ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณสำคัญกว่าความรู้ฝ่ายโลก
แต่คริสเตียนจำต้องมีความรู้ทักษะทั้ง 2 ด้านพร้อมกัน
คำถามก่อนเรียน:
1)
ตามความคิดของท่าน ปัญญาฝ่ายโลกเรื่องใดสำคัญที่สุด
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
2)
ปัญญาฝ่ายโลกกับฝ่ายวิญญาณอย่างใดสำคัญกว่า
คำถาม: ความรู้ฝ่ายโลกกับความเข้าใจฝ่ายวิญญาณอย่างใดสำคัญกว่า
มีคน 2 ประเภท
ประเภทแรก
คิดว่าฝ่ายวิญญาณสำคัญที่สุด อย่าเข้าเกี่ยวข้องกับโลกที่เต็มด้วยบาป
จึงปลีกตัวถอยห่างจากสังคม รักษาชีวิตบริสุทธิ์ชอบธรรม
ประเภทที่ 2 คิดว่าประกาศตัวว่าเชื่อพระเจ้าก็พอ
ทุ่มเทชีวิตให้กับหน้าที่การงาน สนใจความรู้ความสามารถฝ่ายโลกเป็นหลัก
มาโบสถ์พอเป็นพิธีเพราะอย่างไรก็เป็นคริสเตียนแล้ว พระเจ้าเมตตาให้อภัยเสมอ
คำถาม:
ท่านคิดว่าประเภทใดถูก
ปัญญาฝ่ายโลกกับฝ่ายวิญญาณ:
1. ความสำคัญของฝ่ายวิญญาณ
โลกเป็นเรื่องชั่วคราว
ฝ่ายวิญญาณยั่งยืนนิรันดร์ พระเจ้าให้ความสำคัญชีวิตนิรันดร์ ต้นเหตุที่ทรงไถ่
การกลับใจใหม่ศรัทธาพระเยซูก็เพราะให้ความสำคัญสิ่งที่ถาวรนิรันดร์
คริสเตียนแสดงออกด้วยการเป็นทูตพระคริสต์ เป็นตัวแทนพระองค์ในโลกนี้
ทำตามมหาบัญชากับปฐมบัญชา ตามนิมิตการทรงเรียก
1.1 ฝ่ายวิญญาณสำคัญที่สุด
ชีวิตฝ่ายวิญญาณคือชีวิตนิรันดร์ที่อยู่กับพระเจ้า
คริสเตียนผู้เชื่ออยู่กับพระเจ้าตั้งแต่วันนี้จนถึงนิรันดร์
มธ.16:26 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน
ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร หรือผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาชีวิตของตนกลับคืนมา
คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า
ปลายทางของเขาคือถูกตัดขาดจากพระองค์นิรันดร์
1.2 ความรู้ฝ่ายโลกมีประโยชน์และโทษ
ชีวิตในโลกต้องอาศัยความรู้ฝ่ายโลกเสมอ
อาหารทุกมื้อ เสื้อผ้าที่สวมใส่ บ้านที่อยู่อาศัย จนถึงวิทยาการล้ำสมัย
เทคโนโลยีล่าสุด คือทักษะความรู้ฝ่ายโลกที่ทุกคนเกี่ยวข้อง
คริสเตียนไม่ปฏิเสธทักษะความรู้ฝ่ายโลก
ยอมรับว่าความรู้ฝ่ายโลกมีประโยชน์มากมาย
แต่ต้องระวังหากความรู้นั้นต่อต้านพระเจ้า ปัญญาฝ่ายโลกจึงมีจุดอ่อน
อาจทำให้คนหลงหรือไม่ยอมรับพระเจ้าเที่ยงแท้
เพราะปัญญาฝ่ายโลกมักชี้ว่าไม่มีพระเจ้า ไม่เชื่อเรื่องการไถ่ของพระคริสต์
1คร.3:18-19
18 อย่าให้ผู้ใดหลอกลวงตัวเอง
ถ้าผู้ใดในพวกท่านคิดว่า ตัวเป็นคนมีปัญญาตามหลักของยุคนี้
จงให้ผู้นั้นยอมเป็นคนโง่ จึงจะเป็นคนมีปัญญาได้
19 เพราะว่าปัญญาของโลกนี้
เป็นความโง่เขลาในสายพระเนตรของพระเจ้า ด้วยมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
พระองค์ทรงจับคนที่มีปัญญาด้วยอุบายของเขาเอง
ดังนั้น ใครก็ตามที่เรียนรู้และยึดถือแต่ความรู้ฝ่ายโลก
ปัญญาเช่นนั้นกลายเป็นกับดัก ไม่อาจเข้าถึงพระเจ้าเที่ยงแท้
1.3 ไม่สุดโต่งมีความรู้ทักษะ 2 ด้านพร้อมกัน
ในขณะที่บางคนสนใจปัญญาฝ่ายโลก กลับมีบางคนมุ่งความรู้ฝ่ายวิญญาณ ไม่ให้ความสำคัญความรู้ทักษะฝ่ายโลก
