คำถามก่อนเรียน :
1)
พระเจ้าสร้างโลกและสรรพสิ่งอย่างไร
2)
ทำไมโลกที่พระเจ้าสร้างมีปัญหา มีความทุกข์ยาก
โยบ.38พระเจ้าผู้สร้างและควบคุมสรรพสิ่ง:
ในที่สุดหลังการถกแถลงระหว่างโยบกับเพื่อน
พระเจ้าสำแดงตนในพระธรรมโยบบทที่ 38 ตรัสว่าทรงเป็นผู้สร้างและควบคุมสรรพสิ่ง
มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจความคิดพระองค์ได้ทั้งหมด ไม่สามารถทำอย่างพระองค์
โดยอธิบายผ่านสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์เข้าใจได้ เช่น ปรากฎการณ์ของเมฆ ฟ้าฝน
ความมืดความสว่าง โลกกับดวงดาว วิถีชีวิตของสัตว์ต่างๆ
โยบ บทที่ 38-41 เป็นถ้อยคำของพระเจ้า
ทรงยกตัวอย่างมากมายเพื่อให้ได้ครุ่นคิด
ตระหนักและยอมรับ ตอกย้ำความเป็นพระเจ้า ผู้ทรงสิทธิอำนาจสูงสุด
ไม่มีใครสามารถห้ามหรือโต้เถียงพระองค์
ทรงควบคุมสรรพสิ่งให้เป็นไปตามที่ทรงต้องการ มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าที่คิดยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง
หนทางที่ถูกต้องคือกลับมาหาพระเจ้า ยอมรับพระองค์ ดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัย
1. พระเยโฮวาห์ผู้ดำรงอยู่นิรันดร์
พระเจ้าเริ่มด้วยการพูดว่านี่คือพระองค์ที่กำลังพูดกับเขา
โดยเฉพาะโยบที่ถามหา อยากได้คำตอบจากพระองค์
โยบ.38:1-3
1 แล้วพระเจ้าทรงตอบโยบออกมาจากพายุว่า
Then the LORD spoke to Job out of the storm.
He said:
2 "นี่ใครหนอที่ให้คำปรึกษา
มืดมนไปด้วยถ้อยคำอันปราศจากความรู้
3 จงคาดเอวไว้อย่างกับลูกผู้ชายหน่อยซิ
เราจะถามเจ้า ขอเจ้าตอบเรา
รากศัพท์คำว่า “พระเจ้า” หรือ “LORD”
ในโยบ.38:1 คือ יְהוָֹה (อ่าน yeh-ho-vaw', เย-โฮ-วา) มีความหมายว่า
ผู้ดำรงอยู่ด้วยตัวเองหรือผู้ดำรงอยู่นิรันดร์ (self-Existent or
Eternal)
เยโฮวาห์ (ยาห์เวห์) เป็นวิสามานยนามหรือคำนามเฉพาะ (Proper
Noun) ระบุเจาะจงว่าคือใคร
1.1 นามพระองค์คือเยโฮวาห์
เยโฮวาห์เป็นนามเฉพาะของพระเจ้า
ปรากฎตั้งแต่พระธรรมปฐมกาล เช่น
ปฐก.2:4 เรื่องฟ้าสวรรค์และแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสร้างมีดังนี้
ในวันที่พระเจ้าทรงสร้างแผ่นดินและฟ้าสวรรค์
This is the account of the heavens and the
earth when they were created, when the LORD God made the earth and the heavens.
ลำดับเรื่องการเนรมิตสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินมีดังนี้
ในวันที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างแผ่นดิน
และฟ้าสวรรค์ (ฉบับปี 2011)
ปฐก.2:4 พระคัมภีร์ไทยฉบับปี 1971 ใช้คำว่า “พระเจ้า” NIV ใช้คำว่า “LORD” ส่วนฉบับปี 2011 ใช้คำว่าพระยาห์เวห์
อธิบายขยายความ: โมเสสถามพระองค์ชื่ออะไร
อพย.3:13-15
13 ฝ่ายโมเสสทูลพระเจ้าว่า
"เมื่อข้าพระองค์ไปหาชนชาติอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า 'พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย
ทรงสั่งข้าพเจ้ามาหาท่าน' และเขาจะถามข้าพระองค์ว่า 'พระองค์ทรงพระนามว่ากระไร' ข้าพระองค์จะตอบเขาอย่างไร"
Moses said to God, “Suppose I go to the
Israelites and say to them, ‘The God of your fathers has sent me to you,’ and
they ask me, ‘What is his name?’ Then what shall I tell them?”
14 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า
"เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น" แล้วพระองค์ตรัสว่า
"ไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า 'พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเราเป็น
ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย'
God said to Moses, “I
AM WHO I AM. This is what you are to say to the Israelites: ‘I AM has sent
me to you.’ ”
15
พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสอีกว่า "เจ้าจงกล่าวแก่ประชากรอิสราเอลว่าดังนี้ "พระเยโฮวาห์
พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่าน คือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค
และพระเจ้าของยาโคบ ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาท่าน' นี่แหละเป็นนามของเราตลอดไปเป็นนิตย์
นี่แหละเป็นอนุสรณ์ของเราตลอดทุกชั่วชาตพันธุ์
God also said to Moses, “Say to the
Israelites, ‘The LORD, the God of your fathers—the God of Abraham, the God of
Isaac and the God of Jacob—has sent me to you.’ “This is my name forever, the
name you shall call me from generation to generation.
แล้วเอ่ยนามเฉพาะ "พระเยโฮวาห์”
ในอพย.3:15
“นี่แหละเป็นนามของเราตลอดไปเป็นนิตย์”
(อธิบายขยายความ:
ศึกษารายละเอียดนามพระเจ้าใน “บทเรียน 17 พระเยโฮวาห์ผู้ดำรงอยู่นิรันดร์” นามพระเจ้าบ่งบอกว่าทรงดำรงอยู่นิรันดร์
เป็นจุดเริ่มของสรรพสิ่ง ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด ถ้าปราศจากพระองค์จะไร้ซึ่งสรรพสิ่ง
การดำรงอยู่ของพระองค์กับสรรพสิ่งเป็นของคู่กัน
https://www.positive4thailand.com/2025/04/Lesson-17-yeh-ho-vaw.html)
คนในบรรพกาลอย่างอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ไม่มีชื่อ ‘พระเยโฮวาห์’ พวกเขาเรียก “พระเจ้า” แบบคำนามทั่วไป
(คนอิสราเอลในอียิปต์ที่โมเสสกำลังจะไปหาจึงยังไม่รู้จักเชื่อเฉพาะ
แต่เรียก “พระเจ้า” แบบคำนามทั่วไป)
อพย.6:3 เราปรากฏแก่อับราฮัม แก่อิสอัค และแก่ยาโคบด้วยนามว่าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์
แต่เรามิได้สำแดงให้เขารู้จักเราในนามพระเยโฮวาห์
ข้อพระคัมภีร์ในพระธรรมปฐมกาลบางข้อที่เอ่ยนามพระเจ้าเป็นคำนามทั่วไป
รากศัพท์คำว่า “พระเจ้า” ในปฐก.1:1 คือ elohim
มีหมายความว่า พระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด
พระเจ้าที่คนอิสราเอลกับคริสเตียนศรัทธา เป็นนามทั่วไปไม่ใช่ชื่อเฉพาะ
ปฐก.1:1-3
1 ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้าง
ฟ้าและแผ่นดิน
In the beginning God created the heavens and
the earth. (NIV, NKJV และ NASB)
ในปฐมกาล
พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน (ฉบับปี 2011)
2 แผ่นดินก็ว่างเปล่า
ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น
3 พระเจ้าตรัสว่า
"จงเกิดความสว่าง" ความสว่างก็เกิดขึ้น
รากศัพท์คำว่า “พระเจ้า” หรือ “God” ในปฐก.1:1
คือ אֱלהִים (อ่าน el-o-heem') หรือ elohim หมายถึงพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด
(God) หรือในความหมายทั่วไปของคำว่าพระเจ้า เทพเจ้า
ผู้พิพากษา ผู้ยิ่งใหญ่ (god)
สรุป เดิมคนอิสราเอลเอ่ยคำว่า “พระเจ้า” แบบนามทั่วไป
โมเสสเป็นคนแรกที่ถามพระเจ้าว่าพระองค์ชื่ออะไร ทรงตอบว่านามพระองค์คือ “”เยโฮวาห์”
(ยาห์เวห์) คำนี้มีความหมายบ่งบอกพระลักษณะ (ชื่อมีความหมายตัวเอง)
1.2 เยโฮวาห์ยิ่งใหญ่สูงสุด
โยบ.38:1
แล้วพระเจ้าทรงตอบโยบออกมาจากพายุว่า
Then the LORD spoke to Job out of the storm.
