29/01/2568

วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ 10 การนมัสการในพิธีมหาสนิท

พิธีมหาสนิทเป็นการประกาศชัยชนะของพระเยซู ทรงไถ่บาปสำเร็จตามพระสัญญาตั้งแต่สมัยปฐมกาล และเป็นการประกาศยุคพันธสัญญาใหม่

ในบรรดาความเชื่อคริสเตียน หลักข้อเชื่อสำคัญคือพระเยซูคริสต์ได้ตายที่ไม้กางเขน เป็นการ “กระทำ” ของพระเจ้า เพื่อไถ่บาปมนุษย์ทุกคน

ยน.3:16-18

16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์

17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น

18 ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า

การตายที่กางเขนและฟื้นขึ้นจากความตายเป็น “ชัยชนะ” ที่ยิ่งใหญ่ของผู้เชื่อ เป็นการประกาศพันธสัญญาใหม่ พระเยซูจึงสอนสาวกให้ทำพิธีมหาสนิท เพื่อประกาศและรำลึกพันธสัญญาใหม่อยู่เสมอ

คส.2:14-15

14 พระองค์ทรงฉีกกรมธรรม์ซึ่งได้ผูกมัดเราด้วยบัญญัติต่างๆ ซึ่งขัดขวางเรา และได้ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้นโดยทรงตรึงไว้ที่กางเขน

15 พระองค์ทรงปลดเทพผู้ครองและศักดิเทพเสีย พระองค์ได้ทรงประจานเขา และชนะเขาโดยกางเขนนั้น

ในแง่มุมของการนมัสการ พิธีมหาสนิทนอกจากเป็นการสารภาพบาป ขอการชำระ ประกาศพันธสัญญาใหม่ พระเยซูทรงตั้งไว้ให้เป็นวาระ “การนมัสการ” อย่างหนึ่ง

คริสเตียนสรรเสริญนมัสการในพระราชกิจของพระองค์ และหนึ่งในพระราชกิจสำคัญที่สุดคือการตายไถ่บาปของพระเยซู (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

ควรชื่นชมยินดีหรือเป็นทุกข์ที่พระเยซูตายไถ่บาป:

คำถาม: ในฐานะผู้เชื่อท่านควร “ชื่นชมยินดี” หรือ “เป็นทุกข์” ที่พระเยซูตายไถ่บาป ท่านควรตอบสนองอย่างไร ควรสรรเสริญนมัสการด้วยท่าทีอย่างไร

ตอบ: สรรเสริญนมัสการด้วยความซาบซึ้ง ขอบพระคุณ ประกาศชัยชนะ และมีสันติสุข

ท่าทีการนมัสการ 4 ประการในพิธีมหาสนิท

1. ซาบซึ้งพระคุณ

การถูกใส่ร้าย เฆี่ยนตี ดูหมิ่น การตรึงกางเขนเป็นความทุกข์ยากแสนสาหัส แต่เป็น “แผนการสำคัญ” ของพระเจ้า และพระเยซู “ทำสำเร็จ” แล้ว จึงต้องซาบซึ้งสำนึกพระคุณ แต่ไม่เศร้าโศกเสียใจ ไม่เป็นทุกข์ (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

2ปต.1:2 ขอพระคุณและสันติสุขจงเพิ่มพูนแก่ท่านทั้งหลาย โดยซาบซึ้งในพระเจ้าและพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

เพราะบัดนี้ผู้เชื่อได้รับความรอดผ่านพระคุณ พระวิญญาณได้เข้ามาแตะต้องสัมผัสจิตวิญญาณผู้เชื่อ จิตใจที่เคยแข็งกระด้างบัดนี้นบนอบต่อพระองค์

ให้พิธีมหาสนิทสำแดงพระคุณ ให้พระคุณพระเจ้า “เป็นพลังขับเคลื่อน” ชีวิตของผู้เชื่อ เขาจะไม่อยู่ในความบาปแต่อยู่ในพระคุณตลอดไป (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

2. ขอบพระคุณ

ในพิธีมหาสนิท ใจขอบพระคุณสะท้อนการสัมผัสซาบซึ้งพระคุณพระเจ้า แสดงถึงการยอมรับ เห็นคุณค่า การนบนอบอยู่ภายใต้พระองค์

พระเยซู “ถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา” เป็นเครื่องบูชาครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย เพื่อไถ่บาป

ฮบ.9:26-28

26 เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น พระองค์คงจะต้องทรงทนทุกข์ทรมานหลายครั้ง นับตั้งแต่สร้างโลกมา แต่ความจริง พระองค์ทรงปรากฏเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในปลายยุค เพื่อกำจัดบาปให้หมดสิ้นไป โดยการถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา

