18/06/2568

บทเรียน 20 หน้าตาพระเจ้าเป็นอย่างไร

พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าพระองค์ พระเยซูได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ในโลกช่วงระยะหนึ่ง ทรงสำแดงพระเจ้ารวมทั้งหน้าตา

คำถามก่อนเรียน:

            1) ท่านเคยเห็นรูปภาพหรือรูปวาดพระเยซูหรือไม่ รูปที่เห็นมีหน้าตาอย่างไร

            2) ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่ามีพระเจ้าจริง ไม่ใช่แค่คำสอนในพระคัมภีร์ หรือที่คนอื่นเล่าให้ฟัง

 

คำถาม: หน้าตาพระเจ้าเป็นอย่างไร

            หลายคนเคยเห็นรูปพระเยซูผมสีทอง ควรเข้าใจว่าภาพดังกล่าวมาจากจินตนาการ ไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริง

            ความจริงแล้ว พระคัมภีร์ไม่ได้ระบุใบหน้าหรือหน้าตาของพระเจ้าพระบิดาและพระเยซูเลย ถ้าตอบตามความรู้ฝ่ายโลก คนอิสราเอลปัจจุบันมีผมสีดำ เช่นเดียวกับคนอาหรับกับอียิปต์ในแถบนั้น

            ถ้าถามว่าพระเจ้าพระบิดาบนสวรรค์มีหน้าตาอย่างไร คำตอบคือ พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ พระเยซูได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ช่วงระยะหนึ่ง พระเยซูสำแดงพระเจ้ารวมทั้งหน้าตา

1. พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ

            พระคัมภีร์อธิบายว่า พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ (ไม่ใช่กายอย่างมนุษย์)

            พระเยซูตรัสในยน.4:24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ

ยน.4:24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง"

God is spirit, and his worshipers must worship in the Spirit and in truth.”

            รากศัพท์คำว่า “วิญญาณ” หรือ “spirit” ในยน.4:24 คือ πνεῦμα (อ่านว่า pnyoo'-mah) หรือ ‘pneuma-นิวมา’ เป็นภาษากรีก หมายถึง ลม (wind) ลมหายใจ (breath) วิญญาณหรือจิตวิญญาณ (spirit) และเล็งถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์

            มีใช้ในหลายที่ เช่น

            เล็งถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์

มธ.1:20 แต่เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า "โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์

But after he had considered this, an angel of the Lord appeared to him in a dream and said, “Joseph son of David, do not be afraid to take Mary home as your wife, because what is conceived in her is from the Holy Spirit.

            คำว่า “วิญญาณ” หรือ Spirit ในมธ.1:20 คือ ‘pneuma-นิวมา เมื่อเติมคำว่า Holy จึงแปลไทยเป็น “พระวิญญาณบริสุทธิ์”

มธ.3:11 เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังเรา ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะถอดฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลาย รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ

มธ.3:16 ครั้นพระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้ว ในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจากน้ำ และท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบ ลงมาสถิตอยู่บนพระองค์

            ดังนั้น แต่แรกเริ่มพระเจ้ามีลักษณะเป็นพระวิญญาณ พระเยซูขณะสำแดงเป็นมนุษย์ มีพระฉายอย่างพระเจ้า

ยน.14:9 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ฟีลิปเอ๋ย เราได้อยู่กับท่านนานถึงเพียงนี้และท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า "ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น"

2. ไม่มีใครเห็นหน้าพระบิดา

            พระเยซูตรัสว่า ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้า

1ยน.4:11-12

11 ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราทั้งหลายเช่นนั้น เราก็ควรจะรักซึ่งกันและกันด้วย

12 ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้า ถ้าเราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในเราทั้งหลาย และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา

อพย.33:20 พระองค์จึงตรัสว่า เจ้าจะเห็นหน้าของเราไม่ได้ เพราะมนุษย์เห็นหน้าเราแล้วจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้

            มนุษย์ไม่เคยเห็น และจะเห็นไม่ได้ “เพราะมนุษย์เห็นหน้าเราแล้วจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้"