สนใจความรู้ไม่กี่เรื่องที่จำเป็น พยายามถอยห่างจากโลกให้มากที่สุด
ความรู้ฝ่ายโลกจะเป็นโทษหรือประโยชน์ขึ้นกับการนำไปใช้
เช่น การจุดไฟมีประโยชน์และมีโทษ มีดผลไม้ใช้ฆ่าคนได้
(เราจะไม่ใช้ไฟเพราะกลัวไฟจะไหม้บ้านหรือ
จะเลิกใช้มีดเพื่อป้องกันฆาตกรรมจากมีดหรือไม่) ความรู้ฟิสิกส์นิวเคลียร์สามารถใช้สร้างอาวุธนิวเคลียร์
ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ การถนอมอาหาร การรักษาโรคด้วยความรู้นิวเคลียร์
คริสเตียนเรียนรู้เรื่องยาเสพติดเพื่อเข้าใจพิษภัยยาเสพติด
เรียนรู้ความขัดแย้งของโลกเพื่อไม่เข้าสู่สงครามที่มิชอบ ศึกษาความรู้ล่าสุดเพื่อใช้ประโยชน์
สามารถแนะนำสังคมว่าอะไรควรหรือไม่ควร
ทั้งนี้ขึ้นกับความเติบโตฝ่ายวิญญาณด้วย
เทียบได้กับให้เด็กเล็กใช้ฟืนไฟ ของมีคม ควรรู้ว่าอะไรควรไม่ควร
มีการทรงนำจากพระวิญญาณ เข้าใจพระคัมภีร์ มีผู้นำคอยให้คำแนะนำปรึกษา
2. ใช้ความรู้ฝ่ายโลกบนรากฐานฝ่ายวิญญาณ
พระเจ้าไม่ต่อต้านความรู้ฝ่ายโลกที่เป็นประโยชน์
แต่ต้องมีฝ่ายวิญญาณเป็นแกนและเป็นรากฐาน เปรียบเสมือนบ้านที่สร้างบนศิลา
(ฝ่ายวิญญาณคือศิลา) เมื่อมีรากฐานนี้แล้ว การสร้างบ้าน (การดำเนินชีวิต
การศึกษาความรู้ฝ่ายโลก) จะตั้งอยู่บนหลักพระวจนะ หากปราศจากฝ่ายวิญญาณท้ายที่สุดจะพังทลาย
มธ.7:24-27
24 "เหตุฉะนั้นผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา
และประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา
25 ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว
ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา
26 แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตามเล่า
เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย
27 ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว
ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่ง"
2.1 พระเจ้ารอบรู้สรรพวิทยา
พระเจ้ามีความรู้สรรพวิทยา
สติปัญญาสูงสุด ทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งจากศูนย์ ไม่มีผู้ใดเหนือกว่าพระองค์อีกแล้ว
ทุกวันนี้ผู้คนยังพยายามศึกษาอธิบายโลกที่พระเจ้าสร้าง
คริสเตียนควรเป็นผู้นำด้านการสร้างนวัตกรรมใหม่ ผู้นำด้านเทคนิควิทยาการล่าสุด
องค์ความรู้ทุกสาขา
แนวทางที่ถูกต้องคือเติบโตฝ่ายวิญญาณควบคู่มีความรู้สรรพวิทยา
เป็นผู้เชี่ยวชาญที่สังคมต้องขอความรู้ความคิดเห็น เชิญเป็นผู้ปกครองบริหารองค์กร
มุ่งดำเนินชีวิตกับโลกอย่างสันติมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ไม่มีใครสามารถปลีกตัวอยู่สงบตามลำพัง เพราะมารซานตานจะคอยรังควานอยู่เสมอ
คริสเตียนบางคนรับข้อมูลทางโลกมากเกินไป ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ
ชีวิตที่เหลืออยู่จึงควรมุ่งศึกษาและปฏิบัติตามพระวจนะจะได้ประโยชน์มากกว่า
ให้ความรู้ความเข้าใจในพระเจ้าเป็นฐานและส่งเสริมความรู้ทักษะฝ่ายโลก
1ทธ.4:7-8
7 อย่าใส่ใจกับเทพนิยายอันหาสาระมิได้
จงฝึกตนในทางธรรม
8 เพราะถ้าการฝึกทางกายนั้นมีประโยชน์อยู่บ้าง
