โยบ.1:8 และพระเจ้าตรัสกับซาตานว่า "เจ้าได้ไตร่ตรองดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ ว่าในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีรอบคอบและเที่ยงธรรม เกรงกลัวพระเจ้าและหันเสียจากความชั่วร้าย"
พระเจ้าเอ่ยถึงโยบว่า “ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีรอบคอบและเที่ยงธรรม เกรงกลัวพระเจ้าและหันเสียจากความชั่วร้าย” เป็นแบบอย่างที่พระองค์เอ่ยถึงบุคคลผู้บริสุทธิ์ชอบธรรม โยบได้อธิบายวิธีการที่เขาทำเพื่อรักษาความเป็นคนดีรอบคอบในโยบบทที่ 31
บทเรียนนี้แบ่งออกเป็น 2 หัวเรื่องใหญ่คือ วิถีรักษาความบริสุทธิ์ชอบธรรมจากโยบ 31 กับวัฎจักรบาปกับทางออก
หัวเรื่องแรกเป็นการตีความขยายความวิถีรักษาความบริสุทธิ์ชอบธรรมจากพระธรรมโยบบทบที่ 31 ส่วนหลังเป็นการยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น
อ่านโยบ.31
คำถามก่อนเรียน :
1) ในสมัยเด็ก ท่านได้เลียนแบบเรื่องใดจากใคร เรื่องนั้นแบบส่งผลต่อชีวิตอย่างไร
2) ท่านคิดว่าเพื่อนมีผลต่อความคิดพฤติกรรมต่อกันหรือไม่
วิถีรักษาความบริสุทธิ์ชอบธรรมจากโยบ 31
พระธรรมโยบบทที่ 31 โยบแจกแจงรายละเอียดให้เห็นว่าท่านดำเนินชีวิตชอบธรรมในทุกเรื่อง สามารถดึงหลักการรักษาความบริสุทธิ์ชอบธรรมได้ ดังนี้
1. ถวายตัวไม่ทำบาป
โยบ.31:1 "ข้าได้กระทำพันธสัญญากับนัยน์ตาของข้า แล้วข้าจะมองหญิงพรหมจารีได้อย่างไร
“I made a covenant with my eyes not to look lustfully at a young woman.
ข้อนี้เอ่ยถึงความบาปทางเพศที่ผู้คนมักทำผิด โยบมีภรรยามีครอบครัวอยู่แล้วแต่หากยังมองหญิงอื่นในทางที่ไม่สมควร ไม่บริสุทธิ์ใจ เป็นบาปที่ทั้งกับชายกับหญิงมักถูกล่อลวงทำให้ผิด
โยบแก้ด้วยการทำพันธสัญญากับพระเจ้าว่าตนจะไม่ทำผิดเรื่องนี้
หลักการสำคัญคือตั้งใจไม่ทำบาป การทำพันธสัญญาคือวิธีหนึ่ง ตั้งเป้าจะดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์
สดด.119:106 ข้าพระองค์ได้ตั้งสัตย์สาบานและยืนยันไว้ ว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายอันชอบธรรมของพระองค์
คนมีความตั้งใจไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ทำบาปอีกเลย เขายังอ่อนแอ ผิดพลาด แต่ด้วยมีความตั้งใจเขาจะพยายามและพระเจ้าจะช่วย
1.1 รากศัพท์พันธสัญญา
รากศัพท์ “พันธสัญญา” (a covenant) คือ בְּרִית (อ่านว่า ber-eeth') หมายถึง พันธสัญญา สนธิสัญญา (treaty) เป็นพันธมิตร (allied)
เป็นสัญญาข้อตกลงระหว่างพระเจ้ากับผู้เชื่อ มีผลผูกพันสืบเนื่อง
ใช้ในหลายที่ เช่น
ปฐก.6:18 แต่เราจะตั้งพันธสัญญาไว้กับเจ้า ให้เจ้าเข้าอยู่ในนาวา ทั้งบุตรภรรยาและบุตรสะใภ้
ปฐก.9:11 เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้าว่าจะไม่ทำลายบรรดามนุษย์และสัตว์โดยให้น้ำท่วมอีก และจะไม่ให้มีน้ำมาท่วมทำลายโลกอีกต่อไป"
ปฐก.17:9 พระเจ้าตรัสแก่อับราฮัมว่า "เจ้าเองก็ดี เชื้อสายของเจ้าที่สืบตลอดชั่วชาตพันธุ์ของเขาก็ดี จงรักษาพันธสัญญาของเรา
ตลอดพระคัมภีร์มีพันธสัญญามากมายระหว่างพระเจ้ากับผู้เชื่อ ตัว Bible ยังถูกเรียกว่า “พันธสัญญาเดิม” (Old Testament) กับ “พันธสัญญาใหม่” (New Testament)
พระคัมภีร์บรรยายพันธสัญญาที่พระเจ้ากระทำกับผู้เชื่อทั้งหลายว่าผลของความชอบธรรมกับความบาปเป็นอย่างไร บรรยายเรื่องราวคนของพระเจ้ากับพันธสัญญา เป็นบทเรียนให้คริสเตียนผู้เชื่อรุ่นหลังตระหนักและรู้ว่าทางที่ควรนั้นเป็นเช่นไร
ฉธบ.8:7-20
ฉธบ.8:18-19
18 ท่านทั้งหลายจงจำพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำลังแก่ท่านที่จะได้ทรัพย์สมบัตินี้ เพื่อว่าพระองค์จะทรงดำรงพันธสัญญาซึ่งพระองค์ทรงกระทำโดยปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน ดังวันนี้
19 และถ้าท่านลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ไปติดตามพระอื่นและปฏิบัตินมัสการพระเหล่านั้น ข้าพเจ้าขอเตือนท่านจริงๆในวันนี้ว่าท่านจะต้องพินาศเป็นแน่
การทำพันธสัญญามีความหมายว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก มีคุณค่ายิ่งที่จะยึดมั่นข้อตกลงและมีผลร้ายแรงหากละเมิดพันธสัญญา
พระเจ้าไม่อยากลงโทษแต่ทุกอย่างเป็นไปตามพันธสัญญา รับผลดีแห่งการเชื่อฟังและรับโทษของการไม่เชื่อฟัง
ใครหว่านสิ่งใดได้เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น “พระองค์ทรงสนองมนุษย์ตามการงานของเขา”
สดด.62:11-12
11 พระเจ้าตรัสครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยินอย่างนี้สองครั้งแล้วว่าฤทธานุภาพเป็นของพระเจ้า
12 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า และความรักมั่นคงเป็นของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสนองมนุษย์ตามการงานของเขา
and with you, Lord, is unfailing love”; and, “You reward everyone according to what they have done.”
กท.6:7-8
7 อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น
8 ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังของตน ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณ ก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น
1.2 พระเยซูตั้งพิธีมหาสนิทเป็นพันธสัญญา
พระเยซูไม่ได้เลิกล้มพันธสัญญา ทรงทำให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นตามแผนการดั้งเดิม (พระเยซูเป็นส่วนหนึ่งของแผนการช่วยกู้มนุษย์ที่ล้มลงในบาป) ตั้งพันธสัญญาเพิ่มเติมเช่นพิธีมหาสนิทให้สาวกระลึกการไถ่ของพระองค์ตลอดไป ทุกวันนี้คริสเตียนจึงทำพิธีมหาสนิท
1คร.1:25-26
25 เมื่อรับประทานแล้ว พระองค์จึงทรงหยิบถ้วยด้วยอาการอย่างเดียวกัน ตรัสว่า "ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา เมื่อท่านดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด จงดื่มเป็นที่ระลึกถึงเรา"
26 เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายกินขนมปังนี้และดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา
ตัวอย่างอื่นๆ เช่น การแต่งงานของคริสเตียนไม่ใช่เรื่องระหว่างชายหญิง 2 คนเท่านั้น เกี่ยวข้องกับพระเจ้าโดยตรง พระองค์เป็นแกนกลางเชื่อมความสัมพันธ์คนทั้งสองไว้ สัมพันธ์กับชุมชนผู้เชื่อ ทั้งคู่จะต้องปฏิบัติต่อกันและกันอย่างถูกต้องตามหลักการพระเจ้า ใครละเมิดคือทำผิดต่อพระเจ้า
1.3 คำสอนของพระเยซูเป็นพันธสัญญา
ตัวอย่าง พระเยซูสอนเรื่องผู้เป็นสุข ใน มธ.5:3-12 แสดง “ผลที่ได้รับ” ในแต่ละเรื่อง
3 "บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
4 "บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม
5 "บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
6 "บุคคลผู้ใดหิวกระหายความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์
7 "บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ
8 "บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า
9 "บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร
10 "บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
11 "เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข
12 จงชื่นชมยินดี เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระวจนะ ทั้งหลาย ที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน
เหตุที่เป็นสุขเพราะจดจ่อสิ่งที่อยู่เบื้องบน ยึดพระเจ้าอย่างมั่นคง นี่คือพันธสัญญาที่พระเยซูให้ไว้
1.4 ข้อสรุปคำสอนพระเจ้าตั้งแต่แรกเริ่ม
ฉธบ.11:22 เพราะถ้าท่านระวังที่จะกระทำตามบัญญัติทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้าได้บัญชาท่าน คือรักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ดำเนินในทางทั้งสิ้นของพระองค์ และติดสนิทอยู่กับพระองค์แล้ว
For if you are careful to observe this entire commandment I am giving you, loving the LORD, your God, following his ways exactly, and holding fast to him,
อธิบายขยายความ: ฉธบ.11:22 เริ่มด้วยการสอนว่า “กระทำตามบัญญัติทั้งปวง” บัญญัติที่สอนผ่านโมเสสมีมากมายปรากฏในพระธรรมหมวดเบญจบรรณ ฉธบ.11:22 (โมเสส) สรุปคำสอนพระเจ้าตั้งแต่แรกเริ่ม (สรุปคำสอนในหมวดเบญจบรรณ) ไว้ 3 ข้อคือ 1) รักพระเจ้าของเจ้า 2) ดำเนินชีวิตตามแบบของพระองค์อย่างเที่ยงตรง 3) ติดสนิทกับพระองค์ ทั้ง 3 ข้อแยกจากกันไม่ได้
ทั้ง 3 ข้อแยกจากกันไม่ได้ (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)
พระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติที่ต่อจากนี้ (ต่อจากฉธบ.11:22) เป็นพันธสัญญาการอวยพรอันเนื่องจากการปฏิบัติตามข้อสรุปคำสอน
ฉธบ.11:23-25
23 พระเจ้าจะทรงขับไล่บรรดาประชาชาติเหล่านี้ให้ออกไปพ้นหน้าท่านทั้งหลาย แล้วท่านจะเข้ายึดแผ่นดินของประชาชาติที่ใหญ่กว่าและมีกำลังมากกว่าท่าน
24 ฝ่าเท้าของท่านทั้งหลายจะเหยียบลงที่ใด ที่นั่นจะเป็นของท่าน อาณาเขตของท่านจะเริ่มจากถิ่นทุรกันดารไปจนถึงเลบานอน และจากแม่น้ำ คือแม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงทะเลตะวันตก
25 จะไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านท่านได้ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายเป็นที่เกรงขามและตกใจกลัวของแผ่นดินที่ท่านทั้งหลายจะเหยียบย่ำไปตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับท่าน
1.5 ชีวิตคริสเตียนเป็นชีวิตตามพระสัญญา
อฟ.2:12-17
12 จงระลึกว่า ครั้งนั้นท่านทั้งหลายเป็นคนอยู่นอกพระคริสต์ ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล และไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น ไม่มีที่หวัง และอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า
13 แต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์
14 เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง
For he himself is our peace, who has made the two groups one and has destroyed the barrier, the dividing wall of hostility,
15 คือการเป็นปฏิปักษ์กัน โดยในเนื้อหนังของพระองค์ ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วยบทบัญญัติและกฎหมายต่างๆ นั้นเป็นโมฆะ เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละ จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข
by setting aside in his flesh the law with its commands and regulations. His purpose was to create in himself one new humanity out of the two, thus making peace,
16 และเพื่อจะทรงกระทำให้ทั้งสองพวกคืนดีกับพระเจ้า เป็นกายเดียวโดยกางเขน ซึ่งเป็นการทำให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อกันหมดสิ้นไป
17 และพระองค์ได้เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล และประกาศสันติสุขแก่คนที่อยู่ใกล้
คนอิสราเอลหรือผู้เชื่อที่ดำเนินตามธรรมบัญญัติจะรู้ว่าตนทำบาป ไม่มีใครสมบูรณ์ เป็นต้นเหตุขาดสันติสุข ยิ่งบาปมากยิ่งขาดสันติสุข (ข้อ 15) การไถ่ของพระคริสต์ผูกคริสเตียนเข้ากับพันธสัญญาใหม่ มีฤทธิ์เดชช่วยให้ชอบธรรม ได้รับสันติสุขจากพระคริสต์ มีผลต่อชีวิตโลกนี้และนิรันดร์ สังเกตว่าพระคัมภีร์ตอนนี้ย้ำพระเยซูมาเพื่อ “ประกาศสันติสุข” (ข้อ 17) ข่าวประเสริฐคือข่าวสันติสุข
พันธสัญญาจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวด อยู่คู่ชีวิตคริสเตียน เป็นข้อปฏิบัติพื้นฐานตั้งเป้าดำเนินชีวิตในความชอบธรรมไม่ทำบาปโดยมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางของเป้าหมายนี้ ยุคปัจจุบันการไถ่ของพระเยซูผูกคริสเตียนเข้ากับพันธสัญญาใหม่ มีฤทธิ์เดชช่วยให้ชอบธรรม ได้รับสันติสุขจากพระเจ้า
ไม่ว่าเป็นผู้เชื่อยุคใดล้วนเป็นชีวิตในพระสัญญา
2. ตระหนักผลของความบริสุทธิ์กับความบาป
โยบ.31:2-3
2 อะไรจะเป็นส่วนของข้าจากพระเจ้าเบื้องบน และเป็นมรดกของข้าจากองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ณ ที่สูง
For what is our lot from God above, our heritage from the Almighty on high?
