โยบเป็นพระธรรมที่บรรจุศาสนศาสตร์สำคัญ อธิบายความเป็นพระเจ้า พระลักษณะ ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับผู้เชื่อ เตือนอย่าทำบาป
คำถามก่อนเรียน:
            1)
ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่าพระเจ้าควบคุมกำกับสรรพสิ่ง รวมทั้งชีวิตของท่าน
            2)
การที่พระเจ้าควบคุมกำกับสรรพสิ่งดีต่อคริสเตียนอย่างไร
            หลังพระเจ้าสอนและเตือนสติในโยบบทที่
38-39 ทรงอธิบายย้ำอีกครั้งในโยบ.40:8 จนจบโยบ.41 (โยบบทที่ 40-41 คือส่วนที่พระองค์อธิบายเพิ่มเติมหลังอธิบายรอบหนึ่งแล้วในโยบบทที่ 38-39)
การที่พระเจ้าบรรยายพระลักษณะด้วยพระองค์เองสำคัญมาก
เพราะเป็นคำพูดของพระองค์
1. รับผิดไม่โต้แย้ง
โยบ.40:1-5 
1 และพระเจ้าตรัสกับโยบว่า
2 "คนมักติจะโต้แย้งกับองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือ
เขาผู้โต้แย้งกับพระเจ้า ขอให้เขาตอบหน่อยเถอะ"
“Will the one who contends with the Almighty correct him?
Let him who accuses God answer him!”
3 แล้วโยบทูลตอบพระเจ้าว่า 
4 "ดูเถิด ข้าพระองค์นี้ก็กระจิริด
จะทูลพระองค์ว่ากระไรได้ ข้าพระองค์เอามือปิดปาก
5 ข้าพระองค์ได้กราบทูลครั้งหนึ่งแล้ว
และจะไม่กราบทูลอีก สองครั้งแล้ว แต่ข้าพระองค์จะไม่ทูลต่อไป"
            หลังพระเจ้าอธิบายการทรงสร้างและความเป็นไปของโลกอันซับซ้อน (ในโยบบทที่
38-39) จึงพูดกับโยบว่า "คนมักติจะโต้แย้งกับองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือ เขาผู้โต้แย้งกับพระเจ้า
ขอให้เขาตอบหน่อยเถอะ" ทรงพูดเช่นนี้เพื่อเตือนสติและเปิดโอกาสให้โต้แย้ง เมื่อถึงตอนนี้โยบยอมรับคำตอบของพระองค์
ตระหนักว่าตัวเขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น เมื่อเทียบกับสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง
(4ก) ไม่อาจเทียบกับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้เลย เมื่อสอบถามและได้คำตอบ เขาไม่โต้แย้งอีก
คำตอบของพระองค์เป็นที่สิ้นสุด
          อธิบายขยายความ:
ความจริงแล้วคำอธิบายที่เอลีฮูมอบให้ไม่ต่างจากพระเจ้าเท่าไหร่
แต่ที่โยบรับผิดไม่โต้แย้งเพราะคราวนี้ทรงสำแดงตน ตรัสด้วยพระองค์เอง ไม่ว่าจะเข้าใจทั้งหมดหรือไม่
ชอบหรือไม่ โยบน้อมรับทั้งสิ้น แสดงถึงการยอมรับสิทธิอำนาจ (4)
            หลักสำคัญคือ ไม่ขึ้นกับว่าโยบเข้าใจคำตอบทั้งสิ้นหรือไม่ พอใจคำตอบหรือไม่
รวมทั้งที่โยบต้องทนทุกข์ สำคัญที่พระเจ้าทรงสิทธิอำนาจสูงสุด
พระองค์จะทำอะไรก็ได้ เป็นเอกสิทธิ์ 
            โยบเป็นกรณีพิเศษที่พระเจ้าสำแดงตน
ตอบคำถามด้วยพระองค์เอง เรื่องราวโยบกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ให้ผู้เชื่อศรัทธาศึกษา
เข้าใจความคิดอ่าน พระลักษณะ พระประสงค์ นำสู่คำตอบที่หลายคนอาจสงสัยแบบโยบ ว่าทำไมจึงเกิดเรื่องนี้เรื่องนั้นกับตน
ไม่พอใจสภาพแวดล้อมกับตัวตนที่เป็นอยู่ 
            พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีความรู้สึกนึกคิด
การมีความคิดความรู้สึกแบบโยบจึงไม่แปลก แต่ที่สุดแล้วต้องพาตัวเองสู่ความเข้าใจที่ถูกต้อง
ยอมรับพระองค์ในทุกทางไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่ ดังที่โยบถ่อมใจยอบรับ 
            ตรงข้ามคือยังต่อสู้ดื้อดึง
ไม่ยอมรับน้ำพระทัย วนเวียนอยู่ในบาป นำชีวิตเศร้าหมอง ไม่ก่อประโยชน์ใดๆ 
            ท่ามกลางความสงสัยไม่เข้าใจ พระเจ้าสอนให้วางใจพระองค์
ยึดมั่นดำเนินตามทางแห่งความบริสุทธิ์ชอบธรรม
คนที่ตั้งใจเช่นนี้พระองค์จะนำย่างเท้าของเขา (สภษ.3:4) ไม่ว่าเขาจะเข้าใจแผนการพระองค์หรือไม่
