ในยามเผชิญปัญหาความทุกข์ยาก พระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐาน คำสอนที่พระเจ้ามอบให้คืออย่าสงสัยพระองค์ ให้เดินหน้าดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ชอบธรรมต่อไป ตามนิมิตการทรงเรียก ไม่ว่าเส้นทางนั้นจะเผชิญสิ่งใด
คำถามก่อนเรียน:
1)
ตามความเข้าใจของท่าน คำว่า “พระเจ้า” หมายถึงอะไร อย่างไร
2)
เล่าตัวอย่างชีวิตคนในพระคัมภีร์ ทั้งช่วงชื่นชมยินดี มีสันติสุข กับช่วงยากลำบาก
พระเจ้าผู้กำหนดวิถีชีวิต:
โยบ.39
เป็นคำพูดของพระเจ้าต่อเนื่องจากโยบ.38 สอนให้เข้าใจว่าพระองค์เป็นผู้สร้างและควบคุมสรรพสิ่ง
รวมทั้งวิถีชีวิตของแต่ละคน
บ่อยครั้งที่มนุษย์คิดว่าตนมีความรู้ความเข้าใจ
แต่หากพิจารณาลงรายละเอียด มีมากมายที่มนุษย์ไม่เข้าใจ
พระธรรมโยบบทนี้ใช้สัตว์อธิบายให้เห็นความจำกัดของมนุษย์
ตรงข้ามกับพระเจ้าผู้ทรงรอบรู้เข้าใจทั้งหมด
เพราะเป็นผู้สร้างและกำกับควบคุมสรรพสิ่ง
1. พระเจ้ากำหนดชีวิตตั้งแต่เกิด
โยบ.39:1-4
1 "เจ้ารู้ไหมว่าเลียงผาตกลูกเมื่อไร
เจ้าเคยเฝ้าดูกวางตัวเมียตกลูกหรือ
2 เจ้านับเดือนที่มันท้องครบได้หรือ
และเจ้ารู้เวลาเมื่อมันตกลูกไหม
3 คือเมื่อมันฟุบลงตกลูกของมัน
แล้วก็ตกลูกอ่อนของมันออกมา
4 ลูกอ่อนของมันแข็งแรงขึ้น
มันเติบใหญ่ในกลางแจ้ง มันออกไป แล้วไม่กลับมาหาอีก
พระเจ้ายกตัวอย่างการเกิดลูกเลียงผา
จนมันเติบโตและดูแลตัวเองได้
สิ่งมีชีวิตบางชนิดเพิ่มจำนวนด้วยการแบ่งเซลล์จาก
1 เป็น 2 แต่ละเซลล์อยู่ได้ด้วยตัวเองทันทีเมื่อแยกตัวออก ส่วนสัตว์อย่างกวาง
เลียงผาและมนุษย์ เมื่อคลอดแล้วยังต้องได้รับการดูแลจากพ่อแม่
สัตว์แต่ละชนิดมีเวลาตั้งครรภ์ต่างกัน ถ้านับเวลาอย่างละเอียดแต่ละครรภ์ใช้เวลาไม่เท่ากันเสียทีเดียว
เหล่านี้สะท้อนการสร้างที่ซับซ้อน ด้วยสติปัญญาอันซับซ้อนละเอียดอ่อน
ใครตอบได้ว่าสุนัขหรือแมวจะคลอดลูกวันไหน
กี่โมงกี่นาที (โยบ.39:2) ลูกที่ออกมาหน้าตาอย่างไร เหมือนหรือต่างจากพ่อแม่ตรงไหน
มีเส้นขนกี่เส้น แต่ละเส้นมีกี่เซลล์
วิถีสิ่งมีชีวิตแรกเกิดแต่ละชนิดแตกต่างกันไป เช่น
ลูกกวางเมื่อออกจากครรภ์มารดาสามารถลุกขึ้นเดินได้ในเวลาไม่นาน
แต่เด็กทารกทำอย่างนั้นไม่ได้
