23/11/2568

บทเรียน 25 ปัญญาฝ่ายโลกกับฝ่ายวิญญาณอย่างใดสำคัญกว่า

ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำคัญกว่าความรู้ฝ่ายโลก แต่คริสเตียนจำต้องมีความรู้ทักษะทั้ง 2 ด้านพร้อมกัน

คำถามก่อนเรียน:

            1) ตามความคิดของท่าน ปัญญาฝ่ายโลกเรื่องใดสำคัญที่สุด ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

            2) ปัญญาฝ่ายโลกกับฝ่ายวิญญาณอย่างใดสำคัญกว่า

 

            คำถาม: ความรู้ฝ่ายโลกกับความเข้าใจฝ่ายวิญญาณอย่างใดสำคัญกว่า

            มีคน 2 ประเภท

            ประเภทแรก คิดว่าฝ่ายวิญญาณสำคัญที่สุด อย่าเข้าเกี่ยวข้องกับโลกที่เต็มด้วยบาป จึงปลีกตัวถอยห่างจากสังคม รักษาชีวิตบริสุทธิ์ชอบธรรม

            ประเภทที่ 2 คิดว่าประกาศตัวว่าเชื่อพระเจ้าก็พอ ทุ่มเทชีวิตให้กับหน้าที่การงาน สนใจความรู้ความสามารถฝ่ายโลกเป็นหลัก มาโบสถ์พอเป็นพิธีเพราะอย่างไรก็เป็นคริสเตียนแล้ว พระเจ้าเมตตาให้อภัยเสมอ

            คำถาม: ท่านคิดว่าประเภทใดถูก

ปัญญาฝ่ายโลกกับฝ่ายวิญญาณ:

1. ความสำคัญของฝ่ายวิญญาณ

            โลกเป็นเรื่องชั่วคราว ฝ่ายวิญญาณยั่งยืนนิรันดร์ พระเจ้าให้ความสำคัญชีวิตนิรันดร์ ต้นเหตุที่ทรงไถ่ การกลับใจใหม่ศรัทธาพระเยซูก็เพราะให้ความสำคัญสิ่งที่ถาวรนิรันดร์

            คริสเตียนแสดงออกด้วยการเป็นทูตพระคริสต์ เป็นตัวแทนพระองค์ในโลกนี้ ทำตามมหาบัญชากับปฐมบัญชา ตามนิมิตการทรงเรียก

            1.1 ฝ่ายวิญญาณสำคัญที่สุด

            ชีวิตฝ่ายวิญญาณคือชีวิตนิรันดร์ที่อยู่กับพระเจ้า คริสเตียนผู้เชื่ออยู่กับพระเจ้าตั้งแต่วันนี้จนถึงนิรันดร์

มธ.16:26 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร หรือผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาชีวิตของตนกลับคืนมา

            คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ปลายทางของเขาคือถูกตัดขาดจากพระองค์นิรันดร์ 

            1.2 ความรู้ฝ่ายโลกมีประโยชน์และโทษ

            ชีวิตในโลกต้องอาศัยความรู้ฝ่ายโลกเสมอ อาหารทุกมื้อ เสื้อผ้าที่สวมใส่ บ้านที่อยู่อาศัย จนถึงวิทยาการล้ำสมัย เทคโนโลยีล่าสุด คือทักษะความรู้ฝ่ายโลกที่ทุกคนเกี่ยวข้อง

            คริสเตียนไม่ปฏิเสธทักษะความรู้ฝ่ายโลก ยอมรับว่าความรู้ฝ่ายโลกมีประโยชน์มากมาย แต่ต้องระวังหากความรู้นั้นต่อต้านพระเจ้า ปัญญาฝ่ายโลกจึงมีจุดอ่อน อาจทำให้คนหลงหรือไม่ยอมรับพระเจ้าเที่ยงแท้

            เพราะปัญญาฝ่ายโลกมักชี้ว่าไม่มีพระเจ้า ไม่เชื่อเรื่องการไถ่ของพระคริสต์

1คร.3:18-19

18 อย่าให้ผู้ใดหลอกลวงตัวเอง ถ้าผู้ใดในพวกท่านคิดว่า ตัวเป็นคนมีปัญญาตามหลักของยุคนี้ จงให้ผู้นั้นยอมเป็นคนโง่ จึงจะเป็นคนมีปัญญาได้

19 เพราะว่าปัญญาของโลกนี้ เป็นความโง่เขลาในสายพระเนตรของพระเจ้า ด้วยมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระองค์ทรงจับคนที่มีปัญญาด้วยอุบายของเขาเอง

            ดังนั้น ใครก็ตามที่เรียนรู้และยึดถือแต่ความรู้ฝ่ายโลก ปัญญาเช่นนั้นกลายเป็นกับดัก ไม่อาจเข้าถึงพระเจ้าเที่ยงแท้

            1.3 ไม่สุดโต่งมีความรู้ทักษะ 2 ด้านพร้อมกัน

            ในขณะที่บางคนสนใจปัญญาฝ่ายโลก กลับมีบางคนมุ่งความรู้ฝ่ายวิญญาณ ไม่ให้ความสำคัญความรู้ทักษะฝ่ายโลก สนใจความรู้ไม่กี่เรื่องที่จำเป็น พยายามถอยห่างจากโลกให้มากที่สุด

            ความรู้ฝ่ายโลกจะเป็นโทษหรือประโยชน์ขึ้นกับการนำไปใช้ เช่น การจุดไฟมีประโยชน์และมีโทษ มีดผลไม้ใช้ฆ่าคนได้ (เราจะไม่ใช้ไฟเพราะกลัวไฟจะไหม้บ้านหรือ จะเลิกใช้มีดเพื่อป้องกันฆาตกรรมจากมีดหรือไม่) ความรู้ฟิสิกส์นิวเคลียร์สามารถใช้สร้างอาวุธนิวเคลียร์ ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ การถนอมอาหาร การรักษาโรคด้วยความรู้นิวเคลียร์

            คริสเตียนเรียนรู้เรื่องยาเสพติดเพื่อเข้าใจพิษภัยยาเสพติด เรียนรู้ความขัดแย้งของโลกเพื่อไม่เข้าสู่สงครามที่มิชอบ ศึกษาความรู้ล่าสุดเพื่อใช้ประโยชน์ สามารถแนะนำสังคมว่าอะไรควรหรือไม่ควร

            ทั้งนี้ขึ้นกับความเติบโตฝ่ายวิญญาณด้วย เทียบได้กับให้เด็กเล็กใช้ฟืนไฟ ของมีคม ควรรู้ว่าอะไรควรไม่ควร มีการทรงนำจากพระวิญญาณ เข้าใจพระคัมภีร์ มีผู้นำคอยให้คำแนะนำปรึกษา

2. ใช้ความรู้ฝ่ายโลกบนรากฐานฝ่ายวิญญาณ

            พระเจ้าไม่ต่อต้านความรู้ฝ่ายโลกที่เป็นประโยชน์ แต่ต้องมีฝ่ายวิญญาณเป็นแกนและเป็นรากฐาน เปรียบเสมือนบ้านที่สร้างบนศิลา (ฝ่ายวิญญาณคือศิลา) เมื่อมีรากฐานนี้แล้ว การสร้างบ้าน (การดำเนินชีวิต การศึกษาความรู้ฝ่ายโลก) จะตั้งอยู่บนหลักพระวจนะ หากปราศจากฝ่ายวิญญาณท้ายที่สุดจะพังทลาย

มธ.7:24-27

24 "เหตุฉะนั้นผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา

25 ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา

26 แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตามเล่า เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย

27 ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่ง"

            2.1 พระเจ้ารอบรู้สรรพวิทยา

            พระเจ้ามีความรู้สรรพวิทยา สติปัญญาสูงสุด ทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งจากศูนย์ ไม่มีผู้ใดเหนือกว่าพระองค์อีกแล้ว ทุกวันนี้ผู้คนยังพยายามศึกษาอธิบายโลกที่พระเจ้าสร้าง

            คริสเตียนควรเป็นผู้นำด้านการสร้างนวัตกรรมใหม่ ผู้นำด้านเทคนิควิทยาการล่าสุด องค์ความรู้ทุกสาขา

            แนวทางที่ถูกต้องคือเติบโตฝ่ายวิญญาณควบคู่มีความรู้สรรพวิทยา เป็นผู้เชี่ยวชาญที่สังคมต้องขอความรู้ความคิดเห็น เชิญเป็นผู้ปกครองบริหารองค์กร มุ่งดำเนินชีวิตกับโลกอย่างสันติมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ไม่มีใครสามารถปลีกตัวอยู่สงบตามลำพัง เพราะมารซานตานจะคอยรังควานอยู่เสมอ

            คริสเตียนบางคนรับข้อมูลทางโลกมากเกินไป ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ชีวิตที่เหลืออยู่จึงควรมุ่งศึกษาและปฏิบัติตามพระวจนะจะได้ประโยชน์มากกว่า

            ให้ความรู้ความเข้าใจในพระเจ้าเป็นฐานและส่งเสริมความรู้ทักษะฝ่ายโลก

1ทธ.4:7-8

7 อย่าใส่ใจกับเทพนิยายอันหาสาระมิได้ จงฝึกตนในทางธรรม

8 เพราะถ้าการฝึกทางกายนั้นมีประโยชน์อยู่บ้าง ทางของพระเจ้าก็มีประโยชน์ในทุกทาง เพราะทรงไว้ซึ่งประโยชน์สำหรับชีวิตปัจจุบันและชีวิตอนาคตด้วย

            ถ้า “รู้จักของจริง” จะสามารถ “แยกแยะของปลอม” เกิดสติปัญญาเข้าใจความจริง เข้าใจเรื่องราวต่างๆ

            พระคัมภีร์สอนว่า คำสอนคำเทศนาสำแดงพลังอำนาจพระวิญญาณ (Spirit’s power)

1คร.2:4 คำพูดและคำเทศนาของข้าพเจ้าไม่ใช่คำที่เกลี้ยกล่อมด้วยสติปัญญา แต่เป็นคำซึ่งได้แสดงพระวิญญาณและพระเดชานุภาพ

My message and my preaching were not with wise and persuasive words, but with a demonstration of the Spirit’s power,

            2.2 แสวงหาความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ

            สุดยอดแห่งสติปัญญาคือดำเนินชีวิตด้วยความยำเกรงพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วย (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

สภษ.1:7 ความยำเกรงพระเจ้า เป็นบ่อเกิดของความรู้ คนโง่ย่อมดูหมิ่นปัญญาและคำสั่งสอน

            เพราะความเข้าใจฝ่ายวิญญาณช่วยให้พ้นบาป ได้รับรางวัลในสวรรค์ พระคัมภีร์สอนให้แสวงหาความเข้าใจฝ่ายวิญญาณมากกว่าฝ่ายโลก

1คร.1:25,30

25 เพราะความเขลาของพระเจ้ายังมีปัญญายิ่งกว่าปัญญาของมนุษย์ และความอ่อนแอของพระเจ้าก็ยังเข้มแข็งยิ่งกว่ากำลังของมนุษย์

For the foolishness of God is wiser than human wisdom, and the weakness of God is stronger than human strength.