He said:
แล้วพระยาห์เวห์ทรงตอบโยบจากพายุว่า
(ฉบับปี 2011)
รากศัพท์คำว่า “พระเจ้า” หรือ “LORD”
ในโยบ.38:1 คือ יְהוָֹה (อ่าน yeh-ho-vaw',
เย-โฮ-วา) คำนี้เป็นวิสามานยนามหรือคำนามเฉพาะ
(Proper Noun) มีความหมายว่า ผู้ดำรงอยู่ด้วยตัวเองหรือผู้ดำรงอยู่นิรันดร์
(self-Existent or Eternal) ไม่มีใครสร้างพระองค์
ตัวพระองค์มีอยู่แล้ว ไม่มีจุดเริ่มต้นกับจุดสิ้นสุด
อธิบายขยายความ:
เรื่องนี้ขัดกับตรรกะความเข้าใจว่าสรรพสิ่งมีที่มาที่ไป
มีผู้สร้างหรือผู้ให้กำเนิด ตัวเรามาจากพ่อแม่ มาจากการผสมพันธุ์ของอสุจิกับไข่
การรวมตัวของ DNA ที่กำเนิดเป็นชายหรือหญิง
เซลล์เกิดใหม่มีวันตาย มนุษย์มีอายุขัย แม้กระทั่งดาวฤกษ์มีวันสิ้นแสง
แต่ถ้ามี ‘ผู้สร้างพระเจ้า’ ย่อมหมายความว่า ‘ผู้สร้างพระเจ้า’ ยิ่งใหญ่กว่า ‘พระเจ้า’
เป็นผู้สร้าง (กำหนด) ให้พระเจ้ายิ่งใหญ่อย่างที่เป็น หากเป็นเช่นนั้น ‘พระเจ้า’ จะไม่ยิ่งใหญ่สูงสุด แต่มี ‘ผู้สร้างพระเจ้า’
ที่ยิ่งใหญ่กว่า ทรงสิทธิอำนาจมากกว่า กำหนดให้พระเจ้าเป็นอย่างที่เป็น
ถ้าสามารถสร้างพระเจ้าหมายเลข 1 ย่อมน่าจะสามารถสร้างพระเจ้าหมายเลข
2, 3, 4
และจะมีคำถามว่า “ใครคือผู้สร้าง ‘ผู้สร้างพระเจ้า’”
เช่นนี้ไม่สิ้นสุด
การที่ไม่มีใครสร้างพระเจ้าจึงบ่งบอกว่า “พระเจ้า” หรือเยโฮวาห์ยิ่งใหญ่สูงสุด
เป็นเช่นนี้นิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
พระคัมภีร์ (Bible) สอนว่า
ปฐก.1:1 ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน
หลักสำคัญคือพระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง
ทำให้สิ่งนี้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ดำรงอยู่และจากไปตามพระประสงค์
ไม่ว่าใครจะยอมรับหรือไม่ ชอบหรือไม่ชอบ ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงนี้
ด้วยเหตุที่เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งจึงยิ่งใหญ่สูงสุดเหนือสรรพสิ่ง
เหนือนามทั้งปวง ไม่มีสิ่งใดหรือใครยิ่งใหญ่กว่าพระองค์อีกแล้ว ทรงเป็นจอมเจ้านายจอมราชา
(Lord of lords and King of kings)
วว.17:14 กษัตริย์เหล่านี้จะกระทำสงครามกับพระเมษโปดก
และพระเมษโปดกจะทรงมีชัยชนะ เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นจอมเจ้านาย
และทรงเป็นจอมกษัตริย์ และผู้ที่อยู่กับพระองค์นั้น
เป็นผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกและทรงเลือกไว้
และเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ก็จะมีชัยด้วย"
They will wage war against the Lamb, but the
Lamb will triumph over them because he is Lord of lords and King of kings—and
with him will be his called, chosen and faithful followers.”
อธิบายขยายความ: คำว่า Lord กับ lords เป็นศัพท์เดียวกัน รากศัพท์คำว่า “Lord” หรือ “lord” ในวว.17:14 คือ κύριος (อ่านว่า koo'-ree-os)
หมายถึง เจ้านาย ผู้มีอำนาจ (lord, master, sir) ในพระคัมภีร์ใหม่บางครั้งใช้คำนี้เป็นนามทั่วไปเพื่อเล็งถึงพระเจ้า
(the Lord)
เช่น คำว่า “พระเจ้า” ในมธ.2:19
มธ.2:19 ครั้นเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว
ทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏในความฝันแก่โยเซฟ ที่ประเทศอียิปต์สั่งว่า
After Herod died, an angel of the Lord
appeared in a dream to Joseph in Egypt.
ดังนั้น Lord of lords ใน วว.17:14 แปลตรงตัวว่า
เจ้านายของบรรดาเจ้านาย เป็นที่มาของคำว่า “จอมเจ้านาย”
พระคัมภีร์สอนว่าพระเจ้าดำรงอยู่นิรันดร์ เป็นอมตะ
ไม่สามารถสืบทราบจุดกำเนิดคือ ณ จุดใดของกาลเวลา
ทรงเป็นพระเจ้าไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ยิ่งใหญ่สูงสุดตลอดเวลา ไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลง
อสย.44:6 พระเจ้า
พระบรมมหากษัตริย์แห่งอิสราเอล และผู้ไถ่ของเขา พระเจ้าจอมโยธา ตรัสดังนี้ว่า
"เราเป็นผู้ต้นและเราเป็นผู้ปลาย นอกจากเราแล้วไม่มีพระเจ้า
“This is what the LORD says— Israel’s King
and Redeemer, the LORD Almighty: I am the first and I am the last; apart from
me there is no God.
รากศัพท์ของคำว่า LORD ใน อสย.44:6 คือ יְהוָֹה (อ่าน yeh-ho-vaw', เย-โฮ-วา)
มีความหมายว่า ผู้ดำรงอยู่ด้วยตัวเองหรือผู้ดำรงอยู่นิรันดร์ (self-Existent
or Eternal) หรือ พระเยโฮวาห์ (พระยาห์เวห์)
ส่วนรากศัพท์ของคำว่า God อสย.44:6 คือ
אֱלהִים (อ่าน el-o-heem') หรือ elohim หมายถึงพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด
(God) หรือในความหมายทั่วไปของคำว่าพระเจ้า เทพเจ้า
ผู้พิพากษา ผู้ยิ่งใหญ่ (god)
วว.22:13 เราคืออัลฟาและโอเมกา
เป็นเบื้องต้นและเป็นเบื้องปลาย เป็นปฐมและเป็นอวสาน"
การดำรงอยู่นิรันดร์คู่กับทรงมีสติปัญญา รู้แจ้งทุกสิ่งทั้งอดีต ปัจจุบัน
อนาคต พระองค์เห็นหมดทุกอย่าง รู้หมดทุกสิ่ง ทรงสัพพัญญู (omniscience)
สดด.139:1-7
1 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ได้ทรงตรวจสอบข้าพระองค์และทรงรู้จักข้าพระองค์
2
เมื่อข้าพระองค์นั่งลงและลุกขึ้น พระองค์ทรงทราบ
พระองค์ทรงประจักษ์ในความคิดของข้าพระองค์ได้แต่ไกล
3
พระองค์ทรงค้นวิถีของข้าพระองค์และการนอนของข้าพระองค์
และทรงคุ้นเคยกับทางทั้งสิ้นของข้าพระองค์
4 ข้าแต่พระเจ้า
แม้ก่อนที่ลิ้นของข้าพระองค์จะพูด พระองค์ก็ทรงทราบความเสียหมดแล้ว
5
พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์อยู่ทั้งข้างหลังและข้างหน้า
และทรงวางพระหัตถ์บนข้าพระองค์
6
ความรู้อย่างนี้อัศจรรย์เกินข้าพระองค์ สูงนัก ข้าพระองค์เอื้อมไม่ถึง
7 ข้าพระองค์จะไปไหน
ให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้ หรือข้าพระองค์จะหนีไปไหนให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์
โยบ.36:26 ดูเถิด
พระเจ้านั้นใหญ่ยิ่ง และเราก็หาหยั่งรู้ถึงพระองค์ไม่
อายุของพระองค์เป็นสิ่งที่ค้นหากันไม่ได้
รม.11:33-34
33 โอ
พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้น ล้ำลึกเท่าใด
ข้อตัดสินของพระองค์นั้นเหลือที่จะหยั่งรู้ได้
และทางของพระองค์ก็เหลือที่จะสืบเสาะได้
34 เพราะว่า
ใครเล่ารู้พระทัยของพระเจ้า หรือใครเล่าเป็นที่ปรึกษาของพระองค์
1.3 เข้าถึงด้วยความเชื่อกับการติดตามพระเจ้า
ความเข้าใจเรื่องพระเจ้าเกินกว่าสติปัญญาของมนุษย์
ต้องยอมรับว่าตัวเรามีข้อจำกัดมากมายไม่เฉพาะเรื่องสติปัญญาความรู้ความเข้าใจ
1ทธ.6:15-16
15
ซึ่งพระเจ้าผู้เสวยสุขและทรงฤทธิ์สูงสุดแต่พระองค์เดียว
พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และพระผู้เป็นเจ้าเหนือเทพเจ้าทั้งปวง
จะทรงสำแดงให้ปรากฏในเวลาอันควร
which God will bring about in his own time—God, the blessed
and only Ruler, the King of kings and Lord of lords,
16 พระองค์ผู้เดียวทรงอมตะ
และทรงสถิตในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง ผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็น
และจะเห็นไม่ได้ พระเกียรติและฤทธานุภาพอันถาวรจงมีแด่พระองค์นั้น อาเมน
who alone is immortal and who lives in unapproachable light,
whom no one has seen or can see. To him be honor and might forever. Amen.