บางเรื่องคล้ายกัน
เช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะมีช่วงเวลาให้นมบุตร แต่รายละเอียดแตกต่างกัน เช่น
ให้นมบุตรนานแค่ไหน ส่วนประกอบของน้ำนม การสร้างโปรตีน ไขมัน น้ำ ภูมิต้านทาน
แล้วรวมตัวเป็นน้ำนม
แม้กระทั่งคุณภาพน้ำนมของมารดาแต่ละคนยังไม่เท่ากันเสียทีเดียว
เป็นข้อเตือนใจว่าแม้มนุษย์พยายามศึกษาและมีความรู้มากขึ้น
แต่ไม่สามารถเข้าใจทั้งหมด มีแต่พระผู้สร้างเท่านั้นที่กำหนดการสร้างสัตว์แต่ละตัว
ให้มีรูปร่างหน้าตาตามกำหนด ทรงกำหนดขนาดอวัยวะ จำนวนเซลล์
และกำหนดวิถีชีวิตของมัน
ปฐก.1:20-21
20 พระเจ้าตรัสว่า
"น้ำจงอุดมด้วยฝูงสัตว์ที่มีชีวิต และนกจงบินไปมาข้ามฟ้าเหนือแผ่นดิน"
21 พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่
และสัตว์ที่มีชีวิตนานาชนิด ซึ่งแหวกว่ายอยู่ในน้ำ เป็นฝูงๆตามชนิดของมัน
และนกต่างๆตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี
มธ.10:30 ถึงผมของท่านทั้งหลาย
ก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น
2. พระเจ้าจัดเตรียมที่อยู่อาศัย
โยบ.39:5-8
5 "ใครปล่อยให้ลาป่าวิ่งกระเจิงไป
ใครแก้เชือกผูกลาเปลี่ยว
6 ซึ่งเราได้ให้ถิ่นแห้งแล้งเป็นบ้านของมัน
และให้ดินเค็มเป็นที่อาศัยของมัน
7 มันเย้ยเสียงอึกทึกของเมือง
มันไม่ได้ยินเสียงของผู้ขับขี่ตะโกนบอก
8 มันตระเวนภูเขาอันเป็นลานหญ้าของมัน
และมันแสวงหญ้าเขียวทุกอย่าง
ในตัวอย่าง (โยบ.39:5-8) ลาป่ามีที่อยู่ มีอาหาร
ลาป่าใช้ชีวิตที่เหมาะสมกับมัน
สิ่งมีชีวิตกำเนิดและดำรงอยู่ได้เพราะเกิดในที่เหมาะสม
ถ้าเอาสัตว์แถบหนาวไปปล่อยในทะเลทรายคงจะตายในไม่ช้า
หรือเอาปลาน้ำจืดไปปล่อยในทะเล พระเจ้านอกจากสร้างสรรพสัตว์
ยังสร้างและกำหนดที่อยู่อาศัยอย่างเหมาะสม ทั้งภูมิประเทศ สภาพอากาศ
มีแหล่งน้ำอาหาร
มธ.6:26 จงดูนกในอากาศ
มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย
ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ
3. พระเจ้าสร้างสัญชาตญาณ
โยบ.39:9-12
9 "วัวกระทิงยอมรับใช้เจ้าหรือ
มันจะนอนค้างคืนอยู่ที่รางหญ้าของเจ้าหรือ
“Will the wild ox consent to serve you?
Will it stay by your manger at night?
