิได้ทำให้เกิดความเสียใจเพราะผิดหวัง เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว

And hope does not put us to shame, because God’s love has been poured out into our hearts through the Holy Spirit, who has been given to us.

            God’s love has been poured out into our hearts through the Holy Spirit

2ทธ.3:16-17

16 พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอนการตักเตือนว่ากล่าวการปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม

All Scripture is God-breathed and is useful for teaching, rebuking, correcting and training in righteousness,

17 เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง

so that the servant of God may be thoroughly equipped for every good work.

    2. ผู้ถูกสร้างโต้แย้งพระผู้สร้างได้หรือ

            ผู้เชื่อที่ยินดีดำเนินในทางพระเจ้า ตามพระประสงค์จะเกิดผลมาก มีชีวิตที่ทรงพลัง อีกทางคือต่อสู้ดื้อดึงกับพระองค์ต่อไป แต่เขาจะชนะพระผู้สร้างเขาขึ้นมาได้หรือ

            ที่ผ่านมาโยบพูดย้ำหลายรอบว่าเขาไม่ได้รับความยุติธรรม (ที่ต้องสูญเสียสิ่งต่างๆ ต้องทนทุกข์สาหัสทั้งร่างกายจิตใจ ทั้งๆ ที่ดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม ไม่คิดว่าตนทำบาป) อยากได้คำชี้แจงจากพระเจ้า เอลีฮูตอบด้วยศาสนศาสตร์ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ ไม่มีใครสามารถโต้แย้งพระองค์ เป็นคำชี้แจงต่อเนื่องจากเรื่องการทรงสร้าง ผู้ถูกสร้างโต้แย้งพระผู้สร้างได้หรือ

โยบ.33:12-13

12 "ดูเถิด ในเรื่องนี้ท่านไม่ยุติธรรมเลย ข้าพเจ้าจะตอบท่าน พระเจ้าใหญ่ยิ่งกว่ามนุษย์

“But I tell you, in this you are not right, for God is greater than any mortal.

13 ทำไมท่านจึงโต้แย้งกับพระองค์ ว่า "พระองค์จะไม่ทรงตอบถ้อยคำของเขาเลย"

            มนุษย์คิดเองว่าเขาดี เขาถูก เขายิ่งใหญ่ เป็นความคิดของคนบาป ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง จริงๆ แล้วเขาเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ต้องตายในไม่ช้า เป็นอีกคนในหลายพันหลายหมื่นล้านคนที่เกิดและต้องตาย พระเจ้านี่แหละกำหนดให้เป็นเช่นนั้น (ข้อ 12 ดู NIV- any mortal มนุษย์คือสิ่งที่ต้องตาย)

            อธิบายขยายความ: ผู้สร้างย่อมมีอำนาจเหนือผู้ถูกสร้าง ผู้สร้างเป็นผู้กำหนด ผู้ถูกสร้างได้แค่ดำเนินตามที่กำหนด เปรียบเหมือนช่างปั้นผู้ปั้นภาชนะแต่ละชิ้นให้มีลักษณะตามที่ช่างปั้นต้องการ เกิดเป็นภาชนะที่แตกต่าง ใหญ่เล็กสวยงามแตกต่าง ประโยชน์ใช้สอยแตกต่าง ตั้งวางในสถานที่แตกต่าง

อสย.64:8 ข้าแต่พระเจ้า แต่พระองค์ยังทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นดินเหนียว และพระองค์ทรงเป็นช่างปั้น ข้าพระองค์ทุกคนเป็นผลพระหัตถกิจของพระองค์

รม.9:20-23

20 แต่ว่าท่านคือใคร คือมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้นเอง ท่านจะโต้ตอบกับพระเจ้าได้อย่างไร สิ่งซึ่งถูกปั้นจะกล่าวแก่ผู้ปั้นได้หรือว่า "ทำไมท่านจึงปั้นข้าพเจ้าอย่างนี้"

21 ส่วนช่างปั้นหม้อ ไม่มีสิทธิที่จะเอาดินก้อนเดียวกัน มาปั้นเป็นภาชนะที่สวยงามอันหนึ่ง และภาชนะใช้สอยอันหนึ่งหรือ

22 แล้วถ้าโดยทรงประสงค์จะสำแดงการลงพระอาชญา และทรงให้ฤทธิ์เดชของพระองค์ปรากฏ พระเจ้าได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ช้านานต่อผู้เหล่านั้น ที่เป็นภาชนะอันสมควรแก่พระอาชญา ซึ่งเตรียมไว้สำหรับความพินาศ

23 เพื่อจะได้ทรงสำแดงพระสิริอันอุดมของพระองค์ แก่บรรดาผู้ที่เป็นภาชนะแห่งพระเมตตา ซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ก่อนให้สมกับศักดิ์ศรี

            พระเจ้าสร้างแต่ละคนให้แตกต่าง ให้เป็นอย่างที่เป็น ใครจะโต้แย้งพระองค์ได้ สิ่งที่มนุษย์ทำได้คือสร้างตัว (ชำระตัว) ให้เหมาะแก่การใช้งานตามที่ผู้สร้างต้องการ

2ทธ.2:20-21

20 ในบ้านใหญ่หลังหนึ่งๆ มิได้มีแต่ภาชนะทองและเงินเท่านั้น แต่มีภาชนะไม้และภาชนะดินด้วย บ้างก็เพื่อศิลปะ และบ้างก็สามัญ

21 ถ้าผู้ใดชำระตัวให้พ้นจากสิ่งที่ไม่มีค่า เขาก็จะเป็นภาชนะที่มีค่า ซึ่งชำระให้บริสุทธิ์แล้ว เหมาะที่เจ้าของเรือนจะใช้ให้เป็นประโยชน์ พร้อมกับการดีทุกอย่าง

            ไม่เพียงแค่มนุษย์เท่านั้น พระเจ้าผู้สร้างประชาชาติ พระองค์จะยกชูหรือทำลายก็ได้

ยรม.18:6-10

6 "ประชาอิสราเอลเอ๋ย เราจะกระทำแก่เจ้าอย่างที่ช่างหม้อนี้กระทำไม่ได้หรือ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ ดูเถิด ประชาอิสราเอลเอ๋ย เจ้าอยู่ในมือของเรา อย่างดินเหนียวอยู่ในมือของช่างหม้อ

7 ถ้าเวลาใดก็ตามเราประกาศเกี่ยวกับประชาชาติหนึ่งหรือราชอาณาจักรหนึ่งว่า เราจะถอนและพังและทำลายมันเสีย

8 และถ้าประชาชาตินั้นซึ่งเราได้ลั่นวาจาไว้เกี่ยวข้องด้วย หันเสียจากความชั่วของตน เราก็จักกลับใจจากโทษซึ่งเราได้ตั้งใจจะกระทำแก่ชาตินั้นเสีย

9 และถ้าเวลาใดก็ตาม เราได้ประกาศเกี่ยวกับประชาชาติหนึ่งหรือราชอาณาจักรหนึ่งว่า เราจะสร้างขึ้นและปลูกฝังไว้

10 และชาตินั้นได้กระทำชั่วในสายตาของเรา ไม่ฟังเสียงของเรา เราก็จะกลับใจจากความดีซึ่งเราตั้งใจจะกระทำกับชาตินั้นเสีย