สภษ.3:3-5
3 จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า
และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง
4 จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า
และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น
5 อย่าคิดว่าตนฉลาด จงยำเกรงพระเจ้า
และหันจากความชั่วร้าย
            ต้องเชื่อมั่นว่าการติดตามพระเจ้าอย่างมั่นคง นำผลลัพธ์ปลายทางที่ดีที่สุด
ไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้แล้ว
            คริสเตียนผู้เชื่อที่ยอมรับผิด
หันหลังให้บาป ย่อมรับผลบาปน้อยลง รับผลดีเร็วขึ้นมากขึ้น เป็นเรื่องที่ใครจะตอบสนองถูกต้องก่อน
โยบตอบสนองในทางที่ถูกทันที
            คำถาม: ท่านตอบสนองในทางที่ถูกต้องแล้วหรือยัง
2. จงเผชิญหน้าสัจธรรม
โยบ.40:6-7 
6 แล้วพระเจ้าทรงตอบโยบออกมาจากพายุว่า
7 "จงคาดเอวไว้อย่างลูกผู้ชายหน่อยซี
เราจะถามเจ้า ขอเจ้าตอบเรา
“Brace yourself like a man; I will question you, and you
shall answer me. (NIV)
Now prepare yourself like a man; I will question you, and
you shall answer Me: (NKJV)
"Now gird up your loins like a man; I will ask you, and
you instruct Me. (NASB)
          รากศัพท์ “คาดเอว” (7ก) หมายถึงการกระชับร่างกายด้วยสายรัดคาดเอว อาจเป็นสายที่ทำด้วยผ้าหรือหนังสัตว์
(ทำหน้าที่เป็นเข็มขัด) พระคัมภีร์ NASB ยึดรากศัพท์เดิมนี้
(gird up your loins) 
            ส่วน
NIV กับ NKJV แปลด้วยการตีความ เตรียมตัวให้พร้อมอย่างลูกผู้ชาย
พร้อมเผชิญหน้า เป็นคำแปลที่เน้นความหมายมากกว่าคำศัพท์ 
          อธิบายขยายความ:
บางคนไม่อยากฟังพระวจนะเพราะเตือนให้รู้ว่ากำลังทำบาป สัจธรรมทิ่มแทงใจ
ขัดความต้องการทำบาป คริสเตียนบางคนจึงไม่สนใจพระวจนะ ฟังพอเป็นพิธี มักสนใจแต่พระพร
ชอบขอให้ผู้อื่นอธิษฐานเผื่อ แต่ตัวเองไม่สนใจแสวงหาพระเจ้า
ไม่อยากเปลี่ยนแปลงชีวิต
ฮบ.4:12 เพราะว่า
พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ
คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆแทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก
และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย
            คนทั่วไปต่อต้านไม่ยอมรับ
แสดงออกหลายรูปแบบ เช่น ตั้งคำถามว่าพระเจ้ามีจริงหรือ หาความคิดปรัชญาหักล้าง
เหตุที่บางคนสงสัยว่าพระเจ้ามีจริงหรือ ไม่ใช่เพราะสงสัยเรื่องนี้ แต่เป็นข้ออ้างเพื่อปฏิเสธพระองค์
อยากใช้ชีวิตตามใจชอบ 
            บางคนที่โต้เถียงไม่ได้จึงเดินจากไปเฉยๆ
ไม่อยากเข้าหาคริสเตียน กลัวต้องรับฟังพระวจนะที่จี้ใจดำอีก ฟังเทศนาคำสอนทีไรมีแต่เรื่องฟ้องผิด
จิตสำนึกเปิดโปงความบาปของตัว
2ทธ.4:3-4 
3 เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่มีหลักไม่ได้
แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟัง เพื่อบรรเทาความอยาก
4 เขาจะเลิกฟังความจริง
และจะหันไปฟังเรื่องนิยายต่างๆ 
            หลังการถามตอบในโยบ.40:1-5 พระเจ้าอธิบายย้ำอีกครั้งในโยบ.40:8 จนจบโยบ.41
(โยบบทที่ 40-41 คือส่วนที่พระองค์พูดย้ำและเพิ่มเติม หลังอธิบายรอบหนึ่งแล้วในโยบบทที่
38-39)
            ต่อจากนี้คือพระวจนะพระเจ้าอีกรอบ
ไม่ว่าฟังรื่นหูหรือไม่ จี้ใจดำหรือไม่ ทรงตรัสสัจธรรมความจริง
3. พระลักษณะพระเจ้า
โยบ.40:8-14
            พระองค์กล่าวย้ำพระลักษณะอีกครั้ง
3.1 ทรงถูกต้องชอบธรรม
โยบ.40:8 เจ้ายังจะให้เราอยู่ฝ่ายผิดหรือ
เจ้าจะหาว่าเราผิด เพื่อเจ้าจะเป็นฝ่ายชอบหรือ
“Would you discredit my justice? Would you condemn me to
justify yourself?