10 เจ้าเอาเชือกผูกวัวกระทิงให้ลากไถได้หรือ
หรือมันจะยอมคราดที่ลุ่มตามเจ้าไปหรือ
11 เจ้าจะพึ่งมัน เพราะแรงมันมากได้หรือ
หรือจะมอบงานของเจ้าไว้กับมัน
12 เจ้าไว้ใจว่ามันจะกลับมา
และนำข้าวของเจ้ามาที่ลานนวดข้าวหรือ
สัตว์ไม่ฉลาดเหมือนมนุษย์ แต่มีสัญชาตญาณ โยบ.39:9-12 ใช้ “วัวกระทิง” (wild
ox) อธิบายสัญชาตญาณที่พยายามอยู่ด้วยตัวเอง
ไม่ยอมอยู่ใต้บังคับของคนง่ายๆ (ต่างจากวัวควายที่มนุษย์นำมาเลี้ยงจนเชื่อง)
สัญชาตญาณกำหนดวิถีชีวิต
บางชนิดต้องล่าสัตว์อื่นเป็นอาหาร รู้วิธีการล่า
บางชนิดอยู่ด้วยการกินพืชอย่างเดียว มีสัญชาตญาณไวต่ออันตราย
สามารถหลบหนีพวกนักล่า
สัญชาตญาณเป็นอีกคุณสมบัติทำให้สัตว์แต่ละชนิดแตกต่าง
ทรงกำหนดวิถีชีวิตของสัตว์ให้มีสัญชาติญาณตามชนิดของมัน
อธิบายขยายความ: มนุษย์ถูกสร้างตามพระฉาย
(ลักษณะ) พระองค์ จึงมีสติปัญญาเหนือสิ่งมีชีวิตอื่น
แต่ความบาปทำให้ความคิดมนุษย์ผิดเพี้ยน วิถีคนบาปผิดจากทางของพระองค์ เช่น
พระเจ้าเปี่ยมด้วยรัก ส่วนความรักของคนบาปลดน้อยลง (เยือกเย็นลง)
และเป็นความรักที่ผิดจากมาตรฐานพระองค์
ความบาปทำให้วิถีคนบาปผิดเพี้ยน
แต่ยังมีสัญชาตญาณแห่งรัก มีจิตสำนึกรัก ต้องการความรัก แม้เห็นแก่ตัว
ถือตัวเองเป็นใหญ่ ลึกๆ แล้วคนบาปต้องการความรัก ในใจร้องหาความรัก
แต่รักแท้และยั่งยืนอยู่ในพระเจ้าเท่านั้น
จงแสวงหาพระเจ้า
ยำเกรงพระองค์ ดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ชอบธรรม
แล้วท่านจะได้รับการเติมเต็มด้วยความรักที่ยั่งยืนนิรันดร์
สดด.103:11,17-18
11 เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเท่าใด
ความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อบรรดาคนที่เกรงกลัวพระองค์ก็ใหญ่ยิ่งเท่านั้น
17 แต่ความรักมั่นคงของพระเจ้านั้นดำรงอยู่
ตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล ต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์
และความชอบธรรมของพระองค์ต่อหลานเหลน
18 ต่อบรรดาผู้ที่รักษาพันธสัญญาของพระองค์
และระลึกอยู่ที่จะกระทำตามข้อบังคับของพระองค์
ต้องเริ่มต้นด้วยการยำเกรงพระองค์ คือยอมรับว่าทรงเป็นพระเจ้า
ทรงอยู่เหนือเรา เชื่อฟังทำตามคำสอน เป็นหนทางสู่การสัมผัสความรักที่ยั่งยืนนิรันดร์
4. พระเจ้าสร้างให้มีร่างกายแตกต่าง
โยบ.39:13-18
13 "ปีกของนกกระจอกเทศกระพือไปด้วยความภาคภูมิแต่ปีกและขนของมันเหมือนของนกกระสาดำหรือ
14 เพราะมันละไข่ของมันไว้กับดิน
