บทเรียน 7 แบบอย่างชีวิตเกลือและแสงสว่างของโยบ

 ยิ่งอากาเป้ตัวเองจะยิ่งอากาเป้ผู้อื่น และยิ่งสำแดง “ชีวิตแห่งเกลือและแสงสว่าง” โยบเป็นแบบอย่าง พระเจ้าใช้ท่านอย่างมาก

 

คำถามก่อนเรียน :

            1) คิดว่าสังคมตอนนี้คนช่วยหลือกันมากขึ้นหรือลดลง ทำไมเป็นเช่นนั้น

            2) จริงหรือไม่หากมนุษย์ไม่คิดทำร้ายกัน โลกจะน่าอยู่ขึ้นมาก พระจ้าสอนให้ทำความชั่วหรือ

            นอกจากยำเกรงพระเจ้า ระวังที่จะไม่ทำบาป ถวายเครื่องบูชาอย่างเต็มที่ โยบมีชีวิตแห่งการเป็นเกลือและแสงสว่าง โยบบทที่ 29 บรรยายอย่างละเอียด ดังนี้

แบบอย่างชีวิตเกลือและแสงสว่างของโยบ :

          1. เป็นผู้เชื่อแท้ที่พระเจ้ารับรอง

โยบ.29:1-2

แล้วโยบก็กล่าวกลอนภาษิตของท่านอีกว่า

2 "โอ ข้าอยากจะอยู่อย่างแต่เก่าก่อน อย่างในสมัยเมื่อพระเจ้าทรงพิทักษ์ข้า

             เริ่มจากการเป็นผู้เชื่อพระเจ้าที่พระเจ้ารับรอง (รับการปกป้องรักษาให้พ้นจากอำนาจมืดอิทธิพลบาป) เป็นเกลือและแสงสว่างอันเป็นผลของผู้เชื่อที่กระทำตามคำบัญชาของพระเจ้า

ปฐก.1:26 แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน"

Then God said, “Let us make mankind in our image, in our likeness, so that they may rule over the fish in the sea and the birds in the sky, over the livestock and all the wild animals, and over all the creatures that move along the ground.”

ปฐก.1:28 พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า "จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน"

มธ.5:14-16

14 "ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้

15 เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น

16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์

            อธิบายขยายความ : ข้อสำคัญที่ควรตระหนักคือการเป็นเกลือและแสงสว่างเป็นผลของผู้เชื่อที่กระทำตามคำบัญชาของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยทัศนคติ แรงจูงใจฝ่ายโลก เช่น บางคนเดิมเป็นคนชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่แล้ว บางคนแบ่งเวลาแบ่งทรัพย์ช่วยเหลือเด็กกำพร้า สงเคราะห์คนชรา คนเหล่านี้ทำดีเพราะทำตามบัญญัติศาสนาที่พวกเขายึดถือแต่เดิม หรือบางคนทำเพราะหวังชื่อเสียงฝ่ายโลก เมื่อเป็นคริสเตียนแต่ยังยึดถือศาสนาค่านิยมฝ่ายโลกอยู่ ไม่ได้ทำความดีเพราะต้องการเป็นเกลือและแสงสว่างตามคำสอนพระเจ้า คนเหล่านี้หากจิตวิญญาณไม่เติบโตพอ ไม่ได้รับการดูแลปกป้อง ในที่สุดอาจหลงออกจากทางพระเจ้า เช่น อยากเด่นดังเพื่อตัวเองหรือหาประโยชน์เข้าตัวจากกิจกรรมทำความดี

          2. พระเจ้าทรงนำทาง

โยบ.29:3 เมื่อประทีปของพระองค์ส่องเหนือศีรษะข้า และข้าเดินฝ่าความมืดไปด้วยความสว่างของพระองค์

            พระเจ้าต้องการและกำลังนำทางผู้เชื่อทุกคนไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ เข้าใจหรือไม่เข้าใจ แต่ละคนมีสิทธิคิดตัดสินใจ แต่สุดท้ายทุกสิ่งขึ้นกับพระองค์