ทางของพระเจ้าก็มีประโยชน์ในทุกทาง
เพราะทรงไว้ซึ่งประโยชน์สำหรับชีวิตปัจจุบันและชีวิตอนาคตด้วย
ถ้า
“รู้จักของจริง” จะสามารถ “แยกแยะของปลอม” เกิดสติปัญญาเข้าใจความจริง เข้าใจเรื่องราวต่างๆ
พระคัมภีร์สอนว่า
คำสอนคำเทศนาสำแดงพลังอำนาจพระวิญญาณ (Spirit’s power)
1คร.2:4 คำพูดและคำเทศนาของข้าพเจ้าไม่ใช่คำที่เกลี้ยกล่อมด้วยสติปัญญา
แต่เป็นคำซึ่งได้แสดงพระวิญญาณและพระเดชานุภาพ
My message and my preaching were not with wise and
persuasive words, but with a demonstration of the Spirit’s power,
2.2 แสวงหาความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ
สุดยอดแห่งสติปัญญาคือดำเนินชีวิตด้วยความยำเกรงพระเจ้า
พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วย (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)
สภษ.1:7 ความยำเกรงพระเจ้า
เป็นบ่อเกิดของความรู้ คนโง่ย่อมดูหมิ่นปัญญาและคำสั่งสอน
เพราะความเข้าใจฝ่ายวิญญาณช่วยให้พ้นบาป
ได้รับรางวัลในสวรรค์ พระคัมภีร์สอนให้แสวงหาความเข้าใจฝ่ายวิญญาณมากกว่าฝ่ายโลก
1คร.1:25,30
25 เพราะความเขลาของพระเจ้ายังมีปัญญายิ่งกว่าปัญญาของมนุษย์
และความอ่อนแอของพระเจ้าก็ยังเข้มแข็งยิ่งกว่ากำลังของมนุษย์
For the foolishness of God is wiser than human wisdom, and
the weakness of God is stronger than human strength.
30 โดยพระองค์ ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์
เพราะพระเจ้าทรงตั้งพระองค์ให้เป็นปัญญาและความชอบธรรมของเรา
และเป็นผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นผู้ไถ่เราไว้ให้พ้นบาป
1คร.1:25,30 ชี้ว่าสิ่งที่โลกมองว่าโง่เขลา (ในบริบทคือการไถ่บาปของพระคริสต์) เป็นพระปัญญาของพระเจ้า
ที่ปัญญาคนบาปเข้าไม่ถึง
ผู้เชื่อจึงให้ความสำคัญกับการรู้จักพระเจ้า เพราะช่วยเปลี่ยนชีวิต
ดำเนินชีวิตใหม่ ผูกสนิทกับพระองค์ พระเจ้าอยู่ในวิถีชีวิตของเขา
เป็นทูตของพระคริสต์
สภษ.9:10 ความยำเกรงพระเจ้าเป็นที่เริ่มต้นของปัญญา
และซึ่งรู้จักองค์บริสุทธิ์เป็นความรอบรู้
"ปัญญาที่มาจากเบื้องบน"
กับ "ปัญญาอย่างโลก" ต่างกันชัดเจน
ยก.3:13-18
13 ในพวกท่านผู้ใดเป็นคนฉลาดและมีปัญญา
ก็ให้ผู้นั้นแสดงการประพฤติของตนด้วยพฤติกรรมอันดี มีใจอ่อนสุภาพประกอบด้วยปัญญา
14 แต่ถ้าท่านรู้สึกขมขื่นเพราะมีใจริษยาและมักใหญ่ใฝ่สูง
ก็อย่าโอ้อวดและอย่าทรยศต่อความจริง
15 ปัญญาเช่นนี้ ไม่เหมือนปัญญาที่มาจากเบื้องบน
แต่เป็นปัญญาอย่างโลกและเป็นโลกียวิสัย และเป็นเช่นปิศาจ
16 เพราะว่าที่ใดมีความริษยาและความมักใหญ่ใฝ่สูง
ที่นั่นก็วุ่นวายและมีการกระทำชั่วช้าลามกต่างๆ
17
แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข
สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด
But the wisdom that comes from heaven is first of all pure;
then peace-loving, considerate, submissive, full of mercy and good fruit,
impartial and sincere.