3 มิใช่ภยันตรายสำหรับคนไม่ชอบธรรม และภัยพิบัติสำหรับคนที่กระทำความบาปผิดดอกหรือ
จิตสำนึกผิดชอบของมนุษย์เสื่อมและเสื่อมลงทุกที การทำผิดบาปเป็นวิถีปกติของคนบาป ขาดความยับยั้งชั่งใจ หลายครั้งตั้งใจทำบาปโดยรู้ว่ากำลังทำบาป (ไม่ว่าจะด้วยมาตรฐานความเชื่อศาสนาใด) หลายคนคิดว่าทำถูกแล้ว ทำบาปทุกวันและบาปมากขึ้น สนุกกับบาป เรียนรู้ทำผิดบาปมากขึ้นและด้วยวิธีแปลกใหม่ ทำผิดต่อคนอื่นๆ เป็นสังคมที่ต่างคนต่างทำบาปต่อกันและกัน
สภษ.30:12 มีคนที่คิดว่าตนเองบริสุทธิ์ แต่มิได้รับการชำระความโสโครกของตน
those who are pure in their own eyes and yet are not cleansed of their filth;
สภษ.30:20 นี่เป็นทางของหญิงผู้ล่วงประเวณี คือ นางรับประทานและนางเช็ดปาก และนางพูดว่า "ฉันไม่ได้ทำผิด"
พระเจ้าเตือนให้ตระหนักอยู่เสมอว่าต้องรับผลของบาป เมื่อทำบาปย่อมรับผลบาปนั้น ในทางตรงข้ามคือรับการอวยพรจากการเชื่อฟังพระเจ้า ยิ่งชอบธรรมมากยิ่งรับผลแห่งความชอบธรรม เหล่านี้เป็นผลที่พวกเขา “ต้องรับ” ขณะมีชีวิตอยู่ในโลก ส่วนโลกหน้าใครจะได้อยู่กับพระเจ้านั่นเป็นอีกเรื่องตามการพิพากษาของพระองค์ ผู้เชื่อให้ความสำคัญทั้งชีวิตโลกนี้กับโลกหน้า ชีวิตโลกนี้มีผลเมื่อไปอยู่กับพระเจ้า (ชีวิตนิรันดร์ รางวัลในสวรรค์ มงกุฎ)
3. เตือนใจตัวเองว่าพระเจ้าเฝ้ามองตลอดเวลา
โยบ.31:4 พระองค์มิทรงเห็นทางที่ข้าไป และนับฝีก้าวของข้าดอกหรือ
Does he not see my ways and count my every step?
พระเจ้าทรงพระชนม์คอยเฝ้ามองทุกคนไม่ว่าเชื่อพระเจ้าหรือไม่ และจะช่วยชี้ทาง ฟังคำอธิษฐานของผู้เชื่อ
สดด.32:8 เราจะแนะนำและสอนเจ้าถึงทางที่เจ้าควรจะเดินไป เราจะให้คำปรึกษาแก่เจ้าด้วยจับตาเจ้าอยู่
1ปต.3:12 เพราะว่าพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าเฝ้าดูคนชอบธรรม และพระกรรณของพระองค์ทรงสดับคำอ้อนวอนของเขา แต่พระพักตร์ของพระองค์ไม่เป็นมิตรกับคนทั้งหลายที่ทำความชั่ว
ไม่ว่าทำบาปหรือเรื่องชอบธรรมในที่แจ้งหรือที่ลับ ไม่มีสิ่งใดหลบซ่อนพระเจ้าได้ คนบาปจะต้องได้รับผล เหมือนคนชอบธรรมที่จะพระองค์จะอวยพรดูแลอยู่เสมอ ไม่ว่ามนุษย์จะรู้หรือไม่ เข้าใจหรือไม่เข้าใจ
สดด.121:7-8
7 พระเจ้าจะทรงอารักขาท่านให้พ้นภยันตรายทั้งสิ้น พระองค์จะทรงอารักขาชีวิตของท่าน
8 พระเจ้าจะทรงอารักขาการเข้าออกของท่าน ตั้งแต่กาลบัดนี้สืบไปเป็นนิตย์
การเตือนใจตัวเองว่าพระเจ้าเฝ้ามองตลอดเวลาจึงช่วยผู้เชื่อให้ระมัดระวังการใช้ชีวิตของตน ระวังความคิด คำพูด การกระทำของตนเสมอ หมั่นอธิษฐานทบทวนกับพระองค์ว่ามีสิ่งใดที่พลาดจากน้ำพระทัยหรือไม่
4. ระวังไม่ดำเนินตามคำสอนเท็จหรือคำหลอกลวง
โยบ. 31:5-6
5 "ถ้าข้าได้ดำเนินไปกับความเท็จ และเท้าของข้าเร่งไปสู่ความหลอกลวง
“If I have walked with falsehood or my foot has hurried after deceit—
6 (ก็ขอให้เอาข้าชั่งด้วยตราชูยุติธรรม และขอพระเจ้าทรงทราบความสัตย์ซื่อของข้า)
ความเท็จคือสิ่งใดๆ ที่ตรงข้ามกับความจริงของพระเจ้า ความเท็จหลอกลวงมนุษย์ให้ทำบาป หลงจากทางพระองค์ ปัจจุบันเราอยู่ในโลกแห่งความบาป โลกที่เต็มด้วยการล่อลวงให้ทำผิดต่อพระเจ้า โยบชี้ว่าตนพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ไปตามความเท็จความหลอกลวง
อธิบายขยายความ: เนื่องจากโลกในยามนี้เป็นโลกแห่งความบาป ความบาปมีอิทธิพลไปทั่วและทวีความรุนแรง เป็นวิธีของมารซาตานที่จะทำลายมนุษย์ หวังให้ผู้เชื่อให้หลงจากทางพระเจ้า ถ่วงรั้งการทำตามน้ำพระทัย ทำให้ความรักเยือกเย็นลง (รวมทั้งความรักแบบอากาเป้) ผู้เชื่อไม่อาจหนีพ้นแม้พยายามจะหนีให้ไกลหรือแม้กระทั่งอยู่ในชุมชนผู้เชื่อ (ไม่มีที่ใดสมบูรณ์) ความบาปจะวนเวียนมาหาเสมอไม่มากก็น้อย เกิดความคิดชั่วในใจได้ตลอดเวลา แม้เชื่อพระเจ้ายังทำบาปอยู่ดี
โรม.3:23-24
23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า
24 แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว
ผู้เชื่อที่มีจิตสำนึกมีความเข้าใจจะรู้ว่าสิ่งใดบาปหรือเทียมเท็จ ระมัดระวังไม่คิดชั่วทำชั่ว (หลงตามความเท็จ การล่อลวง) พยายามดำเนินในทางของพระเจ้า คิดตัดสินตามหลักพระคัมภีร์ อธิษฐานขอการทรงนำ รับคำสอนคำปรึกษาจากผู้มีความเข้าใจมากกว่า
หรืออธิบายว่าผู้เชื่อซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า หนีห่างจากมารซาตานหนทางความชั่วร้าย โยบระวังตัวพร้อมให้พระองค์ตรวจสอบ
ผู้เชื่อที่ตั้งใจติดตามพระเจ้า พระองค์จะปกป้องคุ้มครองจนตลอดรอดฝั่ง
5. รักษากำลังฝ่ายวิญญาณต้านความบาป
โยบ. 31:7-8
7 ถ้าย่างเท้าของข้าหันออกไปจากทาง และจิตใจของข้าไปตามนัยน์ตาของข้า และถ้าด่างพร้อยใดๆ เกาะติดมือข้า
8 ก็ขอให้ข้าหว่านและให้คนอื่นกิน และขอให้สิ่งที่งอกขึ้นเพื่อข้าถูกถอนรากเอาไป
เราไม่สามารถเปลี่ยนโลกให้บริสุทธิ์ในเร็ววัน ยังอยู่ในโลกแห่งความบาป พระองค์ไม่ประสงค์ให้ผู้เชื่อแยกตัวออกจากโลกแห่งความบาปด้วย (หมายถึงไม่ติดต่อสมาคมด้วยเลย) เป็นเหตุที่คริสเตียนยังต้องเผชิญการล่อลวง พระคัมภีร์ตอนนี้เอ่ยถึงจิตถูกล่อลวงจากการมอง
พระเยซูสอนความสำคัญของตา การมอง
มธ.6:22-23
22 "ตาเป็นประทีปของร่างกาย เหตุฉะนั้นถ้าตาของท่านปกติ ทั้งตัวก็พลอยสว่างไปด้วย
23 แต่ถ้าตาของท่านผิดปกติ ทั้งตัวของท่านก็พลอยมืดไปด้วย เหตุฉะนั้นถ้าความสว่างซึ่งอยู่ในตัวท่านมืดไป ความมืดนั้นจะหนาทึบสักเพียงใดหนอ
คริสเตียนไม่สามารถหลับตาเดินหลับตาทำงาน แต่หากมีกำลังฝ่ายวิญญาณมากพอจะช่วยต้านทานอำนาจการล่อลวงของบาป ดังนั้น ต้องแสวงหาพระเจ้า หมั่นศึกษาพระวจนะ อธิษฐานเฝ้าระวัง รับฟังการสอน อยู่ในชุมชน รับใช้พระเจ้า เหล่านี้ทำให้ได้รับการปกป้อง ช่วยพัฒนากำลังฝ่ายวิญญาณให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น
ต้องเปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนความคิดให้ตรงตามแบบพระเจ้า ตั้งมั่นดำเนินชีวิตตามหลักการที่ถูกต้อง กำหนดเป้าหมายที่จะมุ่งไปไม่หลงกับบาปรอบตัว ไม่เสียเวลากับสิ่งไร้สาระ มีกำลังฝ่ายวิญญาณมากพอ ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า
อฟ.4:22-24
22 You were taught, with regard to your former way of life, to put off your old self, which is being corrupted by its deceitful desires;
23 to be made new in the attitude of your minds;
24 and to put on the new self, created to be like God in true righteousness and holiness.