1ทธ.6:15-16

15 ซึ่งพระเจ้าผู้เสวยสุขและทรงฤทธิ์สูงสุดแต่พระองค์เดียว พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และพระผู้เป็นเจ้าเหนือเทพเจ้าทั้งปวง จะทรงสำแดงให้ปรากฏในเวลาอันควร

16 พระองค์ผู้เดียวทรงอมตะ และทรงสถิตในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง ผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็น และจะเห็นไม่ได้ พระเกียรติและฤทธานุภาพอันถาวรจงมีแด่พระองค์นั้น อาเมน

            ไม่มีใครสามารถมองพระพักตร์ ทูตสวรรค์ที่อยู่หน้าบัลลังก์ที่ประทับก็ทำไม่ได้ เสราฟิม (ทูตสวรรค์ประเภทหนึ่งที่อยู่หน้าบัลลังก์ที่ประทับ) ต้องใช้ 2 ปีกปิดตาไม่ให้เห็นพระองค์

อสย.6:2-3

2 เหนือพระองค์มีเสราฟิมยืนอยู่ แต่ละตนมีปีกหกปีก ใช้สองปีกบังหน้า และสองปีกคลุมเท้า และด้วยสองปีกบินไป

3 ต่างก็ร้องต่อกันและกันว่า "บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าจอมโยธา แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเต็มด้วยพระสิริของพระองค์"

            ดังนั้น ไม่มีมนุษย์คนใดเห็นพระเจ้า แต่สามารถสัมผัสพระองค์ มีประสบการณ์ในพระเจ้า

3. การสัมผัสพระเจ้า

            การสัมผัสพระเจ้า (Experiencing God, To touch God) คือ สภาพเข้าถึงการทรงพระชนม์อยู่ สามัคคีธรรมใกล้ชิดกับพระองค์ มีหลากหลายรูปแบบ สัมผัสพระสิริตามที่ทรงสำแดง อาจแบ่งออกเป็นหลายระดับตามความใกล้ชิดสนิทสนม ตามการสำแดงว่าเด่นชัดเพียงไร และตามที่ผู้สัมผัสเข้าถึงและเข้าใจ เป็นผลจากการที่ผู้เชื่อมุ่งแสวงหาพระเจ้า ติดสนิทกับพระองค์ พระเจ้าต้องการสื่อสาร ทรงนำชีวิต เป้าหมายสุดท้ายคือการกลับไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์

            พระคัมภีร์บางข้อเอ่ยถึงการ “พบ” พระเจ้า และบางครั้งใช้คำว่า “เห็น” แต่หมายถึงการสัมผัสพระองค์ในรูปแบบหนึ่ง ตามที่พระองค์ต้องการ และอยู่ที่การรับรู้ ความเข้าใจของผู้นั้นด้วย

อสย.6:1 ในปีที่กษัตริย์อุสซียาห์สิ้นพระชนม์ ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับ ณ พระที่นั่งสูงและเทิดทูนขึ้น และชายฉลองพระองค์ของพระองค์เต็มพระวิหาร

อสย.55:6 "จงแสวงหาพระเจ้า เมื่อจะพบพระองค์ได้ จงทูลพระองค์ ขณะพระองค์ทรงอยู่ใกล้

Seek the LORD while he may be found; call on him while he is near.

ยรม.29:13 เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า

            3.1 พระเจ้าต้องการสื่อสาร

            หลักพื้นฐานคือพระเจ้าต้องการสื่อสารกับมนุษย์ โดยเฉพาะคนของพระองค์ ทรงสำแดงตามอย่างที่ต้องการ (ไม่ใช่ตามอย่างที่มนุษย์คาดหวัง เช่น บางคนอยากเห็นใบหน้าพระองค์ ให้พระเจ้าปรากฏตัวต่อหน้าต่อตาซึ่งพระองค์จะไม่ทำเช่นนั้น)

            ตลอดพระคัมภีร์ พระเจ้าสื่อสารกับคนของพระองค์เสมอ ต่างมีประสบการณ์ในแบบของตน บางครั้งอาจคล้ายกัน บางครั้งอัศจรรย์มาก ทั้งหมดนี้ขึ้นกับว่าพระองค์ต้องการให้เป็นอย่างไร รวมทั้งการเข้าถึง ความเข้าใจของแต่ละคนด้วย