18 ผู้สร้างสันติสุข หว่านอย่างสันติ
จึงได้เกี่ยวความชอบธรรม
อธิบายขยายความ:
ดังจะเห็นว่าปัญญาฝ่ายโลกบางครั้งไม่บริสุทธ์ชอบธรรม เช่น เป็นกลอุบายให้ตกหลุมพราง
กลเม็ดต้มตุ๋นหลอกลวง เพื่อฉวยประโยชน์อันไม่สมควร
วางแผนทุจริตคอร์รัปชันอย่างแยบยลหลบเลี่ยงการตรวจสอบ จนถึงยุทธศาสตร์ทำลายล้างประเทศอื่น
“แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก
แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี ไม่ลำเอียง
ไม่หน้าซื่อใจคด” (ยก.3:17)
2.3 ยำเกรงพระเจ้าและรู้จักองค์บริสุทธิ์
สภษ.9:10
ความยำเกรงพระเจ้าเป็นที่เริ่มต้นของปัญญา และซึ่งรู้จักองค์บริสุทธิ์เป็นความรอบรู้
The fear of the
LORD is the beginning of wisdom, and knowledge of the Holy One is
understanding.
สภษ.9:10 สอนชัดว่าเริ่มด้วยการยำเกรงพระเจ้าก่อน
ตามมาด้วยความผูกพันใกล้ชิดพระองค์ (ในสมัยพันธสัญญาใหม่คือพระวิญญาณบริสุทธิ์)
ยำเกรงพระเจ้าคือจุดเริ่ม
(ยอมรับว่าพระเจ้าอยู่เหนือเรา เชื่อและเชื่อฟังพระองค์)
การรู้จักหรือมีความรู้ในพระองค์คือความรอบรู้
เพราะพระองค์คือสติปัญญากับความรอบรู้ ความรู้ที่ช่วยให้พ้นบาป
ดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ชอบธรรม พระวิญญาณทรงนำ
สรุป: คนที่ยำเกรงพระเจ้าและรู้จักองค์บริสุทธิ์ คือ
ผู้เชื่อและเชื่อฟังพระองค์ ศึกษาเข้าใจพระวจนะ ดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ชอบธรรม
พระวิญญาณสถิตอยู่ด้วย
2.3.1 รากศัพท์และความสำคัญ
รากศัพท์คำว่า “รู้จัก” ใน สภษ.9:10 คือ דַּעַת
(อ่านว่า dah'-ath) หมายถึง ชำนาญ มีฝีมือ (cunning)
ความรู้ (knowledge)
ใช้ในหลายที่ เช่น คำว่า
“ความรู้” ใน อพย.31:3
คำว่า “ฝีมือ” (knowledge) ใน 1พกษ.7:14
1พกษ.7:14
ท่านเป็นบุตรชายของหญิงม่ายเผ่านัฟทาลี
และบิดาของท่านเป็นชายชาวเมืองไทระ เป็นช่างทองสัมฤทธิ์ และท่านประกอบด้วยสติปัญญา
ความเข้าใจ และฝีมือที่จะทำงานทุกอย่างด้วยทองสัมฤทธิ์
ท่านมาเฝ้าพระราชาซาโลมอนและทำงานทั้งสิ้นของพระองค์
whose mother was a
widow from the tribe of Naphtali and whose father was from Tyre and a skilled craftsman in bronze. Huram was filled with
wisdom, with understanding and with knowledge to do all kinds of bronze work.
He came to King Solomon and did all the work assigned to him.