            ทรงเป็นเจ้าชีวิตตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้กำหนดวันเกิดวันตายของมนุษย์ ความเป็นไปของประชาชาติ

            สิ่งที่ต้องตายจะโต้แย้งหรือสู้กับพระผู้สร้างได้หรือ โยบจึงผิดตั้งแต่ต้นที่คิดสู้คดีกับพระองค์ (โยบคิดว่าตนไม่ผิด เหตุร้ายที่เกิดกับตนมาจากความผิดพลาดบางอย่าง ขอให้พระเจ้าพิจารณา) เป็นความคิดไร้สาระตั้งแต่ต้นที่ผู้ถูกสร้างกล่าวโทษหรือสงสัยผู้สร้างเขาขึ้นมา เพราะทำไม่ได้และเป็นไปไม่ได้เลย

            มาถึงตรงนี้พระธรรมโยบบทที่ 33 ได้นำเสนอศาสนศาสตร์เรื่องพระเจ้า ความสัมพันธ์พื้นฐานระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ผ่านการถกเถียงใช้ตรรกะและลงเอยว่าพระองค์คือพระผู้สร้าง ทรงสิทธิอำนาจสูงสุด มนุษย์ทุกคนอยู่ใต้อำนาจไม่ว่าเขายินดีหรือไม่ ยอมรับหรือไม่ ทุกอย่างขึ้นกับน้ำพระทัยพระองค์ นี่คือพระเจ้าผู้ทรงสิทธิอำนาจสูงสุดเหนือสรรพสิ่ง

          ผู้เชื่อที่ยินดีดำเนินในทางพระเจ้า ตามพระประสงค์จะเกิดผลมาก มีชีวิตที่ทรงพลัง อีกทางคือต่อสู้ดื้อดึงต่อไป แต่เขาจะชนะพระผู้สร้างเขาได้หรือ

            ขอพระองค์เมตตาด้วยเถิด

    3. พระเจ้าสำแดงพระองค์และทรงนำอยู่เสมอ

โยบ.33:14-18

14 เพราะพระเจ้าตรัสวิธีหนึ่ง เออ สองวิธี แต่มนุษย์ไม่หยั่งรู้ได้

For God does speak—now one way, now another — though no one perceives it.

15 ในความฝัน ในนิมิตกลางคืน เมื่อคนหลับสนิท เมื่อเขาเคลิบเคลิ้มอยู่บนที่นอนของเขา

16 แล้วพระองค์ทรงเบิกหูของมนุษย์ และทรงสั่งสอนอย่างลับๆ

17 เพื่อว่าพระองค์จะได้หันให้มนุษย์กลับจากกิจการของเขา และตัดความเย่อหยิ่งออกเสียจากมนุษย์

18 พระองค์ทรงยึดเหนี่ยววิญญาณของเขาไว้จากปากแดนคนตาย และยึดชีวิตของเขาไว้จากการที่จะพินาศด้วยดาบ

            แท้จริงแล้วพระเจ้าสำแดงพระองค์อยู่เสมอ (does speak) ด้วยหลายวิธี ทั้งแบบกว้าง (สำแดงต่อคนจำนวนมาก) กับส่วนตัวเพื่อให้เขาผู้นั้นเข้าใจ ได้รับการเตือนสติให้กลับมาหาความจริงแท้ ปัญหาคือความบาปปิดบังไม่ให้เขาเข้าใจ ความรักโลกยังครอบครองจิตใจ จึงขึ้นกับว่าผู้นั้นจะเข้าถึง เข้าใจ กลับใจใหม่ ยอมรับหรือปฏิเสธดื้อดึงมากน้อยเพียงไร

            พระเจ้าสร้างมนุษย์ตามพระฉาย แม้มนุษย์ล้มลงในบาปแต่ยังมีจิตสำนึกความดีเหลืออยู่ไม่มากก็น้อย สามารถรับรู้เข้าถึงความจริงของพระเจ้าในบางระดับ ส่วนจะมุ่งแสวงหาความดีความจริงแค่ไหนแต่ละคนจะแตกต่างกันไป

            อธิบายขยายความ: โยบสงสัยและคิดไม่ออกว่าตนทำผิดบาปตรงไหน อยากได้คำตอบ แต่ผู้เป็นพระเจ้าไม่จำต้องตอบหรือรายงานผู้ใด ไม่มีใครสามารถโต้แย้งพระองค์ โยบที่เชื่อพระเจ้าได้แต่ยอมรับว่าพระองค์ประสงค์ให้ตนเผชิญเรื่องราวต้องทนทุกข์ยากเช่นนั้น

            ถ้าพระเจ้าต้องกล่าวรายงานเท่ากับมีผู้เหนือกว่าพระองค์ เหมือนผู้ใต้บังคับบัญชาที่ต้องเสนอรายงาน องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดไม่จำต้องตอบหรือรายงานใคร ไม่มีใครสามารถบังคับพระองค์ และพระองค์อาจให้คำตอบบางส่วนตามที่เห็นควร เช่น ผู้เชื่ออธิษฐานร้องขอความช่วยเหลือ

            แท้จริงแล้วพระเจ้าสำแดงพระองค์ ความเป็นพระองค์อยู่เสมอ พระหัตถกิจปรากฎอยู่ทั่วไป

สดด.19:1-4

1 ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์

2 วันส่งถ้อยคำให้แก่วัน และคืนแจ้งความรู้ให้แก่คืน

3 วาจาไม่มี ถ้อยคำก็ไม่มี และไม่มีใครได้ยินเสียงฟ้า

4 ถึงกระนั้นเสียงฟ้าก็ออกไปทั่วแผ่นดินโลก และถ้อยคำก็แพร่ไปถึงสุดปลายพิภพ พระองค์ทรงตั้งเต็นท์ไว้ให้ดวงอาทิตย์ ณ ที่นั้น

            ขึ้นกับผู้นั้นจะมีตาใจฝ่ายวิญญาณสามารถเข้าถึงว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่หรือไม่

            ปัจจุบันความรู้เรื่องพระเจ้า คำสอนพระเยซูไม่ใช่ของหายาก สำคัญว่าผู้นั้นจะยอมรับว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ สนใจใฝ่รู้หรือเมื่อได้ยินได้ฟังจะเชื่อหรือไม่ คริสเตียนแต่ละคนสนใจ ตอบสนองคำสอนพระองค์มากแค่ไหน บางคนถูกตีสอนครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ยังรักที่จะทำบาปต่อไป

            สำหรับผู้เชื่อ Bible คือบันทึกคำสอน พระหัตถกิจทั้งสิ้นที่ต้องศึกษาและยึดถือ ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์กับพระองค์ ประสบการณ์สัมผัสพระเจ้าในรูปแบบต่างๆ ล้วนเป็นพยานบอกเล่าคำสอนกับพระหัตถกิจที่คริสเตียนแต่ละคนรับรู้และได้รับพระพรอยู่เสมอ เป็นพยานว่าทรงพระชมน์อยู่

            พระเจ้าสื่อสารหลายรูปแบบ โยบ.33:14-17 นำเสนอตัวอย่างความฝันหรือนิมิตเมื่อหลับ

    3.1 สื่อสารผ่านความฝัน

โยบ.33:15 ในความฝัน ในนิมิตกลางคืน เมื่อคนหลับสนิท เมื่อเขาเคลิบเคลิ้มอยู่บนที่นอนของเขา