            พระเจ้าเข้าเรื่องตรงประเด็นทันที
เรื่องที่โยบสงสัยการตัดสินของพระองค์ ให้โยบรับทุกข์แสนสาหัส
โดยไม่เข้าใจว่าทำผิดอะไร ทำไมต้องรับโทษหนักขนาดนั้น
            คำตอบของพระเจ้าคือ
ทรงถูกต้องชอบธรรม พระองค์จะไม่กระทำการใดๆ ที่ขัดแย้งความชอบธรรม และไม่เคยผิดพลาด
            พระองค์ทำได้ทุกอย่าง ประสงค์สิ่งใดก็เกิดสิ่งนั้น
โยบเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ทรงสร้างท่ามกลางมนุษย์นับล้าน เป็นสิ่งเล็กๆ ที่อายุสั้นท่ามกลางสรรพสิ่งในช่วงเวลาแสนยาวนาน
ที่โยบเกิดและมีชีวิตจนบัดนี้ก็เพราะประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น
            ทรงถูกต้องชอบธรรมเสมอ แต่มนุษย์อาจยังไม่เข้าใจเรื่องที่สงสัย
หรือไม่ยอมรับ
            อธิบายขยายความ: บางคนยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง คิดว่าตัวเองสมควรมีความสุข ประสบความสำเร็จ
มีชีวิตหลังความตายที่ดี (ตามความต้องการผู้นั้น) ความคิดเช่นนี้ผิด
ที่ถูกต้องคือทรงประสงค์สิ่งใดก็เป็นเช่นนั้น
แม้กระทั่งหลายคนที่เกิดมาเพื่อถูกทำลาย 
สภษ.16:4 พระเจ้าทรงกระทำให้ทุกสิ่งมีเป้าหมายของมันแม้คนชั่วร้ายก็เพื่อวันลำเค็ญ
            พระเจ้าไม่สนับสนุนการทำบาป และรู้ว่ามีคนทำบาป 
            ยกตัวอย่าง
พระเจ้าสั่งห้ามอาดัมทำบาป เตือนว่าผลบาปร้ายแรง-ถึงตาย แต่ทรงรู้ว่าอาดัมจะทำบาป
ส่งผลต่อมนุษยชาติ มนุษย์คนบาปทำร้ายกันและกัน กดขี่ข่มเหง เกิดสงคราม
ความทุกข์ยากนานา เรื่องนี้กลายเป็นส่วนหนี่งของแผนช่วยกู้ บางคนได้รับความรอด
            มนุษย์โต้แย้งพระประสงค์ได้หรือ ความจริงมนุษย์ไม่มีสิทธิ์ในตัวเองด้วยซ้ำ
            มนุษย์คิดได้
มีความต้องการส่วนตัว แต่สุดท้ายจะเป็นตามที่พระเจ้าต้องการ ถ้าทำบาปต้องรับโทษ 
รม.11:36 เพราะสิ่งสารพัดมาจากพระองค์
โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ ขอพระสิริจงมีแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน 
            หลายครั้งที่มนุษย์ขัดแย้งพระเจ้าเพราะไม่เข้าใจความชอบธรรมของพระองค์
สิ่งที่มนุษย์คิดว่าชอบธรรม (ควรเป็นเช่นนั้น) เช่น ตัวเองสมควรมีความสุข
ประสบความสำเร็จ มีชีวิตหลังความตายที่ดี ความจริงแล้วอาจตรงข้ามกับความคิดของพระเจ้า
            ใครที่คิดว่าตนเป็นใหญ่
คิดเช่นนี้ก็ผิดแล้ว พระเจ้าต่างหากที่ยิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง
มนุษย์อยู่ภายใต้การกำกับควบคุมของพระองค์ ดังชีวิตโยบในตอนนี้ 
            สิ่งที่ถูกสร้างไม่อาจขัดขวางผู้สร้าง ทรงชอบธรรมเสมอ 
3.2 ทรงฤทธานุภาพสูงสุด
โยบ.40:9 เจ้ามีแขนเหมือนพระเจ้าหรือ
และเจ้าทำเสียงกัมปนาทเหมือนเสียงของพระองค์ได้หรือ
            ทรงสอนด้วยการตั้งคำถามให้คิด เปรียบเทียบโยบกับพระองค์ มนุษย์มีฤทธานุภาพอย่างพระองค์หรือไม่
เพื่อให้ตระหนักว่าทรงเหนือกว่ามนุษย์มากมาย เทียบพระองค์ไม่ได้เลย
            อธิบายขยายความ: พระเจ้ามีฤทธานุภาพไม่จำกัด (omnipotence) หมายถึง ทำได้ทุกสิ่ง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ เป็นเครื่องบ่งบอกว่าเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้
องค์ผู้สูงสุด ทรงทำได้ ไม่มีใครสามารถขัดขวาง
1พศด.29:11 ข้าแต่พระเจ้า ความยิ่งใหญ่
ฤทธานุภาพ พระสิริ ชัยชนะและความโอ่อ่าตระการเป็นของพระองค์
และบรรดาสิ่งที่มีอยู่ในฟ้าสวรรค์ และในแผ่นดินโลกเป็นของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า
ราชอาณาจักรเป็นของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นที่ยกย่อง เป็นจอมของสิ่งสารพัด
Yours, LORD, is the greatness and the power and the glory
and the majesty and the splendor, for everything in heaven and earth is yours.
Yours, LORD, is the kingdom; you are exalted as head over all.
วว.1:8 พระเจ้าผู้ทรงอยู่เดี๋ยวนี้ ผู้ได้ทรงเป็นอยู่ในกาลก่อน ผู้จะเสด็จมานั้น
และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ได้ตรัสว่า "เราเป็นอัลฟาและโอเมกา" 
รม.1:20 ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น
คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์
ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง
ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย
            อย่าขัดขวางต่อต้านถ้าไม่เป็นเหมือนพระองค์
3.3 ทรงสง่าราศี
โยบ.40:10 "จงเอาความโอ่อ่าตระการและความสง่าผ่าเผยประดับตัว
จงเอาศักดิ์ศรีและความสง่างามห่มตัว
Then adorn yourself with glory and splendor, and clothe
yourself in honor and majesty.