1คร.8:5-6
5
ถึงแม้จะมีพระมากในสวรรค์และในแผ่นดินโลกที่เขาเรียกว่าพระเจ้า
(มีพระมากและเจ้ามากก็จริง)
6 แต่ว่าสำหรับพวกเรานั้นมีพระเจ้าองค์เดียว คือ
พระบิดา และสิ่งสารพัดทั้งปวงบังเกิดขึ้นจากพระองค์ และเราเป็นมาเพื่อพระองค์
และเรามีพระเยซูคริสตเจ้าองค์เดียว และสิ่งสารพัดก็เกิดขึ้นโดยพระองค์
และเราก็เป็นมาโดยพระองค์
พระเจ้าคือผู้ดำรงอยู่ด้วยตัวเองหรือผู้ดำรงอยู่นิรันดร์
เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง ความเข้าใจเหล่านี้มาจากการเปิดเผยของพระองค์ ให้คริสเตียนผู้เชื่อยอมรับด้วย ‘ความเชื่อศรัทธา’ และจะเข้าใจมากขึ้นผ่านความรู้พระวจนะ ผลจากการดำเนินชีวิตติดตามพระองค์
มีประสบการณ์เข้าถึงพระเจ้าที่มองไม่เห็นด้วยตา ส่วนที่ยังไม่เข้าใจให้ยึดถือด้วยความเชื่อต่อไป
แม้กระทั่งคริสเตียนผู้เชื่อจะไม่สามารถเข้าใจเข้าถึงความเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์
ไม่อาจเข้าใจพระวจนะทั้งหมด แต่จะรู้เพียงพอให้ได้รับความรอด
สามารถทำตามพระประสงค์ทุกประการ พระเจ้าให้ความเข้าใจมากขึ้นตามลำดับ และทรงนำด้วยพระองค์เอง
15
และตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งสามารถสอนท่านให้ถึงความรอดได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์
16 พระคัมภีร์
ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า
และเป็นประโยชน์ในการสอนการตักเตือนว่ากล่าวการปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี
และการอบรมในทางธรรม
All Scripture is
God-breathed and is useful for teaching, rebuking, correcting and training in
righteousness,
17 เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง
so that the servant
of God may be thoroughly equipped for every good work.
อสย.11:2
และพระวิญญาณของพระเจ้าจะอยู่บนท่านนั้น คือวิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจ
วิญญาณแห่งการวินิจฉัยและอานุภาพ วิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงพระเจ้า
ดาวิดเป็นพยานว่าพระเจ้าดูแลและนำชีวิต
พระองค์สถิตอยู่ด้วย
สดด.23:1-4
1 พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ
ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน
The LORD is my shepherd, I lack nothing.
2
พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด
พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ
He makes me lie down in green pastures, he leads me beside
quiet waters,
3 ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์
he refreshes my soul. He guides me along the right paths for
his name’s sake.
4 แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช
ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์
คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์
Even though I walk through the darkest valley, I will fear
no evil, for you are with me; your rod and your staff, they comfort me.
รม.8:14-15
14 เพราะว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด
ผู้นั้นก็เป็นบุตรของพระเจ้า
15 เหตุว่าท่านไม่ได้รับน้ำใจทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก
แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรของพระเจ้า
ให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระเจ้าว่า "อับบา" คือพระบิดา
1.4 พระลักษณะกับความรอด
รวมความแล้ว การที่พระเจ้าคือผู้ดำรงอยู่ด้วยตัวเองหรือผู้ดำรงอยู่นิรันดร์
(self-Existent or Eternal) จึงถูกต้อง บ่งบอกพระลักษณะ (ความเป็นพระเจ้า)
หลายอย่าง เช่น ทรงเป็นพระเจ้านิรันดร์ ทรงสิทธิอำนาจสูงสุด
พระองค์ไม่ต้องรายงานใคร การตัดสินของพระองค์เป็นที่สิ้นสุด (ไม่มีใครคัดค้านได้)
เมื่อตรัสสิ่งใดสิ่งนั้นเกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัย
(ตามที่พระเจ้าต้องการให้เป็นเช่นนั้น) ไม่มีใครขวางได้
อพย.33:19 พระองค์จึงตรัสตอบว่า
"เราจะให้คุณความดีของเราประจักษ์แจ้งต่อหน้าเจ้า และเราจะประกาศนามของเราคือ
เยโฮวาห์ ให้ประจักษ์ต่อหน้าเจ้า เราประสงค์จะโปรดปรานผู้ใดก็จะโปรดปรานผู้นั้น
และเราประสงค์จะเมตตาแก่ผู้ใด เราก็จะเมตตาผู้นั้น"
พระสัญญาความรอด ชีวิตนิรันดร์จึงสอดคล้องกับพระลักษณะ
ยน.3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก
จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์
เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์
“แต่มีชีวิตนิรันดร์”
(ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)
นมัสการนิรันดร์
สดด.115:17-18
17 คนตายไม่สรรเสริญพระเจ้า
หรือผู้ที่ลงไปสู่ที่สงัดก็เช่นนั้น
18 แต่เราทั้งหลายจะสรรเสริญพระเจ้า
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเป็นนิตย์ จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด
“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเป็นนิตย์”
(ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)
ผู้เชื่อศรัทธานมัสการพระเจ้าตั้งแต่วันนี้และสืบไปเป็นนิตย์
2. มนุษย์ไม่เหนือกว่าพระองค์
โยบ.38:4 "เมื่อเราวางรากฐานของแผ่นดินโลกนั้น เจ้าอยู่ที่ไหน ถ้าเจ้ามีความเข้าใจก็บอกเรามา
ทุกคนเกิดมาก็มีโลกดังที่เป็นอยู่แล้ว สรรพสิ่งมีอยู่และเป็นไป เช่น
ขนาดของโลก การบินของนก รูปร่างแมลงชนิดต่างๆ พืชพรรณนานา
มนุษย์ไม่ได้สร้างสรรพสิ่งเหล่านี้ ทรงเตือนสติว่ามนุษย์คือหนึ่งสิ่งที่ถูกสร้าง
ชีวิตหนึ่งที่เกิดและต้องตาย มนุษย์ไม่เหนือหรือยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า ไม่มีสติปัญญา
ไม่มีความสามารถอย่างพระองค์ ใครบ้างสามารถสร้างฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลก
หลายคนไม่อยากยอมรับพระเจ้าจึงพยายามปฏิเสธพระองค์
มารซาตานที่รู้จักพระเจ้าต่อต้านพระองค์
เพราะไม่อยากยอมรับว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด เป็นความบาปพื้นฐานอย่างหนึ่ง
อธิบายขยายความ: ความบาปกับความบริสุทธ์ชอบธรรมของพระเจ้าขัดแย้งกัน อยู่ด้วยกันไม่ได้
มนุษย์บาปจึงขัดแย้งพระองค์ มักทำสิ่งที่ขัดแย้งพระวจนะ
จึงเตือนสติให้ตระหนักว่ามีพระเจ้า ให้ผู้เชื่อประกาศสั่งสอน นำคนทั้งหลายกลับมาคืนดีกับพระองค์
ดำเนินชีวิตตามนิมิตการทรงเรียก
3. พระเจ้าคิดไว้แล้วสร้างดีแล้ว
ทรงสร้างอย่างตั้งใจ
คิดไว้แล้ว เช่น กำหนดขนาด รากฐานของแต่ละสิ่ง เรื่องนี้เกิดก่อนมีมนุษย์
โยบ.38:5-7
5 ผู้ใดได้กำหนดขนาดให้โลก แน่นอนละ
เจ้าต้องรู้ซี หรือใครขึงเชือกวัดบนนั้น
6 รากฐานของโลกจมไปอยู่บนอะไร
หรือผู้ใดวางศิลามุมเอกของมัน
7 ในเมื่อดาวรุ่งแซ่ซ้องสรรเสริญ
และบรรดาบุตรพระเจ้าโห่ร้องด้วยความชื่นบาน
while the morning stars sang together and all the angels shouted for joy?