27 มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่าจะตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษาฉันใด

28 พระคริสต์ก็ฉันนั้น คือพระองค์ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาครั้งเดียว เพื่อจะได้ทรงแบกบาปของคนเป็นอันมากไว้ พระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง มิใช่เพื่อกำจัดบาป แต่เพื่อช่วยบรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์ด้วยใจจดจ่อให้ได้รับความรอด

3. ประกาศชัยชนะ

ในช่วงการตรึงกางเขน บรรดาสาวกบ้างเศร้าเสียใจ ตกตะลึงหรือหวาดกลัว เนื่องจากพวกเขาไม่เข้าใจแผนการพระเจ้า ทั้งๆ ที่พระเยซูพยายามอธิบายหลายครั้งว่าแท้จริงแล้วการเดินไปสู่กางเขนคือกำลังไปสู่ชัยชนะอันยิ่งใหญ่

พิธีมหาสนิทเป็นการประกาศชัยชนะของพระเยซู ทรงไถ่บาปสำเร็จตามพระสัญญาตั้งแต่สมัยปฐมกาล และเป็นการประกาศยุคพันธสัญญาใหม่ (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

คริสเตียนจึงร้องสรรเสริญด้วยความชื่นบาน ประกาศก้องว่าพระเยซูคริสต์มีชัยแล้ว

จงโห่ร้องกระโดดโลดเต้นเถิด พระเยซูที่ถูกตรึงและตายบนกางเขนนั้น บัดนี้กางเขนกับอุโมงค์ว่างเปล่า เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ และผู้เชื่อมีชัยชนะร่วมกับพระองค์ นี่คือความเชื่อคริสเตียน

1ยน.5:4-6

4 เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยต่อโลก และความเชื่อของเรานี่แหละเป็นชัยชนะที่ชนะโลก

5 ใครเล่าชนะโลก ไม่ใช่คนอื่น คือผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้านั่นเอง

6 นี่แหละคือผู้ที่ได้มาโดยน้ำและพระโลหิต คือพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ด้วยน้ำสิ่งเดียว แต่ด้วยน้ำและพระโลหิต

คริสเตียนไม่ได้ศรัทธาพระเจ้าที่ตายแล้วตายลับ แต่นมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์เป็นนิตย์ (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

และด้วยคริสเตียนเชื่อวางใจพระเจ้าที่ทรงพระชนม์เป็นนิตย์ จึงสละตัวเก่าเพื่อได้ชีวิตใหม่ในพระองค์ ภายใต้พันธสัญญาใหม่ (ไม่ใช่พันธสัญญาเดิมอีกต่อไป)

มก.14:22-25

22 ระหว่างอาหารมื้อนั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา เมื่อถวายคำสาธุการแล้ว ทรงหักส่งให้แก่เหล่าสาวกตรัสว่า "จงรับเถิด นี่เป็นกายของเรา"

23 แล้วพระองค์จึงทรงหยิบถ้วยโมทนาพระคุณ และส่งให้เขา เขาก็รับไปดื่มทุกคน

24 แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า "นี่เป็นโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งต้องหลั่งออกเพื่อคนเป็นอันมาก

25 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มน้ำผลแห่งเถาองุ่นต่อไปอีก จนวันนั้นมาถึง คือวันที่เราจะดื่มใหม่ในแผ่นดินของพระเจ้า"

มธ.16:26-27 

26 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร หรือผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาชีวิตของตนกลับคืนมา

27 เหตุว่าเมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยพระสิริแห่งพระบิดา และพร้อมด้วยทูตสวรรค์ของพระองค์ เมื่อนั้นจะประทานบำเหน็จให้ทุกคนตามการกระทำของตน

4. มีสันติสุข

ชัยชนะของพระเยซูที่กางเขนยังนำมาซึ่งสันติสุขเหลือล้น เพราะแผนการความรอดของพระเจ้าสำเร็จแล้ว พิธีมหาสนิทคือการตอกย้ำความสำเร็จดังกล่าว ความตายฝ่ายร่างกาย การไปสู่โลกหลังความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่เหลือยิ่งเป็นเรื่องเล็กในสายพระเนตรของพระเจ้า

1คร.15:23-28

23 แต่ว่าจะเป็นไปตามลำดับ คือพระคริสต์ทรงเป็นผลแรก แล้วภายหลังก็คือคนทั้งหลายที่เป็นของพระคริสต์ ในเมื่อพระองค์เสด็จมา