ให้มันอบอุ่นอยู่ในดิน
15 ลืมไปว่าตีนหนึ่งอาจจะเหยียบมันแหลก
และสัตว์ป่าทุ่งจะย่ำมัน
16 มันรุนแรงต่อลูกอ่อนของมันอย่างกับว่าไม่ใช่ลูกของมัน
ถึงมันจะเหนื่อยเปล่า มันก็ไม่ไยดี
17 เพราะพระเจ้าทรงกระทำให้มันลืมสติปัญญา
และมิได้ทรงให้มันมีความเข้าใจ
18 เมื่อมันเร่งตัวเองให้หนี
มันหัวเราะเยาะม้าและคนขี่
ในตอนนี้ใช้นกกระจอกเทศเป็นตัวอย่าง (โยบ.39:13-18) ทรงสร้างร่างกายให้ต่างจากสัตว์อื่น มีลักษณะเฉพาะ เช่น
มันมีปีกแต่บินสูงแบบนกทั่วไปไม่ได้ มันวิ่งเร็วมาก (นกทั่วไปหนีภัยด้วยการบิน
ส่วนนกกระจอกเทศหนีด้วยการวิ่ง) การวางไข่ก็ต่างออกไป มีวิธีเลี้ยงลูกของตัวเอง
ที่เป็นเช่นนี้เพราะทรงตั้งใจสร้างให้เป็นเช่นนั้น (โยบ.39:17)
ทรงสร้างนกกระจอกเทศอย่างจำเพาะเจาะจง มีร่างกายที่ไม่เหมือนนกอื่น
รายละเอียดวิถีชีวิตต่างออกไป (แม้มีปีก ยังเป็นนก แต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว)
อธิบายขยายความ: ถ้าเทียบกับมนุษย์
พระเจ้าสร้างมนุษย์แต่ละคนให้มีร่างกายแตกต่าง
ทั้งการแบ่งอย่างหยาบกับการแบ่งอย่างละเอียด
พิจารณาการแบ่งอย่างหยาบ
เป็นพวกผิวเหลือง ผิวขาว ผิวดำ บางกลุ่มผมสีทอง สีดำ ตาสีฟ้า ตาสีน้ำตาล
ถ้าแบ่งอย่างละเอียดจะยิ่งพบความแตกต่าง
ตั้งแต่เป็นทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวไม่เท่ากัน รูปร่างหน้าตาต่างกัน
สามารถแยกมนุษย์แต่ละคนด้วยลายนิ้วมือกับ DNA (ลายนิ้วมือแต่ละคนไม่เหมือนกัน
แม้ฝาแฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกัน ลายนิ้วมือของแต่ละคนจะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดชีวิต)
ลายนิ้วมือกับ
DNA เป็นอีกหลักฐานบ่งชี้ว่าพระเจ้าสร้างแต่ละคนอย่างจำเพาะเจาะจง
ไม่มีใครเหมือนใคร ทรงรู้จักมนุษย์แต่ละคน
ตัวอย่าง
พระเยซูรู้จักหญิงชาวสะมาเรียอย่างดี
ยน.4:16-19
16 พระเยซูตรัสกับนางว่า
"ไปเรียกผัวของเจ้ามานี่เถิด"
17 นางทูลพระองค์ว่า
"ดิฉันไม่มีผัวค่ะ" พระเยซูตรัสกับนางว่า
"เจ้าพูดถูกแล้วว่าผัวไม่มี
18 เพราะเจ้าได้มีผัวห้าคนแล้ว
และคนที่เจ้ามีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ผัวของเจ้า เรื่องนี้เจ้าพูดจริง"
19 นางทูลพระองค์ว่า "ท่านเจ้าคะ
ดิฉันเห็นจริงแล้วว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ
ยน.4:16-19
เป็นตัวอย่างพระเจ้ารู้จักแต่ละคนอย่างดี รู้แม้กระทั่งหญิงสะมาเรียคนนี้มีผัวห้าคนแล้ว