อธิบายขยายความ:
แรกเริ่มสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้นทรงเห็นว่าดี ดีนัก (very good) แต่เมื่ออาดัมเอวาทำบาป พระเจ้ายุติธรรมจึงพิพากษาว่าต้องรับโทษอย่างไร
พร้อมกับแผนฟื้นฟูนำคนของพระเจ้ากลับมาอยู่กับพระองค์อีกครั้ง
ปฐก.1:1-4,31
1 ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้าง ฟ้าและแผ่นดิน
2 แผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ
และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น
3 พระเจ้าตรัสว่า "จงเกิดความสว่าง"
ความสว่างก็เกิดขึ้น
4 พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี
และทรงแยกความสว่างออกจากความมืด
God saw that the light was good, and he separated the light
from the darkness.
31 พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้
ทรงเห็นว่าดีนัก มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่หก
God saw all that he had made, and it was very good. And there was evening, and there was
morning—the sixth day.
คำถาม: ทำไมต้องมีบาป ทำบาป รับผลบาป
พระคัมภีร์อธิบายว่า จุดเริ่มของบาปมาจากการที่ทูตสวรรค์บางส่วนไม่เชื่อฟังพระเจ้า
ต่อต้านพระองค์ ทูตสวรรค์ที่กบฏหรือมารซาตานล่อลวงให้อาดัมเอวาทำบาปด้วย
อาดัมผู้เป็นมนุษย์คนแรกตั้งใจไม่เชื่อฟังพระเจ้า
จึงถูกพิพากษาลงโทษและให้โทษตกทอดถึงลูกหลาน ในเวลาต่อมาลูกหลานมนุษย์ทำบาปซ้อนบาป
ทำบาปมากขึ้นทุกที ต้องรับโทษด้วยกันทั้งสิ้นเพราะพระเจ้าบริสุทธิ์และยุติธรรม
(บาปต้องรับผลของบาป)
ทรงกำหนดแผนช่วยเหลือล่วงหน้า
คือการไถ่ของพระเยซู คนของพระเจ้าหรือผู้เชื่อจะได้รับการไถ่
ได้อยู่กับพระองค์อย่างสมบูรณ์นิรันดร์ หลังพิพากษาโลกกับมารซาตาน
พวกมารซาตานหรือทูตสวรรค์ที่กบฏมีก่อนมนุษย์
มาซาตานนี่แหละเป็นต้นเหตุของบาป (บาปคือไม่เชื่อฟังพระเจ้า)
ไม่ยอมอยู่ใต้สิทธิอำนาจ ชักนำให้มนุษย์ปฏิเสธพระองค์ ทำความชั่วร้าย
(ตรงข้ามกับความบริสุทธิ์)
รวมความแล้ว
แผนการพระเจ้าคือฟื้นฟูสิ่งทรงสร้างให้คืนสู่สภาพสมบูรณ์ ทรงให้ความสำคัญกับมนุษย์
โดยเฉพาะผู้เชื่อหรือคนของพระเจ้า ส่วนพวกมารซาตานคนบาปทั้งหลายต้องรับโทษนิรันดร์
4. พระเจ้ากำหนดไว้แล้ว
พระผู้สร้างกำหนดการดำรงอยู่และสิ้นสุดของสรรพสิ่ง
ตั้งแต่ก่อนมีสรรพสิ่งจนถึงเวลานิรันดร์
พระองค์สร้าง กำหนดและรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างล่วงหน้าแล้ว
โยบ.38:8-11
8 "หรือผู้ใดเอาประตูปิดทะเลไว้
เมื่อมันระเบิดออกมา ดังออกมาจากครรภ์
9 เมื่อเราสร้างเมฆให้เป็นเสื้อ
และความมืดทึบเป็นผ้าอ้อมของมัน
10 แล้วกำหนดเขตให้มัน และวางดาลและประตู
11 และกล่าวว่า "เจ้าไปได้ไกลแค่นี้แหละ
อย่าเลยไปอีก และคลื่นคะนองของเจ้าหยุดเพียงแค่นี่แหละ"
ข้อนี้ย้ำสิทธิอำนาจสูงสุด
ทุกอย่างอยู่ใต้แผนการที่ทรงกำหนดและกำกับ ไม่ว่ามนุษย์จะชอบหรือไม่
ยรม.5:22 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า
เจ้าไม่ยำเกรงเราหรือเจ้าไม่ตัวสั่นอยู่ต่อหน้าเราหรือ
คือเราผู้วางกองทรายไว้เป็นเขตล้อมทะเล เป็นเครื่องกีดขวางเป็นนิตย์มิให้ผ่านไปได้
แม้ว่าคลื่นจะซัด ก็เอาชนะไม่ได้ แม้ว่าคลื่นจะคะนอง ก็ข้ามไปไม่ได้
สดด.33:7 พระองค์ทรงรวบรวมน้ำทะเลเหมือนอย่างทำนบ
และทรงเก็บที่ลึกไว้ในคลัง
สดด.102:25-27
25 เมื่อเดิมพระองค์ทรงวางรากฐานของแผ่นดินโลกและฟ้าสวรรค์เป็นพระหัตถกิจของพระองค์
26 สิ่งเหล่านี้จะพินาศ แต่พระองค์จะทรงดำรงอยู่
สิ่งเหล่านี้จะเก่าไปเหมือนเครื่องนุ่งห่ม
พระองค์ทรงเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เหมือนเสื้อผ้า แล้วมันก็สิ้นไป
27 แต่พระองค์ยังคงเดิม
และปีเดือนของพระองค์ไม่สิ้นสุด
ยกตัวอย่าง
ซาตานวิญญาณชั่วต่อต้านพระองค์ แต่สุดท้ายทุกอย่างดำเนินไปตามน้ำพระทัย เพราะพระองค์ทรงสิทธิอำนาจสูงสุด จอมเจ้านายจอมราชา (Lord of lords and King of kings) ทุกอย่างอยู่ใต้อำนาจพระองค์
วว.17:14 กษัตริย์เหล่านี้จะกระทำสงครามกับพระเมษโปดก
และพระเมษโปดกจะทรงมีชัยชนะ เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นจอมเจ้านาย
และทรงเป็นจอมกษัตริย์ และผู้ที่อยู่กับพระองค์นั้น
เป็นผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกและทรงเลือกไว้
และเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ก็จะมีชัยด้วย"
They will wage war against the Lamb, but the Lamb will
triumph over them because he is Lord of lords and King of kings—and with him
will be his called, chosen and faithful followers.”
1 จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด
จงสรรเสริญพระเจ้าจากฟ้าสวรรค์ จงสรรเสริญพระองค์ในที่สูง
2 ทูตสวรรค์ทั้งหลายของพระองค์
จงสรรเสริญพระองค์พลโยธาของพระองค์ จงสรรเสริญพระองค์
3 ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
จงสรรเสริญพระองค์ บรรดาดาวที่ส่องแสง จงสรรเสริญพระองค์
4 ฟ้าสวรรค์ที่สูงสุด
จงสรรเสริญพระองค์ ทั้งน้ำทั้งหลายเหนือฟ้าสวรรค์
5 ให้สิ่งเหล่านั้นสรรเสริญพระนามพระเจ้า
เพราะพระองค์ทรงบัญชา สิ่งเหล่านั้นก็ถูกเนรมิตขึ้นมา
การสรรเสริญนมัสการแสดงถึงการเข้าถึงและยอมรับพระองค์
คนที่ยอมรับพระเจ้าจะนมัสการ
พวกที่ไม่ยอมรับจะไม่สรรเสริญ คนที่ใจยังครึ่งๆ กลางๆ จะแสดงออกครึ่งๆ กลางๆ
เช่นกัน
คนที่ยอมรับเชื่อฟังย่อมรับผลดี ทรงคิดและจัดเตรียมให้ล่วงหน้าแล้ว ส่วนคนที่ปฏิเสธพระองค์ปลายทางของเขาคือหายนะ
14 เพราะเขาผูกพันกับเราด้วยความรัก
เราจะช่วยกู้เขา เราจะป้องกันเขาไว้ เพราะเขารู้จักนามของเรา
Because he hath set
his love upon me, therefore will I deliver him: I will set him on high, because
he hath known my name. (KJV)
“Because he loves
me,” says the LORD, “I will rescue him; I will protect him, for he acknowledges
my name.
