22/02/2568

บทเรียน 16 พระเจ้ายิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง

 จงรู้เถิดว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง ทรงกำกับควบคุมโลกตลอดเวลา ควบคุมชีวิตทุกคน จงยำเกรงพระเจ้า

            คริสเตียนคุ้นเคยกับคำว่า “พระเจ้ายิ่งใหญ่” เรามักสรรเสริญพระองค์อย่างนั้น คำถามคือ “พระเจ้ายิ่งใหญ่” เป็นอย่างไร ยิ่งใหญ่อย่างไร ผู้เชื่อควรตอบสนองอย่างไร

            โยบ บทที่ 37 อธิบาย “พระเจ้ายิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง”

            อ่านโยบ.37

คำถามก่อนเรียน :

            1) จงอธิบาย คำว่า “พระเจ้ายิ่งใหญ่” หมายถึงอย่างไร พระเจ้ายิ่งใหญ่อย่างไร

            2) ผู้เชื่อควรตอบสนองพระเจ้าอย่างไร

บริบท :

            เอลีฮูเพื่อนโยบย้ำพระลักษณะสำคัญของพระเจ้าอีกครั้ง อธิบายด้วยการยกตัวอย่าง พูดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ชี้ว่าทรงยิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง กำกับควบคุมโลกตลอดเวลา ควบคุมชีวิตทุกคน ความยิ่งใหญ่ของพระองค์เกินกว่าจะเข้าใจทั้งหมด สิ่งที่มนุษย์ควรทำอย่างยิ่งคือ “ยำเกรงพระองค์” ไม่มีวิธีอื่นใดดีกว่านี้อีกแล้ว

โยบ.37:24 เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงยำเกรงพระองค์ พระองค์ไม่ทรงนับถือผู้ใดที่ถือตัวว่ามีปัญญา"

Therefore, people revere him, for does he not have regard for all the wise in heart?

            โยบ.37:24 เป็นข้อสรุปของบทนี้ จงยำเกรงพระเจ้าไม่เช่นนั้นจะพินาศ

1. ทรงกำกับควบคุมโลก

โยบ.37:1-4

1 เรื่องนี้กระทำให้หัวใจของข้าพเจ้าสั่นรัว สะทกสะท้านขวัญหนีดีฝ่อ

2 จงฟัง จงฟังเสียงกัมปนาทของพระองค์ และเสียงกระหึ่มที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์

3 พระองค์ทรงปล่อยให้ไปทั่วใต้ฟ้าทั้งสิ้น และฟ้าแลบของพระองค์ไปถึงสุดปลายแผ่นดินโลก

4 พระสุรเสียงของพระองค์ครางกระหึ่มตามไป พระองค์ทรงแผดพระสุรเสียงอันโอฬารึกของพระองค์ พระองค์มิได้ทรงหน่วงเหนี่ยวฟ้าแลบ เมื่อได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์

            เอลีฮูย้ำเรื่องพระเจ้าควบคุมโลกเพราะเป็นของพระองค์ โดยยกตัวอย่างเรื่องลมฟ้าอากาศ (ฟ้าผ่า-ส่วนหนึ่งของลมฟ้าอากาศ) แสดงให้เห็นถึงพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ ไม่มีใครพ้นมือพระองค์

สดด.29:4-5

4 พระสุรเสียงของพระเจ้า ทรงฤทธานุภาพ พระสุรเสียงของพระเจ้า เต็มด้วยความสูงส่ง

5 พระสุรเสียงของพระเจ้าหักต้นสนสีดาร์ พระเจ้าทรงฟาดต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอน
            อธิบายขยายความ
: สภาพดินฟ้าอากาศมีผลต่อทุกคนทั่วโลก มีผลต่อการใช้ชีวิต คนในแถบเมืองหนาวกับคนในเขตร้อนฝนชุก ดินฟ้าอากาศส่งผลต่อวิถีชีวิต มีผลต่อสุขภาพ ความคิดการกระทำของมนุษย์

            อาดัมเอวาล้มลงในความบาปส่งผลถึงปัจจุบัน มนุษย์อยู่ใต้อิทธิพลบาปและทำบาป ถึงกระนั้นพระเจ้ายังกำกับควบคุมโลก มารซาตานไม่เหนือกว่าพระองค์ ที่สุดแล้วมารซาตานจะถูกพิพากษาลงโทษ

2. ซับซ้อนเกินกว่าเข้าใจทั้งหมด

            พระธรรมโยบตอนนี้ชี้ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง ความยิ่งใหญ่ของพระองค์เกินกว่าจะเข้าใจทั้งหมด คริสเตียนจึงต้องใช้ความเชื่อ อยู่คู่ความเชื่อ

โยบ.37:5 พระเจ้าทรงสำแดงกัมปนาทอย่างประหลาดด้วยพระสุรเสียงของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำการใหญ่โตซึ่งเราเข้าใจไม่ได้

            โยบ.37:5 ชี้ว่าแผนและวิธีการของพระเจ้าซับซ้อนเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ

อสย.55:8-9

8 เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งทางของเจ้าไม่เป็นวิถีของเรา" พระเจ้าตรัสดังนี้

9 "เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น"

            อธิบายขยายความ: ความเป็นไปของโลกเป็นเรื่องสำคัญน่าติดตาม พระคัมภีร์พูดถึงบ่อยครั้ง หลายคนหลายชีวิต ประเด็นสำคัญคือคริสเตียนผู้เชื่อควรตอบสนองอย่างไร ทำอย่างไร ในเบื้องต้นพระคัมภีร์แนะนำ 3 ขั้นตอน 1) เริ่มต้นด้วยความเชื่อ 2) ดำเนินด้วยความเชื่อ 3) ลงท้ายด้วยความเชื่อ

            1) เริ่มต้นด้วยความเชื่อ

            คนไม่เชื่อพระเจ้าจะอธิบายเรื่องราวต่างๆ ด้วยความคิดเหตุผลของเขา บางคนยึดหลักปรัชญา บางคนยึดวิทยาศาสตร์ คริสเตียนเชื่อว่ามีพระเจ้า ทรงสร้างและควบคุมสรรพสิ่ง ผู้เชื่อสามารถเข้าถึงการทรงพระชนม์ด้วยการมีประสบการณ์ในพระองค์

            ตลอดพระคัมภีร์คนของพระเจ้ามีประสบการณ์ตรงกับพระองค์ เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค พระเจ้าของโยเซฟ พระเจ้าของโมเสส พระเจ้าของดาวิด พระเจ้าของอิสยาห์ ฯลฯ คนเหล่านี้อยู่คนละช่วงเวลา คนละพื้นที่ แต่ล้วนมีประสบการณ์ในพระองค์

            คริสเตียนบางคนมีประสบการณ์ใกล้ชิดพระเจ้าสม่ำเสมอ พระองค์ทรงอยู่ใกล้

            การเชื่อวางใจ พยายามดำเนินชีวิตตามคำสอนจะช่วยให้มีประสบการณ์กับพระเจ้า พระองค์จะคอยสนับสนุนด้วยวิธีการต่างๆ