30 โดยพระองค์ ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะพระเจ้าทรงตั้งพระองค์ให้เป็นปัญญาและความชอบธรรมของเรา และเป็นผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นผู้ไถ่เราไว้ให้พ้นบาป

            1คร.1:25,30 ชี้ว่าสิ่งที่โลกมองว่าโง่เขลา (ในบริบทคือการไถ่บาปของพระคริสต์) เป็นพระปัญญาของพระเจ้า ที่ปัญญาคนบาปเข้าไม่ถึง

            ผู้เชื่อจึงให้ความสำคัญกับการรู้จักพระเจ้า เพราะช่วยเปลี่ยนชีวิต ดำเนินชีวิตใหม่ ผูกสนิทกับพระองค์ พระเจ้าอยู่ในวิถีชีวิตของเขา เป็นทูตของพระคริสต์

สภษ.9:10 ความยำเกรงพระเจ้าเป็นที่เริ่มต้นของปัญญา และซึ่งรู้จักองค์บริสุทธิ์เป็นความรอบรู้

            "ปัญญาที่มาจากเบื้องบน" กับ "ปัญญาอย่างโลก" ต่างกันชัดเจน

ยก.3:13-18

13 ในพวกท่านผู้ใดเป็นคนฉลาดและมีปัญญา ก็ให้ผู้นั้นแสดงการประพฤติของตนด้วยพฤติกรรมอันดี มีใจอ่อนสุภาพประกอบด้วยปัญญา

14 แต่ถ้าท่านรู้สึกขมขื่นเพราะมีใจริษยาและมักใหญ่ใฝ่สูง ก็อย่าโอ้อวดและอย่าทรยศต่อความจริง

15 ปัญญาเช่นนี้ ไม่เหมือนปัญญาที่มาจากเบื้องบน แต่เป็นปัญญาอย่างโลกและเป็นโลกียวิสัย และเป็นเช่นปิศาจ

16 เพราะว่าที่ใดมีความริษยาและความมักใหญ่ใฝ่สูง ที่นั่นก็วุ่นวายและมีการกระทำชั่วช้าลามกต่างๆ

17 แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด

But the wisdom that comes from heaven is first of all pure; then peace-loving, considerate, submissive, full of mercy and good fruit, impartial and sincere.

18 ผู้สร้างสันติสุข หว่านอย่างสันติ จึงได้เกี่ยวความชอบธรรม

            อธิบายขยายความ: ดังจะเห็นว่าปัญญาฝ่ายโลกบางครั้งไม่บริสุทธ์ชอบธรรม เช่น เป็นกลอุบายให้ตกหลุมพราง กลเม็ดต้มตุ๋นหลอกลวง เพื่อฉวยประโยชน์อันไม่สมควร วางแผนทุจริตคอร์รัปชันอย่างแยบยลหลบเลี่ยงการตรวจสอบ จนถึงยุทธศาสตร์ทำลายล้างประเทศอื่น

            “แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด” (ยก.3:17)

            2.3 ยำเกรงพระเจ้าและรู้จักองค์บริสุทธิ์

สภษ.9:10 ความยำเกรงพระเจ้าเป็นที่เริ่มต้นของปัญญา และซึ่งรู้จักองค์บริสุทธิ์เป็นความรอบรู้

The fear of the LORD is the beginning of wisdom, and knowledge of the Holy One is understanding.

            สภษ.9:10 สอนชัดว่าเริ่มด้วยการยำเกรงพระเจ้าก่อน ตามมาด้วยความผูกพันใกล้ชิดพระองค์ (ในสมัยพันธสัญญาใหม่คือพระวิญญาณบริสุทธิ์)

            ยำเกรงพระเจ้าคือจุดเริ่ม (ยอมรับว่าพระเจ้าอยู่เหนือเรา เชื่อและเชื่อฟังพระองค์)

            การรู้จักหรือมีความรู้ในพระองค์คือความรอบรู้ เพราะพระองค์คือสติปัญญากับความรอบรู้ ความรู้ที่ช่วยให้พ้นบาป ดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ชอบธรรม พระวิญญาณทรงนำ

            สรุป: คนที่ยำเกรงพระเจ้าและรู้จักองค์บริสุทธิ์ คือ ผู้เชื่อและเชื่อฟังพระองค์ ศึกษาเข้าใจพระวจนะ ดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ชอบธรรม พระวิญญาณสถิตอยู่ด้วย

            2.3.1 รากศัพท์และความสำคัญ

            รากศัพท์คำว่า “รู้จักใน สภษ.9:10 คือ דַּעַת (อ่านว่า dah'-ath) หมายถึง ชำนาญ มีฝีมือ (cunning) ความรู้ (knowledge)

            ใช้ในหลายที่ เช่น คำว่า “ความรู้” ใน อพย.31:3

อพย.31:3 และได้ให้เขาประกอบด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า คือให้เขามีสติปัญญา ความเข้าใจและความรู้ในวิชาการทุกอย่าง

            คำว่า “ฝีมือ” (knowledge) ใน 1พกษ.7:14

1พกษ.7:14 ท่านเป็นบุตรชายของหญิงม่ายเผ่านัฟทาลี และบิดาของท่านเป็นชายชาวเมืองไทระ เป็นช่างทองสัมฤทธิ์ และท่านประกอบด้วยสติปัญญา ความเข้าใจ และฝีมือที่จะทำงานทุกอย่างด้วยทองสัมฤทธิ์ ท่านมาเฝ้าพระราชาซาโลมอนและทำงานทั้งสิ้นของพระองค์

whose mother was a widow from the tribe of Naphtali and whose father was from Tyre and a skilled craftsman in bronze. Huram was filled with wisdom, with understanding and with knowledge to do all kinds of bronze work. He came to King Solomon and did all the work assigned to him.

          อธิบายขยายความ: ในอพย.31:3 ชี้ว่าพระวิญญาณอยู่คู่กับ “สติปัญญา ความเข้าใจและความรู้ในวิชาการทุกอย่าง”

อพย.31:3 และได้ให้เขาประกอบด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า คือให้เขามีสติปัญญา ความเข้าใจและความรู้ในวิชาการทุกอย่าง

            พระคัมภีร์ข้อนี้สอนว่าสติปัญญา ความเข้าใจและความรู้ทุกอย่างเป็นของประทานจากพระวิญญาณโดยตรง (อยู่ดีๆ ก็มี ไม่ได้มาจากการศึกษาเรียนรู้) เป็นการอัศจรรย์อย่างหนึ่ง (ในบริบทพวกเขากำลังจะสร้างพลับพลา)

            พระเจ้าประทานให้มีความรู้ความเข้าใจทุกด้าน ทั้งฝ่ายวิญญาณกับฝ่ายโลก

            การที่พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับผู้เชื่อจึงสำคัญ เพราะจะทรงนำ ให้ความเข้าใจ เปิดเผยความจริงแก่ผู้ที่พระวิญญาณสถิตอยู่ด้วย

อสย.11:2 และพระวิญญาณของพระเจ้าจะอยู่บนท่านนั้น คือวิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจ วิญญาณแห่งการวินิจฉัยและอานุภาพ วิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงพระเจ้า

2.4 ตัวอย่าง

            2.4.1 ซาโลมอน

            ตัวอย่าง ซาโลมอนผู้มีสติปัญญาเหนือทุกคน รอบรู้สารพัด

1พกษ.4:29-34

29 และพระเจ้าทรงประทานสติปัญญา และความเข้าใจแก่ซาโลมอนอย่างเหลือประมาณ ทั้งพระทัยอันกว้างขวางดุจทะเลทรายที่ชายทะเล

30 และสติปัญญาของซาโลมอนล้ำกว่าสติปัญญาทั้งสิ้นของชาวตะวันออกและกว่าบรรดาสติปัญญาของอียิปต์

31 เพราะพระองค์ทรงมีสติปัญญาฉลาดกว่าคนอื่นทุกคน ทรงฉลาดกว่าเอธานตระกูลเอสราห์ และเฮมาน คาลโคล์ และดารดา บรรดาบุตรของมาโฮลและพระนามของพระองค์ก็เลื่องลือไปในทุกประชาชาติที่อยู่ล้อมรอบ

32 พระองค์ตรัสสุภาษิตสามพันข้อด้วย และบทเพลงของพระองค์มีหนึ่งพันห้าบท

33 พระองค์ตรัสถึงต้นไม้ตั้งแต่ต้นสนสีดาร์ซึ่งอยู่ในเลบานอน จนถึงต้นหุสบ ซึ่งงอกออกมาจากกำแพง พระองค์ตรัสถึงสัตว์ป่าด้วย ทั้งบรรดานกและสัตว์เลื้อยคลานและปลา

34 และคนมาจากชนชาติทั้งหลาย เพื่อฟังสติปัญญาของซาโลมอน และมาจากบรรดาพระราชาแห่งแผ่นดินโลก ผู้ได้ยินถึงสติปัญญาของพระองค์

            สติปัญญาของซาโลมอนล้ำกว่าสติปัญญาทั้งสิ้นของชาวตะวันออก และเหนือกว่าบรรดาสติปัญญาของอียิปต์ ซึ่งหมายถึงเหนือกว่าชนทุกชาติ โลกตามบริบทสมัยนั้นที่มีอิสราเอล (แผ่นดินคานาอัน) ชนชาติทางตะวันออก (เช่น บาบิโลน เปอร์เซีย) และอียิปต์ที่อยู่ทางใต้

            น้ำพระทัยพระเจ้าจึงต้องการให้คนของพระองค์มีความรู้ทางฝ่ายโลกกับฝ่ายวิญญาณ สามารถมีสติปัญญาเหนือทุกคน เป็นที่รับรู้ทั่วไป

            2.4.2 ดาเนียลกับเพื่อนทั้ง 3

            พระเจ้าให้ดาเนียลกับเพื่อนทั้ง 3 มีความรู้ทุกอย่างในสมัยนั้น มีปัญญาทั้งฝ่ายวิญญาณกับฝ่ายโลก

ดนล.1:17 ฝ่ายอนุชนทั้งสี่คนนี้ พระเจ้าประทานสรรพวิทยา และความชำนาญในเรื่องวิชาทั้งปวงและปัญญา และดาเนียลเข้าใจในนิมิตและความฝันทุกประการ

To these four young men God gave knowledge and understanding of all kinds of literature and learning. And Daniel could understand visions and dreams of all kinds.