15
เมื่อเขาร้องทูลเรา เราจะตอบเขา เราจะอยู่กับเขาในยามลำบาก เราจะช่วยเขาให้พ้นและให้เกียรติเขา
He will call on me,
and I will answer him; I will be with him in trouble, I will deliver him and
honor him.
16 เราจะให้เขาอิ่มใจด้วยชีวิตยืนยาว
และสำแดงความรอดของเราแก่เขา
With long life I
will satisfy him and show him my salvation.”
รากศัพท์ฮีบรูของวลีว่า “ผูกพัน ... ด้วยความรัก” ในสดด.91:14 หรือ “Because
he hath set his love” (KJV) หรือ “Because
he loves” (NIV) คือคำว่า חָשַׁק (อ่านว่า
khaw-shak') หรือ “chashaq” เป็นคำกริยา
หมายถึง มีใจรัก (To love) ผูกพันกับ ติดอยู่กับ (to
be attached to) ชื่นชมยินดีใน (to delight in) เกาะติด (to cling)
5. เตือนอย่าต่อต้านพระเจ้า
12 "เจ้าได้บังคับบัญชาอรุณตั้งแต่เจ้าเกิดมา
และเป็นเหตุให้อรุโณทัยรู้จักที่ของมันหรือ
13 เพื่อมันจะจับปลายแผ่นดินโลก
และสลัดคนชั่วออกไปเสียจากโลก
14 โลกก็เปลี่ยนไปเหมือนดินเหนียวถูกตราประทับ
และทุกสิ่งเด่นออกมาเหมือนเสื้อผ้า
15 แสงสว่างของคนชั่วถูกยึดไว้เสียจากคนชั่วร้ายและแขนของเขาที่เงื้อขึ้นก็ถูกหักเสีย
The wicked are denied their light, and their upraised arm is
broken.
ขอให้มนุษย์ยอมรับความจำกัดของตัวเอง (12) ตระหนักว่าชีวิตมีเวลาจำกัด
ทุกคนจะถูกพิพากษา (13) ความดีความบาปผิดทั้งสิ้นจะถูกเปิดเผย (14)
และคนบาปถูกทำลายในที่สุด (15)
อธิบายขยายความ:
พระธรรมโยบบทที่ 38 อธิบายพระเจ้าผู้สร้างและควบคุมสรรพสิ่ง
ยกตัวอย่างมากมายเพื่อให้คิดไตร่ตรอง มาถึงข้อนี้เตือนอย่าต่อต้านพระเจ้า อย่าคิดว่าไม่มีพระเจ้า
มนุษย์ไม่อาจเทียบพระองค์ ด้วยการชี้ว่ามนุษย์เป็นเพียงสิ่งทรงสร้าง อายุขัยจำกัด
อย่าคิดว่าตัวเองเก่งสามารถทำหลายสิ่งหลายอย่าง จึงคิดทำตามใจ
แสวงหาความสุขเฉพาะหน้า อย่าหลงระเริงแล้วพลาดทางของพระองค์ เพราะเป็นบาปที่จะต้องถูกพิพากษา
ผลปลายทางนั้นร้ายแรงยิ่งนักคือถูกทำลายนิรันดร์ (ถูกตัดขาด
ไม่ได้อยู่กับพระองค์นิรันดร์)
6. ลักษณะความจำกัดของมนุษย์
โยบ.38:16-18
พระเจ้ายกหลายเรื่องเพื่อชี้มนุษย์ไม่รู้ไม่เข้าใจหลายสิ่ง
16 "เจ้าเข้าไปในตาน้ำแห่งทะเลแล้วหรือ
หรือเดินเข้าไปในซอกมหาสมุทรแล้วหรือ
17 เขาเผยประตูความตายแก่เจ้าแล้วหรือ
หรือเจ้าได้เห็นประตูเงามัจจุราชแล้วหรือ
18 เจ้าหยั่งรู้ความกว้างใหญ่ของแผ่นดินโลกหรือถ้าเจ้ารู้ทั้งหมดนี้ก็จงบอกมา
6.1 จำกัดในความรู้ลึก (16)
ข้อนี้พระเจ้ายกตัวอย่างความรู้ทางทะเล
มนุษย์พยายามใช้ประโยชน์จากทะเลเรื่อยมา
เรียนรู้จักทะเล ลมฟ้าอากาศ ต่อเรือเพื่อการเดินเรือ ชาวประมงได้ประโยชน์จากน้ำขึ้นน้ำลง
สร้างเข็มทิศ นักวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาแต่ยังรู้ไม่หมด
มนุษย์มีความรู้ลึกซึ้งขึ้นแต่ไม่รู้ทั้งหมด
บางเรื่องยังเข้าใจผิด ข้อมูลใหม่ทดแทนข้อสรุปเก่า ความรู้ที่มีไม่สมบูรณ์
6.2 จำกัดในมิติเวลา (17)
ข้อนี้พูดถึงชีวิตหลังความตาย
เป็นอนาคตที่ยังไม่เกิด เกินความเข้าใจของมนุษย์ ผู้เชื่อศรัทธาไม่เคยไปมาก่อน
(เป็นอนาคตที่ยังมาไม่ถึง)
พระคัมภีร์สอนให้เข้าใจมากเพียงพอ
เช่น ยุคสุดท้าย เรื่องสวรรค์กับบึงไฟนรก
สำคัญกว่าความรู้เรื่องยุคสุดท้าย
ชีวิตหลังความตาย คือทรงให้ทางออก ทรงวางแผนการที่ดีแก่ผู้เชื่อศรัทธา
เพื่อให้สามารถผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ โลกหลังความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่เป็นปลายทางที่ดีที่สุด
ดีกว่าโลกแห่งบาปแน่นอน
มธ.24:10-13, 22
10 คราวนั้นคนเป็นอันมากจะถดถอยไป
และอายัดกันและกันทั้งจะเกลียดชังซึ่งกันและกันด้วย
11 ผู้เผยพระวจนะปลอมหลายคนจะเกิดมีขึ้น
และล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป
12 ความรักของคนส่วนมากจะเยือกเย็นลง
เพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป
13 แต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุดผู้นั้นจะรอด
22 ถ้ามิได้ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า
จะไม่มีมนุษย์รอดได้เลย แต่เพราะทรงเห็นแก่ผู้เลือกสรร
จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า
“ทรงเห็นแก่ผู้เลือกสรร”
2คร.5:1-5
1 เพราะเรารู้ว่า
ถ้าเรือนดินคือกายของเรานี้จะพังทำลายเสีย
เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทานให้ ที่มิได้สร้างด้วยมือมนุษย์
และตั้งอยู่เป็นนิตย์ในสวรรค์
2 เพราะว่าในร่างกายนี้เรายังครวญคร่ำอยู่
มีความอาลัยที่จะสวมที่อาศัยของเราที่มาจากสวรรค์
3 เพื่อว่าเมื่อเราสวมแล้ว เราก็จะมิได้เปลือย
4 เพราะว่าเราผู้อาศัยในร่างกายนี้จึงครวญคร่ำเป็นทุกข์
มิใช่เพราะปรารถนาที่จะอยู่ตัวเปล่า แต่ปรารถนาจะสวมกายใหม่นั้น
เพื่อว่าร่างกายของเราซึ่งจะต้องตายนั้นจะได้ถูกชีวิตอมตะกลืนเสีย
5 แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เตรียมเราไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้
และพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำไว้กับเรา
ยรม.29:11
พระเจ้าตรัสว่าเพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ
ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า
6.3 จำกัดในความรู้รอบรู้กว้าง (18)
ด้วยความใฝ่รู้
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มนุษย์มีความรู้มากขึ้น
แต่ยิ่งรู้ยิ่งเป็นหลักฐานชี้ว่ามนุษย์ในอดีตรู้น้อย เข้าใจผิดมาก
ยังมีอีกมากที่ไม่รู้ คนรุ่นใหม่เข้าใจหลายอย่างที่ต่างจากข้อสรุปเดิม
ที่เคยคิดว่าเข้าใจนั้นความจริงเข้าใจผิด ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
อธิบายขยายความ:
ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือมีความรู้มหาศาลอยู่ในทุกสรรพสิ่ง
หรือในสรรพสิ่งมีความรู้มากมาย เรื่องนี้สะท้อนสติปัญญาพระเจ้า
สดด.77:19 พระมรรคาของพระองค์อยู่ในทะเล
พระวิถีของพระองค์อยู่ในน้ำมหึมาทั้งหลาย
ถึงกระนั้นรอยพระบาทของพระองค์ก็ไม่มีใครรู้
เป็นความจริงหรือไม่
ตั้งแต่มีมนุษย์ สุดท้ายทุกคนจากโลกนี้ไปในสภาพที่ไม่รู้ไม่เข้าใจโลกทั้งหมด
ดังนั้นมนุษย์ไม่อาจวางใจความรู้ความเข้าใจของตน
ที่คิดว่ารู้-คิดว่าถูกแท้จริงแล้วไม่สมบูรณ์หรือมีข้อผิด
พระเจ้าจึงเตือนอย่าวางใจความรอบรู้ของตัวเอง ตั้งใจแสวงหาพระเจ้า
ติดตามพระองค์ย่อมดีกว่า ปลอดภัยกว่า
6.4 พระคัมภีร์ต้องใช้ทั้งเล่ม
คริสเตียนผู้เชื่อต้องตระหนักว่าการใช้พระคัมภีร์ต้องใช้ทั้งเล่ม
พยายามศึกษาให้เข้าใจครบถ้วน ต้องรู้จริง รู้มากพอ
สามารถประยุกต์ใช้จนได้คำตอบในเรื่องต่างๆ
2ทธ.3:16-17
16 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า
และเป็นประโยชน์ในการสอนการตักเตือนว่ากล่าวการปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี
และการอบรมในทางธรรม
All Scripture is God-breathed and is useful for teaching,
rebuking, correcting and training in righteousness,
17 เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง
so that the servant of God may be thoroughly equipped for every good
work.