          การเชื่อก่อนเป็นจุดเริ่มต้น ถ้าไม่เชื่อก็ยังไม่เริ่มต้น

            2) ดำเนินด้วยความเชื่อ

            แม้ผู้เชื่อพยายามมากแค่ไหนก็ไม่อาจเข้าถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าได้ครบถ้วน จะเข้าใจเฉพาะส่วนที่พระองค์เปิดเผยให้เข้าถึง มากเพียงพอที่จะดำเนินตามแผนการน้ำพระทัย

            บางคนอาจสงสัยว่าทำไมเชื่อพระเจ้าดำเนินชีวิตในความชอบธรรมยังเจออุปสรรคปัญหา คำตอบหนึ่งคือบ่อยครั้งอุปสรรคเป็นส่วนหนึ่งในแผนการพระองค์ มีตัวอย่างในพระคัมภีร์มากมาย เช่น โยเซฟ (ปฐก.45:4-11) โยบ (โยบ.40:6-9, 42:1-2) ชีวิตของผู้เผยพระวจนะหลายคน การข่มเหงคริสเตียนในคริสตจักรสมัยแรก ชีวิตหลายช่วงของอ.เปาโล และอีกมากที่ปรากฏในพระคัมภีร์

            บางครั้งอาจเป็นเพราะพระเจ้ากำลังทดสอบ ประสงค์สำแดงความยิ่งใหญ่ผ่านคนนั้น ดังเช่นโยบผู้ดีรอบคอบ พระเจ้าให้ซาตานทดลองโยบและโยบผ่านการทดสอบ ชีวิตโยบกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา เข้าใจศาสนศาสตร์พระลักษณะพระเจ้า ความคิดอ่านของพระองค์

            การทดสอบช่วยให้รู้จักพระเจ้ามากขึ้น เชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น ได้รับผลดี

ยก.1:2-3

2 ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี

3 เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า การทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง

1ปต.1:6-7

6 ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดี ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้ จำเป็นที่ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ

7 เพื่อการลองดูความเชื่อของท่าน อันประเสริฐยิ่งกว่าทองคำ ซึ่งแม้เสียไปได้ก็ยังถูกลองด้วยไฟ จะได้เป็นเหตุให้เกิดความสรรเสริญเกิดศักดิ์ศรีและเกียรติ ในเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาปรากฏ

            ทั้งหมดทั้งสิ้นพระเจ้ารู้เห็น ทรงกำกับควบคุม

1คร.10:13 ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่าน นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้

            ความรู้ความเข้าใจพระคัมภีร์ช่วยได้ ทำให้เข้าใจมากขึ้น เข้าใจอย่างมีตรรกะ ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อทั้งส่วนที่ “เข้าใจ” กับ “ไม่เข้าใจ”

            3) ลงท้ายด้วยความเชื่อ

            แทนที่จะจมอยู่กับความยากลำบาก รู้สึกขัดเคืองใจ ควรระลึกถึงเจตนาบริสุทธิ์ของพระองค์ นึกถึงพระพรมากมายที่ได้รับ พระพรปัจจุบันและอนาคต เชื่อว่าพระองค์จัดเตรียมสิ่งดีที่สุดให้เสมอ เข้าถึงว่าทรงเป็นพระเจ้าแสนดีต่อเรา จิตใจมุ่งตรงต่อพระองค์

            การนี้จำต้องอาศัย "ความเชื่อวางใจ" ประสบการณ์และความสัมพันธ์ สูงกว่านั้นต้องอาศัยความเชื่อกับการเชื่อฟัง เพราะมนุษย์ไม่อาจเข้าถึงความล้ำลึกได้ทั้งหมด ใจมนุษย์มักอ่อนไหวต่ออนาคต

            การแสวงหาพระเจ้า อ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน นมัสการ อยู่ใกล้พระองค์ช่วยได้

สดด.126:1-6

1 เมื่อพระเจ้าทรงให้ศิโยนกลับสู่สภาพดี เราก็เป็นเหมือนคนที่ฝันไป

2 ปากของเราได้หัวเราะเต็มที่ และลิ้นของเราได้เปล่งเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน แล้วเขาได้พูดกันท่ามกลางประชาชาติว่า "พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เขา"

3 พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี

4 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับสู่สภาพดี อย่างทางน้ำไหลที่ในเนเกบ

5 ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน

6 ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่าน จะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย

            รม.1:17 สอน 3 ขั้นตอนดังกล่าว 1) เริ่มต้นด้วยความเชื่อ 2) ดำเนินด้วยความเชื่อ 3) ลงท้ายด้วยความเชื่อ

รม.1:17 เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดย เริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ

            “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ”


3. ให้มนุษย์รู้ว่ามีพระเจ้า

โยบ.37:6-7

6 เพราะพระองค์ตรัสกับหิมะว่า "ตกลงบนแผ่นดินซี" และในทำนองเดียวกันก็ตรัสกับฝน และกับห่าฝนอันหนักของพระองค์

7 พระองค์ทรงมัดมือของมนุษย์ทุกคน เพื่อทุกคนซึ่งพระองค์ทรงสร้างจะรู้ได้

So that everyone he has made may know his work, he stops all people from their labor.

            พระเจ้าจำกัดการใช้ชีวิตด้วยสภาพดินฟ้าอากาศ ยกตัวอย่างหิมะกับฝนตกหนัก เป็นเครื่องเตือนว่าโลกมีพระเจ้าคอยกำกับควบคุม คนถูกจำกัดการทำงานหรืออยู่กับบ้านในสภาพอากาศดังกล่าว

            ตั้งแต่มนุษย์คนแรกทรงสำแดงว่ามีพระเจ้า มอบหมายหน้าที่และสนับสนุนอาดัมที่พระองค์ทรงสร้าง

ปฐก.2:18 พระเจ้าตรัสว่า "ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียวเราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่สมกับเขาขึ้น"

            พระองค์สัมพันธ์กับอาดัม กำกับดูแล สนับสนุน กระทั่งสร้างคู่อุปถัมภ์ให้

            แต่ความบาปทำให้มนุษย์ห่างไกลพระเจ้า ยิ่งทำบาปยิ่งห่างไกลพระองค์ ถูกอิทธิพลบาปผูกมัด บางคนไม่เชื่อ ไม่ยอมรับพระองค์ หันไปนมัสการสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้าเที่ยงแท้ ถือตนเป็นใหญ่ (นมัสการตัวเอง)

            อธิบายขยายความ: เป้าหมายการล่อลวงของบาปคือให้เลิกเชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก.3) มนุษย์ที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าคือบาป อยู่ในอิทธิพลบาป ทำบาปซ้อนบาป ทำบาปมากขึ้นทุกที โลกจึงเต็มด้วยบาป

            ถึงกระนั้นทรงสำแดงอยู่เสมอว่ามีพระเจ้า เพื่อเตือนใจให้กลับมาหาพระองค์ โยบในตอนนี้อธิบายว่าทรงสำแดงผ่านลมฟ้าอากาศ ความเป็นไปของโลก กระตุ้นจิตสำนึกมนุษย์ให้ตระหนักว่ามีพระเจ้า ทางออกของโลกคือกลับมาหาพระเจ้า