คริสเตียนไม่สามารถหนีการล่อลวงแต่สามารถตัดสินใจเลือกความบริสุทธ์ชอบธรรมหรือบาป
ขอพระเจ้าเมตตาข้าด้วยเถิด
6. รักษาใจไม่หลงประพฤติผิด
โยบ. 31:9 "ถ้าใจของข้าถูกล่อชวนไปหาผู้หญิง และข้าได้ซุ่มอยู่ที่ประตูเพื่อนบ้านของข้า
ผลจากการทำพันธสัญญาไม่ทำบาป ยึดมั่นคำสอน สิ่งที่เกิดขึ้นทางภาคปฏิบัติคือรักษาใจ
โยบไม่สามารถเปลี่ยนสังคมความบาปได้ทั้งหมด เผชิญการล่อลวงจากผู้อื่นและจากความคิดตัวเอง (ในบริบทคือมองหญิงด้วยใจกำหนัด) สิ่งที่ทำคือพยายามรักษาใจ ไม่หลงประพฤติผิด
สภษ.4:20-23
20 บุตรชายของเราเอ๋ย จงตั้งใจต่อถ้อยคำของเราจงเอียงหูของเจ้าเข้าหาคำพูดของเรา
21 อย่าให้มันหนีไปจากสายตาของเจ้า จงรักษามันไว้ภายในใจของเจ้า
22 เพราะมันเป็นชีวิตแก่ผู้ที่ค้นพบ และมันรักษาเนื้อของผู้นั้นทั้งสิ้น
23 จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้านเพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ
สภษ.4:20-23 เป็นดังพ่อสอนลูกให้ยึดคำสอนพระเจ้า ให้พระคำนำชีวิต เป็นเหมือนโคมส่องเท้าเพื่อไม่เดินพลาด ไม่ตกหลุมหรือสะดุดล้มสิ่งกีดขวาง
สดด.119:105-106
105 พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์และเป็นความสว่างแก่มรคาของข้าพระองค์
106 ข้าพระองค์ได้ตั้งสัตย์สาบานและยืนยันไว้ ว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายอันชอบธรรมของพระองค์
7. ไม่ชักจูงหรือบังคับให้คนอื่นประพฤติผิด
โยบ.31:10-12
10 แล้วก็ขอให้ภรรยาของข้าโม่แป้งให้คนอื่นและให้คนอื่นโน้มทับนาง
11 เพราะนั่นเป็นความผิดที่ร้ายกาจ และเป็นความบาปผิดที่ผู้พิพากษาต้องปรับโทษ
12 เพราะนั่นจะเป็นไฟผลาญให้ไปถึงแดนพินาศ และจะถอนรากผลเพิ่มพูนของข้า
โยบ.31:9-10 เอ่ยถึงต้นเหตุการทำบาปที่เกิดขึ้นเสมอคือ คนหนึ่งชักจูงให้อีกคนทำบาป ในที่นี่คือสามีชักจูงหรือบังคับให้ภรรยาทำบาปแบบเดียวกับตน (ความบาปทางเพศ)
9 "ถ้าใจของข้าถูกล่อชวนไปหาผู้หญิง และข้าได้ซุ่มอยู่ที่ประตูเพื่อนบ้านของข้า
10 แล้วก็ขอให้ภรรยาของข้าโม่แป้งให้คนอื่นและให้คนอื่นโน้มทับนาง
ในบัญญัติ 10 ประการ ห้ามการล่วงประเวณี
ฉธบ.5:18, 21
18 "'อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา
21 "'อย่าโลบภรรยาของเพื่อนบ้าน
เริ่มจากคนหนึ่งทำบาปจากส่งนั้นส่งผลให้อีกคนทำบาป มักเป็นคนใกล้ชิด คนรู้จัก หรือมีอิทธิพลต่อกัน (ในสมัยโยบภรรยาจะเชื่อฟังนบนอบสามีอย่างมาก สามีเป็นเจ้านาย ภรรยาจึงมักจะคล้อยตามสามีแม้รู้ว่าทำผิดบาป หรือภรรยาอาจสมยอมตั้งแต่ต้น)
อาจอธิบายว่าอำนาจบาปส่งผ่านจากคนหนึ่งสู่อีกคน ในที่สุดความบาปที่เข้ามาจึงกระจายสู่ทั้งชุมชนถ้าชุมชนนั้นไม่แข็งแรง ไม่มีระบบป้องกันที่ดีพอ
ลองตรวจสอบตัวเองตั้งแต่เด็กตัวเราได้รับอิทธิพลบาปเรื่องใดจากใคร และตัวเราเคยชักนำให้คนอื่นทำบาปหรือไม่
8. ยึดความยุติธรรม
โยบ.31:13-15
13 "ถ้าข้าไม่รับเรื่องของทาสหรือทาสหญิงของข้าเมื่อเขานำมาร้องทุกข์ต่อข้า
“If I have denied justice to any of my servants, whether male or female, when they had a grievance against me,
14 เมื่อพระเจ้าทรงลุกขึ้น แล้วข้าจะทำอะไรได้เมื่อพระองค์ทรงสอบถาม ข้าจะทูลตอบพระองค์อย่างไร
what will I do when God confronts me? What will I answer when called to account?
15 พระองค์ผู้ทรงสร้างข้าในครรภ์ มิได้ทรงสร้างเขาหรือ มิใช่พระองค์องค์เดียวเท่านั้นหรือ ที่ทรงสร้างเราทั้งสองในครรภ์
Did not he who made me in the womb make them? Did not the same one form us both within our mothers?
8.1 ให้ความยุติธรรมโดยไม่รอช้า (13)
เมื่อคนอยู่รวมกันมักมีเรื่องขัดแย้งขัดใจกัน มีคนที่คิดว่าตนถูกผู้อื่นผิด เกิดปัญหาว่าใครถูกผิดอย่างไร ความคิดใครดีกว่า จะให้งานเดินหน้าต่ออย่างไร หากตกลงกันไม่ได้เรื่องอาจมาถึงผู้นำระดับสูง ต้องลงไปช่วยแก้ความขัดแย้ง ให้ความยุติธรรม เรื่องนี้สำคัญมีผลต่อการสกัดกั้นความบาป ชี้ชัดว่าถูกผิดอย่างไร มีผลต่อความสามัคคีผูกพันรักใคร่ในหมู่ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือชุมชน หากปล่อยทิ้งไว้หรือล่าช้ามีผลต่อภาพรวม
ยกตัวอย่าง โมเสสให้เวลาเต็มที่
อพย.18:13 วันรุ่งขึ้น โมเสสออกนั่งพิจารณาพิพากษาความให้ประชาชน พวกเขายืนห้อมล้อมโมเสสตั้งแต่เช้าจนเย็น
8.2 ตระหนักบทบาทที่พระเจ้ามอบให้ (14)
พระเจ้ามอบบทบาทรักษาความยุติธรรมแก่ผู้นำระดับต่างๆ ผู้นำจึงต้องทำหน้าที่นี้อย่างเหมาะสม ไม่คิดว่าเป็นเรื่องเล็ก ไม่ค่อยให้เวลา ทุกเรื่องต้องรายงานต่อพระองค์
สดด.82:3 จงให้ความยุติธรรมแก่คนอ่อนเปลี้ยและกำพร้าบิดาจงดำรงสิทธิของผู้ที่ทุกข์ยากและคนสิ้นเนื้อประดาตัว
ผู้เชื่อ ผู้นำ จึงทำหน้าที่เป็นผู้แทนพระองค์รักษาความยุติธรรม
8.3 ตระหนักว่าพระเจ้าทรงยุติธรรม (15)
ปัจจุบันผู้คนอยู่ในโลกที่ขาดความยุติธรรม ร้องหาสิ่งนี้อยู่เสมอ คนในสังคมคนบาป คนฐานะด้อยกว่ามีอำนาจต่ำกว่ามักถูกเอารัดเอาเปรียบ สังคมไร้ความเป็นธรรม
ผู้เชื่อต้องตระหนักว่าตนมีหน้าที่สำแดงความยุติธรรมตามแบบพระองค์ กำลังทำหน้าที่เป็นเกลือและแสงสว่าง หากขาดตกบกพร่องอาจถูกผู้อื่นตีความว่าพระเจ้าเอนเอียง ไม่ยุติธรรมจริง
สดด.9:8 พระองค์ทรงพิพากษาโลกด้วยความชอบธรรม พระองค์ทรงพิพากษาบรรดาประชาชาติด้วยความเที่ยงธรรม
อนึ่ง โยบ.31:13-15 บรรยายโดยเรียงลำดับเอาปลายทางขึ้นก่อน อาจกลับด้านเอาหลักการขึ้นก่อนแล้วค่อยเป็นผลปลายทาง (พระเจ้าทรงยุติธรรม พระเจ้ามอบบทบาทผู้รักษาความยุติธรรม ให้ความยุติธรรมโดยไม่รอช้า)
9. ให้ความสำคัญคนด้อยโอกาสคนขาดแคลน
ผู้คนมากมายกำลังทุกข์ยาก กำลังเผชิญสารพัดปัญหา จิตใจว้าวุ่นไม่เป็นสุข มองไปทางไหนมีแต่เรื่องทุกข์ใจหรือน่าหวาดกลัว ที่ผ่านมาพยายามหาทางออกแต่ยังไม่พบทางแก้ที่ดี ยังแก้ไม่ได้จริง บางครั้งการแก้ปัญหาหนึ่งกลับเป็นต้นเหตุให้เกิดอีกปัญหา วนเวียนอยู่อย่างนี้
โยบ. 31:16-23
โยบ. 31:16-17
16 "ถ้าข้าได้หน่วงเหนี่ยวสิ่งใดๆ ที่คนยากจนอยากได้ หรือได้กระทำให้นัยน์ตาของหญิงม่ายมองเสียเปล่า
17 หรือข้ารับประทานอาหารของข้าแต่ลำพัง และคนกำพร้าไม่ได้ร่วมรับประทานอาหารนั้นด้วย
พระคัมภีร์ตอนนี้ให้ความสำคัญกลุ่มคนด้อยโอกาส เช่น คนยากจน หญิงม่าย ขอทาน (ชายขัดสนไม่มีผ้าคลุมกาย) คนกำพร้า
ความจริงที่น่าเศร้าคือคนนับร้อยล้านพันล้านคนขัดสน ยากลำบาก คนนับล้านผอมแห้งขาดอาหาร และอีกนับร้อยล้านพันล้านคนที่คิดว่ามีไม่พอ อยากได้อีก (ทั้งๆ ที่บางคนมีเพียงพอแล้ว) ดิ้นรนทุกวิธีเพื่อเพิ่มความมั่งคั่ง ยอมทำผิดแม้กระทั่งกับบิดามารดา พี่น้อง คู่ครอง พระธรรมตอนนี้สอนให้มุ่งช่วยเหลือคนด้อยโอกาส คนขาดแคลนจริงๆ ช่วยเหลือตรงจุดที่ขาดแคลน
คนบาปสนใจแต่ผลประโยชน์ตนเอง ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองถึงขั้นทำร้ายบีบบังคับผู้อื่น พระเจ้าสอนให้ทำตรงข้าม คือรักตัวเองเพื่อผู้อื่น ยิ่งรักตัวเองมากยิ่งต้องทำประโยชน์แก่คนอื่นมาก
พระเยซูสอนว่าบรรดาธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งสิ้น สรุปแล้วมีเพียง 2 ข้อคือรักพระเจ้า รักตนเองกับรักเพื่อนบ้าน (มนุษย์ทุกคน)
มธ.22:36-40
36 "อาจารย์เจ้าข้า ในธรรมบัญญัตินั้นข้อใดสำคัญที่สุด"
37 พระเยซูทรงตอบเขาว่า "จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า
38 นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่ และข้อต้น
39 ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
40 ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งสิ้น ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้"
All the Law and the Prophets hang on these two commandments.”