ยกตัวอย่าง เรื่องความรอด
ดังนั้นหลังจากรับเชื่อแล้ว
ขอเพียงยึดความเชื่อไว้เท่านี้จะรอด จึงใช้ชีวิตตามใจชอบ ทำบาปสารพัด โดยยึดว่าพระเจ้าเป็นความรัก
ทรงรักเสมอ ให้อภัยเสมอ
ความเข้าใจเช่นนี้ผิด
มาจากการไม่ใช้พระคัมภีร์ทั้งเล่ม
พระเยซูตรัสใน มธ.7:21 ว่า ...
มธ.7:21
"มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า "พระองค์เจ้าข้า
พระองค์เจ้าข้า" จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์
แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้
เพียงแค่รับเชื่อ
ยอมรับพระเยซูจึงไม่เพียงพอ “แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา
ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้”
ยก.2:14
ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า แม้ผู้ใดจะว่าตนมีความเชื่อ
แต่ไม่ประพฤติตามจะได้ประโยชน์อะไร ความเชื่อของเขาจะช่วยเขาให้รอดได้หรือ
มธ.7:21 กับ ยก.2:14 เป็นตัวอย่างชี้ว่าการยึดรม.10:9 เพียงข้อเดียวไม่พอ
เรื่องความรอดมีมากกว่านั้น
ความเข้าใจที่ถูกต้องคือ
การเชื่อศรัทธาพระเยซูเป็นเพียงจุดเริ่ม นำสู่การเชื่อฟังคำสอนอื่นๆ
มารซาตานรู้จักพระเจ้าอย่างดีแต่ไม่ยอมรับพระองค์ ไม่ทำตามคำสอน มารซาตานจึงต้องรับโทษในที่สุด
ใครก็ตามที่เชื่อพระเจ้าแต่ไม่ตั้งใจทำตามคำสอน เป็นคริสเตียนแต่ปาก น่าเป็นห่วงว่าปลายทางของพวกเขาอาจไม่ต่างจากมารซาตาน
สดด.119:1-2
1 บรรดาผู้ที่ดีรอบคอบในทางของเขาก็เป็นสุขคือผู้ที่ดำเนินตามพระธรรมของพระเจ้า
Blessed are those whose ways are blameless, who walk
according to the law of the LORD.
2 ผู้ที่รักษาบรรดาพระโอวาทของพระองค์ก็เป็นสุขคือผู้ที่แสวงหาพระองค์ด้วยสุดใจ
Blessed are those who keep his statutes and seek him with
all their heart—
สดด.119:1-2 เน้นชีวิตผู้เชื่อที่ดำเนินตามคำสอน
แสวงหาพระเจ้าอย่างจริงจัง ผู้นั้นจะรับการอวยพร
ยิ่งใช้
(พระวจนะ) ยิ่งเข้าใจ ยิ่งทรงพลังด้วยพระคุณ
7. อย่าพึ่งพาความรู้ของตัวเอง
19 "ทางที่จะนำไปสู่สำนักของความสว่างอยู่ที่ไหนและส่วนที่มืด
สถานที่นั้นอยู่ที่ไหน
“What is the way to the abode of light? And where does
darkness reside?
20 เพื่อเจ้าจะได้พามันไปยังแดนของมัน
และเพื่อเจ้าจะได้เห็นทางไปบ้านของมัน
21 เจ้าคงรู้เพราะเจ้าเกิดมาแล้ว
อายุของเจ้าก็มากเหลือหลาย
โยบ.38:19-21 ยกความจำกัดเรื่องความเข้าใจกลางวันกับกลางคืน
กลางวันที่สว่างกับกลางคืนที่มืด ทุกวันนี้นักดาราศาสตร์
นักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายปรากฎการณ์กลางวันกลางคืน
แต่เป็นเพียงอธิบายการทรงสร้างบางส่วน ทรงเตือนอย่าคิดพึ่งพาความรู้ของตัวเอง (21)
การเกิดความสว่างความมืด
เกิดวัน ฤดู พื้นที่เขตร้อนเขตหนาว ล้วนสะท้อนการทรงสร้างอันล้ำลึก
ทำให้โลกเป็นโลก มนุษย์กับสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ หากแกนหมุนของโลกเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยจะส่งผลต่อชีวิตใหญ่หลวง
(แกนหมุนของโลกเกี่ยวข้องกับดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์)
โลกกับความเป็นไปของโลกเป็นส่วนหนึ่งของแผนการพระเจ้า
เนื้อหาพระคัมภีร์ Bible
เกือบทั้งหมดบรรยายเรื่องราวที่เกิดในโลกใบนี้
บรรยายตั้งแต่เริ่มสร้างโลกจนถึงอนาคตนิรันดร์
ความเป็นไปโลกกับแผนการพระเจ้าสัมพันธ์กันมาก
การอธิบายความเป็นไปของโลก
ทั้งสิ่งที่บางคนเรียกว่าปรากฎการณ์ธรรมชาติ เรื่องราวมนุษย์แต่ละคน
จนถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
คือการบรรยายส่วนหนึ่งของแผนการน้ำพระทัยพระเจ้านั่นเอง ทรงกำกับควบคุม
8. ทรงสร้างและควบคุมกำกับโลก
โยบ.38:22-30
22 "เจ้าเข้าไปในคลังหิมะแล้วหรือ
หรือเจ้าเห็นคลังลูกเห็บแล้วหรือ
23 ซึ่งเราสงวนไว้เพื่อเวลายากลำบาก
เพื่อวันศึกและสงคราม
24 ทางที่จะไปสู่ที่ซึ่งความสว่างแจกจ่ายออกไปนั้นอยู่ที่ไหน
หรือที่ซึ่งลมตะวันออกกระจายไปบนแผ่นดินโลกอยู่ที่ไหน
25 "ใครเซาะช่องให้กระแสฝน
และทำทางให้ฟ้าผ่า
26 ให้นำฝนมาบนแผ่นดินที่ไม่มีคนอยู่
และบนถิ่นทุรกันดารซึ่งไม่มีมนุษย์ที่นั่น
27 เพื่อให้ดินที่เปล่าและแผ่นดินที่เริศร้างได้อิ่ม
และกระทำให้แผ่นดินมีหญ้าอ่อนงอก
28 "ฝนมีพ่อหรือ
หรือผู้ใดได้กระทำให้เกิดหยาดน้ำค้าง
29 น้ำแข็งมาจากครรภ์ของผู้ใด
ผู้ใดให้กำเนิดแก่ปุยน้ำค้างแข็งแห่งฟ้าสวรรค์
30 น้ำกลายเป็นของแข็งเหมือนหิน
และผิวมหาสมุทรแข็งตัว
โยบ.38:19-21
ยกความจำกัดเรื่องความเข้าใจกลางวันกลางคืน จากนั้นโยบ.38:22-30 ยกอีกหลายเรื่องที่มนุษย์ไม่เข้าใจทั้งหมด
ตั้งคำถามเรื่องดินฟ้าอากาศหลายข้อ ชี้ว่าทรงสร้างและควบคุมกำกับ
หิมะตก น้ำท่วม ความแห้งแล้ง ไม่ใช่แค่ปรากฎการณ์ธรรมชาติ
แต่เป็นส่วนหนึ่งของการทรงสร้าง วิธีกำกับควบคุมโลก พระเจ้ามีพระประสงค์ในนั้น
ทรงสร้างอย่างมีเหตุผล บางครั้งเพื่อการลงโทษ ให้ชีวิตอยู่ยาก ผลผลิตไม่ดี
อันเนื่องจากความบาป (22-23) เช่นเดียวกับการอวยพร
ให้ความอุดมสมบูรณ์ ฝนตกให้น้ำอย่างเหมาะสม (24-27) เพราะพระผู้สร้างทรงดูแลควบคุม
(28-30)
สดด.147:17 พระองค์ทรงโยนน้ำแข็งของพระองค์เป็นก้อนๆ
ใครจะทนทานความหนาวของพระองค์ได้
ฉธบ.28:11-12
11 พระเจ้าจะทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ของตัวท่านเอง
ผลของฝูงสัตว์ของท่านและผลแห่งพื้นดินของท่าน
ในแผ่นดินซึ่งพระเจ้าทรงปฏิญาณแก่บรรพบุรุษว่าจะให้ท่าน