การที่นางพูดว่า “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ” คือยอมรับว่าพระเยซูเป็นผู้หยั่งรู้
วันนี้ไม่ว่าท่านจะผิวเหลืองหรือผิวขาว
ผมดำหรือสีอื่น หน้าตาเป็นอย่างไร พระเจ้าทรงสร้างและกำหนดให้เป็นเช่นนั้น
ท่านไม่เหมือนใคร ถูกสร้างอย่างเฉพาะเจาะจงเพียงหนึ่งเดียว จะไม่มีใครเหมือนท่านอีกแล้ว
มีโมเสสคนเดียว ดาวิดคนเดียว ไม่มีโมเสส2 โมเสส3
5. พระเจ้าสร้างให้มีกำลังไม่เท่ากัน
สัตว์แต่ละชนิดมีกำลังไม่เท่ากัน
บางชนิดมีกำลังมาก บางชนิดสามารถใช้แรงต่อเนื่องยาวนาน บางชนิดในช่วงสั้นๆ มีกำลังมากเป็นพิเศษ
ในตอนนี้พระเจ้ายกตัวอย่างม้า
โยบ.39:19-25
19 "เจ้าให้พลังแก่ม้าหรือ
เจ้าเอาขนห่มคอของมันหรือ
20 เจ้าทำให้มันกระโดดอย่างตั๊กแตนหรือ
เสียงหายใจอันดังของมันน่าสะพึงกลัว
21 มันตะกุยไปในหุบเขา
และเต้นโลดด้วยกำลังของมัน มันออกไปปะทะคนถืออาวุธ
22 มันหัวเราะเยาะความกลัว และไม่ถอยหนี
มันไม่หันกลับหนีดาบ
23 แล่งธนูกวัดแกว่งกระทบมัน
หอกใหญ่ที่แวบวาบและหอกซัดกระแทกมัน
24 มันโกยดินด้วยความดุร้ายและเดือดดาล
พอได้ยินเสียงเขาสัตว์ มันยืนนิ่งอยู่ต่อไปไม่ได้
25 เมื่อเป่าเขาสัตว์ขึ้น มันร้อง
"ฮีแฮ่" มันได้กลิ่นสงครามแต่ไกล
ทั้งเสียงตะโกนของผู้บังคับบัญชาและเสียงโห่ร้อง
กำลังของสัตว์แต่ละชนิดส่งผลต่อวิถีชีวิต ถ้าพูดในแง่ใช้ประโยชน์
ม้าเหมาะกับศึกสงครามมากกว่าวัวควาย
แม้เป็นมนุษย์เหมือนกัน
ชายกับหญิงที่พระเจ้าสร้างมีกำลังกายต่างกัน
วัยหนุ่มสาวมีกำลังกายมากและคล่องแคล่ว กำลังของมนุษย์เสื่อมถอยเมื่อเข้าสู่วัยชรา
กำลังกายจึงกำหนดการใช้ชีวิต
อธิบายขยายความ:
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ เทคโนโลยี ช่วยขยายและยืดกำลังกาย
ในอนาคตอาจมีแขนขาเทียม จักรกลที่ห่อหุ้มกายทำให้มีกำลังมาก
ปัจจุบันสามารถเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ
เช่น ไตเสื่อมเปลี่ยนไต ใช้ลิ้นหัวใจเทียม ฯลฯ เทคโนโลยีช่วยการมองเห็น
ระบบคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับสมอง
เพียงแค่คิดเท่านั้นมนุษย์สามารถสั่งคอมพิวเตอร์ให้ทำงานตามความคิดของเรา
มนุษย์ในอนาคตอาจมีชีวิตยืนยาวกว่าปัจจุบัน
ทั้งหมดสะท้อนสติปัญญาที่พระเจ้าให้
กำหนดให้ครอบครองสรรพสิ่ง พยายามเอาชนะอุปสรรค เอาชนะปัญหาสุขภาพ
มนุษย์คิดค้นยารักษาโรค หุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ ทั้งหมดยังอยู่ใต้แผนการพระเจ้าอยู่ดี
6. พระเจ้ากำหนดการสร้างครอบครัว
โยบ.39:26-30