            ยกตัวอย่าง เสาเมฆและเสาเพลิง มานา นกคุ่ม

            ในถิ่นทุรกันดาร ทรงสำแดงด้วยเสาเมฆและเสาเพลิง มานา นกคุ่ม ฯลฯ เป็นรูปธรรมว่าพระองค์ทรงอยู่กับพวกเขา ทรงปกป้อง ดูแลตลอดเวลา

            พระเจ้าประทานมานาแก่อิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร

อพย.16:14-15

14 เมื่อน้ำค้างระเหยไปแล้ว ก็เห็นสิ่งหนึ่งเหมือนเกล็ดเล็กๆ เท่าเม็ดน้ำค้างแข็งอยู่ที่พื้นดินในถิ่นทุรกันดารนั้น

15 เมื่อชนชาติอิสราเอลเห็นจึงพูดกันว่า "นี่อะไรหนอ" เพราะเขาไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใด โมเสสจึงบอกเขาว่า "นี่แหละเป็นอาหารที่พระเจ้าประทานให้พวกท่านรับประทาน

            3.2 พัฒนาการของการสัมผัสพระเจ้า

            การสัมผัสพระเจ้าเป็นผลจากการที่ผู้เชื่อตั้งใจแสวงหาพระองค์ไม่หยุดหย่อน ทรงสำแดง (สื่อสาร) ในตอนต้นเขาอาจมีประสบการณ์พื้นๆ เช่น พระเจ้าตอบคำอธิษฐานอย่างเจาะจง (เช่น ของหายได้คืน) จากนั้นความเชื่อพัฒนาสูงขึ้นตามลำดับ มีประสบการณ์ล้ำลึกมากขึ้นทุกที สัมผัสพระวิญญาณบริสุทธิ์ (สำแดงการทรงสถิต) ได้ยินพระสุรเสียง สัมผัสความรักสันติสุขที่มาจากพระองค์ รับรู้ชัดเจนว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังนำชีวิต เป็นคนของพระเจ้าตัวแทนพระองค์ที่อยู่ในโลกนี้

          ดังนั้น ไม่มีใครเห็นหน้าตาพระเจ้าพระบิดา แต่สามารถมีประสบการณ์ในรูปแบบต่างๆ ตามที่ทรงสำแดง

            ตั้งแต่อดีตกาลจนปัจจุบัน บรรดาผู้เชื่อศรัทธาจึงเป็นพยานว่าเขามีประสบการณ์ในพระเจ้าที่เขารู้จักอย่างไร แต่ละคนแต่ละกลุ่มมีประสบการณ์เฉพาะ

4. พระเยซูสำแดงพระเจ้ารวมทั้งหน้าตา

ยน.1:18  ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระบุตรองค์เดียวผู้ทรงสถิตอยู่ในพระทรวงของพระบิดา พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว

            “ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย" ทรงสำแดงในสภาพเป็นมนุษย์ผ่านพระเยซู พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว

            ดังนั้น เมื่อถามว่าพระบิดาหน้าตาเป็นอย่างไร คำตอบคือ แต่แรกเริ่มพระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ทรงสำแดงพระองค์ในสภาพมนุษย์ผ่านพระเยซู (ทั้งกาย จิตใจและจิตวิญญาณ)

            อาดัม-เอวามีหน้าตาอย่างพระองค์เช่นกัน แต่ไม่ตรงกันทีเดียว (หลักทรงสร้างแต่ละคนอย่างมีเอกลักษณ์)

ปฐก.1:27 พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง

So God created mankind in his own image, in the image of God he created them; male and female he created them.