12 พระเจ้าจะเปิดคลังฟ้าอันดีของพระองค์ประทานฝนแก่ท่านตามฤดูกาลและทรงอำนวยพระพรแก่กิจการน้ำมือของท่าน
และท่านจะให้ประชาชาติหลายประชาชาติขอยืม แต่ท่านจะไม่ขอยืมเขา
ตัวอย่าง อพย.9:25 ทรงตั้งใจให้เกิดขึ้นเพื่อลงโทษ
อพย.9:25 สิ่งทั้งปวงที่อยู่ในทุ่งนาทั่วแผ่นดินอียิปต์
ก็ถูกลูกเห็บทำลายเสียสิ้นทั้งคนและสัตว์ ลูกเห็บยังตกลงถูกผักและต้นไม้
ทุกอย่างหักโค่น
อธิบายขยายความ: เป็นความจริงที่มนุษย์เข้าใจมากขึ้น
สร้างฝนเทียม ฟ้าผ่าเทียม สามารถสร้างโมเลกุลน้ำ แต่ทั้งหมดคือความพยายามเข้าใจสติปัญญาของพระเจ้า
มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจทั้งหมดหรือทำได้อย่างพระองค์
น้ำบางทีเป็นของเหลว เป็นไอน้ำ หรือเป็นน้ำแข็ง
น้ำหรือโมเลกุลน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล
ใครสามารถริเริ่มคิดค้นโมเลกุลน้ำเช่นนี้
ความเป็นไปของฝนฟ้าอากาศเป็นมากกว่าปรากฎการณ์ธรรมชาติ
เป็นอีกรูปแบบที่พระเจ้ากำกับควบคุม อวยพรและลงโทษ
ถ้ามองภาพรวมทั้งโลก
ไม่เพียงการทรงสร้างซับซ้อน ความเป็นไปของปรากฎการณ์ยังซับซ้อนด้วย
หิมะที่ตกซีกโลกเหนือมีผลต่อชีวิตในแถบศูนย์สูตร จำนวนต้นไม้ป่าไม้ในประเทศหนึ่งมีผลต่อฝนฟ้าอากาศของอีกประเทศที่ห่างไกล
การตัดไม้เพื่อสร้างเมือง การใช้ไฟฟ้าในชีวิตประจำวันของคนประเทศหนึ่งอาจมีผลทำให้หลายชีวิตของอีกประเทศที่ห่างไกลยากลำบาก
เหล่านี้ไม่ใช่แค่ความเป็นไปของธรรมชาติ (น้ำท่วมเพราะป่าไม้ถูกทำลาย)
ที่เกี่ยวข้องกันแม้อยู่คนละซีกโลก เป็นอีกวิธีการกำกับควบคุมโลกของพระเจ้า
เกินกว่ามนุษย์แม้กระทั่งผู้เชื่อจะเข้าใจทั้งหมด
พระคัมภีร์ให้ความเข้าใจว่าแต่เดิมมนุษย์อยู่ในสวนเอเดนที่อุดมสมบูรณ์
ความบาปทำลายชีวิตบริบูรณ์เช่นนี้ มนุษย์ต้องทำงานเหงื่ออาบหน้า สิ่งแวดล้อมธรรมชาติเสียหาย
ทุกวันนี้ผู้คนนับล้านอดอยากยากจน ความรักเยือกเย็นลง ชีวิตอยู่ยากมากขึ้น
เหล่านี้เตือนใจว่าระบบโลกอยู่ในอิทธิพลบาปและเสื่อมลงทุกที
ปฐก.3:17-19
17 พระองค์จึงตรัสแก่อาดัมว่า"เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา
และกินผลไม้ที่เราห้าม แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะตัวเจ้า
เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากจนตลอดชีวิต
18 แผ่นดินจะให้ต้นไม้และพืชที่มีหนามแก่เจ้าและเจ้าจะกินพืชต่างๆ
ของทุ่งนา
19 เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า
จนเจ้ากลับเป็นดินไป เพราะเราสร้างเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดิน
และจะต้องกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม"
มธ.24:12 ความรักของคนส่วนมากจะเยือกเย็นลง
เพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป
มนุษย์พยายามทำความเข้าใจและแก้ปัญหา
แต่ความเข้าใจแท้อยู่ในพระเจ้า
ต้องกลับมาหาพระองค์จึงจะเข้าถึงความเข้าใจที่ถูกต้อง และดำเนินอยู่ในทางนั้น
กลับสู่แผนความบริบูรณ์อีกครั้ง
9. ทรงสร้างและกำกับควบคุมดวงดาว
โยบ.38:31-33
31 "เจ้ามัดดาวลูกไก่ให้เป็นกลุ่มได้หรือ
หรือแก้เครื่องผูกดาวไถได้หรือ
32 เจ้านำดาวนักษัตรออกมาตามฤดูของมันได้หรือหรือเจ้านำทางของดาวจระเข้และลูกของมันได้ไหม
33 เจ้ารู้กฎของฟ้าสวรรค์หรือเปล่า
เจ้าตั้งฟ้าสวรรค์ให้ครอบครองแผ่นดินได้หรือ
พระเจ้ายกตัวอย่างเรื่องการทรงสร้างอีก
คราวนี้เจาะจงเรื่องการสร้างดวงดาว ระบบดวงดาวที่อยู่นอกโลก
ถ้อยคำตอนนี้ย้ำทรงสร้างฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลกที่ส่งผลต่อสรรพสิ่ง
ผู้ใดสามารถสร้างและกำกับระบบดวงดาว
จงรู้เถิดว่าพระเจ้าทำได้และทำแล้ว
ปฐก.1:1-3
1 ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน
2 แผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ
และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น
3 พระเจ้าตรัสว่า "จงเกิดความสว่าง"
ความสว่างก็เกิดขึ้น
โยบ.9:8-10
8 ผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์ออกแต่พระองค์เดียว
และทรงย่ำคลื่นของทะเล
9 ผู้ทรงสร้างดาวจระเข้และดาวไถ ดาวลูกไก่
และหมู่ดาวทิศใต้
10 ผู้ทรงกระทำมหกิจเหลือที่จะเข้าใจได้
และการอัศจรรย์อย่างนับไม่ถ้วน
การทรงสร้างนี้ก่อให้เกิดฤดู
วัน ปี
ปฐก.1:14-16
14 พระเจ้าตรัสว่า "จงมีดวงสว่างบนฟ้า
เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้ดวงสว่างเป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี
15 และให้เป็นดวงสว่างบนฟ้า เพื่อส่องสว่างบนแผ่นดิน"
ก็เป็นดังนั้น
16 พระเจ้าได้ทรงสร้างดวงสว่างขนาดใหญ่ไว้สองดวง
ให้ดวงใหญ่ครองวัน ดวงเล็กครองคืน พระองค์ทรงสร้างดวงดาวต่างๆด้วย
การสร้างดวงดาว
ระบบดวงดาว เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ควบคุมสรรพสิ่งรวมทั้งมนุษย์
มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้
การทรงสร้างสะท้อนความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
ผู้เชื่อและสรรพสิ่งเหล่านั้นสรรเสริญพระองค์ (สรรพสิ่งสะท้อนฤทธานุภาพ
พระปัญญาอันล้ำเลิศ)
สดด.148:4-6
4 ฟ้าสวรรค์ที่สูงสุด จงสรรเสริญพระองค์
ทั้งน้ำทั้งหลายเหนือฟ้าสวรรค์
5 ให้สิ่งเหล่านั้นสรรเสริญพระนามพระเจ้า
เพราะพระองค์ทรงบัญชา สิ่งเหล่านั้นก็ถูกเนรมิตขึ้นมา
6 และพระองค์ทรงสถาปนามันไว้เป็นนิจกาล
พระองค์ทรงกำหนดเขตซึ่งมันข้ามไปไม่ได้
and he established them for ever and ever— he issued a
decree that will never pass away.