            ดาเนียลกับเพื่อนทั้ง 3 ใช้ความรู้ความสามารถเป็นประโยชน์ต่อสังคม เหนือกว่าคนเก่งคนดังทั้งหลายที่ไม่เชื่อพระเจ้า

ดนล.1:18-21

18 พอสิ้นกำหนดเวลาที่พระราชาทรงบัญชาให้นำเขาทั้งหลายเข้าเฝ้า หัวหน้าขันทีจึงนำเขาทั้งหลายเข้ามาเฝ้าเนบูคัดเนสซาร์

19 และพระราชาก็ทรงสัมภาษณ์เขา ในบรรดาอนุชนเหล่านั้นไม่พบสักคนหนึ่งที่เหมือนดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอลและอาซาริยาห์ เพราะฉะนั้นเขาจึงได้เข้ารับราชการ

20 ในบรรดาเรื่องราวอันเกี่ยวกับปัญญาและความรอบรู้ ซึ่งพระราชาตรัสถามเขาทั้งหลาย ทรงเห็นว่าเขาทั้งหลายดีกว่าพวกโหร และพวกหมอดู ซึ่งอยู่ในอาณาจักรทั้งสิ้นของพระองค์สิบเท่า

21 และดาเนียลก็ได้รับราชการเรื่อยมาจนต้นรัชกาลพระราชาไซรัส

3. หลักการคัดกรองการปกป้องและทรงนำ

            ความรู้ฝ่ายโลกบางเรื่องขัดความเชื่อ มีหลักการคัดกรอง การปกป้องและทรงนำ บางประการดังนี้

            3.1 พระคัมภีร์คือคู่มือคัดครอง

            คำสอนกับธรรมบัญญัติชี้อะไรดีอะไรชั่ว อะไรถูก-ผิด เตือนผลของทุกการกระทำ เพื่อให้รู้ว่าต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไร

            พระวจนะเหล่านี้มีมากมาย

            ตัวอย่าง ธรรมบัญญัติ 10 ประการ

อพย.20:2-17

2 ”เราคือพระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์คือจากแดนทาส

3 ”อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา

4 ”อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน

5 อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน

6 แต่เราแสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเรา และปฏิบัติตามบัญญัติของเราจนถึงพันชั่วอายุคน

7 ”อย่าออกพระนามพระเจ้าของเจ้าอย่างไม่สมควร เพราะผู้ที่ออกพระนามพระองค์อย่างไม่สมควรนั้น พระเจ้าจะทรงถือว่าไม่มีโทษก็หามิได้

8 ”จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์

9 จงทำการงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน

10 แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำการงานใดๆไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชายบุตรหญิงของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือแขกที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า

11 เพราะในหกวันพระเจ้าทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก เพราะฉะนั้นพระเจ้าทรงอวยพระพรวันสะบาโต และทรงตั้งวันนั้นไว้เป็นวันบริสุทธิ์

12 ”จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า

13 ”อย่าฆ่าคน

14 ”อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา

15 ”อย่าลักทรัพย์

16 ”อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน

17 ”อย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือทาสทาสีของเขา หรือโค ลาของเขา หรือสิ่งใดๆ ซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน”

            ในบัญญัติ 10 ประการ 3 ข้อแรกพูดถึงความสัมพันธ์กับพระเจ้า ย้ำว่ามีพระเจ้าองค์เดียว นมัสการ ติดสนิทผูกพันกับพระเจ้าองค์นี้เท่านั้น ที่เหลือพูดถึงการใช้ชีวิต ความสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยกัน

            บัญญัติ 10 ประการเป็นตัวอย่างชี้ว่า มีเรื่องที่ต้องทำกับเรื่องที่ห้าม แยกแยะว่าอะไรถูก-ผิด และผลลัพธ์การกระทำ

            คำสอนในพันธสัญญาใหม่ทำหน้าที่นี้เช่นกัน

            ยกตัวอย่าง

รม.13:13-14

13 เราจงประพฤติตัวให้เหมาะสมกับเวลากลางวัน มิใช่เลี้ยงเสพสุราเมามาย มิใช่หยาบโลนลามก มิใช่วิวาทริษยากัน

14 แต่ท่านจงประดับกายด้วยพระเยซูคริสตเจ้า และอย่าจัดเตรียมอะไรไว้บำรุงบำเรอตัณหาของเนื้อหนัง

1ปต.3:3-4

3 การประดับกายของท่านนั้น อย่าให้เป็นการประดับภายนอก ด้วยการถักผม ประดับด้วยเครื่องทองคำและนุ่งห่มเสื้อผ้าสวยงาม

4 แต่จงให้เป็นการประดับภายในจิตใจ แต่งด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลาย คือด้วยจิตใจที่สงบและสุภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่งในสายพระเนตรพระเจ้า

อฟ.5:18-20

18 และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงประกอบด้วยพระวิญญาณ

19 จงปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงสรรเสริญ คือร้องเพลงสรรเสริญและสดุดีจากใจของท่าน ถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า

20 จงขอบพระคุณพระเจ้าคือพระบิดาสำหรับสิ่งสารพัดเสมอ ในพระนามของพระเยซูคริสตเจ้าของเรา

            พระคัมภีร์คือคู่มือการคัดครอง มีคำตอบทุกเรื่องในพระคัมภีร์ ผู้เชื่อจึงหมั่นศึกษาจนเข้าใจครบถ้วนแตกฉาน ยึดถือปฏิบัติอย่างถูกต้อง

           3.2 พระวิญญาณบริสุทธิ์

            พระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระผู้ช่วยที่อยู่กับคริสเตียน พระวิญญาณประทานปัญญา ความเข้าใจ แยกแยะ เตือนสติ สามารถพูดคุยสื่อสารใกล้ชิดกับแต่ละคนอย่างเจาะจง สัมผัสใกล้ชิดพระเจ้า

อสย.11:2 และพระวิญญาณของพระเจ้าจะอยู่บนท่านนั้น คือวิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจ วิญญาณแห่งการวินิจฉัยและอานุภาพ วิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงพระเจ้า

ยน.16:13 เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัส สิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น

But when he, the Spirit of truth, comes, he will guide you into all the truth. He will not speak on his own; he will speak only what he hears, and he will tell you what is yet to come.

            พระวิญญาณช่วยให้สามารถดำเนินในทางของพระองค์ เอาชนะเนื้อหนัง

รม.8:9 ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลายจริงๆ แล้วท่านก็มิได้อยู่ใต้เนื้อหนัง แต่อยู่ใต้พระวิญญาณ ผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์

            สรุป พระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระผู้ช่วยของเราในยุคนี้ ที่ปรึกษามหัศจรรย์ ทรงฤทธานุภาพ ผู้นำพาคนของพระองค์จนถึงสุดปลาย พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา

1คร.3:16-17,19

16 ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน

17 ถ้าผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้น เพราะวิหารของพระเจ้าเป็นที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ และท่านทั้งหลายเป็นวิหารนั้น

19 ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง

2คร.6:16 วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์ ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า "เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขาและเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา

What agreement is there between the temple of God and idols? For we are the temple of the living God. As God has said: “I will live with them and walk among them, and I will be their God, and they will be my people.”

            3.3 ผูกพันตัวในชุมชนผู้เชื่อ

            เป็นธรรมดาที่มนุษย์อยู่ในครอบครัว อยู่ร่วมเป็นชุมชน พระเจ้าสร้างชนชาติอิสราเอล (อยู่ร่วมกันเป็นชนชาติ) คริสเตียนรักกัน สามัคคีธรรมร่วมกัน

            พระเจ้าต้องการให้คริสเตียนอยู่ร่วมเป็นชุมชน ทุกคนได้รับการปกป้องดูแล

            3.3.1 ตัวอย่าง เปาโล

            จากเซาโลที่ข่มเหงคริสเตียนกลายเป็นอัครทูตเปาโล

            พระเจ้าใช้อานาเนียไปหาเซาโลเพื่อพาเข้าสู่ชุมนุมคริสเตียน รับการเสริมสร้าง และกลายเป็นอัครทูตในที่สุด ภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณ

กจ.9:10-11,17,19

10 ในเมืองดามัสกัสมีศิษย์คนหนึ่งชื่ออานาเนีย องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับผู้นั้นโดยนิมิตว่า "อานาเนียเอ๋ย" อานาเนียจึงทูลตอบว่า "พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อยู่ที่นี่"

11 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "จงลุกขึ้นไปที่ถนนที่เรียกว่าถนนตรง ถามหาชายคนหนึ่งชื่อเซาโลชาวเมืองทาร์ซัสอยู่ในตึกของยูดาส เพราะดูเถิดเขากำลังอธิษฐานอยู่

17 แล้วอานาเนียก็ไป และเข้าไปในตึกวางมือบนเซาโล กล่าวว่า "พี่เซาโลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระเยซูได้ทรงปรากฏแก่ท่านกลางทางที่ท่านมานั้น ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามา เพื่อท่านจะเห็นได้อีก และเพื่อท่านจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เต็มบริบูรณ์"

19 พอรับประทานอาหารแล้วก็มีกำลังขึ้น เซาโลพักอยู่กับพวกศิษย์ในเมืองดามัสกัสหลายวัน

4. กรณีศึกษากษัตริย์ซาโลมอน

            กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อเริ่มครองราชย์เชื่อศรัทธาองค์พระผู้เป็นเจ้า มีสัมพันธ์ใกล้ชิด ทรงอวยพรให้มีอำนาจ มีเกียรติ เต็มด้วยความมั่งคั่งและสติปัญญา

            แต่เมื่อถูกชักนำให้ห่างออกพระเจ้า ความสัมพันธ์กับพระองค์นับวันยิ่งจืดจาง ปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าพร้อมกับรูปเคารพอื่นๆ

1พกษ.11:3-6

3 พระองค์ทรงมีมเหสีเจ็ดร้อย และนางห้ามสามร้อยและบรรดามเหสีของพระองค์ ก็ทรงหันพระทัยของพระองค์ไปเสีย

He had seven hundred wives of royal birth and three hundred concubines, and his wives led him astray.