            โยบ.33:15 ยกตัวอย่างวิธีสื่อสาร ชี้ว่าทรงใช้แม้กระทั่งความฝัน

            ตัวอย่าง พระเจ้าสื่อสารผ่านความฝัน (พระสุบิน)

ปฐก.20:3 แต่พระเจ้าเสด็จมาหาอาบีเมเลคทางพระสุบินในเวลากลางคืน และตรัสกับอาบีเมเลคว่า "เจ้าจะต้องตายแน่ๆ เพราะหญิงซึ่งเจ้านำมานั้นมีสามีแล้ว"

กจ.10:10-20

กจ.10:10, 13, 19--20

10 ก็หิวอยากจะรับประทานอาหาร แต่ในระหว่างที่เขายังจัดอาหารอยู่ เปโตรก็เข้าสู่ภวังค์

13 มีพระสุรเสียงมาว่าแก่ท่านว่า "เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้นฆ่ากินเถิด"

19 เมื่อเปโตรตริตรองเรื่องนิมิตนั้น พระวิญญาณก็ตรัสกับท่านว่า "ดูเถิด ชายสามคนมาหาเจ้า

20 จงลุกขึ้นลงไปข้างล่างและไปกับเขาเถิด อย่าลังเลใจเลย เพราะว่าเราได้ใช้เขามา"

    3.2 สั่งสอนให้เข้าใจ

โยบ.33:15-16

15 ในความฝัน ในนิมิตกลางคืน เมื่อคนหลับสนิท เมื่อเขาเคลิบเคลิ้มอยู่บนที่นอนของเขา

16 แล้วพระองค์ทรงเบิกหูของมนุษย์ และทรงสั่งสอนอย่างลับๆ

            พระเจ้าสามารถสื่อสารด้วยสารพัดวิธี ในที่นี้ชี้ว่าบางครั้งพระเจ้าสื่อสารด้วยความฝัน นิมิต ไม่ว่าเรื่องราวเป็นปริศนาหรือซับซ้อนแค่ไหน พระองค์ช่วยทำให้เขาเข้าใจ ให้บางคนเข้าถึงความล้ำลึกของพระธรรม (ข้อ 16)

            คำว่าทรงเบิกหูในโยบ.33:16 หมายถึงช่วยอธิบายซึ่งอาจเป็นการอธิบายในใจ ให้สมองคิดเข้าใจ

    3.3 ทรงสร้างและนำชีวิต

โยบ.33:17-18

17 เพื่อว่าพระองค์จะได้หันให้มนุษย์กลับจากกิจการของเขา และตัดความเย่อหยิ่งออกเสียจากมนุษย์

18 พระองค์ทรงยึดเหนี่ยววิญญาณของเขาไว้จากปากแดนคนตาย และยึดชีวิตของเขาไว้จากการที่จะพินาศด้วยดาบ

            เมื่ออาดัมเอวาล้มลงในบาป มนุษย์ทุกคนล้วนมีบาปติดตัว หลายคนทำบาปมากขึ้นเป็นบาปซ้อนบาป พระเจ้าพยายามช่วยพวกเขาไม่ให้พินาศ ในการนี้รวมถึงสร้างและนำชีวิตคนของพระองค์

          อธิบายขยายความ: การรับเชื่อไม่ได้หมายความว่าผู้เชื่อหรือคริสเตียนเป็นคนสมบูรณ์ดีพร้อมสมบูรณ์แบบทันที ความจริงคือลักษณะชีวิตเก่ายังคงอยู่ไม่มากก็น้อย ยังผิดพลาดทำบาป พระองค์จึงสร้างชีวิตเขาต่อไป ให้โอกาสกลับใจ นำชีวิตสู่น้ำพระทัยสมบูรณ์ พระองค์สัมพันธ์ด้วยเสมอไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ เข้าใจมากน้อยแค่ไหน ตอบสนองหรือปฏิเสธ ทรงนำอยู่เสมอ ให้โอกาสครั้งแล้วครั้งเล่า

            ยกตัวอย่าง พระเจ้าอาจสื่อสารทางใจ มีสำนึกอยากเป็นคนดี อยากรู้ความหมายของชีวิต แสวงหาพระเจ้าเที่ยงแท้ ฝ่ายมนุษย์เมื่อได้ยินข่าวประเสริฐแต่ละคนตอบสนองแตกต่าง บางคนคิดว่าแค่ทำดีบ้างก็พอแล้ว บางคนมาโบสถ์ช่วงหนึ่งแล้วไม่อยากมาอีก อยากใช้ชีวิตตามใจชอบ บางคนแสวงหาพระเทียมเท็จ อยู่ในสงครามฝ่ายวิญญาณ

             เพื่อนทั้ง 4 ที่มาพูดคุยกับโยบเป็นวิธีหนึ่งที่พระองค์ใช้เช่นกัน ให้เกิดการถกเถียงแบบมนุษย์พูดคุยตามภาษาของเขา ตามความรู้ สติปัญญา ความเข้าใจ เอลีฮูเพื่อนคนที่ 4 เอ่ยเรื่องการทรงสร้าง ผู้ถูกสร้างโต้แย้งผู้สร้างไม่ได้ เหมือนตัวภาชนะที่ไม่อาจแย้งช่างปั้นว่าทำไมจึงปั้นให้เป็นเช่นนั้น (มีภาชนะชิ้นไหนทำได้) การถกเถียงที่ยาวนานหลากหลายมุมกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระธรรมโยบให้ผู้เชื่อคนอื่นๆ ได้ศึกษา พระธรรมโยบบรรจุศาสนศาสตร์มากมาย อธิบายความเป็นพระเจ้า พระลักษณะ ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับผู้เชื่อ เหล่านี้เป็นหัวข้อพื้นฐานที่ผู้เชื่อทุกคนควรเข้าใจ อธิบายได้ว่าพระเจ้าเป็นอย่างไร ทรงนำชีวิตอย่างไร ฯลฯ

    4. ผลบาปที่ได้รับขณะมีชีวิตในโลก

โยบ.33:19-22

19 "มนุษย์ยังถูกตีสอนด้วยความเจ็บปวดบนที่นอนของเขาด้วย และด้วยการขัดแย้งเสมอในกระดูกของเขา

20 ชีวิตของเขาจึงได้เบื่ออาหาร และจิตใจจึงได้เบื่ออาหารโอชะ

21 เนื้อของเขาทรุดโทรมไปมากจนมองไม่เห็น กระดูกของเขาซึ่งแลไม่เห็นนั้นก็โผล่ออกมา

22 เออ วิญญาณของเขาเข้าไปใกล้ปากแดนคนตาย และชีวิตของเขาเข้าใกล้ผู้ที่นำความตายมา

            เอลีฮูขยายความต่อว่าขณะมนุษย์มีชีวิตอยู่ในโลก เขาจะต้องรับผลแห่งความบาปที่ทำ เกิดความทุกข์ยากทั้งร่างกายจิตใจ ไม่มีใครหนีพ้น เป็นเช่นนี้วันแล้ววันเล่า (19-20) นานวันเข้าความทุกข์ยากเพิ่มพูนขึ้นจนใกล้ถึงวันตาย (21-22)