ยน.3:16-17
16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น
พระเยซูไม่ปฏิเสธการรักตนเอง เพียงแต่ต้องเข้าใจว่ารักในที่นี้หมายถึงอากาเป้ตนเอง ดังที่อธิบายแล้วว่าในโลกนี้มีแต่พระเจ้าเที่ยงแท้ที่บริสุทธิ์ อากาเป้จึงเป็นรักบริสุทธิ์ เป็นรักที่มีจุดเริ่มมาจากพระเจ้าเท่านั้น
เป็นรักที่ปราศจากบาป รักในแบบที่จะไม่ทำผิดบาป ยิ่งมีอากาเป้มากจะยิ่งสำแดงพระลักษณะพระเจ้ามาก (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)
“พระเจ้าสอนให้รักตัวเองเพื่อผู้อื่น” (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)
การให้ความสำคัญคนด้อยโอกาสคนขาดแคลนคือการละทิ้งบาปอยู่ในวิถีคนชอบธรรม กำลังยึดคำสอน เป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งของคนที่ติดตามพระเจ้า รักษาความบริสุทธิ์ (ความบริสุทธิ์ไม่ใช่แค่การไม่ทำบาปทางความคิด คำพูด การกระทำเท่านั้น แต่คือการทำตามน้ำพระทัยที่กินความกว้าง ไม่ใช่การนั่งอยู่ในบ้านคนเดียวเฉยๆ ไม่ทำอะไร)
ถ้าอยากบริสุทธิ์ ไม่อยากทำบาปแก้ด้วยการมุ่งทำความดี ดำเนินชีวิตชอบธรรม แทนที่จะสนใจเรื่องบาปให้สนใจความบริสุทธิ์ชอบธรรม ตั้งใจคิดและเดินตามทางนี้อยู่เสมอ รับการเสริมสร้าง อยู่ในชุมชนผู้เชื่อ ดำเนินชีวิตตามนิมิตการทรงเรียก พระวิญญาณบริสุทธิ์จะคอยนำทาง
หลักศาสนศาสตร์ตอนนี้คือ ความบาปเป็นต้นตอปัญหาความทุกข์ยากทุกเรื่องของมนุษย์ คริสเตียนบริสุทธิ์ชอบธรรมในทางนิตินัย แต่หากต้องการรับผลดีจากพระคุณความรักเต็มที่ ชีวิตต้องเปลี่ยน เป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้นทุกวัน สำแดงพระฉายพระเจ้า
มธ.6:25, 32-34
25 "เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ
32 เพราะว่าพวกต่างชาติแสวงหาสิ่งของทั้งปวงนี้ แต่ว่าพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้
33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้
34 "เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว
เป็นเรื่องแปลกถ้าคริสเตียนบอกว่ารักพระเจ้าแต่ไม่รักคนอื่น บอกว่ารับใช้พระเจ้ามากมายแต่ละเลยไม่สนใจชีวิตความเป็นอยู่ของผู้อื่น โดยเฉพาะคนด้อยโอกาส คนขาดแคลน
ถ้าระบอบการเมืองการปกครอง ความเป็นไปของโลกมีผลต่อชีวิตหลายพันล้านคนทั่วโลก ย่อมต้องเป็นพันธกิจสำคัญที่ผู้เชื่อตัวแทนพระคริสต์เข้าไปบริหารจัดการ
มก.4:21 แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า "เขาเอาตะเกียงมาสำหรับตั้งไว้ใต้ถัง ใต้เตียงนอนหรือ และมิใช่สำหรับตั้งไว้บนเชิงตะเกียงหรือ
มธ.5:13 "ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ
“You are the salt of the earth. But if the salt loses its saltiness, how can it be made salty again? It is no longer good for anything, except to be thrown out and trampled underfoot.
“ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก” (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)
ถ้าการเมืองการปกครอง ความเป็นไปของโลกกำลังเน่าเปื่อย คริสเตียนจะรอช้าอยู่ไย ต้องกระโดดเข้าไปรักษาเนื้อที่กำลังเน่านี้
10. หวังใจในพระเจ้าทรงเป็นความมั่นคงแห่งชีวิต
โยบ.31:24-28
24 "ถ้าข้ากระทำให้ทองคำเป็นที่ไว้ใจ หรือพูดกับทองคำนพคุณว่า "ท่านเป็นที่วางใจของข้า"
If I have put my trust in gold or said to pure gold, ‘You are my security,’
25 ถ้าข้าเปรมปรีดิ์เพราะสมบัติของข้ามากมาย หรือเพราะมือของข้าได้มามาก
27 และจิตใจของข้าถูกล่อชวนอยู่อย่างลับๆ และปากของข้าจุบมือของข้า
28 นี่เป็นความบาปผิดด้วย ที่ผู้พิพากษาจะต้องปรับโทษ เพราะข้าคงต้องทุจริตต่อพระเจ้าเบื้องบน
then these also would be sins to be judged, for I would have been unfaithful to God on high.
ในสังคมวัตถุนิยม เงินทองความมั่งคั่งคือพระเจ้า คิดว่าเงินซื้อได้ทุกสิ่ง คนเราขาดเงินไม่ได้ ความมั่งคั่งเท่ากับความสุข ดังนั้นต้องรวยมากๆ ยิ่งมากยิ่งดี พยายามทำทุกอย่างเพื่อเงิน
ความจริงที่ควรตระหนักคือ ลูกบางคนโกงธุรกิจพ่อแม่เพื่อฮุบสมบัติ พี่น้องโกงมรดกกันเอง สามีภรรยาโกงทรัพย์สินของอีกฝ่าย ต่างฝ่ายต่างมีชู้ไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน อยู่ในโลกที่ไม่สามารถไว้ใจใครได้สักคน เพราะแม้กระทั่งคนใกล้ชิดที่สุด คนที่เป็นลูก พี่น้อง สามี/ภรรยา ยังโกงและทำร้ายกันได้ ดังที่เป็นข่าวเสมอ นี่คือส่วนหนึ่งของโลกแห่งความบาป โลกที่ความรักเยือกเย็นลง มักทำร้ายกันและกัน
ความมั่นคงแท้จึงหายากและเปราะบาง วันหนึ่งตัวเราอาจตกอยู่ในสภาพต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้อื่น แล้วพบว่าคนที่เข้าหาหวังเอารัดเอาเปรียบ ยากจะหาคนจริงใจ บั้นปลายชีวิตที่ทุกข์ยากอยู่แล้วจะทุกข์ยากสาหัสเพราะสารพัดความทุกข์ระดมเข้าใส่ โลกแห่งความบาปเป็นเช่นนี้
ความคิดที่จะพึ่งพาเงินทองทรัพย์สมบัติจึงซับซ้อนกว่าที่คิด ที่มีมากอาจสูญหายย่อยยับในพริบตา ชีวิตอยู่ในวังวนความเปลี่ยวเหงา มองไปที่ใดมีแต่ภัยอันตราย ไว้ใจใครไม่ได้
โยบเป็นตัวอย่างอีกแบบ เป็นคนมั่งมี มีบุตรหลานลูกน้องมากมาย ทุกอย่างสูญสลายหายวับในชั่วข้ามคืน จนท่านไม่เหลือสมบัติใดๆ ไม่เหลือลูกหลานให้พึ่งพา ลูกน้องที่มีมากมายหนีหายไปหมด
ที่โยบมีมากจริงๆ และไม่มีใครขโมยไปจากท่าน คือความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าอย่างเข้มแข็ง
โยบ.31:24-28 สอนว่าการวางใจทรัพย์สินความมั่งคั่ง การวางใจผู้อื่นแทนพระเจ้าเป็นบาป หากมีความสุขจากเงินทองเหล่านั้นและคิดว่าตนเป็นคนเก่งสามารถหาเงินทองมากมาย
ถ้าเป็นเช่นนั้นเขากำลังทำผิดบาป กำลังบูชา “ความมั่งคั่ง” กับบูชา “ตัวเอง” (ผู้หาเงินทอง)
พระคัมภีร์จึงใช้คำว่า “unfaithful to God on high” ไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า (ข้อ 28)
ความเข้าใจที่ถูกต้องคือ พระองค์เป็นผู้สร้าง ผู้ประทาน เป็นผู้กำหนดให้มีสิ่งต่างๆ จนถึงผู้กำหนดชีวิต โยบจะมีชีวิตยืนยาวแค่ไหนหรือมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรขึ้นกับพระเจ้า
อย่าหลงเลย จะโง่เขลาอีกนานแค่ไหน จงกลับใจใหม่เดี๋ยวนี้
ยรม.29:11 พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า
การที่พระเจ้าไม่อาจอวยพรคริสเตียนบางคนให้ร่ำรวยกว่านี้อาจเพราะทรงกังวลว่าหากรวยแล้วจะรักเงินทองทิ้งพระองค์ จึงรักษาให้เขามีแค่พอกินพอใช้ มีเหตุต้องอธิษฐานพึ่งพาพระองค์อยู่เสมอ
ถ้าการมีเงินมากทำให้ห่างพระเจ้า เช่นนั้นพระองค์อยากให้ผู้เชื่อมีเงินน้อยลง แสวงหาพระองค์มากขึ้น ช่วยรักษาชีวิตฝ่ายวิญญาณของเขาไว้
โยบ.31:27 กล่าวอย่างชัดเจนว่าความมั่งคั่งทำให้มีใจออกห่าง แอบนมัสการตัวเอง (ยกย่องสรรเสริญตัวเอง) ว่าเก่งหาเงินได้มาก แอบซ่อนรูปเคารพในใจที่พระเจ้าไม่อยากให้เกิด
โยบ.31:27 และจิตใจของข้าถูกล่อชวนอยู่อย่างลับๆ และปากของข้าจุบมือของข้า
11. ให้อภัย
โยบ. 31:29-30
29 "ถ้าข้าเปรมปรีดิ์เมื่อผู้ที่เกลียดชังข้านั้นพินาศ หรือลิงโลดเมื่อเหตุร้ายมาทันเขา
“If I have rejoiced at my enemy’s misfortune or gloated over the trouble that came to him—
30 (ข้าไม่ยอมให้ปากของข้าบาปไป โดยขอชีวิตของเขาด้วยคำแช่งสาป)
I have not allowed my mouth to sin by invoking a curse against their life—
ในโลกแห่งบาปทุกคนทำบาปต่อกันและกัน คำสอนพระเจ้าชัดเจนอยู่แล้วว่าให้รักทุกคน รักแม้กระทั่งศัตรู
ลก.6:27-28
27 "แต่เราบอกท่านทั้งหลายที่กำลังฟังอยู่ว่า จงรักศัตรูของท่าน จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน
28 จงอวยพรแก่คนที่แช่งด่าท่าน จงอธิษฐานเพื่อคนที่เคี่ยวเข็ญท่าน
คริสเตียนให้พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาความผิดของทุกคน
“จงอวยพรแก่คนที่แช่งด่าท่าน จงอธิษฐานเพื่อคนที่เคี่ยวเข็ญท่าน”
จงรักเขา อวยพรเขา พยายามช่วยพวกเขา เพราะท่านแตกต่างจากพวกเขาแล้ว
จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด
12. จิตใจเอื้อเฟื้อไม่หวังตอบแทน
โยบ. 31:31-32
31 ถ้าคนแห่งเต็นท์ของข้ามิได้กล่าวว่า "ยังมีใครที่ไหนที่กินเนื้อของนายไม่อิ่ม"
32 (คนต่างถิ่นมิได้พักอยู่ในถนน ข้าเปิดประตูให้แก่คนเดินทาง)
โยบตั้งใจดูแลให้ทุกคนกินอิ่ม (ในบริบทสมัยโยบเนื้อเป็นอาหารหลัก) ดูแลคนแปลกหน้าที่เดินทางผ่านไปมา ให้ที่พักแก่เขา (เป็นประเพณีปฏิบัติอย่างหนึ่งในสมัยนั้นที่ต้อนรับคนเดินทาง โรงแรมมีน้อยหายาก)
ตัวอย่าง อับราฮัมมีใจดูแลคนเดินทางผ่านและพระเจ้าอวยพร