            พระเจ้าตั้งใจสร้างมนุษย์ (อาดัม) ให้มีพระฉายเหมือนพระองค์ (his own image) อาดัม-เอวาที่ยังไม่ทำบาปน่าจะคล้ายพระเยซูมาก (ในสภาพมนุษย์) แต่ทั้งคู่เป็นเพียงมนุษย์ ไม่ใช่พระเยซูที่เป็นพระเจ้า

            พระเยซูเป็นพระเจ้า ทรงสิทธิอำนาจสูงสุด ปราศจากบาปและไม่เคยทำบาป ดำรงอยู่เป็นนิจ ส่วนอาดัม-เอวาคือสิ่งทรงสร้าง อยู่ใต้สิทธิอำนาจพระเจ้า เมื่อทำบาปต้องรับผลของบาป

สรุป:

            ถ้าถามว่าพระเจ้าบนสวรรค์มีหน้าตาอย่างไร คำตอบคือ พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ไม่มีใครเคยใบเห็นหน้าพระองค์ พระเยซูได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ในโลกช่วงระยะหนึ่ง ทรงสำแดงพระเจ้ารวมทั้งหน้าตา แต่พระคัมภีร์ไม่ได้ระบุรูปร่างหน้าตาพระเยซู รูปภาพที่ปรากฏในที่ต่างๆ มาจากจินตนการ ปัจจุบันคริสเตียนผู้เชื่อสัมผัสพระองค์ในหลายรูปแบบ เป็นประสบการณ์ส่วนตัว

            พระเยซูคือพระเจ้าที่สำแดงเป็นมนุษย์

คำถามหลังคำสอน:

            1) สำคัญหรือไม่ที่ต้องเห็นตาพระเจ้า จึงจะมั่นใจว่าพระเจ้ามีจริง

            2) ท่านจะตอบอย่างไร เมื่อถูกถามว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหน ช่วยพามาให้เห็นหน้า

------------------------

 

06/06/2568

Ep27 ติดสนิทเบื้องบนเกิดผลเบื้องล่าง

“เพราะถ้าท่านระวังที่จะกระทำตามบัญญัติทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่าน คือรักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ดำเนินในทางทั้งสิ้นของพระองค์ และติดสนิทอยู่กับพระองค์แล้ว”

คำสอนที่ยากจะปฏิบัติครบถ้วน:

            ผู้มีกล่าวอย่างน่าฟังว่า ศาสนา คำสอนธรรมบัญญัติ พยายามเปลี่ยนคนจากภายนอก แต่พระวิญญาณเปลี่ยนจากภายใน สำแดงสู่ภายนอก

            ผู้เชื่อทุกคนต้องยึดธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิมกับคำสอนในพระคัมภีร์ใหม่ ทุกคนจำต้องรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด รู้ว่าอะไรที่พระเจ้าให้ทำกับอะไรที่สั่งห้าม เป็นมาตรฐานเบื้องต้น และเป็นข้อเตือนใจ แต่มนุษย์มักอ่อนแอไม่สามารถปฏิบัติตามครบถ้วน ชอบทำบาป คนอิสราเอลในสมัยพระคัมภีร์เดิมเป็นหลักฐานพิสูจน์แล้วว่าคนที่ยึดถือธรรมบัญญัติคำสอน พยายามปฏิบัติตาม มักจะละทิ้งพระเจ้าง่ายๆ (ไม่ทำตามธรรมบัญญัติ ถึงขั้นนมัสการรูปเคารพ)

            ปัจจุบันคริสเตียนผู้เชื่ออยากเป็นคนชอบธรรม ทำตามคำสอน แต่บ่อยครั้งทำไม่ได้ ไม่ครบถ้วน เพราะขาดกำลังฝ่ายวิญญาณ เป็นเหตุที่ต้องมีพระเยซูไถ่บาป มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่คอยช่วยเหลือ

การติดสนิท:

            ดังคำที่กล่าวว่า ติดสนิทเบื้องบนเกิดผลเบื้องล่าง

            ธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิมสอนเรื่องการติดสนิทเช่นกัน

ฉธบ.11:22 เพราะถ้าท่านระวังที่จะกระทำตามบัญญัติทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่าน คือรักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ดำเนินในทางทั้งสิ้นของพระองค์ และติดสนิทอยู่กับพระองค์แล้ว