          อธิบายขยายความ: น้ำพระทัยสมบูรณ์คือมนุษย์เป็นอมตะ ไม่เจ็บป่วย ไม่ตาย ทรงสภาพแบบพระเจ้าดังที่ทรงสร้างอาดัมตามพระฉาย เมื่ออาดัมล้มลงในบาปจึงรับผลแห่งบาป มนุษย์ต้องทนทุกข์ทั้งกายใจและเสียชีวิตในที่สุด

ปฐก.3:16-19

16 พระองค์ตรัสแก่หญิงนั้นว่า "เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากขึ้นมากมาย ในเมื่อเจ้ามีครรภ์และคลอดบุตร ถึงกระนั้นเจ้ายังปรารถนาสามี และเขาจะปกครองตัวเจ้า"

17 พระองค์จึงตรัสแก่อาดัม {แปลว่า มนุษย์} ว่า"เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลไม้ที่เราห้าม แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากจนตลอดชีวิต

18 แผ่นดินจะให้ต้นไม้และพืชที่มีหนามแก่เจ้าและเจ้าจะกินพืชต่างๆ ของทุ่งนา

19 เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนเจ้ากลับเป็นดินไป เพราะเราสร้างเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดิน และจะต้องกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม"

            พระเจ้าจึงสอนให้ทิ้งบาป วิถีชีวิตบาป

คส.3:5-6

5 เหตุฉะนั้นจงประหารโลกียวิสัยในตัวท่านเสีย มีการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการนับถือรูปเคารพ

6 เพราะสิ่งเหล่านี้ พระอาชญาของพระเจ้าก็จะลงมา

            เมื่อทนทุกข์หนักสิ่งหนึ่งที่ผู้เชื่อควรทำคืออธิษฐานของการช่วยกู้

สดด.88:1-3

1 ข้าแต่พระเจ้า พระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์เมื่อข้าพระองค์ร้องทูลต่อพระองค์ในกลางคืน

2 ขอคำอธิษฐานของข้าพระองค์มาจำเพาะเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ ขอทรงเงี่ยพระกรรณฟังคำร้องทูลของข้าพระองค์

3 เพราะจิตใจของข้าพระองค์ลำบากเต็มที และชีวิตของข้าพระองค์เข้าใกล้แดนผู้ตาย

    5. กลับใจหาพระเจ้า

โยบ.33:23-24

23 ถ้ามีทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาเพื่อเขา เป็นล่าม หนึ่งในพัน เพื่อแถลงแก่มนุษย์ว่าอะไรถูกเพื่อเขา

Yet if there is an angel at their side, a messenger, one out of a thousand, sent to tell them how to be upright,

24 และทูตนั้นกรุณาเขาทูลว่า "ขอทรงปล่อยเขาให้พ้นจากที่จะไปยังปากแดนคนตายข้าพระองค์พบค่าไถ่แล้ว

and he is gracious to that person and says to God, Spare them from going down to the pit; I have found a ransom for them—

            โยบ.33:23-24 เอ่ยถึงแผนการช่วยกู้ของพระเจ้า จะมีพระผู้ไถ่บาปชำระมลทินมนุษย์

          อธิบายขยายความ: แม้เชื่อพระเจ้าร่างกายยังจะเสื่อมโทรม เจ็บป่วยและเสียชีวิตในที่สุด

โรม.7:5 เพราะว่าเมื่อเราดำเนินชีวิตตามทางโลก ตัณหาชั่วที่ธรรมบัญญัติเร้าให้เกิดขึ้นนั้น ได้ทำให้อวัยวะของเราก่อกรรมชั่วนำไปสู่ความตาย

            ไม่มีผู้เชื่อคนใดสมบูรณ์เขายังทำบาปรับผลบาป ร่างกายเสื่อมโทรมและเสียชีวิต ส่วนที่รอดคือจิตวิญญาณ การไถ่ของพระคริสต์คือช่วยจิตวิญญาณ ไม่ต้องลงนรกบึงไฟซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ได้อยู่กับพระเจ้าในโลกใหม่ด้วยกายใหม่

            “พระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำไว้กับเรา”

2คร.5:1-5

1 เพราะเรารู้ว่า ถ้าเรือนดินคือกายของเรานี้จะพังทำลายเสีย เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทานให้ ที่มิได้สร้างด้วยมือมนุษย์และตั้งอยู่เป็นนิตย์ในสวรรค์

2 เพราะว่าในร่างกายนี้เรายังครวญคร่ำอยู่ มีความอาลัยที่จะสวมที่อาศัยของเราที่มาจากสวรรค์

3 เพื่อว่าเมื่อเราสวมแล้ว เราก็จะมิได้เปลือย

4 เพราะว่าเราผู้อาศัยในร่างกายนี้จึงครวญคร่ำเป็นทุกข์ มิใช่เพราะปรารถนาที่จะอยู่ตัวเปล่า แต่ปรารถนาจะสวมกายใหม่นั้น เพื่อว่าร่างกายของเราซึ่งจะต้องตายนั้นจะได้ถูกชีวิตอมตะกลืนเสีย

5 แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เตรียมเราไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำไว้กับเรา

            ความจริงแล้วผู้เชื่อเริ่มเข้าถึงชีวิตใหม่ตั้งแต่เขาเชื่อพระเจ้า ดำเนินชีวิตใหม่ มีเป้าหมายใหม่ เป็นของพระคริสต์ไม่ใช่ของโลกอีกต่อไป

คส.3:1-4

1 ถ้าท่านรับการทรงชุบให้เป็นขึ้นมาด้วยกันกับพระคริสต์แล้ว ก็จงแสวงหาสิ่งซึ่งอยู่เบื้องบนในที่ซึ่งพระคริสต์ทรงสถิตอยู่ คือประทับข้างขวาของพระเจ้า

2 จงเอาใจใส่สิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งซึ่งอยู่ที่แผ่นดินโลก

3 เพราะว่าท่านได้ตายแล้ว และชีวิตของท่านซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้า

4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของเราทรงปรากฏ ขณะนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในศักดิ์ศรีด้วย

    6. ชีวิตใหม่-ชีวิตผู้เชื่อ

โยบ.33:25-28

25 เนื้อของเขาจะอ่อนกว่าเนื้อเด็ก ขอให้เขากลับไปสู่กำลังเหมือนเมื่อยังหนุ่ม"

26 เขาจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า และพระองค์จะทรงพอพระทัยเขา เขาจะเข้ามาเฝ้าต่อพระพักตร์ พระองค์ด้วยความชื่นบาน

then that person can pray to God and find favor with him, they will see God’s face and shout for joy; he will restore them to full well-being.

27 แล้วพระองค์จะทรงให้มนุษย์กลับสู่สภาพความชอบธรรม และเขาจะร้องเพลงต่อหน้าประชาชน กล่าวว่า "ข้าบาปแล้ว และเห็นผิดเป็นชอบ และมิได้ทรงลงโทษสนองข้า

28 พระองค์ทรงไถ่วิญญาณจิตของข้าให้พ้นจากการลงไปสู่ปากแดนคนตาย และชีวิตของข้าจะเห็นความสว่าง"

God has delivered me from going down to the pit, and I shall live to enjoy the light of life.’