            ทรงโอ่อ่าตระการเต็มด้วยสง่าราศีเป็นองค์จอมราชา 
            พระองค์พูดเช่นนี้เพื่อให้โยบ
(มนุษย์) สำรวจว่าเต็มด้วยพระสิริอย่างพระองค์หรือไม่
            โยบ.40:10
พระเจ้าตั้งใจใช้ศัพท์หลายคำพร้อมกัน เพื่อบรรยายพระสิริ สง่าราศี
เกียรติยศ (glory, splendor, honor, majesty) ตั้งใจบรรยายละเอียด
ให้มนุษย์เข้าถึงความเป็นพระองค์ สง่าราศีของพระองค์เกินกว่ามนุษย์จะเข้าถึงโดยสมบูรณ์
ไม่มีใครเทียบได้แม้แต่น้อย 
            บางคนที่คิดว่าตนยิ่งใหญ่
สูงส่ง มีเกียรติยศ เป็นเพียงเศษเสี้ยวและไม่ยั่งยืน เมื่อเทียบกับพระองค์ 
            1ทธ.1:17 เป็นตัวอย่างอีกข้อ ที่บรรยายพระสิริ
สง่าราศีของพระเจ้าพระเยซู
1ทธ.1:17 พระเกียรติและพระสิริจงมีแด่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระเจริญอยู่นิรันดร์
ผู้ทรงเป็นองค์อมตะ ซึ่งมิได้ปรากฏพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียวสืบๆ ไปเป็นนิตย์
อาเมน
Now to the King eternal, immortal, invisible, the only God,
be honor and glory for ever and ever. Amen.
14 ให้ท่านรักษาคำบัญชานี้ไว้อย่าให้ด่างพร้อย
และอย่าให้มีที่ติได้ จนถึงเวลาที่พระเยซูคริสตเจ้าของเราจะเสด็จมา
15 ซึ่งพระเจ้าผู้เสวยสุขและทรงฤทธิ์สูงสุดแต่พระองค์เดียว
พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และพระผู้เป็นเจ้าเหนือเทพเจ้าทั้งปวง
จะทรงสำแดงให้ปรากฏในเวลาอันควร
16 พระองค์ผู้เดียวทรงอมตะ
และทรงสถิตในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง ผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็น
และจะเห็นไม่ได้ พระเกียรติและฤทธานุภาพอันถาวรจงมีแด่พระองค์นั้น อาเมน
            อธิบายขยายความ: พระสิริหรือสง่าราศีสะท้อนความเป็นพระเจ้า
มนุษย์สามารถตกแต่งประดับประดาให้ตัวเองดูดีมีสง่า มียศถาบรรดาศักดิ์
เป็นที่ยกย่อง แต่ไม่ใช่พระสิริอย่างพระเจ้า เพราะเป็นพระสิริอันเนื่องจากความบริสุทธิ์ชอบธรรม
ผู้ทรงเป็นองค์อมตะ
            คริสเตียนสามารถสำแดงพระสิริบางส่วน
ด้วยการที่พระเจ้าสำแดงพระสิริผ่านผู้เชื่อแต่ละคนอย่างเจาะจง และด้วยชีวิตที่เปลี่ยนเป็นเหมือนพระคริสต์
(รม.13:14ก) 
รม.13:13-14
13 เราจงประพฤติตัวให้เหมาะสมกับเวลากลางวัน
มิใช่เลี้ยงเสพสุราเมามาย มิใช่หยาบโลนลามก มิใช่วิวาทริษยากัน
14 แต่ท่านจงประดับกายด้วยพระเยซูคริสตเจ้า
และอย่าจัดเตรียมอะไรไว้บำรุงบำเรอตัณหาของเนื้อหนัง
1ปต.3:3-4
3 การประดับกายของท่านนั้น
อย่าให้เป็นการประดับภายนอก ด้วยการถักผม
ประดับด้วยเครื่องทองคำและนุ่งห่มเสื้อผ้าสวยงาม
4 แต่จงให้เป็นการประดับภายในจิตใจ
แต่งด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลาย คือด้วยจิตใจที่สงบและสุภาพ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่งในสายพระเนตรพระเจ้า
            พระสิริของพระเจ้าจึงต่างจากชื่อเสียงเกียรติยศฝ่ายโลก
การประดับกายของคนทั่วไป
คริสเตียนสำแดงพระสิริด้วยชีวิตที่เปลี่ยนแปลงเหมือนพระคริสต์
3.4 ทรงควบคุมทุกอำนาจ
โยบ.40:11-12
11 เทความกริ้วที่ล้นของเจ้านั้นออกมา
จงดูทุกคนที่เย่อหยิ่ง และทำให้เขาตกต่ำลง
12 จงดูทุกคนที่เย่อหยิ่งและดึงเขาลงมา
และเหยียบคนอธรรมไว้ตรงที่ที่เขายืนอยู่นั้น
            บริบทพูดถึงพระเจ้าทรงจัดการคนเย่อหยิ่ง
คนที่คิดว่าเลอเลิศ มีอำนาจมาก แต่ไม่มีใครเหนือกว่าพระองค์ เพราะทรงสร้างทุกอำนาจและควบคุมสรรพสิ่ง
กำกับทุกความเป็นไป สรรพสิ่งทั้งหมดจึงกำเนิด ดำรงอยู่ เคลื่อนไป และสิ้นสุดตามพระทัย
อสย.2:11-12
11 และท่าอันผยองของมนุษย์จะตกต่ำลง
และความจองหองของคนจะถูกปราบลง พระเจ้าองค์เดียวจะเป็นผู้เทิดทูน ในวันนั้น
12 เพราะว่าพระเจ้าจอมโยธาทรงมีวันหนึ่ง