อธิบายขยายความ: ในอพย.31:3 ชี้ว่าพระวิญญาณอยู่คู่กับ “สติปัญญา
ความเข้าใจและความรู้ในวิชาการทุกอย่าง”
อพย.31:3
และได้ให้เขาประกอบด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า คือให้เขามีสติปัญญา
ความเข้าใจและความรู้ในวิชาการทุกอย่าง
พระคัมภีร์ข้อนี้สอนว่าสติปัญญา
ความเข้าใจและความรู้ทุกอย่างเป็นของประทานจากพระวิญญาณโดยตรง (อยู่ดีๆ ก็มี
ไม่ได้มาจากการศึกษาเรียนรู้) เป็นการอัศจรรย์อย่างหนึ่ง (ในบริบทพวกเขากำลังจะสร้างพลับพลา)
พระเจ้าประทานให้มีความรู้ความเข้าใจทุกด้าน ทั้งฝ่ายวิญญาณกับฝ่ายโลก
การที่พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับผู้เชื่อจึงสำคัญ
เพราะจะทรงนำ ให้ความเข้าใจ เปิดเผยความจริงแก่ผู้ที่พระวิญญาณสถิตอยู่ด้วย
อสย.11:2
และพระวิญญาณของพระเจ้าจะอยู่บนท่านนั้น
คือวิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจ วิญญาณแห่งการวินิจฉัยและอานุภาพ
วิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงพระเจ้า
2.4 ตัวอย่าง
2.4.1 ซาโลมอน
ตัวอย่าง
ซาโลมอนผู้มีสติปัญญาเหนือทุกคน รอบรู้สารพัด
1พกษ.4:29-34
29 และพระเจ้าทรงประทานสติปัญญา
และความเข้าใจแก่ซาโลมอนอย่างเหลือประมาณ
ทั้งพระทัยอันกว้างขวางดุจทะเลทรายที่ชายทะเล
30 และสติปัญญาของซาโลมอนล้ำกว่าสติปัญญาทั้งสิ้นของชาวตะวันออกและกว่าบรรดาสติปัญญาของอียิปต์
31 เพราะพระองค์ทรงมีสติปัญญาฉลาดกว่าคนอื่นทุกคน
ทรงฉลาดกว่าเอธานตระกูลเอสราห์ และเฮมาน คาลโคล์ และดารดา
บรรดาบุตรของมาโฮลและพระนามของพระองค์ก็เลื่องลือไปในทุกประชาชาติที่อยู่ล้อมรอบ
32 พระองค์ตรัสสุภาษิตสามพันข้อด้วย
และบทเพลงของพระองค์มีหนึ่งพันห้าบท
33 พระองค์ตรัสถึงต้นไม้ตั้งแต่ต้นสนสีดาร์ซึ่งอยู่ในเลบานอน
จนถึงต้นหุสบ ซึ่งงอกออกมาจากกำแพง พระองค์ตรัสถึงสัตว์ป่าด้วย
ทั้งบรรดานกและสัตว์เลื้อยคลานและปลา
34 และคนมาจากชนชาติทั้งหลาย
เพื่อฟังสติปัญญาของซาโลมอน และมาจากบรรดาพระราชาแห่งแผ่นดินโลก
ผู้ได้ยินถึงสติปัญญาของพระองค์
สติปัญญาของซาโลมอนล้ำกว่าสติปัญญาทั้งสิ้นของชาวตะวันออก และเหนือกว่าบรรดาสติปัญญาของอียิปต์
ซึ่งหมายถึงเหนือกว่าชนทุกชาติ โลกตามบริบทสมัยนั้นที่มีอิสราเอล (แผ่นดินคานาอัน)
ชนชาติทางตะวันออก (เช่น บาบิโลน เปอร์เซีย) และอียิปต์ที่อยู่ทางใต้
น้ำพระทัยพระเจ้าจึงต้องการให้คนของพระองค์มีความรู้ทางฝ่ายโลกกับฝ่ายวิญญาณ
สามารถมีสติปัญญาเหนือทุกคน เป็นที่รับรู้ทั่วไป
2.4.2 ดาเนียลกับเพื่อนทั้ง 3
พระเจ้าให้ดาเนียลกับเพื่อนทั้ง
3 มีความรู้ทุกอย่างในสมัยนั้น มีปัญญาทั้งฝ่ายวิญญาณกับฝ่ายโลก
ดนล.1:17 ฝ่ายอนุชนทั้งสี่คนนี้
พระเจ้าประทานสรรพวิทยา และความชำนาญในเรื่องวิชาทั้งปวงและปัญญา และดาเนียลเข้าใจในนิมิตและความฝันทุกประการ
To these four young men God gave knowledge and understanding
of all kinds of literature and learning. And Daniel could understand visions
and dreams of all kinds.