            โยบ.33:25-28 พูดถึงผลการกลับใจใหม่ ชีวิตใหม่ในพระเจ้า

    6.1 สุขภาพร่างกายแข็งแรง

โยบ.33:25 เนื้อของเขาจะอ่อนกว่าเนื้อเด็ก ขอให้เขากลับไปสู่กำลังเหมือนเมื่อยังหนุ่ม"

            ร่างกายจะฟื้นเหมือนได้ร่างกายใหม่ เหมือนได้เซลล์ใหม่ กล้ามเนื้อใหม่ มีกำลังกายแข็งแรง

สดด.103:3-5

3 ผู้ทรงอภัยความบาปผิดทั้งสิ้นของท่าน ผู้ทรงรักษาโรคทั้งสิ้นของท่าน

4 ผู้ทรงไถ่ชีวิตของท่านมาจากปากแดนผู้ตาย ผู้ทรงสวมความรักมั่นคงและพระกรุณาให้ท่าน

5 ผู้ทรงให้ท่านอิ่มด้วยของดี ตลอดชีวิตของท่าน วัยหนุ่มของท่านจึงกลับคืนมาใหม่อย่างวัยนกอินทรี

    6.2 จิตวิญญาณแข็งแรง

โยบ.33:26 เขาจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า และพระองค์จะทรงพอพระทัยเขา เขาจะเข้ามาเฝ้าต่อพระพักตร์ พระองค์ด้วยความชื่นบาน

then that person can pray to God and find favor with him, they will see God’s face and shout for joy; he will restore them to full well-being. (NIV)

He shall pray to God, and He will delight in him, He shall see His face with joy, For He restores to man His righteousness. (NKJV)

            สิ่งหนึ่งที่ผู้เชื่อ (สามารถ) ทำคืออธิษฐานต่อพระเจ้า “เข้ามาเฝ้าต่อพระพักตร์พระองค์”

            คนไม่เชื่อพระเจ้าย่อมไม่อธิษฐาน ส่วนผู้เชื่อจะอธิษฐาน พระเจ้าพอพระทัยที่เขากลับใจแสวงหาพระองค์ ผลลัพธ์ข้อหนึ่งคือผู้เชื่อรับความชื่นบานเมื่อสัมผัสพบพระองค์ สะท้อนว่ามีจิตวิญญาณแข็งแรง

            ผู้เข้มแข็งในความเชื่อย่อมปรารถนา (ชอบ) ที่จะแสวงหาพระเจ้า รักที่จะเข้าหาและพบพระองค์ ยิ่งแสวงหามากเพียงไรก็ยิ่งสัมพันธ์สนิทกับพระองค์มากเพียงนั้น

            การสัมผัสพบพระเจ้าเกิดจากการที่ทรงอนุญาตให้เข้าถึง เนื่องด้วยเขากลับคืนสู่ “ความชอบธรรม” อันเป็นผลจากพระคุณความรัก

            แม้พระคัมภีร์ข้อนี้ใช้คำว่า “see God’s face” แต่แท้จริงคือในโลกนี้เพียงแค่สัมผัสพระสิริตามที่ทรงสำแดง

            อธิบายขยายความ:

            1) การอธิษฐานวิธีสื่อสารกับพระเจ้า

            เมื่อเริ่มต้นเขาอาจอธิษฐานเพื่อขอสิ่งต่างๆ ขอให้หายโรค หายจน ฯลฯ ขอพระเจ้าช่วยเหลือในการดำเนินชีวิต เมื่อผ่านประสบการณ์ได้รับคำตอบจากอธิษฐานหลายครั้ง ความเชื่อเข้มแข็งขึ้นทุกที เกิดความสัมพันธ์ความผูกพันระหว่างผู้เชื่อคนนั้นกับพระเจ้าของเขา

            พัฒนาการขั้นต่อมาคือไม่ใช่เพื่อการขอเท่านั้น แต่เป็นวิธีพูดคุยสื่อสารกับพระเจ้าในเรื่องอื่นๆ ที่มากกว่าตอบสนองความต้องการของการใช้ชีวิตประจำวัน (การขอคือการสื่อสารเช่นกัน) เน้นเรื่องฝ่ายวิญญาณ เข้าหาพระองค์ด้วยใจถ่อม ขอกำลังเพื่อทำตามการทรงเรียก ขอบคุณพระองค์ทุกกรณี เข้าถึงพระคุณความรักมากขึ้นทุกที และพระเจ้าทรงพอพระทัยจึงให้เขาสัมผัสพบพระองค์ล้ำลึกขึ้นตามลำดับ ประทานความชื่นชมยินดี

            การอธิษฐานจึงเป็นช่องทางหรือวิธีการสื่อสารระหว่างผู้เชื่อกับพระเจ้า ซึ่งต้องอาศัยความเชื่อ ระดับการเติบโตฝ่ายวิญญาณที่พัฒนาจากการขอสมัยเมื่อเป็นผู้เชื่อใหม่

            2) เข้ามาเฝ้าต่อพระพักตร์

            พระวจนะตอนนี้พูดถึงการเข้าหาพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน ความจริงแล้วผู้เชื่อสามารถเข้าหาเข้าถึงพระองค์ด้วยช่องทางอื่นๆ หลักสำคัญคือ “เข้ามาเฝ้าต่อพระพักตร์”

            3) ความชอบธรรมทางพฤตินัยทำให้ผู้เชื่อสัมผัสพระเจ้าลึกซึ้งแตกต่าง

            ผู้เชื่อชอบธรรมในทางนิตินัย (เป็นธรรมิกชนได้รับความรอดแม้ยังไม่สมบูรณ์ดีพร้อม) ส่วนทางพฤตินัยชีวิตเปลี่ยนเหมือนพระเจ้าของเขามากขึ้น การเปลี่ยนทางพฤตินัยสัมพันธ์กับการสัมผัสพระเจ้า

            ไม่มีใครดีพร้อมทุกคนกำลังเติบโตสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ สำคัญคือความมุ่งมั่นตั้งใจ

            ความชอบธรรมทางพฤตินัยนี่แหละทำให้ผู้เชื่อทั้งหลายสัมผัสพระเจ้าลึกซึ้งแตกต่าง

            พระเจ้าเรียกร้องให้ดำเนินชีวิตใหม่อย่างคนของพระองค์

อฟ.5:8-10

8 เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างแล้วในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง

9 (ด้วยว่าผลของความสว่างนั้น คือความดีทุกอย่างและความชอบธรรมทั้งมวลและความจริงทั้งสิ้น)

10 ท่านจงพิสูจน์ดูว่า ทำประการใดจึงจะเป็นที่ชอบพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า

            พระธรรมโยบตอนนี้เอ่ยถึงกุญแจกับผลลัพธ์สำคัญของผู้เชื่อนั่นคือ

    6.2.1 แสวงหาพระเจ้า (26ก)

- เขาจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า

            การเป็นผู้เชื่อหรือคริสเตียนไม่ใช่การนับถือศาสนา ที่ผู้นับถือศรัทธาพยายามปฏิบัติตามบัญญัติคำสอแม้พระเจ้ามีคำสอนมากมาย