สดด.37:23-24

23 ถ้าพระเจ้าทรงนำย่างเท้าของมนุษย์คนใด และคนนั้นพอใจในมรรคาของพระองค์

24 แม้เขาล้ม เขาจะไม่ถูกเหวี่ยงลงเหยียดยาวเพราะว่าพระหัตถ์พระเจ้าพยุงเขาไว้

            ยิ่งเป็นคริสเตียน การทรงนำยิ่งสำคัญ หากพระองค์ไม่นำคริสเตียนผู้นั้นย่อมไม่ใช่ผู้เชื่อแท้ (เป็นคริสเตียนแค่ปากหรือสมอง)

            “หากพระองค์ไม่นำคริสเตียนผู้นั้นย่อมไม่ใช่ผู้เชื่อแท้” (ขีดเส้นใต้ เส้น)

รม.8:14 เพราะว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นก็เป็นบุตรของพระเจ้า

            พระเจ้าทรงนำผู้นั้นในงานรับใช้เกลือและแสงสว่าง

          3. องค์ผู้สูงสุดสถิตกับท่าน

โยบ.29:4-5

อย่างข้าเมื่อครั้งยังหนุ่มแน่นอยู่ เมื่อพระเจ้าทรงปกป้องเต็นท์ของข้าไว้

5 เมื่อองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังอยู่กับข้า และลูกหลานห้อมล้อมข้า

when the Almighty was still with me and my children were around me,

            เพราะเชื่อพระเจ้า พยายามดำเนินชีวิตในความชอบธรรม พระองค์จึงสถิตอยู่ด้วย ข้อนี้เกิดได้กับผู้เชื่อทุกคน ยิ่งดำเนินในความบริสุทธ์ พยายามติดสนิท จะยิ่งสัมผัสการทรงสถิต รับผลอย่างเต็มที่

            งานรับใช้เกลือและแสงสว่างเกิดผลอย่างเต็มที่ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย

          4. พระเจ้ายกชูให้โดดเด่น เป็นบุคคลสำคัญต่อคนทั้งหลาย

โยบ.29:6-7

เมื่อเขาล้างย่างเท้าของข้าด้วยนมข้น และก้อนหินเทธารน้ำมันออกให้ข้า

เมื่อข้าออกมายังประตูเมือง เมื่อข้าเตรียมที่นั่งของข้า ณ ลานเมือง

            ผลจากชีวิตที่ดีงาม เป็นเกลือและแสงสว่างย่อมได้รับการยกย่องเชิดชู เป็นที่รู้จักในสังคม

          อธิบายขยายความ : ดังที่กล่าวตั้งแต่ต้นว่าโยบเป็นคนยำเกรงพระเจ้า ระวังที่จะไม่ทำบาป ถวายเครื่องบูชาอย่างเต็มที่ กำลังบ่งบอกว่า ชีวิตส่วนตัวของโยบกับการเป็นเกลือและแสงสว่างสอดคล้องกัน เป็นเรื่องแปลกถ้าอยู่นอกบ้านเป็นคนดีสุภาพรักห่วงใยคนอื่น แต่ในครอบครัวมักทุบตีภรรยา ไม่เอาใจใส่ลูกหลาน ฯลฯ

            “คนที่เป็นเกลือและแสงสว่างชีวิตต้องสอดคล้องสำแดงพระวจนะครบถ้วนสมบูรณ์” (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            แน่นอนว่าคริสเตียนยังไม่สมบูรณ์ เขากำลังเติบโต แต่ต้องมีความตั้งใจว่าจะเติบโตจนถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์