24 ต่อจากนั้นจะเป็นวาระที่สุด บัดนั้นพระคริสต์จะทรงมอบแผ่นดินไว้แก่พระบิดาเจ้า เมื่อพระองค์จะได้ทรงทำลายเทพผู้ครอง ศักดิเทพและอิทธิเทพหมดแล้ว

25 เพราะว่าพระองค์จะต้องทรงปกครองอยู่ก่อน จนกว่าพระองค์จะได้ทรงปราบศัตรูทั้งสิ้นให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์

26 ศัตรูตัวสุดท้ายที่พระองค์จะทรงทำลายนั้นก็คือความตาย

27 เพราะว่าพระองค์ทรงปราบสิ่งสารพัดลงใต้พระบาทของพระองค์แล้ว แต่เมื่อพระคัมภีร์กล่าวว่าทรงปราบสิ่งสารพัดลงนั้น ก็เป็นที่ทราบชัดว่า ยกเว้นองค์พระเจ้าผู้ทรงปราบสิ่งสารพัดให้อยู่ใต้พระองค์

28 เมื่อสิ่งสารพัดถูกปราบให้อยู่ใต้พระองค์แล้ว เมื่อนั้นองค์พระบุตรก็จะอยู่ใต้พระเจ้า ผู้ทรงปราบสิ่งสารพัดให้อยู่ใต้พระองค์ เพื่อพระเจ้าจะทรงเป็นเอกเป็นใหญ่ในสิ่งสารพัดทั้งปวง

การสรรเสริญนมัสการในพิธีมหาสนิท:

สามารถแบ่งพิธีมหาสนิทเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกคือบรรยากาศเริ่มพิธี ช่วง 2 คือช่วงทำพิธี และช่วงสุดท้ายคือการตอบสนอง

การร้องสรรเสริญนมัสการเป็นส่วนหนึ่งของพิธีมหาสนิท เพลงที่ใช้ในบรรยากาศช่วงแรกมีเป้าหมายนำบรรยากาศ สามารถร้องด้วยท่าที “ซาบซึ้ง ขอบพระคุณ ประกาศชัยชนะ และมีสันติสุข” 

การร้องสรรเสริญนมัสการให้ดำเนินสอดคล้องกับช่วงทำพิธี ให้มีหนักเบา ช่วงร้องกับไม่ร้อง ช่วงเหลือแต่เสียงดนตรีหรือมีแต่เสียงร้อง

ในช่วงตอบสนอง เป็นช่วงเปิดใจให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวภายในเต็มที่ (ควรมีเวลานานพอ) อาจมีการอธิษฐานส่วนตัว กล่าวคำ “ขอบคุณ” (คำขอบคุณคือคำสรรเสริญ) ประกาศตัวหรือตั้งใจว่าจะดำเนินชีวิตในทางพระเจ้า อย่างผู้มีชัยในพระเจ้า (นมัสการด้วยชีวิต) ฯลฯ 

หรือจะร้องเพลงออกเสียง จะร้องเพลงจากใจก็ได้ (ใช้ได้ทั้งเสียงร้องหรือเสียงดนตรี) เพลงที่ใช้เน้นการ “ขอบพระคุณ ประกาศชัยชนะ และมีสันติสุข”

ทั้งหมดนี้คือการสรรเสริญนมัสการในพิธีมหาสนิท สามารถปรับใช้ตามความเหมาะสม


คำสอนการนมัสการจากการนมัสการในพิธีมหาสนิท:

คริสเตียนทำพิธีมหาสนิทเป็นประจำ บางคนอาจทำแค่ให้ผ่านพิธีนี้ บางคนเพียงต้องการสารภาพบาป บางคนได้ซาบซึ้งขอบคุณพระเจ้าอีกครั้ง บางคนประกาศชัยชนะเหนือความบาปอีกรอบ บางคนได้ใกล้ชิดติดสนิทพระองค์ผู้ทรงรักเขา

คนที่รับใช้พระเจ้าด้วยการสรรเสริญนมัสการ ต้องซ้อมต้องแสดงจริง (นมัสการ) อยู่เสมอ บางคนสัปดาห์ละหลายรอบ นับสิบชั่วโมง การทำเช่นนี้นานวันเข้าอาจกลายเป็นความเคยชิน บางครั้งรู้สึกน่าเบื่อ

หากคิดว่าน่าเบื่ออาจเพราะทำเป็นเพียงพิธีกรรม ใจไม่อยู่กับพระเจ้า (สรรเสริญแต่ปาก) แต่อยู่กับสิ่งอื่น หรือที่ผ่านมาไม่ได้รับผลดีจากการนมัสการหรือได้น้อย