            ธรรมบัญญัติหรือคำสอนระบุมาตรฐานว่ามนุษย์ควรเป็นอย่างไร ทำสิ่งใด อะไรถูกหรือผิด พยายามดำเนินในทางที่ถูกต้อง แต่ที่สำคัญกว่าคือการแสวงหาพระเจ้า ให้รู้จักพระองค์จริง มีประสบการณ์ส่วนตัวว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ ไม่ใช่พระเจ้าที่คนอื่นพูดถึงหรืออยู่ในพระคัมภีร์เท่านั้น คนที่แสวงหาและติดตามพระองค์จะทำตามสิ่งที่พระองค์สอน ดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยได้ดีกว่าเพราะพระเจ้าเปลี่ยนแปลงเขา ได้รับกำลังที่มาจากพระองค์ (ไม่ใช่เพียงแค่ความพยายามเปลี่ยนตัวเอง พยายามทำความดี เป็นคนดี) พระองค์ประทานความสำเร็จแก่เขา นี่คือผลข้อหนึ่งของการแสวงหาพระเจ้า

กท.2:15-16

15 เราผู้มีสัญชาติเป็นยิว ไม่ใช่คนต่างชาติที่มีบาป

16 ก็ยังรู้ว่าไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมได้ โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่โดยศรัทธาในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ถึงเราเองก็มีใจศรัทธาในพระเยซูคริสต์ เพื่อจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยศรัทธาในพระคริสต์ ไม่ใช่โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ เพราะว่าโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้น ไม่มีมนุษย์คนใดเป็นคนชอบธรรมได้เลย

            ต้องสามารถพูดว่า “พระเจ้าของข้า” (ของฉัน ของผม ของหนู) ไม่ใช่พระเจ้าที่คนอื่นพูดถึงเท่านั้น

            การเป็น “พระเจ้าของข้า” ก่อเกิดความสัมพันธ์ส่วนตัวใกล้ชิดระหว่างผู้เชื่อกับพระเจ้า พระองค์ปรารถนาให้ผู้เชื่อใกล้ชิดอยู่แล้ว เหลือแต่ส่วนที่ผู้เชื่อต้องทำนั่นคือแสวงหาใกล้ชิดพระองค์ยิ่งกว่าเดิม

สดด.63:1-4

1 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ข้าพระองค์แสวงพระองค์ จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์ เนื้อหนังของข้าพระองค์กระเสือกกระสนหาพระองค์ ในดินแดนที่แห้งและอ่อนโหย ที่ที่ไม่มีน้ำ

You, God, are my God, earnestly I seek you; I thirst for you, my whole being longs for you, in a dry and parched land where there is no water.

2 เช่นนั้นแหละ ข้าพระองค์จึงเคยเห็นพระองค์ในสถานนมัสการ เห็นฤทธานุภาพและพระสิริของพระองค์

I have seen you in the sanctuary and beheld your power and your glory.

3 เพราะว่าความรักมั่นคงของพระองค์ดีกว่าชีวิต ริมฝีปากของข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์

4 เช่นนั้นแหละ ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ ตราบเท่าชีวิตของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ชูมือต่อพระนามของพระองค์

            สดด.63:1-4 ดาวิดพูดชัดว่าทำไมเขาจึงพบพระเจ้า สัมผัสพระองค์ในสถานนมัสการ

สดด.5:1-3

1 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเอียงพระโสตสดับถ้อยคำของข้าพระองค์ ขอทรงฟังเสียงคร่ำครวญของข้าพระองค์

2 ข้าแต่พระบรมกษัตริย์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงฟังเสียงร้องทูลของข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์อธิษฐานทูลต่อพระองค์

3 ข้าแต่พระเจ้า ในเวลาเช้าพระองค์ทรงสดับเสียงของข้าพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์เตรียมถวายเครื่องสักการบูชาแด่พระองค์และเฝ้าคอยดูอยู่

ยชว.14:7-11

7 เมื่อโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้าใช้ให้ข้าพเจ้าไปจากคาเดชบารเนีย เพื่อสอดแนมดูแผ่นดิน ข้าพเจ้ามีอายุสี่สิบปี ข้าพเจ้าได้นำข่าวมาแจ้งแก่ท่านตามความคิดเห็นของข้าพเจ้า

8 แต่ส่วนพี่น้องซึ่งขึ้นไปพร้อมกับข้าพเจ้าได้กระทำให้จิตใจของประชาชนกลัว แต่ข้าพเจ้าได้ติดตามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าอย่างสุดใจ

but my fellow Israelites who went up with me made the hearts of the people melt in fear. I, however, followed the LORD my God wholeheartedly.

9 ในวันนั้นโมเสสได้ปฏิญาณว่า "แท้จริงแผ่นดินซึ่งเท้าของท่านได้เหยียบย่ำไปนั้น จะตกเป็นมรดกของท่านและของบุตรหลานของท่านสืบไปเป็นนิตย์ เพราะว่าท่านได้ติดตามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าอย่างสุดใจ

10 และบัดนี้ ดูเถิด พระเจ้ายังทรงให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ตลอดสี่สิบห้าปีนี้ ดังที่พระองค์ตรัสตั้งแต่พระเจ้าตรัสเช่นนี้แก่โมเสส เมื่อคนอิสราเอลเดินทางอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และนี่แน่ะวันนี้ข้าพเจ้ามีอายุแปดสิบห้าปีแล้ว

11 ข้าพเจ้ายังมีกำลังแข็งแรง เช่นเดียวกับวันที่โมเสสใช้ให้ข้าพเจ้าไป กำลังของข้าพเจ้าในการทำศึกสงครามหรือออกไปและเข้ามาเดี๋ยวนี้ก็เป็นเหมือนครั้งนั้น

            “ข้าพเจ้าได้ติดตามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าอย่างสุดใจ” (ยชว.14:8)

            การอธิษฐานของคริสเตียนจึงไม่ใช่การท่องบทสวด ไม่ใช่การใช้คำสวยหรู เป็นการสื่อสารกับพระเจ้ารูปแบบหนึ่งที่ง่ายเพราะแค่พูดเท่านั้น แต่ที่ดูเหมือนง่ายมีความลึกล้ำ สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างผู้เชื่อกับพระเจ้าที่เขารู้จัก

          พระเจ้าทรงพระชนม์คอยฟังคำอธิษฐานและตอบคำอธิษฐาน

1 ปต.3:12 เพราะว่าพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าเฝ้าดูคนชอบธรรม และพระกรรณของพระองค์ทรงสดับคำอ้อนวอนของเขา แต่พระพักตร์ของพระองค์ไม่เป็นมิตรกับคนทั้งหลายที่ทำความชั่ว

            จงแสวงหาพระเจ้า เชื่อมต่อกับพระองค์ ได้ชีวิตทรงพลัง

    6.2.2 พระเจ้าพอพระทัย (26ข)

- พระองค์จะทรงพอพระทัยเขา

            แท้จริงแล้วผู้เชื่อปฏิบัติตามคำสอนได้น้อยมากเมื่อเทียบกับคำสอนทั้งหมด (คำถาม รู้ไหมว่าพระเจ้าสอนอะไรบ้าง มีคำสั่งคำสอนทั้งหมดกี่พันข้อ อ่านพระคัมภีร์ทุกหน้าจบกี่รอบแล้ว รู้ความล้ำลึกของคำสอนแต่ละเรื่องมากเพียงไร) ต่างยึดถือปฏิบัติได้มากสุดเท่าที่รู้เข้าใจซึ่งคำสอนพระองค์ล้ำลึกเกินกว่าสามารถเข้าถึงทั้งหมด บ่อยครั้งผู้เชื่อคิดเองว่าปฏิบัติครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว

            ในตอนนี้พระเจ้าพอพระทัยที่ผู้เชื่อแสวงพระองค์ ยอมรับว่าองค์พระเป็นเจ้าคือพระเจ้าของเขา นมัสการพระองค์เพียงผู้เดียว พยายามสัมพันธ์กับพระองค์ ตั้งใจดำเนินชีวิตตามคำสอน

    6.2.3 สัมผัสพระเจ้า (26ค)

- เขาจะเข้ามาเฝ้าต่อพระพักตร์ (they will see God’s face)

            คำว่า “มาเฝ้าต่อพระพักตร์” หรือ “see God’s face” (NIV) ไม่ได้หมายความว่าเห็นหน้าพระเจ้าจริงๆ (ยกเว้นเห็นพระเยซูขณะเป็นมนุษย์) เพราะไม่มีใครทำได้ คำนี้หมายถึงการแสวงหาพระเจ้า ตามประโยค โยบ.33:26 “เขาจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า และพระองค์จะทรงพอพระทัยเขา เขาจะเข้ามาเฝ้าต่อพระพักตร์ พระองค์ด้วยความชื่นบาน” คือการที่ผู้เชื่ออธิษฐานต่อพระเจ้านั่นเอง

            หรืออาจหมายถึง การสัมผัสพระเจ้าผ่านการอธิษฐาน

            การสัมผัสพระเจ้าเป็นผลจากการที่ผู้เชื่อตั้งใจแสวงหาพระไม่องค์หยุดหย่อน ในตอนต้นเขาอาจมีประสบการณ์พื้นๆ เช่น พระเจ้าตอบคำอธิษฐานอย่างเจาะจง (เช่น ของหายได้คืน) จากนั้นความเชื่อพัฒนาสูงขึ้นตามลำดับ มีประสบการณ์ล้ำลึกมากขึ้นทุกที สัมผัสพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้ยินพระสุรเสียง สัมผัสความรักสันติสุขที่มาจากพระองค์ รับรู้ชัดเจนว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังนำชีวิต เป็นคนของพระเจ้าตัวแทนพระองค์ที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้

    6.2.3.1 มั่นใจในความรอด

            การสัมผัสพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวด มั่นใจในความรอด พระเจ้าให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นมัดจำ

2คร.5:1-5

1 เพราะเรารู้ว่า ถ้าเรือนดินคือกายของเรานี้จะพังทำลายเสีย เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทานให้ ที่มิได้สร้างด้วยมือมนุษย์ และตั้งอยู่เป็นนิตย์ในสวรรค์

2 เพราะว่าในร่างกายนี้เรายังครวญคร่ำอยู่ มีความอาลัยที่จะสวมที่อาศัยของเราที่มาจากสวรรค์

3 เพื่อว่าเมื่อเราสวมแล้ว เราก็จะมิได้เปลือย

4 เพราะว่าเราผู้อาศัยในร่างกายนี้จึงครวญคร่ำเป็นทุกข์ มิใช่เพราะปรารถนาที่จะอยู่ตัวเปล่า แต่ปรารถนาจะสวมกายใหม่นั้น เพื่อว่าร่างกายของเราซึ่งจะต้องตายนั้นจะได้ถูกชีวิตอมตะกลืนเสีย

5 แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เตรียมเราไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำไว้กับเรา

            โลกเป็นแค่บ้านชั่วคราว ร่างกายนี้เป็นกายชั่วคราว ที่อาศัยถาวรของผู้เชื่อตั้งอยู่เป็นนิตย์ในสวรรค์คริสเตียนจึงไม่อาลัยกายนี้โลกนี้ มุ่งที่จะได้อยู่กับพระองค์ผู้สร้างฟ้าสวรรค์ และรับรู้ชีวิตในโลกหน้าเพราะมีพระวิญญาณเป็นมัดจำ

            ทันทีที่เชื่อพระเจ้าจริงผู้นั้นได้อยู่กับพระเจ้าทางนิตินัย ส่วนจะสัมผัสได้มากน้อยขึ้นกับความมุ่งมั่นแสวงหาพระเจ้า การละบาป (ความชอบธรรมกับอธรรมอยู่ด้วยกันไม่ได้) มีใจบริสุทธิ์ต่อพระเจ้า

            ผู้เชื่อเป็นพระวิหารของพระองค์ เป็นที่ทรงสถิตของพระวิญญาณ

1คร.3:16,19

16 ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน

19 ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง

2คร.6:16 วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์ ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า "เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขาและเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา

What agreement is there between the temple of God and idols? For we are the temple of the living God. As God has said: “I will live with them and walk among them, and I will be their God, and they will be my people.”

            รูปเคารพหมายถึงการรักหวงแหนสิ่งอื่นมากกว่าพระเจ้า ใจยึดติดผูกพันกับสิ่งพวกนั้นจึงห่างไกลพระองค์

    6.2.3.2 การกลับใจใหม่คือเริ่มต้นชีวิตติดสนิทกับพระเจ้า

รม.6:6-11

6 เราทั้งหลายรู้แล้วว่า ตัวเก่าของเรานั้นได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้นจะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป

7 เพราะว่าผู้ที่ตายแล้วก็พ้นจากบาป

8 แต่ถ้าเราตายแล้วกับพระคริสต์ เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ด้วย

9 เราทั้งหลายรู้อยู่ว่า พระคริสต์ที่ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากตายนั้นแล้วจะหาตายอีกไม่ ความตายหาครอบงำพระองค์ต่อไปไม่

10 ด้วยว่าซึ่งพระองค์ได้ทรงตายนั้นพระองค์ได้ทรงตายต่อบาปหนเดียวเป็นพอ แต่ซึ่งพระองค์ทรงชีวิตอยู่นั้น พระองค์ทรงชีวิตสนิทกับพระเจ้า

11 เหมือนกันเช่นนั้นแหละ ท่านทั้งหลายจงถือว่าท่านได้ตายต่อบาป และมีชีวิตสนิทกับพระเจ้าในพระเยซูคริสต์

            ตัวเก่าคือชีวิตเก่าที่ตกอยู่ใต้ความบาป พระเจ้ามอบชีวิตใหม่เมื่อเชื่อพระเยซูคริสต์ เพื่อ “จะมีชีวิตอยู่กับพระองค์” (รม.6:8) และ “มีชีวิตสนิทกับพระเจ้าในพระเยซูคริสต์” (รม.6:11) ตั้งแต่วันนี้จนถึงนิรันดร์

    6.2.4 รับการอวยพรฝ่ายวิญญาณ (26ง)

- ด้วยความชื่นบาน (shout for joy)

            ความชื่นบานที่เกิดเป็นผลโดยตรงจากการสัมผัสพระเจ้า (ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เช่น พระเจ้าอวยพร ตอบคำอธิษฐาน สัมพันธ์กับพระองค์ทางจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้ง) เป็นความชื่นบานอย่างมาก (shout for joy) เป็นภาพสะท้อนการอวยพรฝ่ายวิญญาณที่มากกว่าการอวยพรฝ่ายโลก