26 "เหยี่ยวนกเขาโผไปมาด้วยสติปัญญาของเจ้าหรือและกางปีกของมันตรงไปทางทิศใต้
27 นกอินทรีทะยานขึ้นตามบัญชาของเจ้าหรือ
ทั้งทำรังของมันบนที่สูง
28 มันอยู่ที่หน้าผาและทำรังของมัน
บนชะโงกผาและบนที่เข้มแข็ง
29 มันส่ายหาเหยื่อจากที่นั่น
ตาของมันเห็นเหยื่อได้แต่ไกล
30 ลูกอ่อนของมันดูดเลือด
และมีอะไรถูกฆ่าตายที่ไหนมันอยู่ที่นั่นแหละ"
โยบ.39:26-30 พูดถึงการสร้างครอบครัวหรือการสืบสายพันธุ์
ตั้งแต่เลือกที่อยู่อาศัย อาหารการกินของลูก โดยยกตัวอย่างนกเหยี่ยวกับนกอินทรี
ต่างมีแนวทางของมัน ทรงให้มีร่างกายที่เอื้อการสร้างครอบครัวแบบนั้น
หรือร่างกายที่พระเจ้าให้นำสู่การสร้างครอบครัวที่สอดคล้องกับการทรงสร้าง
(ทั้งตัวมันกับสภาพแวดล้อม)
7. พระเจ้าผู้กำหนดวิถีชีวิต
โยบ.39
พระเจ้าบรรยายตั้งแต่การเกิด ที่อยู่อาศัย สัญชาตญาณหรือปัญญา
มีร่างกายกับกำลังตามแบบเฉพาะ จนถึงการสร้างครอบครัว ทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่าพระเจ้ากำหนดวิถีชีวิตของพวกเขา
“แต่ละตัว” อย่างละเอียด (ลองนึกถึงนกที่กินหนอน แม้กินหนอนชนิดเดิมแต่เป็นคนละตัว
บางปีมีหนอนมาก บางปีมีน้อย)
20 พระเจ้าตรัสว่า
"น้ำจงอุดมด้วยฝูงสัตว์ที่มีชีวิต และนกจงบินไปมาข้ามฟ้าเหนือแผ่นดิน"
21 พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่
และสัตว์ที่มีชีวิตนานาชนิด ซึ่งแหวกว่ายอยู่ในน้ำ เป็นฝูงๆตามชนิดของมัน
และนกต่างๆตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี
24 พระเจ้าตรัสว่า
"แผ่นดินจงเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน คือสัตว์ใช้งาน
สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ป่าตามชนิดของมัน" ก็เป็นดังนั้น
25 พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ป่าตามชนิดของมัน
สัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินตามชนิดของมัน
แล้วพระเจ้าทรงเห็นว่าดี
อธิบายขยายความ: แต่ดั้งเดิมมนุษย์มีวิถีชีวิตเฉพาะ
ทั้งยังสามารถแยกย่อยความจำเพาะ เช่น คนที่อาศัยในเขตหนาว เขตร้อน
แถบทุ่งหญ้าอบอุ่น หรืออยู่ตามชายฝั่ง ต่างมีวิถีชีวิตของตน
สติปัญญาส่งเสริมการเรียนรู้
ปรับตัว สร้างสิ่งที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต สังคมมนุษย์ซับซ้อนมากขึ้น
เกิดโครงสร้างหมู่บ้าน เมือง อาณาจักร
สังคมที่ซับซ้อนก้าวหน้าทำให้วิถีชีวิตแตกต่าง เกิดหลากหลายอาชีพ เกิดคนรวยคนจน
ฐานะสังคมสูงต่ำ บางคนเป็นเจ้าเมือง ดังนั้น แม้เป็นมนุษย์เหมือนกันแต่ฐานะเศรษฐกิจสังคมต่างกัน