ปฐก.18:2-4, 9-10
2 ท่านเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นชายสามคนยืนอยู่ข้างหน้าท่าน เมื่อท่านเห็นเขาทั้งสามท่านก็วิ่งจากประตูเต็นท์ไปต้อนรับเขากราบลงถึงดิน
3 พูดว่า "เจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน ขออย่าผ่านผู้รับใช้ของท่านไปเสียเลย
4 ข้าพเจ้าจะเอาน้ำมานิดหน่อยให้ท่านล้างเท้า และพักใต้ต้นไม้
9 เขาทั้งสามถามท่านว่า "ซาราห์ภรรยาของเจ้าอยู่ที่ไหน" ท่านตอบว่า "นางอยู่ที่ในเต็นท์"
10 เขาว่า "ปีหน้าเราจะกลับมาหาเจ้าอีกแน่นอน ซาราห์ภรรยาของเจ้าจะมีบุตรชายคนหนึ่ง" นางซาราห์ฟังอยู่ที่ประตูเต็นท์ข้างหลังท่าน
ฮบ.13:2 อย่าละเลยที่จะต้อนรับแขกแปลกหน้า เพราะว่าโดยการกระทำเช่นนั้น บางคนก็ได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว
การมีใจเอื้อเฟื้อตั้งอยู่บนรากฐานทำตามคำสอน รักคนอื่น อยากช่วยเหลือคนอื่น ไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทน ไม่ใช่การแลกเปลี่ยน พระเจ้าจะเป็นผู้อวยพรโดยตรง
13. ไม่ปิดบังความผิด
โยบ. 31:33-37
33 ถ้าข้าปิดบังการทรยศของข้าอย่างอาดัม ด้วยซ่อนความบาปผิดของข้าไว้ในอกของข้า
34 เพราะข้ากลัวมวลชน และกลัวที่วงศ์ตระกูลจะเหยียดหยามข้า ข้าจึงนิ่งเสีย ไม่ออกไปพ้นประตูบ้าน
35 โอ ข้าอยากให้สักคนหนึ่งฟังข้า (นี่แหละ ลายเซ็นของข้า ขอองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตอบข้า) โอ ข้าอยากได้คำสำนวนฟ้องข้าซึ่งคู่ความเขียนขึ้น
36 ข้าจะใส่บ่าแบกไปแน่ทีเดียว ข้าจะมัดมันไว้ต่างมงกุฎ
37 ข้าจะแจ้งทุกฝีก้าวของข้า ข้าจะเข้าไปเฝ้าพระองค์อย่างเป็นเจ้านาย
บางคนไม่กล้ารับผิดเพราะกลัวเสียหน้า กลัวคนจะเหยียดหยาม ดูหมิ่นดูแคลน กลัวรับโทษจากความผิดของตน บางคนรู้สึกต่ำต้อยเมื่อถูกชี้ว่าทำผิด คนเหล่านี้จะรีบแก้ตัว ชี้ว่าตนไม่ผิดหรือลดความผิดว่าเป็นเรื่องเล็ก
ถ้าคริสเตียนทำผิด เขาทำผิดต่อพระเจ้าเสมอและอาจทำผิดต่อตัวเองกับผู้อื่น ต้องสารภาพบาปกลับใจใหม่ ให้อภัยตนเองเพื่อแก้ไขปรับปรุงตัวเอง รับผิดต่อผู้อื่นและพยายามชดใช้ความผิดอย่างเหมาะสม ทั้งหมดนี้เพื่อนำสู่ใจใหม่-ใจบริสุทธิ์ ตั้งต้นทำสิ่งที่ถูกต้องอีกครั้ง แทนการหลงอยู่ในกับดักความบาปผิดนั้นและทำบาปซ้อนบาป
14. ทำมาหากินด้วยความชอบธรรม
คริสเตียนบางคนเมื่อพูดถึงการเป็นคนชอบธรรมจะนึกถึงการประกาศข่าวประเสริฐ การสร้างสาวก การรับใช้พระเจ้าในคริสตจักร ความจริงแล้วการทำงานสุจริต การทำงานใดๆ อย่างสุจริตเป็นพื้นฐานชีวิตบริสุทธิ์ชอบธรรมของคริสเตียนทุกคน
โยบ.31:38-40
38 "ถ้าที่ดินของข้าร้องกล่าวโทษข้า และร่องไถในนั้นร้องไห้ด้วยกัน
39 ถ้าข้ากินผลิตผลของมันด้วยมิได้เสียเงิน และกระทำให้เจ้าของที่ดินเดิมนั้นเสียชีวิต
40 ก็ขอให้มีต้นกระชับงอกแทนข้าวสาลี และหญ้าสาบแร้งแทนข้าวบารลี" จบถ้อยคำของโยบ
โยบ.31:38-40 พูดถึงการทำเกษตร การทำงานเลี้ยงชีพด้วยความยุติธรรม ด้วยความชอบธรรม ไม่โกงใคร ไม่มีสิ่งใดสามารถฟ้องร้องกล่าวโทษท่านได้
การทำงานหาเลี้ยงชีพเป็นงานที่ทุกคนต้องทำ เป็นพื้นฐานชีวิตทุกคน โยบในข้อสุดท้ายของบทนี้จบลงด้วยการพูดเรื่องนี้อย่างรวบย่อว่าท่านทำอย่างถูกต้องชอบธรรม ยินดีให้ทุกคนหรือสิ่งใดกล่าวโทษและยินดีรับโทษจากพระเจ้าหากทำผิด
การที่ท่านเป็นคนมั่งมี ชื่อเสียงเลื่องลือจึงตั้งอยู่บนความชอบธรรมของพระเจ้า ไม่ได้กระทำผิดบาป เป็นหลักพื้นฐานที่โยบยึดถือเรื่อยมา
อธิบายขยายความ: คนที่ยึดถือความบริสุทธิ์ชอบธรรมจะยึดถือคำสอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่อยากทำบาป ไม่อยากทำผิดใดๆ ตระหนักว่าพระเจ้าทรงเฝ้ามอง เขาจะต้องรับผลดีหรือผลเสียจากความคิดการกระทำของตน ไม่มีเรื่องใดรอดพ้นสายพระเนตร (ข้อ 40) และด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้รับการอวยพรมากมาย
ฉธบ.28:1-5
1 "ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และระวังที่จะกระทำตามพระบัญญัติของพระองค์ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงตั้งท่านไว้ให้สูงกว่าบรรดาประชาชาติทั้งหลายทั่วโลก
2 พระพรเหล่านี้จะตามมาทันท่าน ถ้าท่านทั้งหลายฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน
3 ท่านทั้งหลายจะรับพระพรในเมือง ท่านทั้งหลายจะรับพระพรในทุ่งนา
4 พงศ์พันธุ์ของตัวท่านเอง ผลแห่งพื้นดินของท่านและพันธุ์แห่งสัตว์ของท่านจะรับพระพร คือฝูงวัวของท่านที่เพิ่มขึ้น ฝูงแกะของท่านที่เพิ่มลูกขึ้น
5 กระจาดของท่าน และรางนวดแป้งของท่านจะรับพระพร
พระพรที่เอ่ยถึงในฉธบ.28:1-5 คือพระพรที่ได้รับขณะอยู่ในโลกนี้
น้ำพระทัยคืออวยพรคริสเตียนที่ทำงานสุจริต ไม่ทำบาป เขาจะมีมากเกินพอ
อฟ.4:28 คนที่เคยขโมยก็อย่าขโมยอีก แต่จงใช้มือทำงานที่ดีดีกว่า เพื่อจะได้มีอะไรๆ แจกให้แก่คนที่ขัดสน
nyone who has been stealing must steal no longer, but must work, doing something useful with their own hands, that they may have something to share with those in need.
แค่ไม่ทำบาปในหน้าที่การงานก็ช่วยป้องกันการทำบาปผิดได้มากมาย ยังไม่ต้องนึกถึงการรับใช้ในคริสตจักรเพราะการรับใช้ลบล้างบาปไม่ได้
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเหตุที่ได้รับการอวยพรน้อย ไม่ใช่เพราะไม่รับใช้ (ในความหมายการประกาศข่าวประเสริฐ การสร้างสาวก) แต่เพราะความบาปที่ทำในหน้าที่การงานต่างหาก อย่าดีใจเพียงเพราะลูกแกะทำงานรับใช้พระเจ้าในคริสตจักร จงหมั่นสำรวจตรวจสอบความบริสุทธิ์ชอบธรรมในบทบาทหน้าที่การงานของเขา
สรุป แค่ทำงานสุจริต ทำอย่างสุจริต ไม่คดโกง ไม่เอารัดเอาเปรียบ แค่นี้จะได้พระพรมากมาย ใครหว่านสิ่งใดย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น พระเจ้ายุติธรรม เขาจะมีสันติสุข กินอิ่มนอนหลับ พระเจ้าคอยปกป้องให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง
กท.6:7-8
7 อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น
8 ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังของตน ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณ ก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น
สรุป พระธรรมโยบบทที่ 31 โยบชี้แจงวิถีการดำเนินชีวิตของท่าน วิถีแห่งความบริสุทธิ์ชอบธรรมจากชีวิตคนๆ หนึ่งได้ปฏิบัติจริง เป็นเรื่องราวของชีวิตประจำวัน
วัฎจักรบาปกับทางออก:
ในส่วนนี้จะอธิบายวัฎจักรปัญหา วัฎจักรความทุกข์ยาก โดยยกตัวอย่างเยาวชนคนหนุ่มสาว
แบ่งเป็น 2 หัวใหญ่คือวัฎจักรบาปกับทางออก
I วัฎจักรบาป
1. วัฎจักรปัญหา วัฎจักรความทุกข์ยากของเยาวชนคนกนุ่มสาวอันเนื่องจากความบาปทางเพศสัมพันธ์
1.1 เด็กเยาวชนหลงในความบาปทางเพศ
พระธรรมโยบตอนนี้พูดถึงความบาปทางเพศในสังคมบาป ความจริงที่น่าเศร้าเด็กเยาวชนจำนวนมากขาดคำสอนที่ถูกต้อง หลายคนขาดการดูแลเอาใจใส่ ผู้ใหญ่ไม่เป็นแบบอย่าง ไม่สามารถต้านอิทธิพลบาปที่ปกคลุม จึงหลงระเริงในบาปนี้ตั้งแต่เด็ก มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย บางสังคมยอมรับการมีเพศสัมพันธ์ของเยาวชนอายุ 14-15 (หวังแค่ป้องโรค ตั้งครรภ์แบบไม่ตั้งใจ) มัวเมาในบาปตั้งแต่เด็ก รักโลก ชอบทำบาป
ยก.1:14-15
14 แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อให้หลง เมื่อกิเลสของตัวเองล่อและชักนำให้กระทำตาม
15 ครั้นตัณหาเกิดขึ้นแล้วก็ทำให้เกิดบาป และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้วก็นำไปสู่ความตาย
การหลงมัวเมาในความสัมพันธ์หนุ่มสาวเป็นอีกปัจจัยสำคัญทำให้เยาวชนไม่สนใจการเรียน ไม่แปลกที่ผลการเรียนต่ำ น้อยคนตั้งใจเรียน น้อยคนได้ประโยชน์จากวัยเรียนของตนอย่างที่ควร
การหลงมัวเมาในความสัมพันธ์หนุ่มสาวกับการไม่สนใจการเรียนจะมีผลต่ออนาคตของพวกเขาไปอีกนานเท่านาน
1.2 เลือกงานไม่ได้มักทำงานเท่าที่หาได้
เมื่อเยาวชนไม่สนใจการเรียนจึงพลาดโอกาสวัยศึกษาหาความรู้ หลายคนจบแบบไม่รู้จริง มีความรู้น้อย ไม่สามารถทำงานที่ต้องใช้ความรู้ตามระดับที่ควรรู้ จึงไม่สามารถหางานตรงตามวุฒิการศึกษา (บางคนจบปริญญาโทแต่ทำงานเสมียนทั่วไป) เลือกงานไม่ได้มาก สุดท้ายลงเอยด้วยการทำงานรายได้ต่ำเท่าที่พอจะหาได้ และมักอยู่ในสังคมคนบาป มัวเมาทางเพศ จากประสบการณ์มีคู่นอนตั้งแต่เยาว์วัย พัฒนาสู่การมีคู่นอนหลายคนพร้อมกัน สลับคู่นอนในแต่ละวันหรือสัปดาห์ ไม่คิดว่าผิด คิดว่าทำได้ ใครๆ ก็ทำ สนุกดี
อฟ.5:5 ท่านจงรู้แน่ว่า คนล่วงประเวณี คนทุศีล คนละโมบ (ที่เป็นเหมือนคนที่นับถือรูปเคารพ) จะมีส่วนในแผ่นดินของพระคริสต์และพระเจ้าเป็นมรดกก็หามิได้