รม.1:20 ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย

            ทรงเลือกบางคนให้เชื่อพระองค์ กลับมาอยู่ใต้แผนการปลายทางที่ดีที่สุด

ยน.10:7-10

7 พระเยซูจึงตรัสกับเขาอีกว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เราเป็นประตูของแกะทั้งหลาย

8 บรรดาผู้ที่มาก่อนเรานั้นเป็นขโมยและโจร แต่ฝูงแกะก็มิได้ฟังเขา

9 เราเป็นประตู ถ้าผู้ใดเข้าไปทางเราผู้นั้นก็จะรอด เขาจะเข้าออกแล้วก็จะพบอาหาร

10 ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์

ยน.15:16 ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย และได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน

            โดยเหตุนี้ผู้เชื่อจึงดำเนินชีวิตด้วยความวางใจ พยายามแสวงหาพระเจ้า เข้าใจน้ำพระทัยและดำเนินตาม

4. สรรพสิ่งอยู่ใต้น้ำพระทัย

โยบ.37:8-12

8 แล้วสัตว์ป่าจึงเข้าไปสู่รังของมัน และพักอยู่ในถ้ำของมัน

9 พายุออกมาจากห้องทิศใต้ และความหนาวมาจากลมเหนือ

10 พระเจ้าประทานน้ำแข็งด้วยลมหายใจของพระองค์ และน้ำกว้างใหญ่ก็แข็งตัว

11 พระองค์ทรงบรรทุกความชุ่มชื้นไว้ที่เมฆทึบ พระองค์ทรงกระจายเมฆแห่งฟ้าแลบออกไป

12 มันหันไปๆ ตามการนำของพระองค์ เพื่อให้สำเร็จกิจทั้งสิ้นซึ่งพระองค์ทรงบัญชามันที่เหนือผิวพิภพที่มนุษย์อาศัยอยู่ได้

            วิถีของสรรพสิ่งเป็นไปตามที่พระองค์กำกับควบคุม วันเวลาเป็นของพระเจ้า ทุกสิ่งสำเร็จตามน้ำพระทัย

            โยบ.37:8-12 ขยายความพระเจ้าผู้อยู่เหนือสรรพสิ่ง มนุษย์มีความคิดมีแผน แต่ใครจะคิดอย่างคนของพระองค์ (ตรงข้ามคือคิดแบบคนบาป) ไม่ว่าใครจะคิดทำอย่างไร สุดท้ายทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนการน้ำพระทัย จึงสอนให้แสวงหาพระองค์ เรียนรู้จักพระองค์และดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัย เป็นความคิดและการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่มนุษย์ทำได้

            ผู้เชื่อคิดได้ ตัดสินใจได้ แต่ให้อยู่ภายใต้แผนการของพระองค์

สภษ.16:1-3

1 แผนงานของดวงความคิดเป็นของมนุษย์ แต่คำตอบของลิ้นมาจากพระเจ้า

2 ทางทั้งสิ้นของมนุษย์ก็บริสุทธิ์ในสายตาของเขาแต่พระเจ้าทรงชั่งจิตใจ

3 จงมอบงานของเจ้าไว้กับพระเจ้า และแผนงานของเจ้าจะได้รับการสถาปนาไว้

5. ทรงมีเป้าหมายในทุกสิ่ง

            วิถีของสรรพสิ่งที่พระองค์กำกับควบคุมนั้น ทรงทำอย่างมีเป้าหมาย มีเหตุผล

โยบ.37:13 ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการตีสอน หรือเพื่อแผ่นดินของพระองค์ หรือเพื่อความรักมั่นคง พระองค์ทรงกระทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น

He brings the clouds to punish people, or to water his earth and show his love.

            ในเบื้องต้นคือเตือนว่ามีพระเจ้าผู้ให้คุณให้โทษ สำหรับผู้เชื่อคือสอนให้รู้จักพระองค์ เข้าถึงแผนการทรงสร้าง เข้าใจน้ำพระทัย รับการเสริมสร้าง ตักเตือนตีสอนและรับพระพร

สภษ.16:4-6

4 พระเจ้าทรงกระทำให้ทุกสิ่งมีเป้าหมายของมันแม้คนชั่วร้ายก็เพื่อวันลำเค็ญ

5 ทุกคนผู้จองหองเป็นที่น่าเกลียดน่าชังแก่พระเจ้า จงแน่ใจเถิด เขาจะพ้นโทษก็หามิได้

6 ความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์ได้ลบมลทินบาปชั่ว และคนหลีกความชั่วร้ายได้โดยความยำเกรงพระเจ้า

          อธิบายขยายความ: ในกรณีผู้เชื่อ บางครั้งผู้เชื่อสงสัยทำไมจึงเผชิญเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่ไม่พึงปรารถนา แต่หากสิ่งนั้นมาจากพระเจ้าและตอบสนองอย่างถูกต้องจะกลายเป็นผลดีในที่สุด พระองค์จะนำสู่ผลลัพธ์ปลายทางที่ดี

ยน.10:10 ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์

            การยึดความเชื่อไว้มั่น เชื่ออย่างมั่นคงจึงสำคัญ ระลึกเสมอว่าพระเจ้าปรารถนาดี รักเรามากถึงขนาดให้พระเยซูตายไถ่บาปในขณะที่เรายังเป็นคนบาป

1ทธ.1:19 จงยึดความเชื่อไว้ และมีจิตสำนึกว่าตนชอบ ซึ่งข้อนี้บางคนได้ละทิ้งเสีย ความเชื่อของเขาจึงอับปางลง

            ท่านผู้เชื่อพระเจ้ายอมรับหรือไม่ว่าท่านยังทำบาป ท่านดำเนินชีวิตในความชอบธรรมมากขึ้นแต่ทำบาปด้วย ยังต้องขอการชำระกลับใจใหม่บางเรื่อง

            มีใครกล้าพูดว่าตัวเองบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ทำบาปเลย

1ยน.1:8 ถ้าเราทั้งหลายจะว่าเราไม่มีบาป เราก็ลวงตนเอง และสัจจะไม่ได้อยู่ในเราเลย

            ความเข้าใจสำคัญคือคริสเตียนยังทำบาปเสมอไม่มากก็น้อย ความเชื่อนำสู่ชีวิตนิรันดร์ แต่ในโลกนี้ยังต้องรับผลของบาปที่ทำ พระเจ้ายุติธรรม

            ใครหว่านสิ่งใดได้เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น “พระองค์ทรงสนองมนุษย์ตามการงานของเขา”

กท.6:7-8

7 อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น

8 ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังของตน ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณ ก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น

สดด.62:11-12

11 พระเจ้าตรัสครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยินอย่างนี้สองครั้งแล้วว่าฤทธานุภาพเป็นของพระเจ้า

12 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า และความรักมั่นคงเป็นของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสนองมนุษย์ตามการงานของเขา

and with you, Lord, is unfailing love”; and, “You reward everyone according to what they have done.”