บางคนภูมิใจว่าตัวเองมีความสุข โดดเด่นเหนือใคร ดีแล้ว เลิศแล้ว
ตามความคิดปรัชญาที่ยึดถือ
บริบทสังคมโยบตอนนั้น
โยบเป็นคนที่โดดเด่นมาก ร่ำรวยมหาศาล คนใช้บริวารมากมาย แต่ไม่พ้นมือพระเจ้า ทรงทดสอบโยบเพื่อให้ซาตานเห็นว่าโยบรักยำเกรงพระเจ้าจริง
ไม่ใช่เพราะสิ่งต่างๆ ที่ได้จากการอวยพร
พระธรรมโยบตั้งใจเตือนมนุษย์ว่าพระองค์เป็นผู้สร้าง
และกำหนดวิถีชีวิตของสรรพสิ่ง กำหนดเจาะจงต่อแต่ละคน
โยบผู้ดำเนินชีวิตในความชอบธรรม
พยายามทำสิ่งที่หวังว่าจะช่วยปกป้องลูกได้ แต่ใช่ว่าจะรอดปลอดภัยตามที่หวัง
โยบ.1:5 และเมื่อการเลี้ยงเวียนครบรอบแล้ว
โยบจะใช้ให้ไปทำพิธีชำระตัวเขาทั้งหลายให้บริสุทธิ์
และท่านจะตื่นแต่เช้ามืดถวายเครื่องเผาบูชาตามจำนวนของเขาทั้งหมด เพราะโยบกล่าวว่า
"ชะรอยบุตรของข้าพเจ้าได้กระทำบาปและแช่งพระเจ้าอยู่ในใจของเขา"
โยบกระทำดังนี้เรื่อยมา
แผนการความคิดของพระเจ้าซับซ้อนเกินกว่ามนุษย์แม้กระทั่งผู้เชื่อจะเข้าใจทั้งหมด
พระองค์ทรงเอกสิทธิ์ ตัดสินใจทำการโดยไม่ต้องขออนุญาตใคร ไม่มีใครห้ามพระองค์ได้
ผู้เชื่อศรัทธาต้องยอมรับและดำเนินตามนิมิตการทรงเรียกส่วนตัว
(ชีวิตโยบคือชีวิตเฉพาะของโยบคนนี้เท่านั้น) ความสงสัยพระเจ้าเป็นบาป
ในการทดสอบทดลอง
โยบไม่ตอบสนองผิดเลย ยังเชื่อศรัทธาพระเจ้าดังเดิม สุดท้ายโยบผิดที่สงสัยว่าทำไมจึงเกิดเหตุร้ายกับตัวเอง
คำตอบที่พระเจ้ามอบให้คืออย่าสงสัยพระองค์
ให้เดินหน้าดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ชอบธรรมต่อไป ตามนิมิตการทรงเรียก
ไม่ว่าเส้นทางนั้นจะเผชิญสิ่งใด
8. อธิบายขยายความ: ความสงสัยของโยบ
โยบที่ดีพร้อมสงสัยว่าทำไมตนต้องรับความทุกข์ยากสาหัส
ทั้งๆ ที่ไม่ทำผิดบาป พยายามดำเนินชีวิตในทางพระองค์อย่างเคร่งครัด
คำพูดของโยบ
…
โยบ.19:6-8
6 จงทราบเถิดว่าพระเจ้าทรงวางข้าไว้ในที่ที่ผิด
และได้ทรงเอาตาข่ายของพระองค์ล้อมข้าไว้
7 ดูเถิด ข้าร้องออกมาว่า "ทารุณจริง"
แต่ไม่มีใครฟัง ข้าร้องให้ช่วย แต่ไม่มีความยุติธรรมที่ไหน
Though I cry, ‘Violence!’ I get no response; though I call
for help, there is no justice.
8 พระองค์ทรงก่อกำแพงกั้นทางข้าไว้
ข้าจึงข้ามไปไม่ได้ และพระองค์ทรงให้ทางของข้ามืดไป
โยบคิดว่าตัวเองไม่ผิดอะไร
โยบ.34:5 เพราะโยบกล่าวว่า
"ข้าพเจ้าเป็นคนชอบธรรม
และพระเจ้าทรงเอาความยุติธรรมที่ควรตกแก่ข้าพเจ้าไปเสีย"
“Job says, ‘I am innocent, but God denies me justice.