ดาเนียลกับเพื่อนทั้ง
3 ใช้ความรู้ความสามารถเป็นประโยชน์ต่อสังคม
เหนือกว่าคนเก่งคนดังทั้งหลายที่ไม่เชื่อพระเจ้า
ดนล.1:18-21
18 พอสิ้นกำหนดเวลาที่พระราชาทรงบัญชาให้นำเขาทั้งหลายเข้าเฝ้า
หัวหน้าขันทีจึงนำเขาทั้งหลายเข้ามาเฝ้าเนบูคัดเนสซาร์
19 และพระราชาก็ทรงสัมภาษณ์เขา
ในบรรดาอนุชนเหล่านั้นไม่พบสักคนหนึ่งที่เหมือนดาเนียล ฮานันยาห์
มิชาเอลและอาซาริยาห์ เพราะฉะนั้นเขาจึงได้เข้ารับราชการ
20 ในบรรดาเรื่องราวอันเกี่ยวกับปัญญาและความรอบรู้
ซึ่งพระราชาตรัสถามเขาทั้งหลาย ทรงเห็นว่าเขาทั้งหลายดีกว่าพวกโหร และพวกหมอดู
ซึ่งอยู่ในอาณาจักรทั้งสิ้นของพระองค์สิบเท่า
21 และดาเนียลก็ได้รับราชการเรื่อยมาจนต้นรัชกาลพระราชาไซรัส
3. หลักการคัดกรองการปกป้องและทรงนำ
ความรู้ฝ่ายโลกบางเรื่องขัดความเชื่อ
มีหลักการคัดกรอง การปกป้องและทรงนำ บางประการดังนี้
3.1 พระคัมภีร์คือคู่มือคัดครอง
คำสอนกับธรรมบัญญัติชี้อะไรดีอะไรชั่ว อะไรถูก-ผิด เตือนผลของทุกการกระทำ เพื่อให้รู้ว่าต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไร
พระวจนะเหล่านี้มีมากมาย
ตัวอย่าง ธรรมบัญญัติ 10 ประการ
2 ”เราคือพระเจ้าของเจ้า
ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์คือจากแดนทาส
3 ”อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา
4 ”อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน
เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง
หรือในน้ำใต้แผ่นดิน
5 อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น
เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน
ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน
6 แต่เราแสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเรา
และปฏิบัติตามบัญญัติของเราจนถึงพันชั่วอายุคน
7 ”อย่าออกพระนามพระเจ้าของเจ้าอย่างไม่สมควร
เพราะผู้ที่ออกพระนามพระองค์อย่างไม่สมควรนั้น
พระเจ้าจะทรงถือว่าไม่มีโทษก็หามิได้
8 ”จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์
9 จงทำการงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน
10 แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเจ้าของเจ้า
ในวันนั้นอย่ากระทำการงานใดๆไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชายบุตรหญิงของเจ้า
หรือทาสทาสีของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า
หรือแขกที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า
11 เพราะในหกวันพระเจ้าทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน
ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก
เพราะฉะนั้นพระเจ้าทรงอวยพระพรวันสะบาโต และทรงตั้งวันนั้นไว้เป็นวันบริสุทธิ์
12 ”จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า
เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า
13 ”อย่าฆ่าคน
14 ”อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา
15 ”อย่าลักทรัพย์
16 ”อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน
17 ”อย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้าน
อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือทาสทาสีของเขา หรือโค ลาของเขา หรือสิ่งใดๆ
ซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน”
ในบัญญัติ
10 ประการ 3 ข้อแรกพูดถึงความสัมพันธ์กับพระเจ้า ย้ำว่ามีพระเจ้าองค์เดียว นมัสการ
ติดสนิทผูกพันกับพระเจ้าองค์นี้เท่านั้น ที่เหลือพูดถึงการใช้ชีวิต
ความสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยกัน
บัญญัติ
10 ประการเป็นตัวอย่างชี้ว่า มีเรื่องที่ต้องทำกับเรื่องที่ห้าม
แยกแยะว่าอะไรถูก-ผิด และผลลัพธ์การกระทำ
คำสอนในพันธสัญญาใหม่ทำหน้าที่นี้เช่นกัน
ยกตัวอย่าง
รม.13:13-14
13 เราจงประพฤติตัวให้เหมาะสมกับเวลากลางวัน
มิใช่เลี้ยงเสพสุราเมามาย มิใช่หยาบโลนลามก มิใช่วิวาทริษยากัน
14 แต่ท่านจงประดับกายด้วยพระเยซูคริสตเจ้า
และอย่าจัดเตรียมอะไรไว้บำรุงบำเรอตัณหาของเนื้อหนัง
1ปต.3:3-4
3 การประดับกายของท่านนั้น
อย่าให้เป็นการประดับภายนอก ด้วยการถักผม
ประดับด้วยเครื่องทองคำและนุ่งห่มเสื้อผ้าสวยงาม
4 แต่จงให้เป็นการประดับภายในจิตใจ
แต่งด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลาย คือด้วยจิตใจที่สงบและสุภาพ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่งในสายพระเนตรพระเจ้า
อฟ.5:18-20
18 และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน
แต่จงประกอบด้วยพระวิญญาณ
19 จงปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการ
และเพลงสรรเสริญ คือร้องเพลงสรรเสริญและสดุดีจากใจของท่าน ถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า
20
จงขอบพระคุณพระเจ้าคือพระบิดาสำหรับสิ่งสารพัดเสมอ
ในพระนามของพระเยซูคริสตเจ้าของเรา
พระคัมภีร์คือคู่มือการคัดครอง
มีคำตอบทุกเรื่องในพระคัมภีร์ ผู้เชื่อจึงหมั่นศึกษาจนเข้าใจครบถ้วนแตกฉาน
ยึดถือปฏิบัติอย่างถูกต้อง