ข้อแนะนำหนึ่งคือ ให้ซ้อมนมัสการและนมัสการอย่างมีความหมาย ไม่ใช่แค่มาทำหน้าที่หรือมาประกอบพิธีกรรม

ประโยชน์ของการสรรเสริญนมัสการมีมากมาย ต้องคาดหวังว่าจะได้เช่นนั้นเสมอ ไม่ว่าจะซ้อมหรือแสดงจริง “ท่านพลาดแล้ว” ถ้าไม่ได้ตามนั้น 

แม้กระทั่งผู้เชื่อใหม่จะได้ประโยชน์จากการสรรเสริญนมัสการ แม้ยังไม่เข้าใจ อธิบายไม่ได้

ผลหรือประโยชน์ของการสรรเสริญนมัสการเป็นพระสัญญา 


วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ (10): การนมัสการในพิธีมหาสนิท

ความบาปทำให้มนุษย์ถูกแยกออกจากพระเจ้า การไถ่เป็นขั้นตอนทางพฤตินัยทำให้ผู้เชื่อพ้นมลทิน แม้พวกเขายังไม่สมบูรณ์และยังไม่ถึงวันพิพากษา แต่ด้วยความเชื่อคริสเตียนมั่นใจได้รับความรอดแล้ว จึงดำเนินชีวิตอย่างผู้มีชัยสมกับเป็นคนของพระเจ้า

การไถ่ยังช่วยให้ผู้เชื่อใกล้ชิดติดสนิทพระองค์

วิธีการง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ ทำได้ดังนี้

1. ยอมรับว่าทำบาป สารภาพความผิดบาปอย่างเจาะจง รับพระคุณของพระเจ้าเพื่อรับการชำระบาป 

มีใครกล้าพูดว่าตัวเองบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ทำบาปเลย

1ยน.1:8 ถ้าเราทั้งหลายจะว่าเราไม่มีบาป เราก็ลวงตนเอง และสัจจะไม่ได้อยู่ในเราเลย

ถ้ายังยึดบาปไว้พิธีนี้จะไร้ความหมาย ทั้งยังตอกย้ำว่าสมควรรับโทษจากบาปที่ตนกระทำ ยิ่งไม่ต้องคิดถึงจะสัมผัสพระเจ้าผ่านพิธีนี้

1คร.11:27-32

27 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดกินขนมปัง หรือดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่สมควร ผู้นั้นก็ทำผิดต่อพระกายและพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า

28 ขอให้ทุกคนพิจารณาตนเอง แล้วจึงกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้

29 เพราะว่าคนที่กินและดื่มโดยมิได้เล็งเห็นพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็กินและดื่มเป็นเหตุให้ตนเองถูกพิพากษาโทษ

30 ด้วยเหตุนี้พวกท่านหลายคนจึงอ่อนกำลังและป่วยไข้ และบ้างก็ล่วงหลับไป

31 แต่ถ้าเราพิจารณาตัวเราเอง เราคงไม่ต้องถูกทำโทษ

32 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำโทษเรานั้น พระองค์ทรงตีสอนเรา เพื่อมิให้เราถูกทรงพิพากษาลงโทษด้วยกันกับโลก

2. เปิดใจให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาเคลื่อนไหวภายใน อธิษฐานขอพระเจ้าช่วย ขอกำลังเพื่อเอาชนะบาป ขอความรักสันติสุขจากพระเจ้า 

(ขั้นตอนสัมผัสพระเจ้าเต็มขนาด)

3. ประกาศ “ชัยชนะ” เพราะว่าเป็นคนใหม่ในพระเจ้า ได้รับการไถ่แล้ว 

ถ้าไม่พูดถึงเรื่องการไถ่ การขึ้นสวรรค์ ประโยชน์ของพิธีมหาสนิทคือ การประกาศเจตนารมณ์ดำเนินชีวิตด้วยความเป็นไท มีชัยกับพระเยซู ตั้งใจนมัสการพระเจ้าด้วยชีวิต พระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา 

“พระเจ้าได้ “ปลดปล่อย” ผู้เชื่อจากคำแช่งสาปแล้ว จงเลิกทุกข์และดำเนินชีวิตอย่างผู้มีชัยในพระเจ้าเถิด พระวิญญาณไม่ได้สถิตอยู่กับท่านหรือ” (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

นี่คือยุคพันธสัญญาใหม่ นี่คือพันธสัญญาที่พระเจ้าทำไว้กับผู้เชื่อ

กจ.17:27-28

27 เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้าและมุ่งหวังจะคลำหาให้พบพระองค์ ที่จริงพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย

28 ด้วยว่า "เรามีชีวิต และไหวตัว และเป็นอยู่ในพระองค์" ตามที่กวีบางคนในพวกท่านได้กล่าวว่า "แท้จริงเราทั้งหลายเป็นเชื้อสายของพระองค์"

For in him we live and move and have our being.’ As some of your own poets have said, ‘We are his offspring.’

วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ ทำได้เช่นนี้เอง

--------------------------------


10/01/2568

Ep23 ใคร่ครวญความจริงความดีความงาม

บาปชักนำให้คิดชั่ว คิดแต่เรื่องร้ายๆ อันจะทำลายสันติสุขทันที ถ้าต้องการสันติสุขแท้ต้องใคร่ครวญความจริงแท้ความดีแท้ความงามแท้ ดำเนินชีวิตในทางของพระองค์

            จริงหรือไม่ที่โลกเจริญก้าวหน้าแต่หลายคนขาดสันติสุข มักอยู่ในความทุกข์ความเครียด หม่นหมองซึมเศร้า อยู่ในบรรยากาศคิดแง่ลบ พระเจ้าคือทางแก้ สอนแนวทางมากหมาย หนึ่งในนั้นคือใคร่ครวญความจริงความดีความงาม

ฟป.8-9

8 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ขอจงใคร่ครวญถึงสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ทรงคุณ คือถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ ก็ขอจงใคร่ครวญดู

Finally, brothers and sisters, whatever is true, whatever is noble, whatever is right, whatever is pure, whatever is lovely, whatever is admirable—if anything is excellent or praiseworthy—think about such things.

9 จงกระทำทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้และได้รับไว้ ได้ยิน และได้เห็นในข้าพเจ้าแล้ว และพระเจ้าแห่งสันติสุขจะทรงสถิตกับท่าน

            บาปชักนำให้คิดอย่างมารซาตานที่มีแต่จะลักและฆ่าและทำลาย ตรงข้ามกับทางของพระเจ้า ทรงสอนให้ใคร่ครวญความจริงแท้ความดีแท้ความงามแท้ อยู่ในความบริสุทธ์ชอบธรรม

            ผู้ใดลงมือทำตาม ฟป.8-9 ท่านจะเห็นการเปลี่ยนแปลง

            แค่ความคิดเปลี่ยน มุมมองต่อสถานการณ์จะเปลี่ยนทันที

            อธิบายขยายความ: ผลจากสงครามฝ่ายวิญญาณ ความคิดมนุษย์กลายเป็นสนามรบระหว่างความคิดของพระเจ้ากับความคิดแบบมาซาตาน ความคิดในทางดีงามที่ขัดแย้งกับความคิดชั่วร้าย แม้กระทั่งคริสเตียนผู้เชื่อก็ไม่เว้น ตกอยู่ในสงครามนี้อยู่เสมอ

            บาปชักนำให้คิดชั่วอันจะทำลายสันติสุขทันที (แม้ยังไม่พูดหรือลงมือกระทำ) หากไม่ออกจากทางนี้จะจมอยู่ในความคิดบาป อยู่ในความหม่นหมองใจไม่เป็นสุข เคียดแค้นชิงชัง โลภ แม้มีชื่อเสียงเงินทองมากมายก็ขาดสันติสุข ถ้าต้องการสันติสุขแท้ต้องใคร่ครวญความจริงแท้ความดีแท้ความงามแท้ ดำเนินชีวิตในทางของพระองค์

            คริสเตียนผู้เชื่อไม่ใช่พวกไร้เดียงสาอ่อนต่อโลก พระคัมภีร์สอนชัดเจนว่าคนบาปเป็นอย่างไร พวกเขาต้องการความสุขแต่ได้เพียงความสุขความสนุกชั่วครู่ชั่วยาม คนบาปคิดถึงแต่ตัวเอง จ้องเอาเปรียบผู้อื่น บางคนตั้งใจทำร้ายผู้อื่นเพื่อฉกฉวยประโยชน์ มักสร้างภาพว่าเป็นคนดีมีความสุข ทั้งๆ ที่ใจชั่วคิดร้าย ถือศาสนาแต่เปลือกนอก บางครั้งคิดทำดีแต่ทำได้ชั่วครั้งชั่วคราว ทำบาปสารพัด ทำบาปทั้งทางความคิด วาจา และการกระทำ พวกเขาทำร้ายกันเอง ทำบาปต่อกันและกัน เป็นสังคมที่กำลังกัดกร่อนทำลายตัวเอง ผลลัพธ์คือความทุกข์ ปัญหา วิตกกังวล หวาดกลัวอนาคต พระเจ้ากำหนดปลายทางให้คนบาปแล้ว