            ตัวอย่าง นาย ก เป็นนักศึกษา เป็นคริสเตียนรับใช้พระเจ้า ใช้เวลาสอนสร้างสาวกจนดึกดื่น ในเวลาเรียนนาย ก มักนั่งหลับเสมอ หลังเลิกเรียนรีบทำการบ้านรายงานแบบลวกๆ เพื่อไปรับใช้พระเจ้า ทุกครั้งที่สอบนาย ก จะอธิษฐานขอให้ผลการเรียนออกมาดีและบางครั้งได้เช่นนั้นด้วย แต่โดยรวมผลการเรียนไม่สู้ดี

            หากต้องการผลการเรียนดีกว่านี้ นาย ก ควรให้เวลากับการศึกษามากขึ้น แบ่งเวลาระหว่างเรียน การรับใช้พระเจ้าและเรื่องอื่นอย่างเหมาะสม

            ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้าที่จะให้นาย ก ทำข้อสอบได้ทุกครั้งโดยไม่สนใจเรียนเท่าที่ควร เรียนไปหลับไป ถ้าการอธิษฐานคือวิธีหลักที่ทำให้คริสเตียนได้คะแนนดี มีความรู้สูง เช่นนั้นก็ไม่ต้องเข้าเรียนแล้ว

            ตัวอย่าง นาย ข ไปโบสถ์ทุกสัปดาห์ เข้าแคร์สม่ำเสมอ รับใช้งานคริสตจักรตามสมควร รักห่วงใยพี่น้องคริสเตียน แต่นาย ข มักมีปัญหาต้องเปลี่ยนงาน รายได้ไม่ค่อยพอ เมื่อสำรวจชีวิตพบว่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย นาย ข เป็นที่รักของพี่น้องคริสเตียนแต่ขาดมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน มักหลบเลี่ยงความรับผิดชอบในงานบริษัท

            จะเห็นว่านาย ข เป็นผู้เชื่อที่ดีเฉพาะกับพี่น้องคริสเตียนเท่านั้น ไม่สำแดงชีวิตผู้เชื่อแท้เมื่ออยู่กับคนอื่น สามารถเติมลักษณะนาย ข อื่นๆ เช่น เป็นพี่น้องที่ดีเมื่ออยู่ต่อหน้าคริสเตียนหญิง แต่เป็นคนเจ้าชู้เมื่ออยู่กับผู้หญิงอื่นๆ

            นาย ข มักขอให้ผู้นำช่วยอธิษฐานอวยพรเรื่องหน้าที่การงาน การมีรายได้เข้ามาบ้างช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ความยั่งยืนต้องมาจากการไม่ทำบาป เป็นคนดีรอบคอบ ดีต่อหน้าคริสเตียนและดีต่อหน้าคนอื่นๆ

            ใครหว่านสิ่งใดได้เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น “พระองค์ทรงสนองมนุษย์ตามการงานของเขา”

            หากวันนี้เรารับโทษรับผลเสียบางอย่าง ควรสำรวจตัวเองหรือไม่ว่าพระเจ้ากำลังสอนอะไรอยู่

6. เรียนรู้พระราชกิจอัศจรรย์

โยบ.37:14-18

14 "ท่านโยบเจ้าข้า ขอฟังข้อนี้ จงนิ่งพิจารณาการกระทำอันอัศจรรย์ของพระเจ้า

“Listen to this, Job; stop and consider God’s wonders.

15 ท่านทราบหรือว่าพระเจ้าทรงกำชับมันอย่างไร และกระทำให้ฟ้าแลบแห่งเมฆของพระองค์มีแสง

16 ท่านทราบถึงการทรงตัวของเมฆหรือ เป็นพระราชกิจอันประหลาดของพระองค์ผู้สมบูรณ์ในความรู้

17 ตัวท่าน ผู้ที่เสื้อผ้าของตนร้อน เมื่อแผ่นดินโลกซบเซาเพราะลมทิศใต้

18 ท่านแผ่ฟ้าออกไปอย่างพระองค์ได้หรือ ให้แข็งอย่างคันฉ่องหลอม

            คริสเตียนผู้เชื่อไม่สามารถเข้าถึงความรู้ความเข้าใจทั้งหมด กระนั้นยังต้องเอาใจใส่ศึกษาพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์ เรียนรู้ว่าพระเจ้าคิดอ่านอย่างไร วิธีการของพระองค์ พระประสงค์ต่อโลก ต่อชุมชนผู้เชื่อและต่อตัวท่านเองคืออย่างไร เพื่อดำเนินชีวิตอย่างผู้มีความเข้าใจ (มากขึ้น) สามารถทำอย่างถูกต้องที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

          อธิบายขยายความ: พวกฟาริสี ธรรมาจารย์ (คนที่พระเยซูกล่าวโทษ) น่าจะเข้าใจและรู้จักพระเจ้า แต่พวกเขาไม่รู้จริง ให้ความสำคัญพิธีกรรมโดยไม่เข้าถึงเหตุผลจุดประสงค์ของพิธีกรรมเหล่านั้น จึงเน้นประกอบศาสนกิจ ทั้งยังสอนผิดบางเรื่อง (เพราะไม่เข้าใจจริง บิดเบือนคำสอน) ทำผิดบางข้อ ไม่แสวงหาพระเจ้าจริงๆ

            พระเยซูกล่าวโทษพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี

มธ.23:13-15

13 "วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์ พวกเจ้าเองก็ไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ขัดขวางไว้

14 "วิบัติแก่เจ้าพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าริบเอาเรือนของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องมีโทษมากยิ่งขึ้น"

 15 "วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าเที่ยวไปตามทางทะเลและทางบกทั่วไป เพื่อจะได้แม้แต่คนเดียวเข้าจารีต เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาถึงนรกยิ่งกว่าเจ้าเองถึงสองเท่า

            6.1 คริสเตียนที่นับถือศาสนาคริสต์กับคริสเตียนที่รู้จักผูกพันพระคริสต์

             เมื่อพระเยซูเสด็จมาในโลก สภาพที่ปรากฏชัดคืออิสราเอลมุ่งยึดถือธรรมบัญญัติอย่างผิดๆ ประกอบพิธีกรรมโดยไม่เข้าถึงความหมาย คำสอนถูกบิดเบือน ไม่แสวงหาพระเจ้าจริง พระเยซูกล่าวโทษพวกธรรมาจารย์กับฟาริสีอย่างรุนแรง

            อิสราเอลในสมัยนั้นเป็นพวกนับถือศาสนามากกว่ารู้จักพระเจ้า ขาดความผูกพันใกล้ชิดพระองค์

            พระเยซูกล่าวโทษในมัทธิว 23

มธ.23:1-3, 23

1 ครั้งนั้น พระเยซูตรัสกับประชาชนและพวกสาวกของพระองค์ว่า

2 "พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส

3 เหตุฉะนั้น ทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอนพวกท่าน จงถือประพฤติตาม เว้นแต่การประพฤติของเขาอย่าได้ทำตามเลย เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน แต่เขาเองหาทำตามไม่

23 "วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าถวายทศางค์ ของสะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า ส่วนข้อสำคัญแห่งธรรมบัญญัติคือความยุติธรรมความเมตตา ความเชื่อนั้นได้ละเลยเสีย การถวายทศางค์พวกเจ้าก็ควรปฏิบัติ แต่ไม่ควรละเลยข้อสำคัญนั้นด้วย

“Woe to you, teachers of the law and Pharisees, you hypocrites! You give a tenth of your spices—mint, dill and cumin. But you have neglected the more important matters of the law—justice, mercy and faithfulness. You should have practiced the latter, without neglecting the former.