1.3 ไม่ตั้งใจทำงานเพราะคิดถึงแต่แฟน คู่นอน
การหมกมุ่นพัวพันกับสัมพันธ์หนุ่มสาวทำให้พวกเขาที่เข้าสู่วัยแรงงานไม่ตั้งใจทำงานเพราะแต่ละวันคิดถึงเรื่องชายหญิง แฟน คู่นอน (นิสัยเดิมตั้งแต่เด็ก) ทันทีที่เลิกงานจะหาทางเที่ยวเตร่ หาความสนุกสนาน ไม่สนใจพัฒนาความรู้ความสามารถ (ที่มีน้อยไม่เพียงพออยู่แล้ว) บางวันเที่ยวคุยจนดึกดื่นตี 3 ตี 4 เข้าทำงานในสภาพอดหลับอดนอน ไม่ตั้งใจทำงาน จึงไม่สามารถเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน บางคนถูกให้ออกจากงานหรือลาออกเองเมื่อยอมรับว่าตนเองทำไม่ได้
พวกเขาหลายคนคิดว่าเรื่องแฟนคือเรื่องสำคัญที่สุด จึงทุ่มเทเวลา กำลังกาย กำลังทรัพย์เพื่อเรื่องนี้ ทุกข์สุขหลักของพวกเขาในยามนี้คือแฟนและมักทุกข์มากกว่า (กังวลใจ คิดมาก รู้สึกไม่มั่นคงทางจิตใจ)
การลาออกจากงานซ้ำๆ การเปลี่ยนงานบ่อยไม่ช่วยให้หนุ่มสาวเปลี่ยนพฤติกรรม หลายคนโยนความผิดให้พ่อแม่ โทษสังคม โทษคนอื่น การย้ายงานห่างจากพื้นที่เดิมเช่นข้ามจังหวัดกลายเป็นโอกาสที่พวกเขาเปลี่ยนคู่นอน (เนื่องจากคนเดิมพบเจอยากจึงเลิกรากันไป ต่างคนต่างหาใหม่)
เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา
เป็นวัฎจักรปัญหา วัฎจักรความทุกข์ยาก ทำบาปซ้อนบาป ตกอยู่ในอิทธิพลบาปยากจะถอนตัว แม้บางเวลาคิดอยากเป็นคนดีก็ยากจะทำได้เพราะอยู่ในสังคมคนบาป ทำบาปอยู่เสมอตามวิถีคนบาป
2. ปัญหาจากเพื่อน คู่ครอง คนใกล้ชิด
หัวข้อ “ไม่ชักจูงหรือบังคับให้คนอื่นประพฤติผิด” คนจะส่งผ่านพฤติกรรม นิสัยบาปแก่กันและกัน คนบาปชอบทำบาปอยู่แล้วจึงเลียนแบบกันและกัน
โยบ. 31:9-10
9 "ถ้าใจของข้าถูกล่อชวนไปหาผู้หญิง และข้าได้ซุ่มอยู่ที่ประตูเพื่อนบ้านของข้า
10 แล้วก็ขอให้ภรรยาของข้าโม่แป้งให้คนอื่นและให้คนอื่นโน้มทับนาง
2.1 เพื่อน คนรู้จักที่โรงเรียน แถวบ้าน เพื่อนที่ทำงานชักนำให้ทำบาป
งานวิจัยชี้ว่าเพื่อนวัยรุ่นมีอิทธิพลต่อกันมาก เมื่อคนหนึ่งทำบาปจะชักนำให้เพื่อนในกลุ่มทำบาปด้วย หนุ่มคนหนึ่งเมื่อได้หลับนอนกับหญิงจะแนะนำให้เพื่อนชายคนอื่นทำบ้าง หญิงสาวคนหนึ่งเมื่อมีคู่นอนหลายคนพร้อมกันจะเป็นแบบอย่างให้เพื่อนทำตาม เป็นกระแสหรือค่านิยมในกลุ่ม บางครั้งแข่งขันทำบาป ใครไม่ทำเข้ากลุ่มไม่ได้ ไม่คบหาด้วย กลายเป็นคนแปลกในหมู่เพื่อน
ชายหนุ่มหญิงสาวมากมายเมื่อเข้าสังคมบาป เริ่มต้นอาจไม่ประพฤติผิดหรือไม่ทำผิดบ่อย แต่ไม่นานหลังเข้าสังคมบาป อยู่ในกลุ่มเพื่อนบาป ไม่อาจทนอิทธิพลกระแสสังคมที่สนุกกับบาป สุดท้ายตัวเองประพฤติผิดบาปไม่ต่างจากคนอื่นในกลุ่มเลย
ชุมชนสังคมที่ผิดบาปจึงขยายตัวและบาปมากขึ้นทุกที
3. สรุปวัฎจักรบาป
ความจริงที่น่าเศร้าคือทุกคนบาปตั้งแต่เกิดและอยู่ในสังคมบาป (อาจต่างกันที่บางชุมชนยังรักษาการประพฤติบริสุทธ์ชอบธรรมอยู่บ้าง) เด็กขาดการดูแลเอาใจใส่ ขาดคำสอนที่ถูกต้อง เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นจะเข้ากลุ่มไปตามเพื่อน ถ้าเพื่อนดีจะยังรักษาความดีไว้ได้บ้าง หากเพื่อนชอบทำบาปจะเรียนรู้การทำบาปตามกลุ่ม ในที่นี้ยกตัวอย่างความบาปทางเพศ มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่เยาว์วัยและพัฒนาสู่ความบาปที่หนักขึ้น เช่น มีคู่นอนพร้อมกันหลายคน สลับเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อย ให้ความสำคัญกับสัมพันธ์หนุ่มสาวจนละเลยเรื่องอื่น เช่น ความผูกพันธ์ในครอบครัว ไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ ขาดความรู้ความสามารถตามวุฒิการศึกษา มักลงเอยทำงานเท่าที่หา รายได้ต่ำและมักไม่สามารถทำงานได้ดี (เพราะไม่ตั้งใจทำงาน ความรู้ทักษะต่ำ ผลการทำงานต่ำกว่าเกณฑ์) เมื่อการทำงานเป็นทุกข์จึงพยายามหาความสุขชดเชยจากความสัมพันธ์หนุ่มสาวที่ตอนนี้มีเสรีกว่าเดิม (โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผู้ปกครองคุมไม่อยู่) วนเวียนอยู่กับการหาแฟน มีความสุขกับคู่นอน ผสมกับทะเลาะเบาะแว้งเลิกรากันไป หาแฟนใหม่ อยู่ในวัฎจักรบาป เมื่อผ่านไป 20-30 ปีอายุมากขึ้น เปลี่ยนงานหลายครั้งแต่ยังหาความก้าวหน้าในหน้าที่การงานไม่ค่อยได้ ความสัมพันธ์หนุ่มสาวเป็นแค่ความสนุกชั่วคราวไม่นำสู่ความสัมพันธ์ถาวร บางคนอาจมีลูกแต่มักกลายเป็นพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว ลูกทำให้ชีวิตซับซ้อนกว่าเดิม เป็นภาระต้องบริหารจัดการและยังเวียนวนอยู่กับการหาคู่นอน (ความสัมพันธ์ชั่วคราว) ต่อไป
ความสัมพันธ์หนุ่มสาวจึงเป็นแค่ความสนุกชั่วคราว ไม่นำสู่ชีวิตครอบครัวที่มั่นคงยั่งยืน เกิดปัญหาซับซ้อนเมื่ออายุมากขึ้นเรื่อยๆ ขาดความรักความอบอุ่น ชีวิตไม่มั่นคง อยู่ในวิถีบาป ส่งผลเสียหายร้ายแรงต่อชุมชนสังคมประเทศชาติ ทุกคนในสังคมได้รับผลอันเนื่องจากผู้คนทำบาป เกิดปัญหาสังคม
วัฎจักรบาปในที่นี้นำเสนอภาพตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ตั้งแต่เด็กที่ขาดการดูแล สู่วิถีบาปตั้งแต่เยาว์วัย โตขึ้นทำบาปมากขึ้นซับซ้อนขึ้น รักโลกชอบทำบาป ไม่คิดว่าผิด มักไม่สามารถพาตัวเองสู่ชีวิตที่ดี (เมื่อวัดตามมาตรฐานโลก) เกิดปัญหาทับถมตัวเองและต่อชุมชนสังคม
II ทางออก
1. มีแบบอย่างที่ดี คำสอนที่ถูกต้อง
พระเจ้าคือความบริสุทธิ์ชอบธรรม มีคำสอนมากมาย เช่น
สดด.1:1-3
1 ความสุขเป็นของบุคคล ผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย
2 แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน
3 เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น
หลักแห่งการเกิดผล หลบรอดภัยอันตรายทั้งปวง ได้สรุปในพระธรรมสดุดีตอนนี้ คือ ไม่ทำบาป ดำเนินชีวิตบริสุทธิ์ ติดสนิทกับพระเจ้า มีความสุขความยินดีจากการได้ใกล้ชิดพระองค์ และพระเจ้าจะให้เกิดผลในเวลาที่กำหนด
เขาภาวนาพระธรรมทั้งกลางวันและกลางคืน คือภาพของการติดสนิทพระเจ้าตลอดเวลา อยากมีสัมพันธ์สนิทตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้จึงเสมือนเป็นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมทางน้ำ ได้รับความชุ่มฉ่ำจากพระเจ้าไม่ขาด ใบจึงไม่เหี่ยวแห้ง เกิดผลตามฤดูกาล
1.1 แบบอย่างที่ไม่ดีของสังคมคนบาป
ดังที่นำเสนอแล้วว่าเรื่องน่าเศร้าคือเยาวชนคนหนุ่มสาวจำนวนมากเติบโตโดยปราศจากแบบอย่างที่ดี ขาดคำสอนที่ถูกต้อง
เมื่อพวกพ่อแม่ดื่มเหล้าลูกหลานในครอบครัว คนชุมชนย่อมเห็นว่าการดื่มเหล้าไม่ผิด ใครๆ ก็ดื่ม เมื่อรุ่นพี่มีความสัมพันธ์ทางเพศตั้งแต่เด็ก การที่เขาอยากทดลองบ้างย่อมไม่ผิดเช่นกัน เมื่อสังคมสนุกสนานกับการเที่ยวกินดื่มแทนการอดออม ตัวเขาเองจึงไม่มีนิสัยการออม มีเงินเท่าไหร่รีบใช้หมด
เด็กไม่สามารถแยกแยะดีชั่ว (หรือความบาปคือความดี) ย่อมไหลไปตามกระแสบาป
ใครที่ประพฤติแตกต่างกลายเป็นคนแปลกของเพื่อน เป็นตัวประหลาดของสังคม
1.2 ความสำคัญของสังคมคนชอบธรรม แบบอย่างที่ดี
เพราะเด็กไม่สามารถแยกแยะดีชั่ว ไหลไปตามกระแสบาป แบบอย่างที่ถูกเป็นเรื่องสำคัญมาก คือการวางรากฐานชีวิตของพวกเขา
เด็กอาจไม่เข้าใจคำสอน ไม่สามารถอธิบายเหตุผลลึกซึ้ง แต่พวกเขา “เลียนแบบ” คนรอบข้าง โดยเฉพาะคนในครอบครัว เพื่อนสนิท สื่อใกล้ตัว
คำถาม จงถามตัวเองว่าในสมัยเด็ก ท่านได้เลียนแบบเรื่องใดจากใคร เรื่องนั้นแบบส่งผลต่อชีวิตอย่างไร
ตัวอย่างบางครอบครัว
บางครอบครัวพ่อแม่เห็นความสำคัญของการอ่าน จึงสนับสนุนให้ลูกรักการอ่านตั้งแต่เด็ก ช่วยฝึกให้เด็กมีสมาธิ มีความรู้มากมาย สนใจการเรียนการศึกษา
บางครอบครัวเห็นความสำคัญของการออกกำลังกาย จึงสนับสนุนให้เด็กเล่นกีฬา เด็กเติบโตร่างกายแข็งแรง มีสังคมที่พบปะเพื่อนฝูง ใช้เวลาเล่นกีฬา ลดการล่นเกมคอมพิวเตอร์
เป็นตัวอย่างครอบครัวที่นำลูกสู่สิ่งดีที่จะติดตัวเด็กไปอีกนาน
คริสเตียนแต่ละคนเป็นแบบอย่างชีวิตของผู้ติดตามพระคริสต์
1.3 พระเจ้าสอนหลักการดูแลลูกหลาน
การฝึกเด็กคือการสร้างเด็กให้รู้หนทางที่ควรจะไป
สภษ.22:6 จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาจะไม่พรากจากทางนั้น
2ทธ.2:21-22
21 ถ้าผู้ใดชำระตัวให้พ้นจากสิ่งที่ไม่มีค่า เขาก็จะเป็นภาชนะที่มีค่า ซึ่งชำระให้บริสุทธิ์แล้ว เหมาะที่เจ้าของเรือนจะใช้ให้เป็นประโยชน์ พร้อมกับการดีทุกอย่าง
22 ดังนั้นท่านจงหลีกหนีเสียจากราคะตัณหาของคนหนุ่มและจงใฝ่ในทางธรรม ในความเชื่อ ความรัก และสันติสุขร่วมกับผู้ที่ออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์
Flee the evil desires of youth and pursue righteousness, faith, love and peace, along with those who call on the Lord out of a pure heart.