ฟป.3:19 ปลายทางของคนเหล่านั้นคือความพินาศ พระของเขาคือกระเพาะ เขายกความที่น่าอับอายของเขาขึ้นมาโอ้อวด เขาสนใจในวัตถุทางโลก

            คริสเตียนจะพยายามป้องกันไม่ให้ใครมาทำร้าย ไม่ตกหลุมพรางคนชั่ว แต่จะไม่ตอบโต้ความชั่วด้วยการชั่ว

รม.12:17-19

17 อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย แต่จงมุ่งกระทำสิ่งที่ใครๆ ก็เห็นว่าดี

18 ถ้าเป็นได้ คือเรื่องที่ขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน

19 ดูก่อน ท่านผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า อย่าทำการแก้แค้น แต่จงมอบการนั้นไว้ แล้วแต่พระเจ้าจะทรงลงพระอาชญา เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า "การแก้แค้นเป็นของเรา เราเองจะตอบสนอง

1ปต.3:9 อย่าทำการร้ายตอบแทนการร้าย อย่าด่าตอบการด่า แต่ตรงกันข้ามจงอวยพรแก่เขา ด้วยว่าพระองค์ได้ทรงเรียกให้ท่านกระทำเช่นนั้น เพื่อท่านจะได้รับพระพร

            บางคนพยายามตามหาสันติสุขแต่ไม่พบ เพราะไม่ได้แก้ที่รากปัญหา


            ถ้าเริ่มคิดชั่วคือทำบาปแล้ว ต้องรีบหันกลับมาให้พระเจ้าปกคลุมความคิดทันที

สภษ.4:20-23

20 บุตรชายของเราเอ๋ย จงตั้งใจต่อถ้อยคำของเราจงเอียงหูของเจ้าเข้าหาคำพูดของเรา

21 อย่าให้มันหนีไปจากสายตาของเจ้า จงรักษามันไว้ภายในใจของเจ้า

22 เพราะมันเป็นชีวิตแก่ผู้ที่ค้นพบ และมันรักษาเนื้อของผู้นั้นทั้งสิ้น

for they are life to those who find them and health to one’s whole body.

23 จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้านเพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ

มธ.15:18-19

18 แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน

19 ความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย ก็ออกมาจากใจ

            ความคิดแบบพระเจ้าคือพลังบวกที่แท้จริง สร้างสรรค์สิ่งดีงาม มีผลต่อโลกนี้และโลกหน้า ในโลกนี้คือความบริสุทธิ์ชอบธรรม สำแดงพระลักษณะ สันติสุข ในโลกหน้าคือชีวิตนิรันดร์กับมงกุฎงาม

ยน.10:10 ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์

        ผู้มีสันติสุขแท้คือผู้มีชีวิตทรงพลัง

-----------------------

01/01/2568

บทเรียน 10 ผู้เชื่อที่นับถือศาสนาคริสต์กับคริสเตียนที่รู้จักผูกพันพระคริสต์

พระเยซูจึงกล่าวโทษพวกเขาว่า “พระบิดาของเราก็ดี ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก” และสอนว่า “จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน”

เกริ่นนำ:

            การเชื่อพระเจ้าเป็นคริสเตียนไม่ใช่การเปลี่ยนศาสนา ไม่ใช่การนับถือศาสนา แต่เป็นการเชื่อศรัทธาพระเยซูว่าทรงเป็นพระเจ้า มีความผูกพันใกล้ชิดพระองค์

            ยน.15:4-7 พระเยซูสอนว่า “จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน”

4 จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ นอกจากจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น

5 เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย

6 ถ้าผู้ใดมิได้เข้าสนิทอยู่ในเรา ผู้นั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง แล้วก็เหี่ยวแห้งไป และถูกเก็บเอาไปเผาไฟ

7 ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใด ซึ่งท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น

            คนเข้าสนิทจะพบพระเจ้า สัมผัสพระองค์ เกิดผลมากมาย ตรงกันข้ามคือถูกทำลาย “ถ้าผู้ใดมิได้เข้าสนิทอยู่ในเรา ผู้นั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง”

 

คำถามก่อนเรียน :

            1) ท่านเชื่อพระเจ้ามาแล้วกี่ปี

            2) คิดว่าคริสเตียนที่นับถือศาสนาคริสต์มีลักษณะอย่างไร

 

            อ่าน โยบ.37:14-18

โยบ.37:14-18

14 "ท่านโยบเจ้าข้า ขอฟังข้อนี้ จงนิ่งพิจารณาการกระทำอันอัศจรรย์ของพระเจ้า

“Listen to this, Job; stop and consider God’s wonders.