            ประเด็นที่สำคัญมากคือพระเยซูกล่าวโทษพวกเขาว่าไม่รู้จักพระเจ้า ไม่รู้จักพระเยโฮวาห์จริง เป็นพวกนับถือศาสนาและไม่เข้าใจคำสอนจริง (เข้าใจผิดบางส่วน)

ยน.8:13-19

ยน.8:19 เหตุฉะนั้นเขาจึงทูลพระองค์ว่า "พระบิดาของท่านอยู่ที่ไหน" พระเยซูตรัสตอบว่า "ตัวเราก็ดี พระบิดาของเราก็ดี ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก ถ้าท่านรู้จักเรา ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย"

Then they asked him, “Where is your father?” “You do not know me or my Father,” Jesus replied. “If you knew me, you would know my Father also.”

            อธิบายขยายความ: ธรรมาจารย์กับฟาริสีศึกษาพระคัมภีร์มาก สามารถท่องข้อพระคัมภีร์ ประกอบพิธีกรรม ถวายเครื่องบูชาเป็นประจำ แต่เข้าไม่ถึงพระองค์ (พระเยโฮวาห์) รู้จักพระเจ้าตามคำสอนธรรมบัญญัติเท่านั้น พระเยซูจึงกล่าวโทษพวกเขาว่า “พระบิดาของเราก็ดี ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก” ถ้าพวกเขารู้จักพระเยโฮวาห์จริงจะรู้จักพระเยซูด้วย เพราะคือพระเจ้าองค์เดียวกัน

            ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ (พระผู้ช่วยให้รอด) พวกเขาพลาดสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต ทั้งๆ ที่คนอิสราเอลสมัยนั้นรอคอยพระเมสสิยาห์ แต่เมื่อทรงเสด็จมาอยู่ตรงหน้ากลับปฏิเสธ

            พวกเขาไม่เข้าถึงพระเจ้าจึงไม่อาจรู้พระราชกิจอัศจรรย์

            จึงเป็นหลักการสำคัญเรื่อง “คริสเตียนที่นับถือศาสนาคริสต์กับคริสเตียนที่รู้จักผูกพันพระคริสต์”

            ยุคปัจจุบัน คริสเตียนบางคนรู้จักพระเจ้าเพียงผิวเผิน ไม่แสวงหาพระเจ้าจริงจัง ไม่สนใจศึกษาพระวจนะ บางคนคิดว่าตัวเองรู้มากแต่ความจริงรู้น้อย เข้าใจผิดมาก เป็นคริสเตียนที่นับถือศาสนาคริสต์มากกว่ามุ่งสัมพันธ์สนิทกับพระคริสต์

            คำถาม: การมุ่งสัมพันธ์สนิทพระเจ้าจะละเลยคำสอนอื่นหรือไม่

            ตอบ: คนที่ติดสนิทได้ต้องมีชีวิตบริสุทธ์ อันหมายถึงผู้นั้นต้องดำเนินชีวิตในความชอบธรรม (ปฏิบัติตามคำสอนต่างๆ) ดำเนินตามนิมิตการทรงเรียก หากไม่เป็นเช่นนี้คือพลาดเป้าหรือบาปนั่นเอง (ความบาปจะขวางการติดสนิท ความอธรรมกับความชอบธรรมอยู่ด้วยกันไม่ได้) ชีวิตของเขาจะสำแดงพระลักษณะมากขึ้นๆ (สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์มากขึ้นหรือบริสุทธิ์ทางพฤตินัยมากขึ้น) พระวิญญาณจะนำชีวิตและช่วยเหลือให้สำเร็จตามนิมิตการทรงเรียก เป็นตัวแทนพระองค์ในโลก

            การแสวงหาพระเจ้าส่วนตัวเป็นเรื่องสำคัญ พระเยซูทำพระราชกิจมากโดยไม่ละเลยที่จะแสวงหาพระบิดาเป็นการส่วนตัว

ลก.5:1-16

ลก.5:16 แต่พระองค์เสด็จออกไปในที่เปลี่ยวและทรงอธิษฐาน

1ปต.2:1-5

1 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงละความชั่วทั้งปวง การอุบายต่างๆ ความไม่จริงใจ ความริษยา และคำพูดส่อเสียดทั้งหลาย

2 เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ เพื่อโดยน้ำนมนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้นสู่ความรอด

3 เพราะท่านได้ลิ้มรสพระกรุณาคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้า

4 จงมาหาพระองค์ คือพระศิลาที่ทรงชีวิต ซึ่งมนุษย์ได้ปฏิเสธไม่ยอมรับแล้ว แต่ว่าตามพระดำริของพระเจ้านั้นเป็นศิลาที่ทรงเลือกไว้ และทรงค่าอันประเสริฐ

5 และท่านทั้งหลายก็เสมือนศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายพระวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายวิญญาณ ที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์

you also, like living stones, are being built into a spiritual house to be a holy priesthood, offering spiritual sacrifices acceptable to God through Jesus Christ.

7. เชื่อและเชื่อฟัง

โยบ.37:19-23

19 จงสอนเรามาว่าเราควรจะทูลพระองค์อย่างไร เพราะความมืดเราจึงร่างสำนวนของเราไม่ได้

20 จะทูลพระองค์ได้ไหมว่า ข้าพเจ้าอยากจะทูลมีใครเคยคิดไหมว่าเขาอยากจะตาย

21 "ฝ่ายมนุษย์เพ่งดูแสงสว่างไม่ได้ เมื่อมันสุกใสอยู่ในท้องฟ้า เมื่อลมผ่านไปกวาดให้กระจ่าง

22 แสงทองส่องมาจากทิศเหนือ พระเจ้าทรงฉลองพระองค์ด้วยความโอ่อ่าตระการอย่างน่าคร้ามกลัว

23 องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้น เราจะค้นพบพระองค์ไม่ได้ พระองค์ใหญ่ยิ่งในเรื่องฤทธานุภาพ ความยุติธรรมและความชอบธรรมอันมากยิ่งพระองค์จะไม่ทรงฝ่าฝืน

The Almighty is beyond our reach and exalted in power; in his justice and great righteousness, he does not oppress.