For if you are careful to observe this entire commandment I am giving you, loving the LORD, your God, following his ways exactly, and holding fast to him,

            รักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน “ติดสนิทอยู่กับพระองค์”

            อธิบายขยายความ: ฉธบ.11:22 เริ่มต้นด้วยการสอนว่า “กระทำตามบัญญัติทั้งปวง” บัญญัติที่โมเสสสอนมีมากมาย ปรากฏในพระธรรมหมวดเบญจบรรณ จากนั้นฉธบ.11:22 (โมเสส) สรุปคำสอนพระเจ้าตั้งแต่แรกเริ่ม (สรุปคำสอนในหมวดเบญจบรรณ) สรุปไว้ 3 ข้อคือ 1) รักพระเจ้าของเจ้า 2) ดำเนินชีวิตตามแบบของพระองค์อย่างเที่ยงตรง 3) ติดสนิทกับพระองค์ ทั้งนี้ทั้ง 3 ข้อแยกจากกันไม่ได้

          ทั้ง 3 ข้อแยกจากกันไม่ได้ (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            ฉธบ.30:20 พูดซ้ำอีกครั้ง

ฉธบ.30:20 ด้วยมีความรักต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และติดพันอยู่กับพระองค์ กระทำเช่นนั้นจะได้ชีวิตและความยืนนาน เพื่อท่านจะได้อยู่ในแผ่นดินซึ่งพระเจ้าปฏิญาณแก่บรรพบุรุษของท่าน คือแก่อับราฮัมแก่อิสอัค และแก่ยาโคบว่า จะประทานแก่ท่านเหล่านั้น"

            เป้าหมายตามบริบทคือ ได้เข้าและอาศัยในแผ่นดินคานาอันตามพระสัญญา

อพย.3:17 เราสัญญาไว้แล้วว่า เราจะพาเจ้าทั้งหลายไปให้พ้นจากความทุกข์ในประเทศอียิปต์ ไปยังแผ่นดินของชาวคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ไปยังแผ่นดินซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งบริบูรณ์'"

หลักเครื่องมือหรือกลไกของการติดสนิท:

            การติดสนิท เป็นเครื่องมือหรือกลไกที่พระเจ้าตั้งไว้ เพื่อสามารถทำตามน้ำพระทัย มีหลักการ ดังนี้

            1. แสวงหาพระเจ้า

            หลักข้อแรกและสำคัญที่สุดคือ แสวงหาพระเจ้า

            ผลดีของการแสวงหามีมากมาย เช่น รับกำลัง รับความช่วยเหลือ การทรงนำ ชีวิตที่มีพระวิญญาณเป็นพระผู้ช่วย

            คนที่ไม่แสวงหาพระเจ้า อาจกำลังปฏิบัติแบบนับถือศาสนา แค่ทำตามคำสอน ขาดความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์

               2. อยู่ในชุมชน

            การอยู่ในชุมชนผู้เชื่อศรัทธาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

            การอยู่ในชุมชนสมัยพระคัมภีร์เดิม – เริ่มต้นแต่ที่พระเจ้าทรงเลือก และสร้างชนชาติอิสราเอล

            การอยู่ในชุมชนสมัยพระคัมภีร์ใหม่ – ชุมชนคริสเตียน เป็นชุมชนของผู้เชื่อศรัทธาพระเยซูคริสต์

            การอยู่ในชุมชนทำให้ได้รับการปกคลุมฝ่ายวิญญาณ ได้รับการเสริมสร้าง ร่วมรับใช้ ขัดเกลาและดูแลกันและกัน

            เหมือนทารกที่ต้องมีพ่อแม่ดูแลจนเติบใหญ่ ในที่สุดเด็กกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องเลือกและตัดสินใจด้วยตัวเอง

            การตัดสินใจรับเชื่อพระเจ้า คือการตัดสินใจสำคัญครั้งแรกด้วยตัวเอง พ่อแม่หรือใครล้วนทำแทนไม่ได้