ที่สู้สารพัดที่เย่อหยิ่งและสูงส่ง ที่สู้สารพัดที่ถูกยกขึ้นและสูง
รม.13:1-2
1 ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอำนาจปกครอง
เพราะว่าไม่มีอำนาจใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่ทรงอำนาจนั้น
พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น
2 เหตุฉะนั้นผู้ที่ขัดขืนอำนาจนั้น
ก็ขัดขืนผู้ซึ่งพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น และผู้ที่ขัดขืนนั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ
            “ไม่มีอำนาจใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้า” มีใครทำได้อย่างพระองค์
            เพื่อบางคนรับพระเมตตา
และบางคนรับพระอาชญา ทรงกำหนดให้เป็นเช่นนั้น
รม.6:20-23 
20 เมื่อท่านทั้งหลายเป็นทาสของบาป
ความชอบธรรมก็ไม่ได้ครอบครองท่าน
21 ขณะนั้นท่านได้ประโยชน์อะไรในการเหล่านั้น
ซึ่งบัดนี้ท่านทั้งหลายก็ละอาย ด้วยว่าผลสุดท้ายของการเหล่านั้น ก็คือความตาย
22 แต่เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายพ้นจากการเป็นทาสของบาป
และกลับมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว ผลสนองที่ท่านได้รับก็คือการชำระให้บริสุทธิ์
และผลสุดท้ายคือชีวิตนิรันดร์
23 เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย
แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 
3.5 ทรงพิพากษาให้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก
โยบ.40:13-14 
13 ซ่อนเขาไว้ในผงคลีด้วยกัน
มัดหน้าของเขาไว้ด้วยกันในโลกบาดาล
14 แล้วเราเองจะสรรเสริญเจ้าว่า
มือขวาของเจ้าอาจช่วยเจ้าได้
            ในโลกนี้ทุกคนอยู่ใต้อำนาจใครบางคนหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอ
            เมื่อเกิดต้องไปแจ้งเกิด
ทำบัตรประชาชนเมื่ออายุถึงเกณฑ์ ระหว่างมีชีวิตอยู่ใต้อำนาจกฎหมายมากมายทั้งทางตรงทางอ้อม
รัฐบาลหรือผู้ปกครองมีผลต่อเราทุกด้านทุกเวลา บ้านที่เราอยู่อาศัยมีกฎหมายในนั้น
เช่นเดียวกับสิ่งที่กิน ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ มีอำนาจรัฐเกี่ยวข้อง
เป็นเช่นนี้จนถึงวันตาย และเมื่อเสียชีวิตต้องมีคนช่วยแจ้งตาย
            ดินฟ้าอากาศมีผลต่อทุกชีวิต
เมื่อวานฝนตกวันนี้แดดร้อน คนเมืองหนาวใช้ชีวิตต่างจากคนเขตร้อน 
            ไม่ว่าจะชอบหรือไม่
มนุษย์ทุกคนอยู่ใต้อำนาจสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอ 
            แต่อำนาจฝ่ายโลกอยู่กับเรายามมีชีวิตเท่านั้น
ชีวิตในโลกชั่วคราว ไม่ยั่งยืน ที่ถาวรนิรันดร์คือผลพิพากษาว่าจะได้อยู่กับพระเจ้านิรันดร์หรือไม่
สดด.39:4-7
4 "ข้าแต่พระเจ้า
ขอให้ข้าพระองค์ทราบถึงบั้นปลายของข้าพระองค์
และวันเวลาของข้าพระองค์จะนานสักเท่าใด
ขอให้ข้าพระองค์ทราบว่าชีวิตข้าพระองค์ไม่เที่ยงอย่างไร
5 ดูเถิด
พระองค์ทรงกระทำให้วันเวลาของข้าพระองค์ยาวสองสามฝ่ามือเท่านั้น
ชั่วชีวิตของข้าพระองค์ ไม่เท่าไรเลย เฉพาะพระพักตร์พระองค์
มนุษย์ทุกคนดำรงอยู่อย่างลมหายใจแน่ทีเดียว
6 มนุษย์ไปๆ มาๆ อย่างเงาแน่ทีเดียว
เขาทั้งหลายยุ่งอยู่เปล่าๆ แน่ทีเดียว มนุษย์โกยกองไว้
และไม่ทราบว่าใครจะเก็บไป"
7 "ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
บัดนี้ข้าพระองค์จะรอคอยอะไร ความหวังของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์
            ใครต้องการความสำเร็จที่ยั่งยืน ใครต้องการความสุขนิรันดร์
สดด.14:2
พระเจ้าทรงมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ดูลูกหลานของมนุษย์
ว่าจะมีคนใดบ้างที่ฉลาดที่เสาะแสวงหาพระเจ้า 
The LORD looks down from heaven on all mankind to see if
there are any who understand, any who seek God.