4 เพราะอยู่มาเมื่อซาโลมอนทรงพระชราแล้ว มเหสีของพระองค์ได้หันพระทัยของพระองค์ให้ไปตามพระอื่น และพระทัยของพระองค์หาได้ตรงทีเดียวต่อพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของพระองค์ ดังพระทัยของดาวิดราชบิดาของพระองค์ไม่

5 เพราะซาโลมอนทรงดำเนินตามพระอัชโทเรท พระแม่เจ้าของคนไซดอน และตามพระมิลโคม สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของคนอัมโมน

6 ซาโลมอนจึงทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า และมิได้ทรงติดตามพระเจ้าอย่างเต็มพระทัย ดังดาวิดราชบิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำมาแล้วนั้น

            ซาโลมอนผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน ถูกผู้หญิงชักนำให้ห่างจากพระเจ้า กราบไว้พระอื่น “กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า” ทำผิดบัญญัติข้อสำคัญ

อพย.20:2-6

2 “เราคือพระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์คือจากแดนทาส

3 “อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา

4 “อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน

5 อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน

6 แต่เราแสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเรา และปฏิบัติตามบัญญัติของเราจนถึงพันชั่วอายุคน

but showing love to a thousand generations of those who love me and keep my commandments.

            เพราะบาปของกษัตริย์ พระเจ้าลงโทษแยกอาณาจักรออกเป็น 2 ส่วนคืออิสราเอลกับยูดาห์ (1พกษ.11:9-13, 31-33) หลังเรโหโบอัม ราชโอรสของซาโลมอนขึ้นเป็นกษัตริย์

            เมื่อกลายเป็น 2 อาณาจักร ทั้งกษัตริย์ของอาณาจักรอิสราเอลกับยูดาห์ต่างทำผิดต่อพระเจ้า และทำผิดมากขึ้นอย่างรวดเร็ว (1พกษ.16:29-31) เป็นบาปชนิดเดียวกับที่ซาโลมอนทำคือนมัสการพระอื่น พระเจ้าจึงลงโทษทั้ง 2 อาณาจักรและทำลายทิ้งในที่สุด

            สรุป คนที่เชื่อศรัทธาพระเจ้าจริง จะเชื่อศรัทธาพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียว ไม่นมัสการบูชาพระเจ้าพร้อมกับศาสนาหรือสิ่งอื่น (ชื่อเสียง เกียรติยศ ความมั่งคั่ง ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ความสุขสบายฝ่ายโลก) กษัตริย์ซาโลมอนเป็นตัวอย่างความมั่งคั่งฝ่ายโลกที่กลายเป็นลมเป็นแล้ง เป็นบาปผิดมากมาย

คำถามหลังคำสอน:

            1) ยกตัวอย่าง คริสเตียนที่หลงไปกับปัญญาฝ่ายโลก ผลเป็นอย่างไร

            2) ช่วยเสนอแนะวิธีส่งเสริมให้คริสเตียนมีทั้งปัญญาฝ่ายโลกกับฝ่ายวิญญาณ

------------------------


10/11/2568

Ep28 ยำเกรงพระเจ้าและรู้จักองค์บริสุทธิ์

หนทางดีที่สุดคือผู้เชื่อมุ่งติดสนิท เติบโตในทางพระเจ้าอย่างมั่นคง ชีวิตเปลี่ยนแปลง ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนี้แหละคริสเตียนจะสำแดงแตกต่างจากคนทั้งปวง เกิดผลมากมาย

ยำเกรงพระเจ้าและรู้จักองค์บริสุทธิ์:

สภษ.9:10 ความยำเกรงพระเจ้าเป็นที่เริ่มต้นของปัญญา และซึ่งรู้จักองค์บริสุทธิ์เป็นความรอบรู้

The fear of the LORD is the beginning of wisdom, and knowledge of the Holy One is understanding.

            ยำเกรงพระเจ้าคือจุดเริ่ม (ยอมรับว่าพระเจ้าอยู่เหนือเรา เชื่อและเชื่อฟังพระองค์)

            การรู้จักหรือมีความรู้ในพระองค์คือความรอบรู้ เพราะพระองค์คือสติปัญญากับความรอบรู้ ความรู้ที่ช่วยให้พ้นบาป ดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ชอบธรรม

            สรุป: คนที่ยำเกรงพระเจ้าและรู้จักองค์บริสุทธิ์ คือ ผู้เชื่อและเชื่อฟังพระองค์ ศึกษาเข้าใจพระวจนะ ดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ชอบธรรม พระวิญญาณสถิตอยู่ด้วย

อพย.31:3 และได้ให้เขาประกอบด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า คือให้เขามีสติปัญญา ความเข้าใจและความรู้ในวิชาการทุกอย่าง

          จากอพย.31:3 สังเกตว่าพระวิญญาณอยู่คู่กับ “สติปัญญา ความเข้าใจและความรู้ในวิชาการทุกอย่าง” มีความรู้ความเข้าใจทุกด้าน ทั้งทางฝ่ายวิญญาณกับฝ่ายโลก

            การที่พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับผู้เชื่อจึงสำคัญ เพราะจะทรงนำ ให้ความเข้าใจ เปิดเผยความจริงแก่ผู้ที่พระวิญญาณสถิตอยู่ด้วย

อสย.11:2 และพระวิญญาณของพระเจ้าจะอยู่บนท่านนั้น คือวิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจ วิญญาณแห่งการวินิจฉัยและอานุภาพ วิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงพระเจ้า

 

มีความรู้ทักษะ 2 ด้านพร้อมกัน:

            บางคนคิดว่าความรู้ฝ่ายโลกอาจทำให้ห่างไกลพระเจ้า ชักจูงให้ทำบาป จึงเน้นความรู้ฝ่ายวิญญาณ ไม่สนใจความรู้ทักษะฝ่ายโลก คริสเตียนที่ยึดถือแนวทางนี้ไม่พยายามเรียนรู้ความเป็นไปของโลก สนใจความรู้ไม่กี่เรื่องที่จำเป็นเท่านั้น

            ความรู้ฝ่ายโลกจะเป็นโทษหรือประโยชน์ขึ้นกับการนำไป เช่น การจุดไฟมีประโยชน์และมีโทษ มีดผลไม้ใช้ฆ่าคนได้ (เราจะไม่ใช้ไฟเพราะกลัวไฟจะไหม้บ้านหรือ จะเลิกใช้มีดเพื่อป้องกันฆาตกรรมจากมีดหรือไม่) ความรู้ฟิสิกส์นิวเคลียร์สามารถใช้สร้างอาวุธนิวเคลียร์ ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ การรักษาโรคด้วยความรู้เรื่องนิวเคลียร์

            คริสเตียนเรียนรู้เรื่องยาเสพติดเพื่อเข้าใจพิษภัยยาเสพติด เรียนรู้ความขัดแย้งของโลกเพื่อป้องกันไม่เข้าสู่สงครามที่มิชอบ ศึกษาความรู้ล่าสุดเพื่อใช้ประโยชน์ สามารถแนะนำสังคมว่าอะไรควรหรือไม่ควร

            ทั้งนี้ขึ้นกับความเติบโตฝ่ายวิญญาณด้วย เทียบได้กับให้เด็กใช้ฟืนไฟ ของมีคม ควรรู้ว่าอะไรควรไม่ควร มีการทรงนำจากพระวิญญาณ เข้าใจพระคัมภีร์ มีผู้นำคอยให้คำแนะนำปรึกษา

ตัวอย่าง ดาเนียลกับเพื่อนทั้ง 3:

            พระเจ้าให้ดาเนียลกับเพื่อนทั้ง 3 มีความรู้ทุกอย่างในยุคนั้น มีปัญญาทั้งฝ่ายวิญญาณกับฝ่ายโลก

ดนล.1:17 ฝ่ายอนุชนทั้งสี่คนนี้ พระเจ้าประทานสรรพวิทยา และความชำนาญในเรื่องวิชาทั้งปวงและปัญญา และดาเนียลเข้าใจในนิมิตและความฝันทุกประการ

To these four young men God gave knowledge and understanding of all kinds of literature and learning. And Daniel could understand visions and dreams of all kinds.

            ดาเนียลกับเพื่อนทั้ง 3 ใช้ความรู้ความสามารถเป็นประโยชน์ต่อสังคม เหนือกว่าคนเก่งคนดังทั้งหลายที่ไม่เชื่อพระเจ้า

ดนล.1:18-21

18 พอสิ้นกำหนดเวลาที่พระราชาทรงบัญชาให้นำเขาทั้งหลายเข้าเฝ้า หัวหน้าขันทีจึงนำเขาทั้งหลายเข้ามาเฝ้าเนบูคัดเนสซาร์

19 และพระราชาก็ทรงสัมภาษณ์เขา ในบรรดาอนุชนเหล่านั้นไม่พบสักคนหนึ่งที่เหมือนดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอลและอาซาริยาห์ เพราะฉะนั้นเขาจึงได้เข้ารับราชการ

20 ในบรรดาเรื่องราวอันเกี่ยวกับปัญญาและความรอบรู้ ซึ่งพระราชาตรัสถามเขาทั้งหลาย ทรงเห็นว่าเขาทั้งหลายดีกว่าพวกโหร และพวกหมอดู ซึ่งอยู่ในอาณาจักรทั้งสิ้นของพระองค์สิบเท่า

21 และดาเนียลก็ได้รับราชการเรื่อยมาจนต้นรัชกาลพระราชาไซรัส

            สรุป: หนทางดีที่สุดคือผู้เชื่อมุ่งติดสนิท เติบโตในทางพระเจ้าอย่างมั่นคง ชีวิตเปลี่ยนแปลง ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนี้แหละคริสเตียนจะสำแดงแตกต่างจากคนทั้งปวง เกิดผลมากมาย

-----------------

31/10/2568

บทเรียน 24 จงเผชิญหน้าสัจธรรม (1)

โยบเป็นพระธรรมที่บรรจุศาสนศาสตร์สำคัญ อธิบายความเป็นพระเจ้า พระลักษณะ ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับผู้เชื่อ เตือนอย่าทำบาป

คำถามก่อนเรียน:

            1) ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่าพระเจ้าควบคุมกำกับสรรพสิ่ง รวมทั้งชีวิตของท่าน

            2) การที่พระเจ้าควบคุมกำกับสรรพสิ่งดีต่อคริสเตียนอย่างไร

 

            หลังพระเจ้าสอนและเตือนสติในโยบบทที่ 38-39 ทรงอธิบายย้ำอีกครั้งในโยบ.40:8 จนจบโยบ.41 (โยบบทที่ 40-41 คือส่วนที่พระองค์อธิบายเพิ่มเติมหลังอธิบายรอบหนึ่งแล้วในโยบบทที่ 38-39) การที่พระเจ้าบรรยายพระลักษณะด้วยพระองค์เองสำคัญมาก เพราะเป็นคำพูดของพระองค์

1. รับผิดไม่โต้แย้ง

โยบ.40:1-5

1 และพระเจ้าตรัสกับโยบว่า

2 "คนมักติจะโต้แย้งกับองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือ เขาผู้โต้แย้งกับพระเจ้า ขอให้เขาตอบหน่อยเถอะ"

“Will the one who contends with the Almighty correct him? Let him who accuses God answer him!”