          5. ทุกคนเคารพยำเกรง

โยบ.29:8-10

คนหนุ่มๆ เห็นข้าแล้วก็หลีกไป คนสูงอายุลุกขึ้นยืน

เจ้านายหยุดพูด เอามือปิดปากของตนไว้

10 เสียงของขุนนางก็สงบลง และลิ้นของเขาก็เกาะติดเพดานปาก

            โยบได้รับความเคารพยำเกรงจากทุกวัย จากคนทั่วไปและผู้มีสิทธิอำนาจเพราะชีวิตของท่าน (ไม่ใช่เพราะโยบมีตำแหน่งสูง) เมื่อคนเคารพยำเกรง คนเหล่านั้นจะยินดีเชื่อฟังทำตาม

          6. มีอิทธิพลเหนือคนทั้งหลาย เป็นแบบอย่างชีวิต

โยบ.29:11 เมื่อหูได้ยินแล้ว ต่างก็ว่าข้าเป็นสุข และเมื่อตาดูก็ยกย่องข้า

            ทุกคนยอมรับว่าโยบมีชีวิตที่ดี เป็นแบบอย่างในทุกด้านไม่ว่าจะเรื่องใหญ่เล็ก ส่งอิทธิพลดีรอบด้าน ดังคำที่กล่าวว่า “ชีวิตดังกล่าวคำพูด”

          7. ชีวิตแห่งการเป็นเกลือและแสงสว่าง

            โยบ.29:12-17 อธิบายเหตุผลที่ทุกคนยำเกรง เป็นแบบอย่างชีวิต

โยบ.29:12-17

12 เพราะว่าข้าช่วยคนยากจนที่ร้องให้ช่วย และเด็กกำพร้าที่ไม่มีใครอุปถัมภ์เขา

13 พรของคนที่จวนพินาศก็มาถึงข้า และข้าเป็นเหตุให้จิตใจของหญิงม่ายร้องเพลงด้วยความชื่นบาน

14 ข้าสวมความชอบธรรม และมันก็ห่อหุ้มข้าไว้ความยุติธรรมของข้าเหมือนเสื้อคลุมและผ้าโพกศีรษะ

15 ข้าเป็นนัยน์ตาให้คนตาบอด และเป็นเท้าให้คนง่อย

16 ข้าเป็นบิดาให้คนขัดสน และข้าสอบสวนเรื่องของผู้ที่ข้าไม่รู้จัก

17 ข้าหักเขี้ยวเล็บของคนที่ไม่ชอบธรรม และได้ดึงเอาเหยื่อจากฟันของเขา

          8. ทุกคนตั้งใจฟังท่านเป็นพิเศษ เป็นแหล่งแห่งสติปัญญา

โยบ.29:21-23

21 "คนทั้งหลายฟังข้าและคอยอยู่ และเงียบอยู่ฟังคำปรึกษาของข้า

“People listened to me expectantly, waiting in silence for my counsel.

22 หลังจากที่ข้าพูดแล้ว เขาก็ไม่พูดอีกเลยและคำของข้าก็กลั่นลงมาเหนือเขา

23 เขาคอยข้าเหมือนคอยฝน เขาอ้าปากของเขาเหมือนอย่างรอรับน้ำฝนชุกปลายฤดู

They waited for me as for showers and drank in my words as the spring rain.

          9. คอยชี้นำชีวิตคนทั้งปวง

            คอยชี้นำชีวิตคนทั้งปวงด้วยชีวิต ด้วยการแสดงออกและด้วยคำพูด

โยบ.29:24-25

24 ข้ายิ้มแย้มต่อเขาเมื่อเขาท้อถอย และใบหน้ายิ้มแย้มของข้า เขามิได้ทำให้หม่นหมอง

When I smiled at them, they scarcely believed it; the light of my face was precious to them.

25 ข้าเลือกทางให้เขาและนั่งเป็นหัวหน้า และอยู่อย่างกษัตริย์ท่ามกลางกองทหาร อย่างผู้ที่ปลอบโยนคนที่คร่ำครวญ

I chose the way for them and sat as their chief; I dwelt as a king among his troops; I was like one who comforts mourners.