รม.3:10-18
10 ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า
“ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย 
11 ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า
12 เขาทุกคนหลงผิดไปหมด
เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี ไม่มีเลย
13 ลำคอของเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่
เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง พิษงูร้ายอยู่ใต้ริมฝีปากของเขา 
14 ปากของเขาเต็มไปด้วยคำแช่งด่าและคำเผ็ดร้อน 
15 เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด 
16 ในทางเดินของเขามีความพินาศและความทุกข์
17 และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข
18 เขาไม่เคยคิดที่จะยำเกรงพระเจ้าเลย
สันติสุขแท้มีอยู่ในพระเจ้าเท่านั้น
4. พระผู้สร้างและกำกับรอบด้าน
            ในตอนนี้พระเจ้ายกสัตว์ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าเบเฮโมทเป็นตัวอย่าง
อธิบายการทรงสร้าง การดูแล เหมือนกับที่ปฏิบัติต่อมนุษย์
4.1 ทรงสร้างมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ (15ก)
โยบ.40:15 "ดู เบเฮโมทเถิด
ซึ่งเราได้สร้างอย่างที่เราได้สร้างเจ้า มันกินหญ้าเหมือนวัว
“Look at Behemoth, which I made
along with you and which feeds on grass like an ox.
            มนุษย์มาจากพระเจ้า ทรงสร้างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เบเฮโมท (Behemoth) เป็นสัตว์ในพระคัมภีร์ชนิดหนึ่ง
มีลักษณะบางอย่างคล้ายวัว 
            ทรงใช้เบเฮโมทอธิบายเปรียบเทียบกับมนุษย์
4.2 ทรงสร้างอาหาร (15ข)
            สิ่งมีชีวิตต้องการอาหาร
ทรงกำหนดและสร้างอาหารให้พวกเขา 
            ในที่นี้พูดถึงการสร้างหญ้าเพื่อเบเฮโมท
          อธิบายขยายความ: มนุษย์ปลูกข้าว เตรียมปุ๋ย สร้างระบบชลประทาน ปรับปรุงพันธุ์สัตว์ คิดค้นเทคโนโลยีการเกษตรใหม่
            มนุษย์วิจัยพันธุ์ข้าวใหม่
ได้วัวเนื้อคุณภาพ แต่มนุษย์ไม่สามารถคิดค้นสร้างต้นข้าว คิดค้นสร้างสัตว์แต่ละชนิดอย่างพระเจ้า
ผู้ริเริ่มคิดสร้างตั้งแต่แรก เริ่มจากศูนย์ เบเฮโมทที่กำลังกล่าวถึงสะท้อนหลักผู้ริเริ่มสร้างจากศูนย์
            เมื่อพระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน แต่แรกไม่มีสิ่งใดเลย ทรงคิดสร้างสรรพสิ่งจากศูนย์
สิ่งทรงสร้างมีองค์ประกอบ มีรายละเอียด และทำงานอย่างสอดคล้อง
เป็นระบบนิเวศที่ซับซ้อนใหญ่โต
ปฐก.1:1-3, 11-12
1 ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน
In the beginning God created the heavens and the earth.
(NIV, NKJV และ NASB)
2 แผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ
และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น
3 พระเจ้าตรัสว่า "จงเกิดความสว่าง"
ความสว่างก็เกิดขึ้น
11 พระเจ้าตรัสว่า "แผ่นดินจงเกิดพืช คือ
ผักหญ้าที่มีเมล็ดและต้นไม้ที่ออกผล มีเมล็ดในผลตามชนิดของมันบนแผ่นดิน"
ก็เป็นดังนั้น
12 แผ่นดินก็เกิดพืช
คือผักหญ้าที่มีเมล็ดตามชนิดของมัน และต้นไม้ที่ออกผลมีเมล็ดในผลตามชนิดของมัน
พระเจ้าทรงเห็นว่าดี
            ตั้งแต่โบราณกาลจวบจนทุกวันนี้ มนุษย์ยังคงพยายามทำความเข้าใจ
เรียนรู้สิ่งทรงสร้างต่างๆ 
4.3 ทรงสร้างให้มีร่างกายอย่างที่เป็น (16-19)
โยบ.40:16-18
16 ดูเถิด กำลังของมันอยู่ในเอว
และฤทธิ์ของมันอยู่ในกล้ามเนื้อท้อง
17 มันขยับหางของมันให้แข็งเหมือนไม้สนสีดาร์
เอ็นโคนขาของมันก็สานเข้าด้วยกัน
18 กระดูกของมันเหมือนท่อทองสัมฤทธิ์
และแข้งขาของมันเหมือนท่อนเหล็ก
            ในตอนนี้พูดรายละเอียดร่างกายเบเฮโมท
ทรงกำหนดรายละเอียดให้สรรพสิ่ง 
            พิจารณามนุษย์
ถ้าดูรวมๆ ร่างกายมนุษย์คล้ายสิ่งมีชีวิตอื่นที่มีแขนขา มีหูตาจมูก มีระบบประสาท
ระบบย่อยอาหาร แต่รายละเอียดต่างจากสัตว์อื่นที่ใกล้เคียงมากที่สุด 
            มนุษย์กับสิ่งมีชีวิตอื่นอาจมีร่างกายอวัยวะคล้ายกันบ้าง
แต่ไม่เหมือนกันทีเดียว
            พระเจ้าตั้งใจสร้างมนุษย์
(อาดัม) ให้เป็นอย่างที่เป็น มีพระฉายาเหมือนพระองค์ (his own image)
ปฐก.1:27 พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์
ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น
และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง
So God created mankind in his own
image, in the image of God he created them; male and female he created
them.