3 แล้วโยบทูลตอบพระเจ้าว่า

4 "ดูเถิด ข้าพระองค์นี้ก็กระจิริด จะทูลพระองค์ว่ากระไรได้ ข้าพระองค์เอามือปิดปาก

5 ข้าพระองค์ได้กราบทูลครั้งหนึ่งแล้ว และจะไม่กราบทูลอีก สองครั้งแล้ว แต่ข้าพระองค์จะไม่ทูลต่อไป"

            หลังพระเจ้าอธิบายการทรงสร้างและความเป็นไปของโลกอันซับซ้อน (ในโยบบทที่ 38-39) จึงพูดกับโยบว่า "คนมักติจะโต้แย้งกับองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือ เขาผู้โต้แย้งกับพระเจ้า ขอให้เขาตอบหน่อยเถอะ" ทรงพูดเช่นนี้เพื่อเตือนสติและเปิดโอกาสให้โต้แย้ง เมื่อถึงตอนนี้โยบยอมรับคำตอบของพระองค์ ตระหนักว่าตัวเขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น เมื่อเทียบกับสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง (4ก) ไม่อาจเทียบกับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้เลย เมื่อสอบถามและได้คำตอบ เขาไม่โต้แย้งอีก คำตอบของพระองค์เป็นที่สิ้นสุด

          อธิบายขยายความ: ความจริงแล้วคำอธิบายที่เอลีฮูมอบให้ไม่ต่างจากพระเจ้าเท่าไหร่ แต่ที่โยบรับผิดไม่โต้แย้งเพราะคราวนี้ทรงสำแดงตน ตรัสด้วยพระองค์เอง ไม่ว่าจะเข้าใจทั้งหมดหรือไม่ ชอบหรือไม่ โยบน้อมรับทั้งสิ้น แสดงถึงการยอมรับสิทธิอำนาจ (4)

            หลักสำคัญคือ ไม่ขึ้นกับว่าโยบเข้าใจคำตอบทั้งสิ้นหรือไม่ พอใจคำตอบหรือไม่ รวมทั้งที่โยบต้องทนทุกข์ สำคัญที่พระเจ้าทรงสิทธิอำนาจสูงสุด พระองค์จะทำอะไรก็ได้ เป็นเอกสิทธิ์

            โยบเป็นกรณีพิเศษที่พระเจ้าสำแดงตน ตอบคำถามด้วยพระองค์เอง เรื่องราวโยบกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ให้ผู้เชื่อศรัทธาศึกษา เข้าใจความคิดอ่าน พระลักษณะ พระประสงค์ นำสู่คำตอบที่หลายคนอาจสงสัยแบบโยบ ว่าทำไมจึงเกิดเรื่องนี้เรื่องนั้นกับตน ไม่พอใจสภาพแวดล้อมกับตัวตนที่เป็นอยู่

            พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีความรู้สึกนึกคิด การมีความคิดความรู้สึกแบบโยบจึงไม่แปลก แต่ที่สุดแล้วต้องพาตัวเองสู่ความเข้าใจที่ถูกต้อง ยอมรับพระองค์ในทุกทางไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่ ดังที่โยบถ่อมใจยอบรับ

            ตรงข้ามคือยังต่อสู้ดื้อดึง ไม่ยอมรับน้ำพระทัย วนเวียนอยู่ในบาป นำชีวิตเศร้าหมอง ไม่ก่อประโยชน์ใดๆ

            ท่ามกลางความสงสัยไม่เข้าใจ พระเจ้าสอนให้วางใจพระองค์ ยึดมั่นดำเนินตามทางแห่งความบริสุทธิ์ชอบธรรม คนที่ตั้งใจเช่นนี้พระองค์จะนำย่างเท้าของเขา (สภษ.3:4) ไม่ว่าเขาจะเข้าใจแผนการพระองค์หรือไม่

สภษ.3:3-5

3 จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง

4 จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น

5 อย่าคิดว่าตนฉลาด จงยำเกรงพระเจ้า และหันจากความชั่วร้าย

            ต้องเชื่อมั่นว่าการติดตามพระเจ้าอย่างมั่นคง นำผลลัพธ์ปลายทางที่ดีที่สุด ไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้แล้ว

            คริสเตียนผู้เชื่อที่ยอมรับผิด หันหลังให้บาป ย่อมรับผลบาปน้อยลง รับผลดีเร็วขึ้นมากขึ้น เป็นเรื่องที่ใครจะตอบสนองถูกต้องก่อน โยบตอบสนองในทางที่ถูกทันที

            คำถาม: ท่านตอบสนองในทางที่ถูกต้องแล้วหรือยัง

2. จงเผชิญหน้าสัจธรรม

โยบ.40:6-7

6 แล้วพระเจ้าทรงตอบโยบออกมาจากพายุว่า

7 "จงคาดเอวไว้อย่างลูกผู้ชายหน่อยซี เราจะถามเจ้า ขอเจ้าตอบเรา

“Brace yourself like a man; I will question you, and you shall answer me. (NIV)

Now prepare yourself like a man; I will question you, and you shall answer Me: (NKJV)

"Now gird up your loins like a man; I will ask you, and you instruct Me. (NASB)

          รากศัพท์ “คาดเอว” (7ก) หมายถึงการกระชับร่างกายด้วยสายรัดคาดเอว อาจเป็นสายที่ทำด้วยผ้าหรือหนังสัตว์ (ทำหน้าที่เป็นเข็มขัด) พระคัมภีร์ NASB ยึดรากศัพท์เดิมนี้ (gird up your loins)

            ส่วน NIV กับ NKJV แปลด้วยการตีความ เตรียมตัวให้พร้อมอย่างลูกผู้ชาย พร้อมเผชิญหน้า เป็นคำแปลที่เน้นความหมายมากกว่าคำศัพท์

          อธิบายขยายความ: บางคนไม่อยากฟังพระวจนะเพราะเตือนให้รู้ว่ากำลังทำบาป สัจธรรมทิ่มแทงใจ ขัดความต้องการทำบาป คริสเตียนบางคนจึงไม่สนใจพระวจนะ ฟังพอเป็นพิธี มักสนใจแต่พระพร ชอบขอให้ผู้อื่นอธิษฐานเผื่อ แต่ตัวเองไม่สนใจแสวงหาพระเจ้า ไม่อยากเปลี่ยนแปลงชีวิต

ฮบ.4:12 เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆแทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย

            คนทั่วไปต่อต้านไม่ยอมรับ แสดงออกหลายรูปแบบ เช่น ตั้งคำถามว่าพระเจ้ามีจริงหรือ หาความคิดปรัชญาหักล้าง เหตุที่บางคนสงสัยว่าพระเจ้ามีจริงหรือ ไม่ใช่เพราะสงสัยเรื่องนี้ แต่เป็นข้ออ้างเพื่อปฏิเสธพระองค์ อยากใช้ชีวิตตามใจชอบ

            บางคนที่โต้เถียงไม่ได้จึงเดินจากไปเฉยๆ ไม่อยากเข้าหาคริสเตียน กลัวต้องรับฟังพระวจนะที่จี้ใจดำอีก ฟังเทศนาคำสอนทีไรมีแต่เรื่องฟ้องผิด จิตสำนึกเปิดโปงความบาปของตัว

2ทธ.4:3-4

3 เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่มีหลักไม่ได้ แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟัง เพื่อบรรเทาความอยาก

4 เขาจะเลิกฟังความจริง และจะหันไปฟังเรื่องนิยายต่างๆ

            หลังการถามตอบในโยบ.40:1-5 พระเจ้าอธิบายย้ำอีกครั้งในโยบ.40:8 จนจบโยบ.41 (โยบบทที่ 40-41 คือส่วนที่พระองค์พูดย้ำและเพิ่มเติม หลังอธิบายรอบหนึ่งแล้วในโยบบทที่ 38-39)

            ต่อจากนี้คือพระวจนะพระเจ้าอีกรอบ ไม่ว่าฟังรื่นหูหรือไม่ จี้ใจดำหรือไม่ ทรงตรัสสัจธรรมความจริง

3. พระลักษณะพระเจ้า

โยบ.40:8-14

            พระองค์กล่าวย้ำพระลักษณะอีกครั้ง

          3.1 ทรงถูกต้องชอบธรรม

โยบ.40:8 เจ้ายังจะให้เราอยู่ฝ่ายผิดหรือ เจ้าจะหาว่าเราผิด เพื่อเจ้าจะเป็นฝ่ายชอบหรือ

“Would you discredit my justice? Would you condemn me to justify yourself?