            เอลีฮูเพื่อนโยบสรุปตอนท้ายของบทนี้ว่า มนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงความคิดความอ่านพระองค์ได้ทั้งหมด ยิ่งคนบาปยิ่งเป็นไปไม่ได้ (ความบาปปิดกั้นไม่ให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ชอบธรรม) ดังนั้นแม้ไม่เข้าใจทั้งหมดก็ให้เชื่อฟังและยอมรับพระเจ้า มั่นใจว่าพระองค์ทรงดีต่อเรา (เหมือนกรณีโยบ) เป็นเหตุผลว่าท้ายที่สุดต้องใช้ความเชื่อ

            เป็นการเสียเวลาเปล่าและอาจพลาดน้ำพระทัยหากจะทำตามคำสอนก็ต่อเมื่อเข้าใจเท่านั้น ไม่มีใครเข้าใจความคิดของพระองค์ได้ทั้งหมด

1คร.13:9 เพราะความรู้ของเรานั้นไม่สมบูรณ์ และการเผยพระวจนะนั้นก็ไม่สมบูรณ์

            อธิบายขยายความ: พระเจ้าสั่งให้แสวงหา เรียนรู้จักพระองค์ ใกล้ชิดมากที่สุด แต่การแสวงหาพระองค์ไม่เป็นเหตุไม่ใช้ความเชื่อ ในทางตรงข้ามยิ่งเข้าถึงพระองค์ยิ่งมีความเชื่อและเชื่อฟัง

            ชีวิตผู้เชื่อติดตามพระเจ้าโดยใช้สมอง เรียนรู้เข้าใจตรรกะของพระองค์ และใช้ความเชื่อในส่วนที่ต้องใช้ การใช้ความคิดกับความเชื่อไม่ขัดแย้งกันแต่สนับสนุนกัน

            อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องถ้าจะเน้นยึดความเชื่ออย่างเดียว ละเลยการศึกษาพระวจนะ ไม่พยายามเข้าใจศาสนศาสตร์ ถ้าแค่ใช้ความเชื่ออย่างเดียวก็ไม่ต้องมีพระคัมภีร์แล้ว

            พระเจ้าย้ำเสมอให้ศึกษาพระคัมภีร์ พระวจนะมีส่วนที่ให้เข้าใจตรรกะพระองค์กับอีกส่วนให้ยึดถือด้วยความเชื่อ

            การศึกษาพระวจนะและปฏิบัติตามช่วยชำระจิตใจ เสริมสร้างกำลังฝ่ายวิญญาณ สามารถดำเนินชีวิตในความชอบธรรม บริสุทธิ์มากขึ้นในทางพฤตินัย (ทำบาปน้อยลง) จิตวิญญาณสัมผัสใกล้ชิดพระเจ้าง่ายขึ้น ลึกซึ้งขึ้น

            ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดเหนือนามทั้งปวง ไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่กว่าพระองค์อีกแล้ว ผู้สร้างสรรพสิ่ง จอมเจ้านายจอมราชา (Lord of lords and King of kings) พระธรรมโยบให้ความสำคัญศาสนศาสตร์เรื่องนี้มากที่สุด อธิบายข้อนี้ซ้ำไปซ้ำมา

โยบ.37:23 องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้น เราจะค้นพบพระองค์ไม่ได้ พระองค์ใหญ่ยิ่งในเรื่องฤทธานุภาพ ความยุติธรรมและความชอบธรรมอันมากยิ่งพระองค์จะไม่ทรงฝ่าฝืน

The Almighty is beyond our reach and exalted in power; in his justice and great righteousness, he does not oppress.

            ผู้เชื่อสามารถเชื่อวางใจแม้ไม่เข้าใจทั้งหมด ให้ตระหนักและยอมรับดังนี้

            1) ยอมรับว่าทรงเป็นพระเจ้า (23ก)

            องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์-ผู้สร้างและเป็นเจ้าของสรรพสิ่ง

            2) ไม่สามารถเข้าถึงอย่างสมบูรณ์ (23ข)

            เนื่องจากผู้เชื่อไม่สมบูรณ์ อยู่ในโลกแห่งความบาป คริสเตียนได้แต่พยายามแสวงหาพระเจ้าเต็มที่ ทรงเปิดเผยให้เข้าใจมากพอสำหรับการดีทุกสิ่ง พระองค์ทรงนำแม้ผู้เชื่อไม่สมบูรณ์ดีพร้อม

            3) ทรงฤทธานุภาพสูงสุด (23ค)

            ไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้ ไม่ใครสามารถขวางพระองค์ ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัยโดยไม่ตกหล่นแม้แต่น้อย

            4) ทรงยุติธรรม (23ง)

            โลกแห่งความบาปเต็มด้วยการทุจริตคดโกง หลอกลวง ไว้ใจไม่ได้ แต่พระเจ้าไม่เป็นเช่นนั้น ทรงยุติธรรม ประทานความยุติธรรมแก่ทุกคนๆ ต้องรับผลในสิ่งที่ตนทำ ไม่ว่าดีหรือร้าย

          อธิบายขยายความ: เพราะพระเจ้ายุติธรรมผู้เชื่อจึงไว้วางใจพระองค์ มั่นใจว่าการติดตาม ดำเนินชีวิตตามคำสอนคือหนทางที่ดีที่สุด และเป็นเครื่องเตือนใจว่าอย่าทำบาป

            5) ทรงชอบธรรม (23จ)

            ทุกการตัดสิน ทุกการกระทำของพระองค์ถูกต้องชอบธรรม ไม่มีดีกว่านี้อีกแล้ว

          อธิบายขยายความ: บางคนพยายามปฏิบัติอย่างถูกต้องชอบธรรมต่อตัวเองและคนอื่น แต่ความคิดความสามารถของมนุษย์จำกัดแม้พยายามถึงที่สุด ส่วนพระเจ้าไม่จำกัด ทรงทำอย่างชอบธรรมดีเลิศทุกครั้งทุกเรื่อง ไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย ความยุติธรรมกับความชอบธรรมของพระองค์อยู่คู่กันเสมอ

            6) ไม่กดขี่ (not oppress-23ฉ)

            พระเจ้าไม่กดขี่รังแกผู้ใดแม้กระทั่งต่อคนบาป ไม่มีอคติ ทรงให้คนบาปทุกคนรับผลบาปอย่างยุติธรรม ไม่มากหรือน้อยเกินไป เมื่อทำดีชอบธรรมพระองค์ให้เขารับผลดีอย่างสมควรเช่นกัน

8. จงยำเกรงพระเจ้า

โยบ.37:24 เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงยำเกรงพระองค์ พระองค์ไม่ทรงนับถือผู้ใดที่ถือตัวว่ามีปัญญา"

Therefore, people revere him, for does he not have regard for all the wise in heart?