ปฐก.2:7
พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต
Then the LORD God formed a man from the dust of the ground
and breathed into his nostrils the breath of life, and the man became a living
being.
            การสร้างตามพระฉายากับการระบายลมปราณเข้ามนุษย์
ทำให้มนุษย์เป็นสิ่งทรงสร้างพิเศษเหนือสิ่งอื่นๆ (ลมปราณคือจิตวิญญาณ) 
4.4 ให้พลังอำนาจ (19)
โยบ.40:19 "มันเป็นพระราชกิจชิ้นที่หนึ่งของพระเจ้า
ผู้ทรงสร้างมันนำดาบมาให้
            สิ่งมีชีวิตมีพลังอำนาจต่างกัน
บางชนิดเป็นนักล่า สุนัขมีจ่าฝูง บางตัวแข็งแรงกว่า 
            พระเจ้ากำหนดให้โลกมีระบอบปกครอง
แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติมีระบบนิเวศน์ ที่มีผู้ทำหน้าที่แตกต่างกัน
มีนักล่า ผู้ถูกล่าและผู้ย่อยสลายซาก
            มนุษย์มีสติปัญญาเหนือกว่า
ทรงกำหนดให้ปกครองโลก
            พระเจ้ากำหนดให้มนุษย์ปกครองโลก
หมายถึงทรงให้ปกครองโลกตามพระประสงค์ ตามแบบพระองค์ ดังเช่นให้อาดัมอยู่และดูแลสวนเอเดน
ปฐก.2:8-9,15
8 พระเจ้าทรงปลูกสวนแห่งหนึ่งไว้ที่เอเดน
ทางทิศตะวันออก และให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงปั้นมานั้นอยู่ที่นั่น
9 แล้วพระเจ้าทรงให้ต้นไม้ทุกชนิดที่งามน่าดูและที่น่ากิน
เป็นอาหารงอกขึ้นจากดิน มีต้นไม้แห่งชีวิตต้นหนึ่งอยู่ท่ามกลางสวนนั้น
กับต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่วต้นหนึ่งด้วย
15 พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวนเอเดน
ให้ทำและรักษาสวน
            ทรงกำหนด
“ให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและรักษาสวน”
4.5 ทรงกำหนดวิถีชีวิต (20-24)
            พระเจ้าทรงสร้างอย่างสมบูรณ์
การที่ชีวิตอยู่ได้ ต้องอาศัยปัจจัยมากมาย มีอากาศ มีแสงแดด อาหารนานาชนิด
ระบบนิเวศซับซ้อน สัตว์กับพืชแต่ละชนิดมีคุณลักษณะแตกต่าง บางชนิดเป็นนักล่า
บางชนิดสร้างมาเพื่อเป็นอาหารของนักล่า บางชนิดย่อยสลายซาก สิ่งมีชีวิตแต่และชนิดแต่ละหน่วยต่างใช้ชีวิตของมัน
ทรงกำหนดวิถีชีวิตของพวกมันแล้ว
โยบ.40:20-24
20 ภูเขาผลิตอาหารให้มันแน่
เป็นที่ที่สัตว์ป่าทุ่งทุกชนิดเล่น
21 มันนอนอยู่ใต้ต้นตะครอง ในเพิงอ้อและในบึง
22 ต้นตะครองเป็นเงาคลุมมัน
ต้นไค้แห่งธารน้ำล้อมมันไว้
23 ดูเถิด ถ้าแม่น้ำไหลเชี่ยว มันก็ไม่ตกใจ
มันวางใจแม้ว่าแม่น้ำจอร์แดนจะพุ่งเข้าใส่ปากมัน
24 ผู้หนึ่งผู้ใดอาจจับนัยน์ตามันลากไป
หรือจะเอาบ่วงสนตะพายมันได้หรือ 
            โยบ.40
พระเจ้าใช้เบเฮโมท (Behemoth) เป็นตัวอย่างอธิบายการทรงสร้าง
โยบ.40:20-24 บรรยายระบบนิเวศที่มันอยู่อาศัย 
            เบเฮโมทใช้ชีวิตในแถบทุ่งหญ้าใกล้ภูเขา
มีอาหารอุดมสมบูรณ์ (20) อาศัยอยู่กับสัตว์อื่นๆ
มันใช้ประโยชน์จากพืชในบริเวณนั้น เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต เช่น นอนเล่น หลบแดด
(21-22) มันคุ้นเคยช่วงน้ำหลาก ไม่ตกใจกลัวในวันที่น้ำไหลเชี่ยว (23)
ใช้ชีวิตอิสระ ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง (24)
            เป็นวิถีชีวิตของเบเฮโมท
ทรงสร้างและกำหนดให้เป็นเช่นนั้น
            อธิบายขยายความ:
ในตอนนี้ทรงใช้เบเฮโมทอธิบายว่าพระเจ้าไม่เพียงสร้างมนุษย์
ทรงสร้างตั้งแต่ฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลก สรรพสิ่งที่อยู่ในนั้น
เป็นระบบนิเวศอันซับซ้อน และให้มนุษย์อาศัยอยู่ที่นั่น ทรงกำหนดวิถีชีวิตให้ด้วย
ปฐก.1:24 พระเจ้าตรัสว่า