            พระเจ้าเข้าเรื่องตรงประเด็นทันที เรื่องที่โยบสงสัยการตัดสินของพระองค์ ให้โยบรับทุกข์แสนสาหัส โดยไม่เข้าใจว่าทำผิดอะไร ทำไมต้องรับโทษหนักขนาดนั้น

            คำตอบของพระเจ้าคือ ทรงถูกต้องชอบธรรม พระองค์จะไม่กระทำการใดๆ ที่ขัดแย้งความชอบธรรม และไม่เคยผิดพลาด

            พระองค์ทำได้ทุกอย่าง ประสงค์สิ่งใดก็เกิดสิ่งนั้น โยบเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ทรงสร้างท่ามกลางมนุษย์นับล้าน เป็นสิ่งเล็กๆ ที่อายุสั้นท่ามกลางสรรพสิ่งในช่วงเวลาแสนยาวนาน ที่โยบเกิดและมีชีวิตจนบัดนี้ก็เพราะประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น

            ทรงถูกต้องชอบธรรมเสมอ แต่มนุษย์อาจยังไม่เข้าใจเรื่องที่สงสัย หรือไม่ยอมรับ

            อธิบายขยายความ: บางคนยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง คิดว่าตัวเองสมควรมีความสุข ประสบความสำเร็จ มีชีวิตหลังความตายที่ดี (ตามความต้องการผู้นั้น) ความคิดเช่นนี้ผิด ที่ถูกต้องคือทรงประสงค์สิ่งใดก็เป็นเช่นนั้น แม้กระทั่งหลายคนที่เกิดมาเพื่อถูกทำลาย

สภษ.16:4 พระเจ้าทรงกระทำให้ทุกสิ่งมีเป้าหมายของมันแม้คนชั่วร้ายก็เพื่อวันลำเค็ญ

            พระเจ้าไม่สนับสนุนการทำบาป และรู้ว่ามีคนทำบาป

            ยกตัวอย่าง พระเจ้าสั่งห้ามอาดัมทำบาป เตือนว่าผลบาปร้ายแรง-ถึงตาย แต่ทรงรู้ว่าอาดัมจะทำบาป ส่งผลต่อมนุษยชาติ มนุษย์คนบาปทำร้ายกันและกัน กดขี่ข่มเหง เกิดสงคราม ความทุกข์ยากนานา เรื่องนี้กลายเป็นส่วนหนี่งของแผนช่วยกู้ บางคนได้รับความรอด

            มนุษย์โต้แย้งพระประสงค์ได้หรือ ความจริงมนุษย์ไม่มีสิทธิ์ในตัวเองด้วยซ้ำ

            มนุษย์คิดได้ มีความต้องการส่วนตัว แต่สุดท้ายจะเป็นตามที่พระเจ้าต้องการ ถ้าทำบาปต้องรับโทษ

รม.11:36 เพราะสิ่งสารพัดมาจากพระองค์ โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ ขอพระสิริจงมีแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน

            หลายครั้งที่มนุษย์ขัดแย้งพระเจ้าเพราะไม่เข้าใจความชอบธรรมของพระองค์ สิ่งที่มนุษย์คิดว่าชอบธรรม (ควรเป็นเช่นนั้น) เช่น ตัวเองสมควรมีความสุข ประสบความสำเร็จ มีชีวิตหลังความตายที่ดี ความจริงแล้วอาจตรงข้ามกับความคิดของพระเจ้า

            ใครที่คิดว่าตนเป็นใหญ่ คิดเช่นนี้ก็ผิดแล้ว พระเจ้าต่างหากที่ยิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง มนุษย์อยู่ภายใต้การกำกับควบคุมของพระองค์ ดังชีวิตโยบในตอนนี้

            สิ่งที่ถูกสร้างไม่อาจขัดขวางผู้สร้าง ทรงชอบธรรมเสมอ

          3.2 ทรงฤทธานุภาพสูงสุด

โยบ.40:9 เจ้ามีแขนเหมือนพระเจ้าหรือ และเจ้าทำเสียงกัมปนาทเหมือนเสียงของพระองค์ได้หรือ

            ทรงสอนด้วยการตั้งคำถามให้คิด เปรียบเทียบโยบกับพระองค์ มนุษย์มีฤทธานุภาพอย่างพระองค์หรือไม่ เพื่อให้ตระหนักว่าทรงเหนือกว่ามนุษย์มากมาย เทียบพระองค์ไม่ได้เลย

            อธิบายขยายความ: พระเจ้ามีฤทธานุภาพไม่จำกัด (omnipotence) หมายถึง ทำได้ทุกสิ่ง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ เป็นเครื่องบ่งบอกว่าเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ องค์ผู้สูงสุด ทรงทำได้ ไม่มีใครสามารถขัดขวาง

1พศด.29:11 ข้าแต่พระเจ้า ความยิ่งใหญ่ ฤทธานุภาพ พระสิริ ชัยชนะและความโอ่อ่าตระการเป็นของพระองค์ และบรรดาสิ่งที่มีอยู่ในฟ้าสวรรค์ และในแผ่นดินโลกเป็นของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ราชอาณาจักรเป็นของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นที่ยกย่อง เป็นจอมของสิ่งสารพัด

Yours, LORD, is the greatness and the power and the glory and the majesty and the splendor, for everything in heaven and earth is yours. Yours, LORD, is the kingdom; you are exalted as head over all.

วว.1:8 พระเจ้าผู้ทรงอยู่เดี๋ยวนี้ ผู้ได้ทรงเป็นอยู่ในกาลก่อน ผู้จะเสด็จมานั้น และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ได้ตรัสว่า "เราเป็นอัลฟาและโอเมกา"

รม.1:20 ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย

            อย่าขัดขวางต่อต้านถ้าไม่เป็นเหมือนพระองค์

          3.3 ทรงสง่าราศี

โยบ.40:10 "จงเอาความโอ่อ่าตระการและความสง่าผ่าเผยประดับตัว จงเอาศักดิ์ศรีและความสง่างามห่มตัว

Then adorn yourself with glory and splendor, and clothe yourself in honor and majesty.

            ทรงโอ่อ่าตระการเต็มด้วยสง่าราศีเป็นองค์จอมราชา

            พระองค์พูดเช่นนี้เพื่อให้โยบ (มนุษย์) สำรวจว่าเต็มด้วยพระสิริอย่างพระองค์หรือไม่

            โยบ.40:10 พระเจ้าตั้งใจใช้ศัพท์หลายคำพร้อมกัน เพื่อบรรยายพระสิริ สง่าราศี เกียรติยศ (glory, splendor, honor, majesty) ตั้งใจบรรยายละเอียด ให้มนุษย์เข้าถึงความเป็นพระองค์ สง่าราศีของพระองค์เกินกว่ามนุษย์จะเข้าถึงโดยสมบูรณ์ ไม่มีใครเทียบได้แม้แต่น้อย

            บางคนที่คิดว่าตนยิ่งใหญ่ สูงส่ง มีเกียรติยศ เป็นเพียงเศษเสี้ยวและไม่ยั่งยืน เมื่อเทียบกับพระองค์

            1ทธ.1:17 เป็นตัวอย่างอีกข้อ ที่บรรยายพระสิริ สง่าราศีของพระเจ้าพระเยซู

1ทธ.1:17 พระเกียรติและพระสิริจงมีแด่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระเจริญอยู่นิรันดร์ ผู้ทรงเป็นองค์อมตะ ซึ่งมิได้ปรากฏพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียวสืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน

Now to the King eternal, immortal, invisible, the only God, be honor and glory for ever and ever. Amen.

1ทธ.6:14-16

14 ให้ท่านรักษาคำบัญชานี้ไว้อย่าให้ด่างพร้อย และอย่าให้มีที่ติได้ จนถึงเวลาที่พระเยซูคริสตเจ้าของเราจะเสด็จมา

15 ซึ่งพระเจ้าผู้เสวยสุขและทรงฤทธิ์สูงสุดแต่พระองค์เดียว พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และพระผู้เป็นเจ้าเหนือเทพเจ้าทั้งปวง จะทรงสำแดงให้ปรากฏในเวลาอันควร

16 พระองค์ผู้เดียวทรงอมตะ และทรงสถิตในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง ผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็น และจะเห็นไม่ได้ พระเกียรติและฤทธานุภาพอันถาวรจงมีแด่พระองค์นั้น อาเมน

            อธิบายขยายความ: พระสิริหรือสง่าราศีสะท้อนความเป็นพระเจ้า มนุษย์สามารถตกแต่งประดับประดาให้ตัวเองดูดีมีสง่า มียศถาบรรดาศักดิ์ เป็นที่ยกย่อง แต่ไม่ใช่พระสิริอย่างพระเจ้า เพราะเป็นพระสิริอันเนื่องจากความบริสุทธิ์ชอบธรรม ผู้ทรงเป็นองค์อมตะ

            คริสเตียนสามารถสำแดงพระสิริบางส่วน ด้วยการที่พระเจ้าสำแดงพระสิริผ่านผู้เชื่อแต่ละคนอย่างเจาะจง และด้วยชีวิตที่เปลี่ยนเป็นเหมือนพระคริสต์ (รม.13:14ก)

รม.13:13-14

13 เราจงประพฤติตัวให้เหมาะสมกับเวลากลางวัน มิใช่เลี้ยงเสพสุราเมามาย มิใช่หยาบโลนลามก มิใช่วิวาทริษยากัน

14 แต่ท่านจงประดับกายด้วยพระเยซูคริสตเจ้า และอย่าจัดเตรียมอะไรไว้บำรุงบำเรอตัณหาของเนื้อหนัง

1ปต.3:3-4

3 การประดับกายของท่านนั้น อย่าให้เป็นการประดับภายนอก ด้วยการถักผม ประดับด้วยเครื่องทองคำและนุ่งห่มเสื้อผ้าสวยงาม

4 แต่จงให้เป็นการประดับภายในจิตใจ แต่งด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลาย คือด้วยจิตใจที่สงบและสุภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่งในสายพระเนตรพระเจ้า

            พระสิริของพระเจ้าจึงต่างจากชื่อเสียงเกียรติยศฝ่ายโลก การประดับกายของคนทั่วไป คริสเตียนสำแดงพระสิริด้วยชีวิตที่เปลี่ยนแปลงเหมือนพระคริสต์

          3.4 ทรงควบคุมทุกอำนาจ

โยบ.40:11-12

11 เทความกริ้วที่ล้นของเจ้านั้นออกมา จงดูทุกคนที่เย่อหยิ่ง และทำให้เขาตกต่ำลง

12 จงดูทุกคนที่เย่อหยิ่งและดึงเขาลงมา และเหยียบคนอธรรมไว้ตรงที่ที่เขายืนอยู่นั้น

            บริบทพูดถึงพระเจ้าทรงจัดการคนเย่อหยิ่ง คนที่คิดว่าเลอเลิศ มีอำนาจมาก แต่ไม่มีใครเหนือกว่าพระองค์ เพราะทรงสร้างทุกอำนาจและควบคุมสรรพสิ่ง กำกับทุกความเป็นไป สรรพสิ่งทั้งหมดจึงกำเนิด ดำรงอยู่ เคลื่อนไป และสิ้นสุดตามพระทัย