3.2 พระวิญญาณบริสุทธิ์
พระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระผู้ช่วยที่อยู่กับคริสเตียน
พระวิญญาณประทานปัญญา ความเข้าใจ แยกแยะ เตือนสติ สามารถพูดคุยสื่อสารใกล้ชิดกับแต่ละคนอย่างเจาะจง
สัมผัสใกล้ชิดพระเจ้า
อสย.11:2 และพระวิญญาณของพระเจ้าจะอยู่บนท่านนั้น
คือวิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจ วิญญาณแห่งการวินิจฉัยและอานุภาพ
วิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงพระเจ้า
ยน.16:13 เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว
พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ
แต่พระองค์จะตรัส สิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน
และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น
But when he, the Spirit of truth, comes, he will guide you
into all the truth. He will not speak on his own; he will speak only what he
hears, and he will tell you what is yet to come.
พระวิญญาณช่วยให้สามารถดำเนินในทางของพระองค์
เอาชนะเนื้อหนัง
รม.8:9
ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลายจริงๆ
แล้วท่านก็มิได้อยู่ใต้เนื้อหนัง แต่อยู่ใต้พระวิญญาณ
ผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์
สรุป พระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระผู้ช่วยของเราในยุคนี้ ที่ปรึกษามหัศจรรย์
ทรงฤทธานุภาพ ผู้นำพาคนของพระองค์จนถึงสุดปลาย พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา
1คร.3:16-17,19
16
ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า
และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน
17 ถ้าผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า
พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้น เพราะวิหารของพระเจ้าเป็นที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
และท่านทั้งหลายเป็นวิหารนั้น
19 ท่านไม่รู้หรือว่า
ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน
ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง
2คร.6:16 วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้
เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์ ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า
"เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขาและเราจะเป็นพระเจ้าของเขา
และเขาจะเป็นชนชาติของเรา
What agreement is there between the temple of God and idols?
For we are the temple of the living God. As God has said: “I will live with
them and walk among them, and I will be their God, and they will be my
people.”
3.3 ผูกพันตัวในชุมชนผู้เชื่อ
เป็นธรรมดาที่มนุษย์อยู่ในครอบครัว
อยู่ร่วมเป็นชุมชน พระเจ้าสร้างชนชาติอิสราเอล (อยู่ร่วมกันเป็นชนชาติ)
คริสเตียนรักกัน สามัคคีธรรมร่วมกัน
พระเจ้าต้องการให้คริสเตียนอยู่ร่วมเป็นชุมชน ทุกคนได้รับการปกป้องดูแล
3.3.1 ตัวอย่าง เปาโล
จากเซาโลที่ข่มเหงคริสเตียนกลายเป็นอัครทูตเปาโล
พระเจ้าใช้อานาเนียไปหาเซาโลเพื่อพาเข้าสู่ชุมนุมคริสเตียน
รับการเสริมสร้าง และกลายเป็นอัครทูตในที่สุด ภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณ
กจ.9:10-11,17,19
10 ในเมืองดามัสกัสมีศิษย์คนหนึ่งชื่ออานาเนีย
องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับผู้นั้นโดยนิมิตว่า "อานาเนียเอ๋ย"
อานาเนียจึงทูลตอบว่า "พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อยู่ที่นี่"
11 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า
"จงลุกขึ้นไปที่ถนนที่เรียกว่าถนนตรง
ถามหาชายคนหนึ่งชื่อเซาโลชาวเมืองทาร์ซัสอยู่ในตึกของยูดาส
เพราะดูเถิดเขากำลังอธิษฐานอยู่
17 แล้วอานาเนียก็ไป
และเข้าไปในตึกวางมือบนเซาโล กล่าวว่า "พี่เซาโลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้า
คือพระเยซูได้ทรงปรากฏแก่ท่านกลางทางที่ท่านมานั้น ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามา
เพื่อท่านจะเห็นได้อีก และเพื่อท่านจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เต็มบริบูรณ์"
19 พอรับประทานอาหารแล้วก็มีกำลังขึ้น
เซาโลพักอยู่กับพวกศิษย์ในเมืองดามัสกัสหลายวัน
4. กรณีศึกษากษัตริย์ซาโลมอน
กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อเริ่มครองราชย์เชื่อศรัทธาองค์พระผู้เป็นเจ้า
มีสัมพันธ์ใกล้ชิด ทรงอวยพรให้มีอำนาจ มีเกียรติ เต็มด้วยความมั่งคั่งและสติปัญญา
แต่เมื่อถูกชักนำให้ห่างออกพระเจ้า
ความสัมพันธ์กับพระองค์นับวันยิ่งจืดจาง ปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าพร้อมกับรูปเคารพอื่นๆ
1พกษ.11:3-6
3 พระองค์ทรงมีมเหสีเจ็ดร้อย
และนางห้ามสามร้อยและบรรดามเหสีของพระองค์ ก็ทรงหันพระทัยของพระองค์ไปเสีย
He had seven hundred wives of royal birth and three hundred
concubines, and his wives led him astray.