15 ท่านทราบหรือว่าพระเจ้าทรงกำชับมันอย่างไร และกระทำให้ฟ้าแลบแห่งเมฆของพระองค์มีแสง

16 ท่านทราบถึงการทรงตัวของเมฆหรือ เป็นพระราชกิจอันประหลาดของพระองค์ผู้สมบูรณ์ในความรู้

17 ตัวท่าน ผู้ที่เสื้อผ้าของตนร้อน เมื่อแผ่นดินโลกซบเซาเพราะลมทิศใต้

18 ท่านแผ่ฟ้าออกไปอย่างพระองค์ได้หรือ ให้แข็งอย่างคันฉ่องหลอม

            คริสเตียนผู้เชื่อไม่สามารถเข้าถึงความรู้ความเข้าใจทั้งหมด กระนั้นยังต้องเอาใจใส่ศึกษาพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์ เรียนรู้ว่าพระเจ้าคิดอ่านอย่างไร วิธีการของพระองค์ พระประสงค์ต่อโลก ต่อชุมชนผู้เชื่อและต่อตัวท่านเองคืออย่างไร เพื่อดำเนินชีวิตอย่างผู้มีความเข้าใจ (มากขึ้น) สามารถทำอย่างถูกต้องที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

          อธิบายขยายความ: พวกฟาริสี ธรรมาจารย์ (คนที่พระเยซูกล่าวโทษ) น่าจะเข้าใจและรู้จักพระเจ้า แต่พวกเขาไม่รู้จริง ให้ความสำคัญพิธีกรรมโดยไม่เข้าถึงเหตุผลจุดประสงค์ของพิธีกรรมเหล่านั้น จึงเน้นประกอบศาสนกิจ ทั้งยังสอนผิด (เพราะไม่เข้าใจจริง บิดเบือนคำสอน) ไม่แสวงหาพระเจ้าจริงๆ

มธ.23:13-15

13 "วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์ พวกเจ้าเองก็ไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ขัดขวางไว้

14 "วิบัติแก่เจ้าพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าริบเอาเรือนของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องมีโทษมากยิ่งขึ้น"

 15 "วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าเที่ยวไปตามทางทะเลและทางบกทั่วไป เพื่อจะได้แม้แต่คนเดียวเข้าจารีต เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาถึงนรกยิ่งกว่าเจ้าเองถึงสองเท่า

คริสเตียนที่นับถือศาสนาคริสต์กับคริสเตียนที่รู้จักผูกพันพระคริสต์:

             เมื่อพระเยซูเสด็จมาในโลก สภาพที่ปรากฏชัดคืออิสราเอลมุ่งยึดถือธรรมบัญญัติอย่างผิดๆ ประกอบพิธีกรรมโดยไม่เข้าถึงความหมาย คำสอนถูกบิดเบือน ไม่แสวงหาพระเจ้าจริง พระเยซูกล่าวโทษพวกธรรมาจารย์กับฟาริสีอย่างรุนแรง

            อิสราเอลในสมัยนั้นเป็นพวกนับถือศาสนามากกว่ารู้จักพระเจ้า ขาดความผูกพันใกล้ชิดพระองค์

            พระเยซูกล่าวโทษในมัทธิว23

มธ.23:1-3, 23

1 ครั้งนั้น พระเยซูตรัสกับประชาชนและพวกสาวกของพระองค์ว่า

2 "พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส

3 เหตุฉะนั้น ทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอนพวกท่าน จงถือประพฤติตาม เว้นแต่การประพฤติของเขาอย่าได้ทำตามเลย เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน แต่เขาเองหาทำตามไม่

23 "วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าถวายทศางค์ ของสะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า ส่วนข้อสำคัญแห่งธรรมบัญญัติคือความยุติธรรมความเมตตา ความเชื่อนั้นได้ละเลยเสีย การถวายทศางค์พวกเจ้าก็ควรปฏิบัติ แต่ไม่ควรละเลยข้อสำคัญนั้นด้วย

            ประเด็นที่สำคัญมากคือพระเยซูกล่าวโทษพวกเขาว่าไม่รู้จักพระเจ้า ไม่รู้จักพระเยโฮวาห์จริง เป็นพวกนับถือศาสนา

ยน.8:13-19

ยน.8:19 เหตุฉะนั้นเขาจึงทูลพระองค์ว่า "พระบิดาของท่านอยู่ที่ไหน" พระเยซูตรัสตอบว่า "ตัวเราก็ดี พระบิดาของเราก็ดี ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก ถ้าท่านรู้จักเรา ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย"