อธิบายขยายความ:
แม้เผชิญความทุกข์ยากสาหัส จิตสำนึกโยบยังชอบอยู่เสมอ (ไม่ทำอะไรผิด
อยู่ในความบริสุทธิ์) จึงสงสัยว่าในเมื่อตนไม่ทำผิดแต่ต้องเจอเหตุร้าย
จึงอยากได้คำตอบ (โยบไม่คิดว่าพระเจ้าผิดพลาด ไม่ยุติธรรม แต่สงสัยว่าพระองค์ที่ไม่ผิดพลาดเลย
ทำไมจึงเกิดเหตุร้ายกับคนบริสุทธิ์ชอบธรรม)
คำตอบของพระเจ้าคือ
ทรงเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง ทรงกำหนดวิถีชีวิตของแต่ละคน
รวมทั้งช่วงชีวิตหนึ่งของโยบที่ต้องเผชิญความทุกข์สาหัส
โยบเข้าใจถูกต้องว่าที่ตนเจอเหตุร้ายไม่ใช่เพราะตนทำบาป
แต่ที่มนุษย์ (โยบ) ควรตอบสนองคือ เชื่อติดตามพระเจ้าต่อไป ไม่สงสัย
ขอบคุณพระเจ้าทุกกรณี
สภษ.3:5-6
5 จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า
และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง
Trust in the LORD with all your heart and lean not on your
own understanding;
6 จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า
และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น
in all your ways submit to him, and he will make your paths
straight.
สรุป โยบบทที่ 39
ในบางช่วงชีวิต
คริสเตียนผู้เชื่ออาจสงสัยว่าทำไมเกิดเหตุร้าย เรื่องไม่พึงพอใจ
โดยทั่วไปแล้วมาจากความไม่สมบูรณ์หรือความบาป เผชิญการทดสอบทดลอง
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด เป็นการเสียเวลาที่จะจมอยู่ในความคิดแง่ลบ
ควรแสวงหาพระเจ้า สารภาพบาป ขอกำลัง ขอความช่วยเหลือให้ผ่านพ้นสถานการณ์
ตั้งหน้าตั้งตาดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ชอบธรรม ตามนิมิตการทรงเรียก
ไม่มีสิ่งที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
แทนที่จะนึกถึงความยากลำบาก
รู้สึกขัดเคืองใจ ควรระลึกถึงเจตนาบริสุทธิ์ของพระองค์
นึกถึงพระพรมากมายที่ได้ในอดีต ปัจจุบันและอนาคต
เชื่อว่าพระองค์จัดเตรียมสิ่งดีที่สุดให้เสมอ เข้าถึงว่าทรงเป็นพระเจ้าแสนดีต่อเรา
จิตใจมุ่งตรงต่อพระองค์
การนี้จำต้องอาศัย "ความเชื่อวางใจ"
ส่วนหนึ่งเป็นประสบการณ์กับความสัมพันธ์
สูงกว่านั้นต้องอาศัยความเชื่อกับการเชื่อฟัง
เพราะมนุษย์ไม่อาจเข้าถึงความล้ำลึกได้ทั้งหมด
สดด.126:1-6
1 เมื่อพระเจ้าทรงให้ศิโยนกลับสู่สภาพดี
เราก็เป็นเหมือนคนที่ฝันไป
2 ปากของเราได้หัวเราะเต็มที่
และลิ้นของเราได้เปล่งเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน
แล้วเขาได้พูดกันท่ามกลางประชาชาติว่า "พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เขา"
3 พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา
เรามีความยินดี
4 ข้าแต่พระเจ้า
ขอทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับสู่สภาพดี อย่างทางน้ำไหลที่ในเนเกบ
5 ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา
ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน
6 ผู้ที่ร้องไห้ออกไป
หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่าน จะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน
นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย
คำถามหลังคำสอน:
1) พระเจ้ากำหนดวิถีชีวิตของท่าน ดีหรือไม่ อย่างไร
2) ท่านจะอธิบายต่อคนอื่นอย่างไร
หากเขาพูดว่าบางครั้งคริสเตียนทุกข์ยากมากกว่าหรือไม่ต่างจากคนทั่วไป
------------------------