4 เพราะอยู่มาเมื่อซาโลมอนทรงพระชราแล้ว
มเหสีของพระองค์ได้หันพระทัยของพระองค์ให้ไปตามพระอื่น
และพระทัยของพระองค์หาได้ตรงทีเดียวต่อพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของพระองค์
ดังพระทัยของดาวิดราชบิดาของพระองค์ไม่
5 เพราะซาโลมอนทรงดำเนินตามพระอัชโทเรท
พระแม่เจ้าของคนไซดอน และตามพระมิลโคม สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของคนอัมโมน
6 ซาโลมอนจึงทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า
และมิได้ทรงติดตามพระเจ้าอย่างเต็มพระทัย
ดังดาวิดราชบิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำมาแล้วนั้น
ซาโลมอนผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน ถูกผู้หญิงชักนำให้ห่างจากพระเจ้า
กราบไว้พระอื่น “กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า” ทำผิดบัญญัติข้อสำคัญ
อพย.20:2-6
2 “เราคือพระเจ้าของเจ้า
ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์คือจากแดนทาส
3 “อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา
4 “อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน
เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง
หรือในน้ำใต้แผ่นดิน
5 อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น
เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน
ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน
6 แต่เราแสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเรา
และปฏิบัติตามบัญญัติของเราจนถึงพันชั่วอายุคน
but showing love to a thousand generations of those who love
me and keep my commandments.
เพราะบาปของกษัตริย์
พระเจ้าลงโทษแยกอาณาจักรออกเป็น 2 ส่วนคืออิสราเอลกับยูดาห์ (1พกษ.11:9-13, 31-33) หลังเรโหโบอัม ราชโอรสของซาโลมอนขึ้นเป็นกษัตริย์
เมื่อกลายเป็น
2 อาณาจักร ทั้งกษัตริย์ของอาณาจักรอิสราเอลกับยูดาห์ต่างทำผิดต่อพระเจ้า
และทำผิดมากขึ้นอย่างรวดเร็ว (1พกษ.16:29-31)
เป็นบาปชนิดเดียวกับที่ซาโลมอนทำคือนมัสการพระอื่น พระเจ้าจึงลงโทษทั้ง 2 อาณาจักรและทำลายทิ้งในที่สุด
สรุป คนที่เชื่อศรัทธาพระเจ้าจริง จะเชื่อศรัทธาพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียว ไม่นมัสการบูชาพระเจ้าพร้อมกับศาสนาหรือสิ่งอื่น (ชื่อเสียง เกียรติยศ ความมั่งคั่ง ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ความสุขสบายฝ่ายโลก) กษัตริย์ซาโลมอนเป็นตัวอย่างความมั่งคั่งฝ่ายโลกที่กลายเป็นลมเป็นแล้ง เป็นบาปผิดมากมาย
คำถามหลังคำสอน:
1) ยกตัวอย่าง คริสเตียนที่หลงไปกับปัญญาฝ่ายโลก ผลเป็นอย่างไร
2) ช่วยเสนอแนะวิธีส่งเสริมให้คริสเตียนมีทั้งปัญญาฝ่ายโลกกับฝ่ายวิญญาณ
------------------------
.png)
.png)