อสย.2:11-12

11 และท่าอันผยองของมนุษย์จะตกต่ำลง และความจองหองของคนจะถูกปราบลง พระเจ้าองค์เดียวจะเป็นผู้เทิดทูน ในวันนั้น

12 เพราะว่าพระเจ้าจอมโยธาทรงมีวันหนึ่ง ที่สู้สารพัดที่เย่อหยิ่งและสูงส่ง ที่สู้สารพัดที่ถูกยกขึ้นและสูง

รม.13:1-2

1 ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอำนาจปกครอง เพราะว่าไม่มีอำนาจใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่ทรงอำนาจนั้น พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น

2 เหตุฉะนั้นผู้ที่ขัดขืนอำนาจนั้น ก็ขัดขืนผู้ซึ่งพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น และผู้ที่ขัดขืนนั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ

            ไม่มีอำนาจใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้ามีใครทำได้อย่างพระองค์

            เพื่อบางคนรับพระเมตตา และบางคนรับพระอาชญา ทรงกำหนดให้เป็นเช่นนั้น

รม.6:20-23

20 เมื่อท่านทั้งหลายเป็นทาสของบาป ความชอบธรรมก็ไม่ได้ครอบครองท่าน

21 ขณะนั้นท่านได้ประโยชน์อะไรในการเหล่านั้น ซึ่งบัดนี้ท่านทั้งหลายก็ละอาย ด้วยว่าผลสุดท้ายของการเหล่านั้น ก็คือความตาย

22 แต่เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายพ้นจากการเป็นทาสของบาป และกลับมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว ผลสนองที่ท่านได้รับก็คือการชำระให้บริสุทธิ์ และผลสุดท้ายคือชีวิตนิรันดร์

23 เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

          3.5 ทรงพิพากษาให้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก

โยบ.40:13-14

13 ซ่อนเขาไว้ในผงคลีด้วยกัน มัดหน้าของเขาไว้ด้วยกันในโลกบาดาล

14 แล้วเราเองจะสรรเสริญเจ้าว่า มือขวาของเจ้าอาจช่วยเจ้าได้

            ในโลกนี้ทุกคนอยู่ใต้อำนาจใครบางคนหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอ

            เมื่อเกิดต้องไปแจ้งเกิด ทำบัตรประชาชนเมื่ออายุถึงเกณฑ์ ระหว่างมีชีวิตอยู่ใต้อำนาจกฎหมายมากมายทั้งทางตรงทางอ้อม รัฐบาลหรือผู้ปกครองมีผลต่อเราทุกด้านทุกเวลา บ้านที่เราอยู่อาศัยมีกฎหมายในนั้น เช่นเดียวกับสิ่งที่กิน ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ มีอำนาจรัฐเกี่ยวข้อง เป็นเช่นนี้จนถึงวันตาย และเมื่อเสียชีวิตต้องมีคนช่วยแจ้งตาย

            ดินฟ้าอากาศมีผลต่อทุกชีวิต เมื่อวานฝนตกวันนี้แดดร้อน คนเมืองหนาวใช้ชีวิตต่างจากคนเขตร้อน

            ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ มนุษย์ทุกคนอยู่ใต้อำนาจสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอ

            แต่อำนาจฝ่ายโลกอยู่กับเรายามมีชีวิตเท่านั้น ชีวิตในโลกชั่วคราว ไม่ยั่งยืน ที่ถาวรนิรันดร์คือผลพิพากษาว่าจะได้อยู่กับพระเจ้านิรันดร์หรือไม่

สดด.39:4-7

4 "ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ข้าพระองค์ทราบถึงบั้นปลายของข้าพระองค์ และวันเวลาของข้าพระองค์จะนานสักเท่าใด ขอให้ข้าพระองค์ทราบว่าชีวิตข้าพระองค์ไม่เที่ยงอย่างไร

5 ดูเถิด พระองค์ทรงกระทำให้วันเวลาของข้าพระองค์ยาวสองสามฝ่ามือเท่านั้น ชั่วชีวิตของข้าพระองค์ ไม่เท่าไรเลย เฉพาะพระพักตร์พระองค์ มนุษย์ทุกคนดำรงอยู่อย่างลมหายใจแน่ทีเดียว

6 มนุษย์ไปๆ มาๆ อย่างเงาแน่ทีเดียว เขาทั้งหลายยุ่งอยู่เปล่าๆ แน่ทีเดียว มนุษย์โกยกองไว้ และไม่ทราบว่าใครจะเก็บไป"

7 "ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ข้าพระองค์จะรอคอยอะไร ความหวังของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์

            ใครต้องการความสำเร็จที่ยั่งยืน ใครต้องการความสุขนิรันดร์

สดด.14:2 พระเจ้าทรงมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ดูลูกหลานของมนุษย์ ว่าจะมีคนใดบ้างที่ฉลาดที่เสาะแสวงหาพระเจ้า

The LORD looks down from heaven on all mankind to see if there are any who understand, any who seek God.

รม.3:10-18

10 ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า “ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย

11 ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า

12 เขาทุกคนหลงผิดไปหมด เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี ไม่มีเลย

13 ลำคอของเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง พิษงูร้ายอยู่ใต้ริมฝีปากของเขา

14 ปากของเขาเต็มไปด้วยคำแช่งด่าและคำเผ็ดร้อน

15 เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด

16 ในทางเดินของเขามีความพินาศและความทุกข์

17 และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข

18 เขาไม่เคยคิดที่จะยำเกรงพระเจ้าเลย

            สันติสุขแท้มีอยู่ในพระเจ้าเท่านั้น

4. พระผู้สร้างและกำกับรอบด้าน

            ในตอนนี้พระเจ้ายกสัตว์ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าเบเฮโมทเป็นตัวอย่าง อธิบายการทรงสร้าง การดูแล เหมือนกับที่ปฏิบัติต่อมนุษย์

          4.1 ทรงสร้างมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ (15ก)

โยบ.40:15 "ดู เบเฮโมทเถิด ซึ่งเราได้สร้างอย่างที่เราได้สร้างเจ้า มันกินหญ้าเหมือนวัว

“Look at Behemoth, which I made along with you and which feeds on grass like an ox.

            มนุษย์มาจากพระเจ้า ทรงสร้างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เบเฮโมท (Behemoth) เป็นสัตว์ในพระคัมภีร์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะบางอย่างคล้ายวัว

            ทรงใช้เบเฮโมทอธิบายเปรียบเทียบกับมนุษย์

          4.2 ทรงสร้างอาหาร (15ข)

            สิ่งมีชีวิตต้องการอาหาร ทรงกำหนดและสร้างอาหารให้พวกเขา

            ในที่นี้พูดถึงการสร้างหญ้าเพื่อเบเฮโมท

          อธิบายขยายความ: มนุษย์ปลูกข้าว เตรียมปุ๋ย สร้างระบบชลประทาน ปรับปรุงพันธุ์สัตว์ คิดค้นเทคโนโลยีการเกษตรใหม่

            มนุษย์วิจัยพันธุ์ข้าวใหม่ ได้วัวเนื้อคุณภาพ แต่มนุษย์ไม่สามารถคิดค้นสร้างต้นข้าว คิดค้นสร้างสัตว์แต่ละชนิดอย่างพระเจ้า ผู้ริเริ่มคิดสร้างตั้งแต่แรก เริ่มจากศูนย์ เบเฮโมทที่กำลังกล่าวถึงสะท้อนหลักผู้ริเริ่มสร้างจากศูนย์

            เมื่อพระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน แต่แรกไม่มีสิ่งใดเลย ทรงคิดสร้างสรรพสิ่งจากศูนย์ สิ่งทรงสร้างมีองค์ประกอบ มีรายละเอียด และทำงานอย่างสอดคล้อง เป็นระบบนิเวศที่ซับซ้อนใหญ่โต

ปฐก.1:1-3, 11-12

1 ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน

In the beginning God created the heavens and the earth. (NIV, NKJV และ NASB)

2 แผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น

3 พระเจ้าตรัสว่า "จงเกิดความสว่าง" ความสว่างก็เกิดขึ้น

11 พระเจ้าตรัสว่า "แผ่นดินจงเกิดพืช คือ ผักหญ้าที่มีเมล็ดและต้นไม้ที่ออกผล มีเมล็ดในผลตามชนิดของมันบนแผ่นดิน" ก็เป็นดังนั้น

12 แผ่นดินก็เกิดพืช คือผักหญ้าที่มีเมล็ดตามชนิดของมัน และต้นไม้ที่ออกผลมีเมล็ดในผลตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี

            ตั้งแต่โบราณกาลจวบจนทุกวันนี้ มนุษย์ยังคงพยายามทำความเข้าใจ เรียนรู้สิ่งทรงสร้างต่างๆ

          4.3 ทรงสร้างให้มีร่างกายอย่างที่เป็น (16-19)

โยบ.40:16-18

16 ดูเถิด กำลังของมันอยู่ในเอว และฤทธิ์ของมันอยู่ในกล้ามเนื้อท้อง

17 มันขยับหางของมันให้แข็งเหมือนไม้สนสีดาร์ เอ็นโคนขาของมันก็สานเข้าด้วยกัน

18 กระดูกของมันเหมือนท่อทองสัมฤทธิ์ และแข้งขาของมันเหมือนท่อนเหล็ก

            ในตอนนี้พูดรายละเอียดร่างกายเบเฮโมท ทรงกำหนดรายละเอียดให้สรรพสิ่ง

            พิจารณามนุษย์ ถ้าดูรวมๆ ร่างกายมนุษย์คล้ายสิ่งมีชีวิตอื่นที่มีแขนขา มีหูตาจมูก มีระบบประสาท ระบบย่อยอาหาร แต่รายละเอียดต่างจากสัตว์อื่นที่ใกล้เคียงมากที่สุด

            มนุษย์กับสิ่งมีชีวิตอื่นอาจมีร่างกายอวัยวะคล้ายกันบ้าง แต่ไม่เหมือนกันทีเดียว

            พระเจ้าตั้งใจสร้างมนุษย์ (อาดัม) ให้เป็นอย่างที่เป็น มีพระฉายาเหมือนพระองค์ (his own image)

ปฐก.1:27 พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง

So God created mankind in his own image, in the image of God he created them; male and female he created them.