ปฐก.1:28 พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า "จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน"

            จงเกิดผลมากจนเต็มแผ่นดิน มีอำนาจเหนือแผ่นดินและจงครอบครองสรรพสิ่ง ด้วยการประพฤติ สำแดงชีวิตเป็นผู้เชื่อตามแบบพระองค์ (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            น้ำพระทัยคือให้ผู้เชื่อเป็นผู้แทนพระองค์ปกครองโลก

            โยบเป็นแบบอย่างชีวิตแห่งเกลือและแสงสว่าง

ข้อแนะนำเพิ่มเติม :

          1. “มหาบัญชา” คู่กับ “ปฐมบัญชา”

            บางคนพยายามแยก หัวข้อนี้ออกจากกัน ให้ความสำคัญกับมหาบัญชา (Great Commission) เรื่องการประกาศข่าวประเสริฐ สร้างสาวก

มธ.28:18-20

18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า "ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว

19 เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์

20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค"

            ความจริงแล้วพระเจ้ามีปฐมบัญชาด้วย โยบเป็นแบบอย่างชีวิตด้านนี้เช่นกัน

ปฐก.1:26 แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน"

Then God said, “Let us make mankind in our image, in our likeness, so that they may rule over the fish in the sea and the birds in the sky, over the livestock and all the wild animals, and over all the creatures that move along the ground.”

ปฐก.1:28 พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า "จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน"

          2. “ชีวิตแห่งเกลือและแสงสว่าง” กับ “การรักพระเจ้า รักตัวเองและผู้อื่น” เป็นเรื่องเดียวกัน

          2.1 เข้าใจอากาเป้

            ถ้าไม่ยกเรื่องมหาบัญชากับปฐมบัญชา สามารถอธิบาย “ชีวิตแห่งเกลือและแสงสว่าง” ด้วยความรัก (อากาเป้)

            พระเยซูสอนว่าบรรดาธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งสิ้น สรุปแล้วมีเพียง 2 ข้อคือรักพระเจ้า รักตนเองกับรักเพื่อนบ้าน (มนุษย์ทุกคน)

มธ.22:36-40

36 "อาจารย์เจ้าข้า ในธรรมบัญญัตินั้นข้อใดสำคัญที่สุด"

37 พระเยซูทรงตอบเขาว่า "จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า

38 นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่ และข้อต้น

39 ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

40 ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งสิ้น ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้"

All the Law and the Prophets hang on these two commandments.”

            ในคำสอนนี้ มี 3 บุคคล ได้แก่ พระเจ้า ผู้เชื่อ และเพื่อนบ้าน (ทุกคนในโลก)

            เนื้อหาหลักคือว่า “รัก”

            รากศัพท์คำว่า “รัก” ในที่นี้ไม่ใช่รักแบบมนุษย์ ไม่ใช่ความรักของพ่อแม่ต่อลูก ความรักใคร่ระหว่างสามีภรรยา มิตรภาพระหว่างเพื่อน ฯลฯ แต่เป็นความรักแบบของพระเจ้าหรืออากาเป้ (agape)

            พระเยซูรักโลกด้วยรักของพระเจ้า (อากาเป้) เป็นรักที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่คิดถึงตัวเองฝ่ายเดียว แต่ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น เสียสละตัวเองเพื่อประโยชน์คนอื่น เมื่อพระเยซูสอนให้สาวกรักตัวเอง จึงหมายถึงให้เสียสละตัวเองแก่ผู้อื่น ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น พระเจ้าทำเป็นแบบอย่างแล้ว

ยน.3:16-17

16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์

17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น

            พระเยซูไม่ปฏิเสธการห่วงใยตนเอง ดูแลตัวเอง เพียงแต่ต้องเข้าใจว่ารักในที่นี้หมายถึงอากาเป้ตนเองและผู้อื่น พระเจ้าเที่ยงแท้บริสุทธิ์ อากาเป้จึงเป็นรักบริสุทธิ์ ปราศจากบาป (การทำร้ายผู้อื่น ไม่ช่วยเหลือผู้อื่นเป็นบาป) เป็นรักที่มีจุดเริ่มมาจากพระเจ้าเท่านั้น บัญชาให้คริสเตียนรักผู้อื่นทุกคนด้วยความรักนี้