"แผ่นดินจงเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน คือสัตว์ใช้งาน
สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ป่าตามชนิดของมัน" ก็เป็นดังนั้น
            คำบรรยายเหล่านี้ชี้ให้มองย้อนกลับไปถึงอาดัมในสวนเอเดน ที่ทรงสร้างและให้มนุษย์อยู่ที่นั่น
ปฐก.2:8-15
8 พระเจ้าทรงปลูกสวนแห่งหนึ่งไว้ที่เอเดน
ทางทิศตะวันออก และให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงปั้นมานั้นอยู่ที่นั่น
9 แล้วพระเจ้าทรงให้ต้นไม้ทุกชนิดที่งามน่าดูและที่น่ากิน
เป็นอาหารงอกขึ้นจากดิน มีต้นไม้แห่งชีวิตต้นหนึ่งอยู่ท่ามกลางสวนนั้น
กับต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่วต้นหนึ่งด้วย
10 มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลจากเอเดนรดสวนนั้น
จากที่นั่นก็แยกออกเป็นสี่สาย
11 ชื่อแม่น้ำสายที่หนึ่งคือปิโชน
เป็นแม่น้ำที่ไหลรอบแผ่นดินฮาวิลาห์ที่นั่นมีแร่ทองคำ
12 ทองคำที่เมืองนั้นเป็นทองคำเนื้อดี
และมียางไม้ตะคร้ำและโมรา
13 ชื่อแม่น้ำสายที่สองคือกิโฮน
ไหลรอบแผ่นดินคูช
14 ชื่อแม่น้ำสายที่สามคือไทกริส
ไหลไปทางทิศตะวันออกของเมืองอัสซีเรีย และแม่น้ำสายที่สี่ชื่อยูเฟรติส
15 พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวนเอเดน
ให้ทำและรักษาสวน
            ปฐก.2:8-15
บรรยายสวนเอเดนว่าอุดมสมบูรณ์และสวยงาม มีพืชพรรณนานา (9) ที่นั่นไม่แห้งแล้ง
มีทรัพยากรล้ำค่า และกว้างใหญ่ (10-14) ทรงกำหนด “ให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวนเอเดน
ให้ทำและรักษาสวน”
            ไม่เพียงเท่านั้น
พระเจ้าทรงกำกับดูแลต่อเนื่อง เห็นว่าอาดัมควรมีคู่อุปถัมภ์
ปฐก.2:18 พระเจ้าตรัสว่า
"ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียวเราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่สมกับเขาขึ้น"
            เมื่ออาดัมเอวาทำบาป พระเจ้าลงโทษตามที่ควรได้รับ แต่ไม่ละทิ้งพวกเขา
ยังทรงกำกับดูแล กำหนดแผนช่วยกู้มนุษย์ คือแผนสำหรับอาดัมเอวาและลูกหลานนั่นเอง 
            แผนช่วยกู้คือนำมนุษย์กลับสู่สภาพสมบูรณ์ ปราศจากบาป
เทียบได้กับการกลับคืนสู่สวนเอเดน แต่เป็นสวนเอเดนใหม่หรือสวรรค์ที่ผู้เชื่อศรัทธาจะไปนั่นเอง
สรุป:
            ครึ่งแรกของโยบ.40
พระเจ้าบรรยายพระลักษณะพระองค์ ทรงชอบธรรม ทรงฤทธานุภาพสูงสุดและควบคุมทุกอำนาจ
ฯลฯ ครึ่งหลังบรรยายว่าทรงเป็นผู้สร้างและกำกับรอบด้าน
มนุษย์คือส่วนหนึ่งของการทรงสร้าง และให้มีชีวิตตามที่พระองค์ประสงค์ 
            การที่พระเจ้าบรรยายพระลักษณะด้วยพระองค์เองสำคัญมาก
เพราะเป็นคำพูดของพระองค์ 
            ชีวิตของโยบอยู่ภายใต้การกำกับเช่นกัน แม้ช่วงหนึ่งต้องทุกข์ยากสาหัส
ทรงมีพระประสงค์ในนั้น ชีวิตของโยบกลายเป็นส่วนหนึ่งของไบเบิล เป็นพระธรรมที่บรรจุศาสนศาสตร์มากมาย
อธิบายความเป็นพระเจ้า พระลักษณะ ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับผู้เชื่อ เตือนอย่าทำบาป
เหล่านี้เป็นหัวข้อพื้นฐานที่ผู้เชื่อศรัทธาควรเข้าใจ สามารถอธิบายว่าพระเจ้าเป็นอย่างไร
ทรงนำชีวิตอย่างไร ผู้เชื่อศรัทธาควรปฏิบัติอย่างไร ฯลฯ
            การทรงสร้างและกำกับสรรพสิ่งสอดคล้องกับพระลักษณะทุกประการ
นี่คือพระเจ้าและพระราชกิจ
คำถามหลังคำสอน:
            1) ในฐานะคริสเตียน ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าพระเจ้าทรงชอบธรรรม ยุติธรรมเสมอ
            2) คริสเตียนควรตัดสินใจเรื่องต่างๆ อย่างไร จึงก่อผลดีต่อตัวเองมากที่สุด 
------------------------
.png)



.jpg) 
.png) 
.png)