            อธิบายขยายความ: ผู้เชื่อคนนี้จะเป็นใครก็ได้ อาจมีฐานะทางสังคมสูงหรือต่ำ ร่ำรวยมหาศาลหรือพออยู่พอกิน พระเจ้าอวยพรฝ่ายจิตวิญญาณ ในข้อนี้ระบุว่ามีความชื่นบานที่มาจากผลฝ่ายวิญญาณ แสดงถึงการมีความสัมพันธ์ฝ่ายวิญญาณที่ดีกับพระองค์

    6.2.5 เป็นผู้ชอบธรรมอีกครั้ง (26จ)

            พระคัมภีร์บางเวอร์ชันเพิ่มประโยค “แล้วพระองค์ทรงให้มนุษย์กลับสู่สภาพความชอบธรรม” และปรากฎในฉบับภาษาอังกฤษ

โยบ.33:26 (ฉบับ THSV11) คนนั้นจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า และพระองค์พอพระทัยเขา เขาเข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยความชื่นบาน แล้วพระองค์ทรงให้มนุษย์กลับสู่สภาพความชอบธรรม

then that person can pray to God and find favor with him, they will see God’s face and shout for joy; he will restore them to full well-being. (NIV)

He shall pray to God, and He will delight in him, He shall see His face with joy, For He restores to man His righteousness. (NKJV)

Then he will pray to God, and He will accept him, That he may see His face with joy, And He may restore His righteousness to man. (NASB1995)

- กลับสู่สภาพความชอบธรรม (THSV11) หรือ “restores to man His righteousness” (NKJV) หรือ “restore His righteousness to man” (NASB 1995) หรือ “restore them to full well-being” (NIV)

            ในที่นี้ยึดประโยคเพิ่มจาก THSV11, NKJV และ NASB1995 ที่ตรงกันมากกว่า

            ประโยคนี้ให้ความหมายว่าเดิมมนุษย์ชอบธรรมแต่ล้มลงจากบาป ในตอนนี้พระเจ้าฟื้นฟูให้เขากลับมาชอบธรรมอีกครั้ง ข้อนี้สำคัญสุดเพราะกำลังชี้ว่าจะเป็นผู้ชอบธรรมในวันพิพากษา เป้าหมายสำคัญของการเชื่อพระเจ้า-ได้รับความรอดตามแผนการช่วยกู้

            ความรอดได้มาฟรีแต่การรักษาความรอดต้องมีจิตวิญญาณแข็งแรง เป็นพระคุณ

    6.3 ประกาศพระเจ้า

โยบ.33:27-28

27 แล้วพระองค์จะทรงให้มนุษย์กลับสู่สภาพความชอบธรรม และเขาจะร้องเพลงต่อหน้าประชาชน กล่าวว่า "ข้าบาปแล้ว และเห็นผิดเป็นชอบ และมิได้ทรงลงโทษสนองข้า

28 พระองค์ทรงไถ่วิญญาณจิตของข้าให้พ้นจากการลงไปสู่ปากแดนคนตาย และชีวิตของข้าจะเห็นความสว่าง"

God has delivered me from going down to the pit, and I shall live to enjoy the light of life.’

            เพราะว่ามีประสบการณ์ในพระเจ้าหลายครั้ง ได้สัมผัสพบพระองค์ ยอมรับว่าทรงเป็นพระเจ้า เป็นพยานต่อคนทั้งหลายว่า “พระองค์ทรงไถ่วิญญาณจิตของข้า”

            ผู้ที่เชื่อพระเจ้าจริงเขาจะประกาศด้วยตัวเอง

            สังเกตคำว่า “การไถ่” มีตั้งแต่ในพระธรรมโยบแล้ว

    7. ทรงให้โอกาสกลับใจหลายครั้ง

โยบ.33:29-30

29 "ดูเถิด พระเจ้าทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้นกับมนุษย์สองครั้ง สามครั้ง

30 เพื่อจะนำวิญญาณจิตของเขามาจากปากแดนคนตายเพื่อให้เขาเห็นความสว่างแห่งชีวิต

            พระเจ้าสำแดงให้มนุษย์คนบาปแต่ละคนกลับใจหลายครั้ง ด้วยหลายวิธีแม้กระทั่งด้วยความฝัน นิมิตกลางคืน ทรงสำแดงซ้ำ เตือนซ้ำ กระตุ้นจิตสำนึกชี้ว่ากำลังทำผิด รู้สึกไม่สบายใจ ให้เข้าใจชัดเจนว่าเขาบาป ต้องแสวงหาทางออก แสวงหาพระเจ้า บางคนมาถึงความรอด ดำเนินชีวิตใหม่ตามทางของพระองค์

โยบ.33:15 ในความฝัน ในนิมิตกลางคืน เมื่อคนหลับสนิท เมื่อเขาเคลิบเคลิ้มอยู่บนที่นอนของเขา

            อธิบายขยายความ: แผนการช่วยกู้มีแก่ทุกคน พระเจ้าสำแดงหลากหลายวิธีทั้งแบบภาพรวม แสดงต่อหลายคนพร้อมกัน และสำแดงเฉพาะเจาะจงต่อแต่ละคน ด้วยวิธีการที่เขาเข้าใจแม้กระทั่งด้วยความฝัน นิมิตกลางคืน (โยบ.33:15)

            ความฝันหรือนิมิตกลางคืนคือตัวอย่างการสื่อสารที่ส่งถึงเขาอย่างเจาะจง พระธรรมตอนนี้บรรยายตัวอย่างวิธีของพระเจ้า ชี้ว่าทรงเตือนมนุษย์ทุกคน ไม่มีใครสามารถปฏิเสธว่าไม่รู้ว่ามีพระเจ้า ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดและต้องกลับใจ

            ความรอดจึงมีแก่ทุกคนตามน้ำพระทัย ที่ต้องทำลายก็มีมาก พระเจ้าเตือนหลายครั้งแต่คำเตือนกับเวลา (โอกาส) กลับใจมีจำกัด ขอเพียงเชื่อวางใจ ไม่ว่าเขาเป็นใครอยู่ที่ไหน พระเจ้าช่วยนำพาจิตวิญญาณผู้นั้นจนถึงที่หมายปลายทาง

    สรุป

            พระธรรมโยบบทที่ 33 เริ่มสอนตั้งแต่การทรงสร้างมนุษย์ สิทธิอำนาจของพระเจ้า แผนการช่วยกู้มนุษย์ทุกคน ลักษณะหรือผลของผู้เชื่อ ให้คำตอบว่ามนุษย์เกิดมาทำไม ควรทำอย่างไร อย่างไรเรียกว่าชีวิตที่ดีมีสันติสุข

------------------------

คำถามหลังคำสอน :

            1) จากบทเรียน ทำไมการกลับใจเชื่อพระเจ้าจึงสำคัญ

            2) ในฐานะผู้เชื่อ จงแบ่งปันประสบการณ์ที่มั่นใจว่าพระเจ้ามีจริง พระองค์ทรงพระชมน์อยู่ ไม่ใช่แค่ความรู้ตามพระคัมภีร์หรือที่คนอื่นเล่าให้ฟัง

--------------------------