10. ทรงมีอำนาจและปัญญาเหนือสรรพสิ่ง
พระเจ้าพูดต่อชี้ความเหนือกว่าของพระองค์
ข้อจำกัดของมนุษย์ คราวนี้ยกเรื่องอำนาจกับสติปัญญาที่เทียบพระองค์ไม่ได้
โยบ.38:34-38
34 "เจ้าตะเบ็งเสียงไปถึงเมฆได้ไหมล่ะ
เพื่อน้ำมากมายจะลงมาคลุมเจ้า
35 เจ้าใช้ฟ้าแลบออกไปเพื่อให้มันไป
และพูดกับเจ้าว่า "เราอยู่ที่นี่" ได้ไหม
36 ใครให้สติปัญญาแก่นกกุลา {หรือ เมฆมืด} หรือให้ความเข้าใจแก่พ่อไก่ {หรือ ดาวตก}
37 ใครจะนับเมฆด้วยสติปัญญาได้
หรือใครจะเอียงถุงน้ำของท้องฟ้าได้
38 เมื่อผงคลีแข็งอย่างโลหะหลอม
เมื่อก้อนดินเกาะกันแน่นหรือ
อธิบายขยายความ: ความตอนก่อนพูดเรื่องทรงสร้างระบบดวงดาว เกิดฤดู วัน ปี ทำให้เกิดเมฆ ฝน ฟ้าแลบ
และอื่นๆ ตามมา ทำให้โลกมีอากาศ มีทรัพยกรธรรมชาติ มีอาหารแก่มนุษย์
มีความหลากหลายทางชีววิทยา การสร้างระบบดวงดาวและเกิดสิ่งต่างๆ
ตามมาสะท้อนสิทธิอำนาจ (ผู้สร้างเป็นเจ้าของ ทรงครอบครอง) และสติปัญญาพระองค์
มนุษย์ได้แค่พยายามเรียนรู้สติปัญญาและนำมาใช้ประโยชน์ เช่น ทำฝนเทียม
การพยากรณ์อากาศ
คำถาม
ถ้าแต่เดิมไม่มีระบบดวงดาว ไม่มีฤดู วัน ปี
มนุษย์สามารถริเริ่มคิดสร้างสิ่งเหล่านี้หรือไม่
พระผู้สร้างย่อมเหนือกว่าสิ่งที่ถูกสร้าง
อมส.5:8 พระองค์ผู้ทรงสร้างดาวลูกไก่และดาวไถ
และเป็นผู้ทรงกลับความมืดทึบให้เป็นรุ่งเช้า และทรงกระทำกลางวันให้มืดเป็นกลางคืน
ผู้ทรงเรียกน้ำทะเลมา และโปรยน้ำนั้นลงบนพื้นพิภพ พระเยโฮวาห์คือพระนามของพระองค์
สิ่งที่มนุษย์ควรทำคือเชื่อศรัทธา ขอความช่วยเหลือจากพระองค์
ศคย.10:1 จงขอฝนจากพระเจ้า
ในฤดูฝนชุกปลายฤดู ขอจากพระเจ้าผู้ทรงปั้นเมฆพายุ ผู้ทรงประทานห่าฝนแก่มนุษย์
และผักในทุ่งนาแก่ทุกคน
การขอความช่วยเหลือสะท้อนว่าผู้นั้นเชื่อศรัทธาพระองค์
11. ทรงดูแลให้ระบบดำรงอยู่
ตอนท้ายของโยบ.38
พระเจ้าเอ่ยถึงการให้อาหารแก่สิงห์ กา ลูกกา
เป็นตัวอย่างว่าไม่เพียงสร้างระบบเท่านั้น พระองค์ทรงให้ระบบทำงานและดำรงอยู่
โยบ.38:39-41
39 "เจ้าล่าเหยื่อให้สิงห์ได้หรือ
หรือให้สิงห์หนุ่มที่หิวอิ่มได้ไหมล่ะ
40 เมื่อมันหมอบอยู่ในถ้ำของมัน
หรือนอนคอยอยู่ในที่กำบัง
41 ใครจัดหาเหยื่อให้กา
เมื่อลูกอ่อนของมันร้องต่อพระเจ้า และระเหระหนไปเพราะขาดอาหาร
อธิบายขยายความ: เมื่อพระเจ้าสร้างสิงห์
การที่สิงห์จะมีชีวิตอยู่ได้ย่อมต้องมีอาหาร
การทรงสร้างของพระเจ้ารวมถึงสร้างระบบอาหารแก่สรรพสัตว์ ที่ต้องมีอาหารหลากหลายและมากพอ
สิงห์กับกาสามารถล่าเหยื่อแต่ไม่อาจสร้างเหยื่อขึ้นเอง
โลกที่พระเจ้าสร้างเป็นระบบนิเวศขนาดมหึมาและซับซ้อน
สดด.104:19-21
19 พระองค์ทรงจัดตั้งดวงจันทร์ให้กำหนดฤดู
ดวงอาทิตย์รู้จักเวลาตกของมัน
20 พระองค์ทรงให้เกิดความมืดและเป็นกลางคืน
เป็นสัตว์ของป่าไม้คลานออกมา
21 สิงห์หนุ่มคำรามหาเหยื่อของมัน
และแสวงหาอาหารของมันจากพระเจ้า
นึกถึงมนุษย์ที่ต้องการอาหารหลากหลาย
กินครบ 5 หมู่ วิตามินเกลือแร่ต่างๆ จำต้องมีระบบอาหารที่ซับซ้อนเพื่อให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้
ลูกกาที่ยังเล็กได้รับอาหารเพราะพ่อแม่เลี้ยงดู
การมีลูกอ่อนและสามารถเลี้ยงดูทำให้เกิดลูกหลานสืบเนื่อง โลกจึงมีพืชสัตว์มากมาย
เป็นระบบนิเวศ (ecosystem) ที่ซับซ้อน
พระเจ้าดูแลคนของพระองค์ยิ่งกว่าสรรพสัตว์
มธ.6:26 จงดูนกในอากาศ
มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย
ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ
มธ.6:31-33
31 เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายว่า จะเอาอะไรกิน
หรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม
32 เพราะว่าพวกต่างชาติแสวงหาสิ่งของทั้งปวงนี้
แต่ว่าพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า
ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้
33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า
และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้
พระเจ้าดูแลคนของพระองค์เพื่อพวกเขาจะทำนิมิตการทรงเรียกให้สำเร็จ
ทรงสร้างผู้เชื่อแต่ละคนอย่างมีเป้าหมาย
สภษ.16:1-4
1 แผนงานของดวงความคิดเป็นของมนุษย์
แต่คำตอบของลิ้นมาจากพระเจ้า
2 ทางทั้งสิ้นของมนุษย์ก็บริสุทธิ์ในสายตาของเขาแต่พระเจ้าทรงชั่งจิตใจ
3 จงมอบงานของเจ้าไว้กับพระเจ้า
และแผนงานของเจ้าจะได้รับการสถาปนาไว้
4 พระเจ้าทรงกระทำให้ทุกสิ่งมีเป้าหมายของมันแม้คนชั่วร้ายก็เพื่อวันลำเค็ญ
สรุป:
พระธรรมโยบ
38 สอนให้เข้าใจว่าพระเจ้าสร้างดวงดาว สร้างโลกและสรรพสิ่งโดยคิดล่วงหน้า
ทรงอธิบายเรื่องนี้เพื่อเตือนว่าทรงเป็นผู้สร้างและควบคุมกำกับสรรพสิ่ง
มนุษย์ไม่เหนือกว่าพระองค์ มนุษย์มีสติปัญญา มีความสามารถ แต่ไม่อาจเทียบพระองค์
ทางที่ถูกต้องคือเชื่อศรัทธา เรียนรู้จักพระองค์ นี่คือวิถีที่ดีที่สุด
ทรงกำกับควบคุมสรรพสิ่งแม้กระทั่งชีวิตของท่าน อนาคตของท่าน
การยอมรับพระเจ้าเชื่อวางใจพระองค์จึงสำคัญมาก
โยบและผู้เชื่อศรัทธาทั้งหลายต้องยึดความจริงนี้ให้มั่น ไม่สงสัย
สดด.91:14 เพราะเขาผูกพันกับเราด้วยความรัก
เราจะช่วยกู้เขา เราจะป้องกันเขาไว้ เพราะเขารู้จักนามของเรา
คำถามหลังคำสอน :
1) นาย ก เกิดมาจน ชีวิตมักเจอเรื่องร้าย เป็นทุกข์อยู่เสมอ ท่านจะแนะนำนาย ก
อย่างไร
2) ถ้าท่านเป็นคริสเตียนและพบเจอเรื่องร้ายขาดสันติสุขอย่างนาย ก
ท่านจะตอบสนองอย่างไร แก้ไขอย่างไร
------------------------