            สรุปคำสอนคือ อากาเป้พระเจ้า อากาเป้ตัวเองและผู้อื่น

          2.2 อากาเป้ผู้อื่นคือ “ชีวิตแห่งเกลือและแสงสว่าง”

          2.2.1 ถ้ารักผู้อื่นจะทำร้ายผู้อื่นได้อย่างไร

            ถ้ายังไม่คิดทำดีต่อผู้อื่น อย่างน้อยต้องไม่คิดชั่วทำร้ายคนอื่น (พูดอย่างมนุษย์ ไม่ใช่อย่างพระเจ้า)

            คำถาม จริงหรือไม่หากมนุษย์ไม่คิดทำร้ายกัน โลกจะน่าอยู่ขึ้นมาก พระจ้าสอนให้ทำความชั่วหรือ

          2.2.2 สร้างโอกาสทำดีต่อผู้อื่นเสมอ

            เมื่อรัก (อากาเป้) ผู้อื่น ย่อมต้องมีทัศนคติอยากเห็นผู้อื่นได้ดีมีสุข (ตามหลักการพระคัมภีร์) จึงพยายามหาโอกาส สร้างโอกาสทำดีต่อผู้อื่น

            เมื่อมีใจอยากเห็นผู้อื่นได้ดีมีสุข การทำความดีจะตามมาเอง จะรู้จักสร้างโอกาส ไม่คิดว่าเป็นภาระ ทำด้วยความรักความสุขใจ (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            เป็นวิถีชีวิตที่จะทำตัวเป็นคุณประโยชน์ต่อผู้อื่นเสมอ เริ่มจากกระทำต่อคนใกล้ชิดรอบตัว เช่น พูดด้วยความคิดหวังดีต่อพวกเขา คอยให้กำลังใจ ไม่ละโอกาสช่วยคนอื่นในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ (สังเกตว่าการทำความดีจำต้องไม่เสียเงิน ไม่ใช้เวลามาก) ทำเช่นนี้สม่ำเสมอ

            ขยับขึ้นมาคือทำความดีต่อสังคมชุมชนที่อาศัย เช่น มีส่วนร่วมพัฒนาหมู่บ้าน ช่วยรักษาความสะอาดในซอยที่อาศัย ผู้เชื่ออยู่ที่ไหนจะทำความดีที่นั่น เรียนรู้มีประสบการณ์ทำดีต่อผู้อื่น เข้าใจโลกมากขึ้น มีสติปัญญามากขึ้น

            และขยับสู่ระดับที่ใหญ่ขึ้น สู่ตำบล อำเภอ จังหวัด ประเทศ ฯลฯ

            จึงเป็นข้อสรุปว่าการรักผู้อื่นคือ “ชีวิตแห่งเกลือและแสงสว่าง”

          ยิ่งอากาเป้ตัวเองจะยิ่งอากาเป้ผู้อื่น และยิ่งสำแดง “ชีวิตแห่งเกลือและแสงสว่าง” (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            อากาเป้ “ตัวเองกับผู้อื่น” คือ “ชีวิตแห่งเกลือและแสงสว่าง”

            พระเยซูตรัสว่า ....

มธ.22:39 ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

            จึงเป็นเรื่องแปลกถ้าบอกว่ารักพระเจ้า รับใช้พระองค์เต็มกำลัง แต่ไม่รักเพื่อนบ้าน เฉยชาต่อสังคม ไม่สนใจการเมืองการปกครองที่มีผลต่อสังคมประเทศชาติและโลกนี้

คำถามหลังเรียน :

            1) แบ่งปันประสบการณ์ ช่วยเหลือคนอื่น ทำดีต่อผู้อื่น เพราะรักห่วงใยผู้นั้น

            2) ทำไมอากาเป้ “ตัวเองกับผู้อื่น” คือ “ชีวิตแห่งเกลือและแสงสว่าง”

------------------------------