            อธิบายขยายความ: ธรรมาจารย์กับฟาริสีศึกษาพระคัมภีร์มาก สามารถท่องข้อพระคัมภีร์ ประกอบพิธีกรรม ถวายเครื่องบูชาเป็นประจำ แต่ไม่เข้าถึงพระองค์ (พระเยโฮวาห์) รู้จักพระเจ้าตามคำสอนธรรมบัญญัติเท่านั้น (ทั้งยังสอนผิดบางเรื่อง) พระเยซูจึงกล่าวโทษพวกเขาว่า “พระบิดาของเราก็ดี ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก” ถ้าพวกเขารู้จักพระเยโฮวาห์จริงจะรู้จักพระเยซูด้วย เพราะคือพระเจ้าองค์เดียวกัน

            ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ (พระผู้ช่วยให้รอด) พวกเขาพลาดสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต ทั้งๆ ที่คนอิสราเอลสมัยนั้นรอคอยพระเมสสิยาห์ แต่เมื่อทรงเสด็จมาอยู่ตรงหน้ากลับปฏิเสธ

            พวกเขาไม่เข้าถึงพระเจ้าจึงไม่อาจรู้พระราชกิจอันอัศจรรย์

            จึงเป็นหลักการสำคัญเรื่องคริสเตียนที่นับถือศาสนาคริสต์กับคริสเตียนที่รู้จักผูกพันพระคริสต์

            ยุคปัจจุบัน คริสเตียนบางคนรู้จักพระเจ้าเพียงผิวเผิน ไม่แสวงหาพระเจ้าจริงจัง ไม่สนใจศึกษาพระวจนะ บางคนคิดว่าตัวเองรู้มากแต่ความจริงรู้น้อย เข้าใจผิดมาก เป็นคริสเตียนที่นับถือศาสนาคริสต์มากกว่ามุ่งสัมพันธ์สนิทกับพระคริสต์


คำถาม: การมุ่งสัมพันธ์สนิทพระเจ้าจะละเลยคำสอนอื่นหรือไม่

            ตอบ: คนที่ติดสนิทได้ต้องมีชีวิตบริสุทธ์ อันหมายถึงผู้นั้นต้องดำเนินชีวิตในความชอบธรรม (ปฏิบัติตามคำสอนต่างๆ) ดำเนินตามนิมิตการทรงเรียก หากไม่เป็นเช่นนี้คือพลาดเป้าหรือบาปนั่นเอง ชีวิตของเขาจะสำแดงพระลักษณะมากขึ้นๆ (สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์มากขึ้นหรือบริสุทธิ์มากขึ้น) พระวิญญาณจะนำชีวิตและช่วยเหลือให้สำเร็จตามนิมิตการทรงเรียก เป็นตัวแทนพระองค์ในโลก

            การแสวงหาพระเจ้าส่วนตัวเป็นเรื่องสำคัญ พระเยซูทำพระราชกิจมากโดยไม่ละเลยที่จะแสวงหาพระบิดาเป็นการส่วนตัว

ลก.5:1-16

ลก.5:16 แต่พระองค์เสด็จออกไปในที่เปลี่ยวและทรงอธิษฐาน

1ปต.2:1-5

1 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงละความชั่วทั้งปวง การอุบายต่างๆ ความไม่จริงใจ ความริษยา และคำพูดส่อเสียดทั้งหลาย

2 เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ เพื่อโดยน้ำนมนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้นสู่ความรอด

3 เพราะท่านได้ลิ้มรสพระกรุณาคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้า

4 จงมาหาพระองค์ คือพระศิลาที่ทรงชีวิต ซึ่งมนุษย์ได้ปฏิเสธไม่ยอมรับแล้ว แต่ว่าตามพระดำริของพระเจ้านั้นเป็นศิลาที่ทรงเลือกไว้ และทรงค่าอันประเสริฐ

5 และท่านทั้งหลายก็เสมือนศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายพระวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายวิญญาณ ที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์

you also, like living stones, are being built into a spiritual house to be a holy priesthood, offering spiritual sacrifices acceptable to God through Jesus Christ.

คำถามหลังคำสอน :

            1) แบ่งปันประโยชน์ที่ได้จากการแสวงหาพระเจ้าส่วนตัวของท่าน

            2) แบ่งปันความตั้งใจ วิธีในชีวิตประจำวันเพื่อแสวงหาพระเจ้าส่วนตัว

----------------

บทความแนะนำ

วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ (3) :มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง

การเป็นคริสเตียนคือกลับมาคืนดีกับพระเจ้า ความสัมพันธ์ที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง “ถ้าการสรรเสริญนมัสการไม่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง เช่นนั้นก็บาป...