            คริสเตียนที่สามารถรักษาความรอด (ได้รับความรอดจริงๆ ไม่ทิ้งความเชื่อกลางทาง) ต้องตัดสินใจเลือกติดตามพระองค์ด้วยตัวเอง ด้วยความเต็มใจ พี่น้องคริสเตียนทำได้แค่ช่วยเสริม ให้ความเข้าใจ

            พระเจ้าต้องการผู้เชื่อศรัทธาแท้ ไม่ใช่เชื่อพระเจ้าแบบงงๆ ตามๆ กันไป ทรงต้องการคริสเตียนที่ยึดคำสอนด้วยความเข้าใจและเต็มใจ

            หากไม่รักศรัทธาจริง สุดท้ายอาจหลุดจากความเชื่อ

            ตัวอย่าง คนอิสราเอลในพระคัมภีร์เดิมอยู่ในชุมชน มีโครงสร้างเข้มงวด มีกฎเกณฑ์มากมาย แต่โครงสร้างกับบัญญัติคำสอนช่วยเขาไม่ได้ พวกเขาเลือกที่จะทำบาป บางครั้งร่วมกันทำบาปทั้งชุมชน

            จึงเป็นคำถามว่าชุมชนที่ดีควรเป็นอย่างไร นำคนให้ใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น หรือแค่พยายามให้อยู่ในกรอบระเบียบ ไปโบสถ์เพราะเป็นวัฒนธรรม ทำตามประเพณี

            จริงหรือไม่ ที่หลายคนทั่วโลกเพียงแค่นับถือศาสนาคริสต์

            คริสเตียนไม่ใช่คนที่ดีพร้อม น้ำพระทัยพระเจ้าคือให้เขาเติบโตสู่ความไพบูลย์ ซึ่งต้องใช้เวลา บางคนหลงหาย เกิดผลมากน้อยต่างกัน

            คำสอนดิน 4 ประเภท (มก.4:14-20) ให้ความเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่เกิดผล และการเกิดผลมีมากน้อยต่างกัน คริสเตียนผู้เชื่อได้แต่พยายามเต็มที่

               3. ทำตามน้ำพระทัย

            พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งด้วยความตั้งใจ มีพระประสงค์หรือเป้าหมายในทุกสิ่ง

            พระประสงค์หรือเป้าหมาย สามารถแยกหลายระดับ ทั้งแบบกว้างกับแบบเจาะจง

            แบบกว้างคือ ปฐมบัญชากับมหาบัญชา เป็นกรอบและเป็นทิศทางหลัก

            แบบเจาะจง ตั้งแต่ระดับชุมชน ไล่ลงมาจนถึงระดับการทรงเรียกส่วนตัว

            พระเจ้าสร้างและนำคริสตจักร ทั้งแบบชุมชนกับแบบบุคคล ให้แต่ละคริสตจักรมีเป้าหมายเฉพาะ (คริสเตียนแต่ละคนคือ 1 คริสตจักร)

            ทรงทำงานผ่านทุกคริสตจักร (ทั้งระดับชุมชนกับบุคคล)

            แผนงานของพระเจ้าล้ำลึกและซับซ้อน ไม่สามารถเข้าใจทั้งหมด สุดท้ายน้ำพระทัยจะสำเร็จทุกประการ เพราะทรงนำและทำให้สำเร็จด้วยตัวเอง ทรงกำหนดไว้แล้ว ชุมชนผู้เชื่อกับคริสเตียนเป็นเครื่องมือหรือกลไกของพระองค์ แม้พวกเขาไม่สมบูรณ์

            สรุป แท้จริงแล้วพระองค์ทรงกำหนดทุกอย่างไว้แล้ว (ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต) สิ่งที่คริสเตียนผู้เชื่อทำได้คือแสวงหาพระเจ้า เพื่อจะพยายามทำส่วนของตนให้ดีที่สุด

-----------------

บทความแนะนำ

บทเรียน 21 พระเจ้าผิดหรือไม่หากคนมีอายุมากกว่า 120 ปี

พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์จะมีอายุไม่เกิน 120 ปี พระเจ้าผิดหรือไม่หากคนมีอายุมากกว่านั้น ทรงกำหนดและควบคุมสรรพสิ่ง คำถามก่อนเรียน:            ...