ปฐก.2:7 พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต

Then the LORD God formed a man from the dust of the ground and breathed into his nostrils the breath of life, and the man became a living being.

            การสร้างตามพระฉายากับการระบายลมปราณเข้ามนุษย์ ทำให้มนุษย์เป็นสิ่งทรงสร้างพิเศษเหนือสิ่งอื่นๆ (ลมปราณคือจิตวิญญาณ)

          4.4 ให้พลังอำนาจ (19)

โยบ.40:19 "มันเป็นพระราชกิจชิ้นที่หนึ่งของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างมันนำดาบมาให้

            สิ่งมีชีวิตมีพลังอำนาจต่างกัน บางชนิดเป็นนักล่า สุนัขมีจ่าฝูง บางตัวแข็งแรงกว่า

            พระเจ้ากำหนดให้โลกมีระบอบปกครอง แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติมีระบบนิเวศน์ ที่มีผู้ทำหน้าที่แตกต่างกัน มีนักล่า ผู้ถูกล่าและผู้ย่อยสลายซาก

            มนุษย์มีสติปัญญาเหนือกว่า ทรงกำหนดให้ปกครองโลก

            พระเจ้ากำหนดให้มนุษย์ปกครองโลก หมายถึงทรงให้ปกครองโลกตามพระประสงค์ ตามแบบพระองค์ ดังเช่นให้อาดัมอยู่และดูแลสวนเอเดน

ปฐก.2:8-9,15

8 พระเจ้าทรงปลูกสวนแห่งหนึ่งไว้ที่เอเดน ทางทิศตะวันออก และให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงปั้นมานั้นอยู่ที่นั่น

9 แล้วพระเจ้าทรงให้ต้นไม้ทุกชนิดที่งามน่าดูและที่น่ากิน เป็นอาหารงอกขึ้นจากดิน มีต้นไม้แห่งชีวิตต้นหนึ่งอยู่ท่ามกลางสวนนั้น กับต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่วต้นหนึ่งด้วย

15 พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและรักษาสวน

            ทรงกำหนด “ให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและรักษาสวน”

          4.5 ทรงกำหนดวิถีชีวิต (20-24)

            พระเจ้าทรงสร้างอย่างสมบูรณ์ การที่ชีวิตอยู่ได้ ต้องอาศัยปัจจัยมากมาย มีอากาศ มีแสงแดด อาหารนานาชนิด ระบบนิเวศซับซ้อน สัตว์กับพืชแต่ละชนิดมีคุณลักษณะแตกต่าง บางชนิดเป็นนักล่า บางชนิดสร้างมาเพื่อเป็นอาหารของนักล่า บางชนิดย่อยสลายซาก สิ่งมีชีวิตแต่และชนิดแต่ละหน่วยต่างใช้ชีวิตของมัน ทรงกำหนดวิถีชีวิตของพวกมันแล้ว

โยบ.40:20-24

20 ภูเขาผลิตอาหารให้มันแน่ เป็นที่ที่สัตว์ป่าทุ่งทุกชนิดเล่น

21 มันนอนอยู่ใต้ต้นตะครอง ในเพิงอ้อและในบึง

22 ต้นตะครองเป็นเงาคลุมมัน ต้นไค้แห่งธารน้ำล้อมมันไว้

23 ดูเถิด ถ้าแม่น้ำไหลเชี่ยว มันก็ไม่ตกใจ มันวางใจแม้ว่าแม่น้ำจอร์แดนจะพุ่งเข้าใส่ปากมัน

24 ผู้หนึ่งผู้ใดอาจจับนัยน์ตามันลากไป หรือจะเอาบ่วงสนตะพายมันได้หรือ

            โยบ.40 พระเจ้าใช้เบเฮโมท (Behemoth) เป็นตัวอย่างอธิบายการทรงสร้าง โยบ.40:20-24 บรรยายระบบนิเวศที่มันอยู่อาศัย

            เบเฮโมทใช้ชีวิตในแถบทุ่งหญ้าใกล้ภูเขา มีอาหารอุดมสมบูรณ์ (20) อาศัยอยู่กับสัตว์อื่นๆ มันใช้ประโยชน์จากพืชในบริเวณนั้น เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต เช่น นอนเล่น หลบแดด (21-22) มันคุ้นเคยช่วงน้ำหลาก ไม่ตกใจกลัวในวันที่น้ำไหลเชี่ยว (23) ใช้ชีวิตอิสระ ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง (24)

            เป็นวิถีชีวิตของเบเฮโมท ทรงสร้างและกำหนดให้เป็นเช่นนั้น

            อธิบายขยายความ: ในตอนนี้ทรงใช้เบเฮโมทอธิบายว่าพระเจ้าไม่เพียงสร้างมนุษย์ ทรงสร้างตั้งแต่ฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลก สรรพสิ่งที่อยู่ในนั้น เป็นระบบนิเวศอันซับซ้อน และให้มนุษย์อาศัยอยู่ที่นั่น ทรงกำหนดวิถีชีวิตให้ด้วย

ปฐก.1:24 พระเจ้าตรัสว่า "แผ่นดินจงเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน คือสัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ป่าตามชนิดของมัน" ก็เป็นดังนั้น

            คำบรรยายเหล่านี้ชี้ให้มองย้อนกลับไปถึงอาดัมในสวนเอเดน ที่ทรงสร้างและให้มนุษย์อยู่ที่นั่น

ปฐก.2:8-15

8 พระเจ้าทรงปลูกสวนแห่งหนึ่งไว้ที่เอเดน ทางทิศตะวันออก และให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงปั้นมานั้นอยู่ที่นั่น

9 แล้วพระเจ้าทรงให้ต้นไม้ทุกชนิดที่งามน่าดูและที่น่ากิน เป็นอาหารงอกขึ้นจากดิน มีต้นไม้แห่งชีวิตต้นหนึ่งอยู่ท่ามกลางสวนนั้น กับต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่วต้นหนึ่งด้วย

10 มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลจากเอเดนรดสวนนั้น จากที่นั่นก็แยกออกเป็นสี่สาย

11 ชื่อแม่น้ำสายที่หนึ่งคือปิโชน เป็นแม่น้ำที่ไหลรอบแผ่นดินฮาวิลาห์ที่นั่นมีแร่ทองคำ

12 ทองคำที่เมืองนั้นเป็นทองคำเนื้อดี และมียางไม้ตะคร้ำและโมรา

13 ชื่อแม่น้ำสายที่สองคือกิโฮน ไหลรอบแผ่นดินคูช

14 ชื่อแม่น้ำสายที่สามคือไทกริส ไหลไปทางทิศตะวันออกของเมืองอัสซีเรีย และแม่น้ำสายที่สี่ชื่อยูเฟรติส

15 พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและรักษาสวน

            ปฐก.2:8-15 บรรยายสวนเอเดนว่าอุดมสมบูรณ์และสวยงาม มีพืชพรรณนานา (9) ที่นั่นไม่แห้งแล้ง มีทรัพยากรล้ำค่า และกว้างใหญ่ (10-14) ทรงกำหนด “ให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและรักษาสวน”

            ไม่เพียงเท่านั้น พระเจ้าทรงกำกับดูแลต่อเนื่อง เห็นว่าอาดัมควรมีคู่อุปถัมภ์

ปฐก.2:18 พระเจ้าตรัสว่า "ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียวเราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่สมกับเขาขึ้น"

            เมื่ออาดัมเอวาทำบาป พระเจ้าลงโทษตามที่ควรได้รับ แต่ไม่ละทิ้งพวกเขา ยังทรงกำกับดูแล กำหนดแผนช่วยกู้มนุษย์ คือแผนสำหรับอาดัมเอวาและลูกหลานนั่นเอง

            แผนช่วยกู้คือนำมนุษย์กลับสู่สภาพสมบูรณ์ ปราศจากบาป เทียบได้กับการกลับคืนสู่สวนเอเดน แต่เป็นสวนเอเดนใหม่หรือสวรรค์ที่ผู้เชื่อศรัทธาจะไปนั่นเอง

สรุป:

            ครึ่งแรกของโยบ.40 พระเจ้าบรรยายพระลักษณะพระองค์ ทรงชอบธรรม ทรงฤทธานุภาพสูงสุดและควบคุมทุกอำนาจ ฯลฯ ครึ่งหลังบรรยายว่าทรงเป็นผู้สร้างและกำกับรอบด้าน มนุษย์คือส่วนหนึ่งของการทรงสร้าง และให้มีชีวิตตามที่พระองค์ประสงค์

            การที่พระเจ้าบรรยายพระลักษณะด้วยพระองค์เองสำคัญมาก เพราะเป็นคำพูดของพระองค์

            ชีวิตของโยบอยู่ภายใต้การกำกับเช่นกัน แม้ช่วงหนึ่งต้องทุกข์ยากสาหัส ทรงมีพระประสงค์ในนั้น ชีวิตของโยบกลายเป็นส่วนหนึ่งของไบเบิล เป็นพระธรรมที่บรรจุศาสนศาสตร์มากมาย อธิบายความเป็นพระเจ้า พระลักษณะ ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับผู้เชื่อ เตือนอย่าทำบาป เหล่านี้เป็นหัวข้อพื้นฐานที่ผู้เชื่อศรัทธาควรเข้าใจ สามารถอธิบายว่าพระเจ้าเป็นอย่างไร ทรงนำชีวิตอย่างไร ผู้เชื่อศรัทธาควรปฏิบัติอย่างไร ฯลฯ

            การทรงสร้างและกำกับสรรพสิ่งสอดคล้องกับพระลักษณะทุกประการ นี่คือพระเจ้าและพระราชกิจ

คำถามหลังคำสอน:

            1) ในฐานะคริสเตียน ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าพระเจ้าทรงชอบธรรรม ยุติธรรมเสมอ

            2) คริสเตียนควรตัดสินใจเรื่องต่างๆ อย่างไร จึงก่อผลดีต่อตัวเองมากที่สุด

------------------------

 

บทความแนะนำ

บทเรียน 25 ปัญญาฝ่ายโลกกับฝ่ายวิญญาณอย่างใดสำคัญกว่า

ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำคัญกว่าความรู้ฝ่ายโลก แต่คริสเตียนจำต้องมีความรู้ทักษะทั้ง 2 ด้านพร้อมกัน คำถามก่อนเรียน:             1) ตามความคิ...