“จงหลีกหนีเสียจากราคะตัณหาของคนหนุ่มและจงใฝ่ในทางธรรม”
3ยน.1:3-4
3 เพราะว่าข้าพเจ้าปีติยินดีอย่างยิ่ง เมื่อพวกพี่น้องบางคนได้มาและเป็นพยานถึงชีวิตอันคงเส้นคงวาของท่าน ตามที่ท่านได้ประพฤติตามสัจจะนั้น
4 ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ข้าพเจ้าปีติยิ่งกว่านี้ คือที่ได้ยินว่าบุตรทั้งหลายของข้าพเจ้าประพฤติตามสัจจธรรม
2. ด้วยฤทธิ์เดชข่าวประเสริฐ
หลายสังคมมีแนวทางความดีตามมาตรฐานของตน คำสอนบางส่วนสอดคล้องลักษณะผู้ชอบธรรม แต่ไม่สมบูรณ์และไม่อาจปฏิบัติครบถ้วนสมบูรณ์เพราะขาดกำลังที่จะยึดถือตลอดเวลา
รม.1:16-17
16 เพราะว่าข้าพเจ้า ไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด พวกยิวก่อน แล้วพวกต่างชาติด้วย
17 เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ
For in the gospel the righteousness of God is revealed—a righteousness that is by faith from first to last, just as it is written: “The righteous will live by faith.”
พระเจ้ารู้ดีว่ามนุษย์คนบาปช่วยตัวเองพ้นบาปไม่ได้ จึงตั้งข่าวประเสริฐเป็นวิธีช่วยทุกคน
คริสเตียนจึงดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ พึ่งพาพระองค์ รับกำลังฝ่ายวิญญาณดำเนินชีวิตในความชอบธรรม
อธิบายขยายความ: “มีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ” หรือดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่แค่เชื่อว่าโลกมีพระเจ้า พระเยซูได้ตายที่กางเขนเพื่อไถ่บาป และคิดว่าแค่พูดยอมรับเรื่องนี้ก็ได้รับความรอด ได้อยู่กับพระเจ้าตลอดกาล หลายคนเข้าใจอย่างนี้จึงคิดว่ามาโบสถ์ปีละครั้งหรือนานๆ ครั้งก็พอ (มาพูดซ้ำอีกครั้งว่าเชื่อพระเจ้า) จะทำความชั่วร้ายอย่างไรก็ได้ (ไม่ต่างจากคนบาปอื่นๆ) เพราะสุดท้ายพระเจ้าเมตตาให้ขึ้นสวรรค์ เหล่านี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง
ควรเข้าใจใหม่ว่า
1) ผู้เชื่อแท้จะแสดงออกด้วยการตั้งใจดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า
คนที่คิดว่ามาโบสถ์สักครั้ง นานๆ ครั้ง ประกาศตัวว่าเชื่อพระเจ้าแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ โดยยังใช้ชีวิตบาปแบบเดิม เช่นนี้ไม่เชื่อจริง เป็นการหลอกลวงพระเจ้า (ทำบาปอีกเรื่อง)
ต้องเข้าใจว่า “น้ำพระทัยพระเจ้าคือให้เชื่อพระเจ้าแล้วปฏิบัติตามคำสอนต่างๆ ไม่ใช่แค่บอกว่าเชื่อแต่ดำเนินชีวิตไม่ต่างจากคนบาป”
มธ.24:45-46, 50-51
45 "ใครเป็นทาสสัตย์ซื่อและฉลาด ที่นายได้ตั้งไว้เหนือพวกบ่าวทาสสำหรับแจกอาหารตามเวลา
46 เมื่อนายมาพบเขากระทำอยู่อย่างนั้น ทาสผู้นั้นก็จะเป็นสุข
50 นายของทาสผู้นั้น จะมาในวันที่เขาไม่คิดในโมงที่เขาไม่รู้
51 และจะทำโทษเขาถึงสาหัส ทั้งจะขับไล่ให้เขาไปอยู่ในที่ของพวกคนหน้าซื่อใจคด ซึ่งที่นั่นจะมีแต่การร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
2) ในความรอดต้องสามารถรักษาความรอดด้วย หรือต้องสามารถรักษาความเชื่อ
บางคนในช่วงหนึ่งเชื่อพระเจ้าจริง ดำเนินชีวิตตามคำสอน บางคนทุ่มเทรับใช้พระเจ้า แต่ไม่ใช่ทุกคนรักษาความเชื่อไว้ได้ตลอด บางคนเชื่อพระเจ้าจริง 1 ปี 5 ปี 20 ปีหรือมากกว่านั้นแต่สุดท้ายละทิ้งความเชื่อ เช่นนี้คือไม่สามารถรักษาความเชื่อ ไม่ได้รับความรอด แม้ในช่วงหนึ่งทุมเทรับใช้พระเจ้ามากมาย
2ทธ.4:10 เพราะว่าเดมาสได้หลงรักโลกปัจจุบันนี้เสียแล้ว และได้ทิ้งข้าพเจ้าไปยังเมืองเธสะโลนิกา เครสเซนส์ได้ไปยังแคว้นกาลาเทีย ทิตัสได้ไปยังเมืองดาลมาเทีย
เดมาสเคยร่วมรับใช้กับพี่น้องอัครทูต แต่ด้วยความกลัว รักโลกมากกว่าพระเจ้า จึงทิ้งทางพระเจ้าไป
โดยทั่วไป ชีวิตคริสเตียนเป็นชีวิตของคนเดินทางไกล ต้องผ่านการทดสอบทดลองมากมาย
มธ.25:1 "เมื่อถึงวันนั้น แผ่นดินสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียงของตน ออกไปรับเจ้าบ่าว
พระวจนะข้อนี้เตือนใจว่าคริสเตียนต้องรักษาชีวิตบริสุทธ์ ไม่ใช่อยากทำอะไรก็ทำได้ เพราะเขาไม่รู้ว่ากำหนดวันพิพากษาจะมาถึงเขาวันไหน ในบริบทพูดถึงการเสด็จมาครั้งที่ 2 ของพระเยซูแต่หากตัวเราเสียชีวิตก่อนหรือพิการไม่รู้เรื่องในขณะยังทำบาป ไม่มุ่งมั่นตั้งใจดำเนินชีวิตกับพระเจ้า ย่อมถือว่าไม่เชื่อพระเจ้าจริง พระคุณไม่มีผลกับคนผู้นี้
พวกที่ขอเป็นคริสเตียนแค่พอเป็นพิธี พึงระวังว่าวันหนึ่งอาจไม่ชนะการทดสอบทดลอง
พระเจ้าไม่ต้องการคนที่เชื่อแค่พอเป็นพิธี ทรงมีเวลาให้กลับใจใหม่
ผู้เชื่อที่มุ่งมั่นติดตามพระเจ้า พระองค์จะนำพาเขาไปถึงปลายทาง นี่คือ “มีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ” หรือดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ (รม.1:17ค)
รม.1:17 เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ
3. ตัวเองดำเนินชีวิตชอบธรรม
“ตัวเอง” หมายถึง ผู้เชื่อทุกคน อาจมีฐานะเป็นพ่อแม่ผู้ปกครอง ญาติพี่น้อง ทุกคนมีส่วนทั้งทางตรงทางอ้อม
3.1 ตัวเองต้องเข้มแข็ง
การดูแลไม่จำต้องหมายถึงคนหนึ่งดูแลอีกคนเท่านั้น ผู้เชื่อควรเป็นแบบ ต่างคนต่างดูแลกันและกันตามบทบาทหน้าที่ การจะช่วยผู้อื่นต้องดูแลตัวเองให้ได้ ตัวเองไม่เป็นภาระมากเกินควร เป็นผู้เชื่อก่อนจึงนำความรอดสู่ผู้อื่น ผู้เติบโตมั่นคงฝ่ายวิญญาณย่อมรักห่วงใยดูแลผู้อื่นได้ดีกว่า สำแดงชีวิตเป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์กว่า
1ทธ.4:6-8 เปาโลสอนทิโมธี
6 ถ้าท่านจะให้คำแนะนำเหล่านี้แก่พวกพี่น้อง ท่านก็จะเป็นผู้รับใช้ที่ดีของพระเยซูคริสต์ เจริญด้วยคำสอนแห่งความเชื่อ และด้วยหลักธรรมอันดีที่ท่านได้ประพฤติตามนั้น
7 อย่าใส่ใจกับเทพนิยายอันหาสาระมิได้ จงฝึกตนในทางธรรม
8 เพราะถ้าการฝึกทางกายนั้นมีประโยชน์อยู่บ้าง ทางของพระเจ้าก็มีประโยชน์ในทุกทาง เพราะทรงไว้ซึ่งประโยชน์สำหรับชีวิตปัจจุบันและชีวิตอนาคตด้วย
ตัวอย่าง อาจารย์เปาโลไม่ลืมดูแลตัว
1คร.9:27 แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้
ห้
3.2 ถ้าตัวเองไม่เข้มแข็งจะมีอิทธิพลต่อคนอื่นได้อย่างไร
อย่างน้อยต้องเอาชนะความเห็นแก่ตัว ทนต่อสงครามฝ่ายวิญญาณที่แรงขึ้นตามความตั้งใจรับใช้พระเจ้า เป็นเกลือและแสงสว่าง
การเข้าไปพัวพันโลก (เนื้อที่กำลังเน่า) คือการเข้าสู่สงครามฝ่ายวิญญาณในอีกสมรภูมิ ย่อมได้รับแรงกระแทก ถูกล่อล่วงจากบาป อาจเป็นเงินทอง ชื่อเสียง ความสัมพันธ์ชายหญิงและอื่นๆ ที่พยายามชักชูงให้ห่างพระเจ้า
โลกแห่งบาปจะชักนำให้นึกถึงตัวเอง ไม่อยากเสียสละ กลัวอันตรายจนไม่ขอทำอะไร พยายามหยิบยื่นให้สิ่งต่างๆ พร้อมกับให้ถอยห่างจากพระเจ้า หลงเข้าไปในความบาปมากขึ้นทุกที บางคนรับใช้พระเจ้าเป็นเพียงแค่ “พิธีกรรม” เพราะใจอยู่ฝ่ายโลกมากกว่า “พระเจ้าของเขาคือชื่อเสียงเกียรติยศ ความสำเร็จ ความร่ำรวย” คนที่รับใช้มากๆ เป็นเกลือและแสงสว่างนานๆ หากไม่ระวังอาจหลงเจิ่นไปในที่สุด
ฉธบ.8:18-19
18 ท่านทั้งหลายจงจำพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำลังแก่ท่านที่จะได้ทรัพย์สมบัตินี้ เพื่อว่าพระองค์จะทรงดำรงพันธสัญญาซึ่งพระองค์ทรงกระทำโดยปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน ดังวันนี้
19 และถ้าท่านลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ไปติดตามพระอื่นและปฏิบัตินมัสการพระเหล่านั้น ข้าพเจ้าขอเตือนท่านจริงๆในวันนี้ว่าท่านจะต้องพินาศเป็นแน่
ลก.9:23-25
23 พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า "ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา
24 เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด
25 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ต้องเสียตัวของตนเองผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร
1ปต.1:3-7
3 สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ได้ทรงพระมหากรุณาแก่เรา ทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่ เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่ โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์
4 และเพื่อให้ได้รับมรดก ซึ่งไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทิน และไม่ร่วงโรยซึ่งได้เตรียมไว้ในสวรรค์เพื่อท่านทั้งหลาย
5 ซึ่งเป็นผู้ที่ฤทธิ์เดชของพระเจ้าได้ทรงคุ้มครองไว้ด้วยความเชื่อให้ถึงความรอด ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย
6 ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดี ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้ จำเป็นที่ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ
7 เพื่อการลองดูความเชื่อของท่าน อันประเสริฐยิ่งกว่าทองคำ ซึ่งแม้เสียไปได้ก็ยังถูกลองด้วยไฟ จะได้เป็นเหตุให้เกิดความสรรเสริญเกิดศักดิ์ศรีและเกียรติ ในเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาปรากฏ
ใครมีหูจงฟังเถิด
3.3 แยกตัวออกจากบาป
อฟ.5:5-8
5 ท่านจงรู้แน่ว่า คนล่วงประเวณี คนทุศีล คนละโมบ (ที่เป็นเหมือนคนที่นับถือรูปเคารพ) จะมีส่วนในแผ่นดินของพระคริสต์และพระเจ้าเป็นมรดกก็หามิได้
6 อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านด้วยคำพูดที่เหลวไหล เพราะการกระทำเหล่านั้นเอง พระเจ้าจะทรงลงพระอาชญาแก่ผู้ที่ไม่เชื่อฟัง
7 เหตุฉะนั้นท่านอย่าคบหาสมาคมกับคนเหล่านั้นเลย
8 เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างแล้วในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง
ถ้าการล่อลวงมีผลต่อชีวิตต้องแยกตัวออกมาเพื่อไม่หลงไปกับความบาปนั้น
อธิบายขยายความ: พระเจ้าสอนให้เป็นเกลือแสงสว่าง เข้าพัวพันเพื่อสำแดงพระลักษณะพระเจ้า แต่หากมีผลต่อชีวิตฝ่ายวิญญาณง่ายที่จะหลงในความบาปควรแยกตัวออกมา ชีวิตฝ่ายวิญญาณสำคัญกว่า รอให้เติบโตเข้มแข็งขึ้น 2 เรื่องนี้ไม่ขัดกัน
4. ผูกพันชุมชนของพระเจ้า
หลักพื้นฐานคือพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้อยู่เป็นกลุ่ม เป็นชุมชน ทรงสร้างเอวาให้เป็นคู่อาดัม มีลูกหลาน กลายเป็นชุมชนในที่สุด
ปฐก.2:18, 24
18 พระเจ้าตรัสว่า "ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียวเราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่สมกับเขาขึ้น"
24 เพราะเหตุนั้นผู้ชายจึงจากบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน
ในสมัยพระคัมภีร์เดิมพระเจ้าเลือกชนชาติอิสราเอล จัดระบบระเบียบเป็นเผ่าเ ป็นตระกูล ครอบครัว ในสมัยพระคัมภีร์ใหม่คริสเตียนอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนผู้เชื่อ
กจ.2:42 เขาทั้งหลายได้ขะมักเขม้นฟังคำสอนของจำพวกอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรม ทั้งขะมักเขม้นในการหักขนมปังและการอธิษฐาน
กจ.2:46-47
46 เขาได้ร่วมใจกันไปในพระวิหาร และหักขนมปังตามบ้านของเขา ร่วมรับประทานอาหารด้วยความชื่นชมยินดีและใจกว้างขวาง ทุกวันเรื่อยไป
Every day they continued to meet together in the temple courts. They broke bread in their homes and ate together with glad and sincere hearts,
47 ทั้งได้สรรเสริญพระเจ้าและคนทั้งปวงก็ชอบใจ ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลายซึ่งกำลังจะรอด มาเข้ากับพวกสาวกทุกวันๆ
กจ.2:42, 46-47 บรรยายภาพอย่างชัดเจนว่าคริสเตียนในยุคแรกนั้น “สามัคคีธรรมกันทุกวัน”(every day) อาจใช้คำว่า “เข้าโบสถ์วันอาทิตย์” ทุกวัน เพราะมีลักษณะเหมือน “เข้าโบสถ์วันอาทิตย์” อันประกอบด้วยการฟังคำสอน หักขนมปัง (พิธีมหาสนิท) อธิษฐาน ร้องสรรเสริญนมัสการ ร่วมรับประทานอาหาร
คริสเตียนแต่ละคนจึงพาตัวเองเข้าผูกพันชุมชนคนของพระเจ้า ผูกพันตัวเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน
4.1 ชุมชนคนของพระเจ้าตอบสนองทั้งฝ่ายร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ
พระเจ้าดูแลทั้งฝ่ายร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ การอยู่ร่วมเป็นชุมชนตอบสนองได้ดีครบถ้วน
ถ้าคริสเตียนดูแลกันและกัน ทุกคนจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดตามน้ำพระทัย
ถ้าคนหนึ่งทำนา คนหนึ่งปลูกผัก อีกคนเลี้ยงสัตว์ ทั้ง 3 คนจะมีอาหารกินครบถ้วน ยิ่งเป็นชุมชนใหญ่ยิ่งครบถ้วนสมบูรณ์ มีตะลันต์ของประทานเพียบพร้อม
อยู่ในชุมชนผู้เชื่อย่อมปลอดภัยกว่าอยู่ในกลุ่มคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า
4.2 พระเจ้าทำงานผ่านคริสตจักร
คริสตจักรคือชุมชนผู้เชื่อ คริสตจักรเปรียบเหมือนพระกาย
พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร
อฟ.5:25 ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และทรงประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร
5. สร้างสังคมคนชอบธรรม พื้นที่พระพร
สังคมในที่นี้หมายถึงสังคมที่มีหลากหลายความเชื่อ อาจเป็นชุมชน หมู่บ้าน อำเภอ ประเทศ
ดังที่ยกตัวอย่างว่าในสังคมคนบาปพวกเขามีคู่นอนพร้อมกันหลายคน อยู่ในหมู่คนที่มีค่านิยมว่าทำได้ไม่ผิด ใครๆ ก็ทำ
พระเจ้าไม่ได้สอนให้คริสเตียนสนใจแต่ตัวเองหรืออยู่แต่ในชุมชนผู้เชื่อเท่านั้น ยังบัญชาให้ไปปฏิสัมพันธ์สังคมคนบาปเพื่อไปช่วยเขา เป็นดั่งเกลือรักษาเนื้อที่กำลังเน่า หนึ่งในวิธีคือดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างที่ถูกต้อง สร้างชุมชนสังคมคนชอบธรรม เป็นพื้นที่พระพรทั้งแก่ตัวเอง พี่น้องคริสเตียนและคนอื่นๆ
5.1 ส่งผ่านความรักที่ดีงาม แบบอย่างที่ถูกต้อง
ก่อนจะช่วยคนอื่นต้องช่วยตัวเองให้พ้นบาป เป็นจุดเริ่มต้นส่งผ่านอิทธิพลพระเจ้าสู่คนอื่นๆ เริ่มเป็นเกลือและแสงสว่าง การทำเช่นนี้ไม่ต้องรอให้เป็นคริสเตียนที่เติบโตมากก่อน เริ่มทำเมื่อเริ่มเป็นผู้เชื่อ (ทันทีที่เป็นผู้เชื่อคือการเริ่มต้นแล้ว) ยอมรับว่าตนไม่สมบูรณ์กำลังอยู่ในกระบวนการโตเติบฝ่ายวิญญาณ แต่มีความตั้งใจทำความดีตามความเชื่อของตัวเอง ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
5.2 ร่วมสร้างเครือข่ายระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ
การอยู่ในชุมชนผู้เชื่อคือการอยู่ในเครือข่าย การเป็นผู้เชื่อใหม่จึงอยู่ในเครือข่ายคนชอบธรรมตั้งแต่ต้น ได้รับการส่งเสริมให้ทำความดีภายใต้ชุมชนตามระบบที่มีอยู่แล้ว ได้รับการถ่ายทอดหลักคิดวิธีการ ประสานพลังทำงานร่วมกัน
สรุป
โยบบทที่ 31 สอนวิถีรักษาความบริสุทธิ์ชอบธรรมอย่างละเอียด เป็นรูปธรรมสามารถนำไปใช้ได้ทันที ปกป้องผู้เชื่อจากอำนาจบาปและช่วยคนทั้งหลายที่ยังอยู่ในวิถีบาป สร้างสังคมคนชอบธรรม
อสย.48:17-18
17 พระเจ้าผู้ไถ่ของเจ้า องค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า "เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ผู้สั่งสอนเจ้าเพื่อประโยชน์ของเจ้า ผู้นำเจ้าในทางที่ควรเจ้าจะไป
18 โอ ถ้าเจ้าได้เชื่อฟังบัญญัติของเรา แล้วความสุขสมบูรณ์ของเจ้าจะเป็นเหมือนแม่น้ำ และความชอบธรรมของเจ้าจะเป็นเหมือนคลื่นทะเล
------------------------
คำถามหลังคำสอน :
1) จากบทเรียน วิธีรักษาความบริสุทธิ์ข้อใดที่ท่านตั้งใจนำไปใช้มากสุด
2) แบ่งปันประสบการณ์การอยู่ในชุมชนคนของพระเจ้าที่ช่วยให้พ้นบาป ไม่หลงในบาป
--------------------------