            โยบบทที่ 37 เอลีฮูเพื่อนโยบย้ำพระลักษณะสำคัญของพระเจ้าอีกครั้ง ด้วยการยกหลายตัวอย่าง เพื่อเป็นเหตุผลนำสู่ข้อสรุปว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง ทรงกำกับควบคุมโลกอยู่ตลอดเวลา ความยิ่งใหญ่ของพระองค์เกินกว่าจะเข้าใจทั้งหมด สิ่งที่มนุษย์ควรทำอย่างยิ่งคือ “ยำเกรงพระองค์” (โยบ.37:24) ปัญญาแท้คือปัญญาที่ยอมอยู่ใต้สิทธิอำนาจ

            โยบ.37:24 เป็นข้อสรุปของบทนี้ จงยำเกรงพระเจ้าไม่เช่นนั้นจะพินาศ

          อธิบายขยายความ: มนุษย์ที่คิดว่าตัวเองดีแล้ว ฉลาดแล้ว ถูกแล้วตามแนวทางตัวเอง มักจะไม่แสวงหาพระเจ้า ไม่ตอบสนองพระองค์

            สดด.53:1-2 ใครคือคนโง่ คนฉลาดเป็นอย่างไร

สดด.53:1-2

1 คนโง่รำพึงอยู่ในใจของตนว่า "ไม่มีพระเจ้า" เขาทั้งหลายก็เสื่อมทรามกระทำความบาปผิดที่น่าเกลียดน่าชัง ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี

2 พระเจ้าทรงมองลงมาจากฟ้าสวรรค์ ดูบุตรชายทั้งหลายของมนุษย์ ว่าจะมีคนใดบ้างที่ฉลาด ที่เสาะหาพระเจ้า

God looks down from heaven on all mankind to see if there are any who understand, any who seek God.

ลก.5:31-32

31 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ

32 เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีตให้กลับใจเสียใหม่"

รม.3:10-18

10 ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย

11 ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า

12 เขาทุกคนหลงผิดไปหมด เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี ไม่มีเลย

13 ลำคอของเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง พิษงูร้ายอยู่ใต้ริมฝีปากของเขา

14 ปากของเขาเต็มไปด้วยคำแช่งด่าและคำเผ็ดร้อน

15 เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด

16 ในทางเดินของเขามีความพินาศและความทุกข์

17 และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข

18 เขาไม่เคยคิดที่จะยำเกรงพระเจ้าเลย

อสย.5:21 วิบัติแก่คนเหล่านั้นที่ฉลาดในสายตาของตัวและเฉียบแหลมในสายตาของตน

            ปลายทางของคนที่ไม่ยำเกรงพระองค์คือความพินาศ

สรุป:

            สรุปโยบบทที่ 37 จงกลับใจ ยำเกรงพระเจ้า

คำถามหลังคำสอน :

            1) แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวที่ท่านเรียนรู้ ภายหลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว ว่าพระเจ้าควบคุมโลก

            2) ท่านมั่นใจอย่างไรว่าปลายทางชีวิตของท่านจะได้รับผลดี หากเชื่อฟังติดตามพระเจ้าอย่างมั่นคง ท่านจะดำเนินชีวิตอย่างไรในระหว่างที่ยังไม่ได้รับผลดีเต็มที่

--------------------------

29/01/2568

วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ 10 การนมัสการในพิธีมหาสนิท

พิธีมหาสนิทเป็นการประกาศชัยชนะของพระเยซู ทรงไถ่บาปสำเร็จตามพระสัญญาตั้งแต่สมัยปฐมกาล และเป็นการประกาศยุคพันธสัญญาใหม่

ในบรรดาความเชื่อคริสเตียน หลักข้อเชื่อสำคัญคือพระเยซูคริสต์ได้ตายที่ไม้กางเขน เป็นการ “กระทำ” ของพระเจ้า เพื่อไถ่บาปมนุษย์ทุกคน

ยน.3:16-18

16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์

17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น

18 ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า

การตายที่กางเขนและฟื้นขึ้นจากความตายเป็น “ชัยชนะ” ที่ยิ่งใหญ่ของผู้เชื่อ เป็นการประกาศพันธสัญญาใหม่ พระเยซูจึงสอนสาวกให้ทำพิธีมหาสนิท เพื่อประกาศและรำลึกพันธสัญญาใหม่อยู่เสมอ

คส.2:14-15

14 พระองค์ทรงฉีกกรมธรรม์ซึ่งได้ผูกมัดเราด้วยบัญญัติต่างๆ ซึ่งขัดขวางเรา และได้ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้นโดยทรงตรึงไว้ที่กางเขน

15 พระองค์ทรงปลดเทพผู้ครองและศักดิเทพเสีย พระองค์ได้ทรงประจานเขา และชนะเขาโดยกางเขนนั้น

ในแง่มุมของการนมัสการ พิธีมหาสนิทนอกจากเป็นการสารภาพบาป ขอการชำระ ประกาศพันธสัญญาใหม่ พระเยซูทรงตั้งไว้ให้เป็นวาระ “การนมัสการ” อย่างหนึ่ง

คริสเตียนสรรเสริญนมัสการในพระราชกิจของพระองค์ และหนึ่งในพระราชกิจสำคัญที่สุดคือการตายไถ่บาปของพระเยซู (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

ควรชื่นชมยินดีหรือเป็นทุกข์ที่พระเยซูตายไถ่บาป:

คำถาม: ในฐานะผู้เชื่อท่านควร “ชื่นชมยินดี” หรือ “เป็นทุกข์” ที่พระเยซูตายไถ่บาป ท่านควรตอบสนองอย่างไร ควรสรรเสริญนมัสการด้วยท่าทีอย่างไร

ตอบ: สรรเสริญนมัสการด้วยความซาบซึ้ง ขอบพระคุณ ประกาศชัยชนะ และมีสันติสุข

ท่าทีการนมัสการ 4 ประการในพิธีมหาสนิท

1. ซาบซึ้งพระคุณ

การถูกใส่ร้าย เฆี่ยนตี ดูหมิ่น การตรึงกางเขนเป็นความทุกข์ยากแสนสาหัส แต่เป็น “แผนการสำคัญ” ของพระเจ้า และพระเยซู “ทำสำเร็จ” แล้ว จึงต้องซาบซึ้งสำนึกพระคุณ แต่ไม่เศร้าโศกเสียใจ ไม่เป็นทุกข์ (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

2ปต.1:2 ขอพระคุณและสันติสุขจงเพิ่มพูนแก่ท่านทั้งหลาย โดยซาบซึ้งในพระเจ้าและพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

เพราะบัดนี้ผู้เชื่อได้รับความรอดผ่านพระคุณ พระวิญญาณได้เข้ามาแตะต้องสัมผัสจิตวิญญาณผู้เชื่อ จิตใจที่เคยแข็งกระด้างบัดนี้นบนอบต่อพระองค์

ให้พิธีมหาสนิทสำแดงพระคุณ ให้พระคุณพระเจ้า “เป็นพลังขับเคลื่อน” ชีวิตของผู้เชื่อ เขาจะไม่อยู่ในความบาปแต่อยู่ในพระคุณตลอดไป (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

2. ขอบพระคุณ

ในพิธีมหาสนิท ใจขอบพระคุณสะท้อนการสัมผัสซาบซึ้งพระคุณพระเจ้า แสดงถึงการยอมรับ เห็นคุณค่า การนบนอบอยู่ภายใต้พระองค์

พระเยซู “ถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา” เป็นเครื่องบูชาครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย เพื่อไถ่บาป

ฮบ.9:26-28

26 เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น พระองค์คงจะต้องทรงทนทุกข์ทรมานหลายครั้ง นับตั้งแต่สร้างโลกมา แต่ความจริง พระองค์ทรงปรากฏเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในปลายยุค เพื่อกำจัดบาปให้หมดสิ้นไป โดยการถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา

27 มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่าจะตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษาฉันใด

28 พระคริสต์ก็ฉันนั้น คือพระองค์ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาครั้งเดียว เพื่อจะได้ทรงแบกบาปของคนเป็นอันมากไว้ พระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง มิใช่เพื่อกำจัดบาป แต่เพื่อช่วยบรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์ด้วยใจจดจ่อให้ได้รับความรอด

3. ประกาศชัยชนะ

ในช่วงการตรึงกางเขน บรรดาสาวกบ้างเศร้าเสียใจ ตกตะลึงหรือหวาดกลัว เนื่องจากพวกเขาไม่เข้าใจแผนการพระเจ้า ทั้งๆ ที่พระเยซูพยายามอธิบายหลายครั้งว่าแท้จริงแล้วการเดินไปสู่กางเขนคือกำลังไปสู่ชัยชนะอันยิ่งใหญ่

พิธีมหาสนิทเป็นการประกาศชัยชนะของพระเยซู ทรงไถ่บาปสำเร็จตามพระสัญญาตั้งแต่สมัยปฐมกาล และเป็นการประกาศยุคพันธสัญญาใหม่ (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

คริสเตียนจึงร้องสรรเสริญด้วยความชื่นบาน ประกาศก้องว่าพระเยซูคริสต์มีชัยแล้ว

จงโห่ร้องกระโดดโลดเต้นเถิด พระเยซูที่ถูกตรึงและตายบนกางเขนนั้น บัดนี้กางเขนกับอุโมงค์ว่างเปล่า เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ และผู้เชื่อมีชัยชนะร่วมกับพระองค์ นี่คือความเชื่อคริสเตียน

1ยน.5:4-6

4 เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยต่อโลก และความเชื่อของเรานี่แหละเป็นชัยชนะที่ชนะโลก

5 ใครเล่าชนะโลก ไม่ใช่คนอื่น คือผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้านั่นเอง

6 นี่แหละคือผู้ที่ได้มาโดยน้ำและพระโลหิต คือพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ด้วยน้ำสิ่งเดียว แต่ด้วยน้ำและพระโลหิต

คริสเตียนไม่ได้ศรัทธาพระเจ้าที่ตายแล้วตายลับ แต่นมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์เป็นนิตย์ (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

และด้วยคริสเตียนเชื่อวางใจพระเจ้าที่ทรงพระชนม์เป็นนิตย์ จึงสละตัวเก่าเพื่อได้ชีวิตใหม่ในพระองค์ ภายใต้พันธสัญญาใหม่ (ไม่ใช่พันธสัญญาเดิมอีกต่อไป)

มก.14:22-25

22 ระหว่างอาหารมื้อนั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา เมื่อถวายคำสาธุการแล้ว ทรงหักส่งให้แก่เหล่าสาวกตรัสว่า "จงรับเถิด นี่เป็นกายของเรา"

23 แล้วพระองค์จึงทรงหยิบถ้วยโมทนาพระคุณ และส่งให้เขา เขาก็รับไปดื่มทุกคน

24 แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า "นี่เป็นโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งต้องหลั่งออกเพื่อคนเป็นอันมาก

25 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มน้ำผลแห่งเถาองุ่นต่อไปอีก จนวันนั้นมาถึง คือวันที่เราจะดื่มใหม่ในแผ่นดินของพระเจ้า"

มธ.16:26-27 

26 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร หรือผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาชีวิตของตนกลับคืนมา

27 เหตุว่าเมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยพระสิริแห่งพระบิดา และพร้อมด้วยทูตสวรรค์ของพระองค์ เมื่อนั้นจะประทานบำเหน็จให้ทุกคนตามการกระทำของตน

4. มีสันติสุข

ชัยชนะของพระเยซูที่กางเขนยังนำมาซึ่งสันติสุขเหลือล้น เพราะแผนการความรอดของพระเจ้าสำเร็จแล้ว พิธีมหาสนิทคือการตอกย้ำความสำเร็จดังกล่าว ความตายฝ่ายร่างกาย การไปสู่โลกหลังความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่เหลือยิ่งเป็นเรื่องเล็กในสายพระเนตรของพระเจ้า

1คร.15:23-28

23 แต่ว่าจะเป็นไปตามลำดับ คือพระคริสต์ทรงเป็นผลแรก แล้วภายหลังก็คือคนทั้งหลายที่เป็นของพระคริสต์ ในเมื่อพระองค์เสด็จมา

24 ต่อจากนั้นจะเป็นวาระที่สุด บัดนั้นพระคริสต์จะทรงมอบแผ่นดินไว้แก่พระบิดาเจ้า เมื่อพระองค์จะได้ทรงทำลายเทพผู้ครอง ศักดิเทพและอิทธิเทพหมดแล้ว

25 เพราะว่าพระองค์จะต้องทรงปกครองอยู่ก่อน จนกว่าพระองค์จะได้ทรงปราบศัตรูทั้งสิ้นให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์

26 ศัตรูตัวสุดท้ายที่พระองค์จะทรงทำลายนั้นก็คือความตาย

27 เพราะว่าพระองค์ทรงปราบสิ่งสารพัดลงใต้พระบาทของพระองค์แล้ว แต่เมื่อพระคัมภีร์กล่าวว่าทรงปราบสิ่งสารพัดลงนั้น ก็เป็นที่ทราบชัดว่า ยกเว้นองค์พระเจ้าผู้ทรงปราบสิ่งสารพัดให้อยู่ใต้พระองค์

28 เมื่อสิ่งสารพัดถูกปราบให้อยู่ใต้พระองค์แล้ว เมื่อนั้นองค์พระบุตรก็จะอยู่ใต้พระเจ้า ผู้ทรงปราบสิ่งสารพัดให้อยู่ใต้พระองค์ เพื่อพระเจ้าจะทรงเป็นเอกเป็นใหญ่ในสิ่งสารพัดทั้งปวง

การสรรเสริญนมัสการในพิธีมหาสนิท:

สามารถแบ่งพิธีมหาสนิทเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกคือบรรยากาศเริ่มพิธี ช่วง 2 คือช่วงทำพิธี และช่วงสุดท้ายคือการตอบสนอง

การร้องสรรเสริญนมัสการเป็นส่วนหนึ่งของพิธีมหาสนิท เพลงที่ใช้ในบรรยากาศช่วงแรกมีเป้าหมายนำบรรยากาศ สามารถร้องด้วยท่าที “ซาบซึ้ง ขอบพระคุณ ประกาศชัยชนะ และมีสันติสุข” 

การร้องสรรเสริญนมัสการให้ดำเนินสอดคล้องกับช่วงทำพิธี ให้มีหนักเบา ช่วงร้องกับไม่ร้อง ช่วงเหลือแต่เสียงดนตรีหรือมีแต่เสียงร้อง

ในช่วงตอบสนอง เป็นช่วงเปิดใจให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวภายในเต็มที่ (ควรมีเวลานานพอ) อาจมีการอธิษฐานส่วนตัว กล่าวคำ “ขอบคุณ” (คำขอบคุณคือคำสรรเสริญ) ประกาศตัวหรือตั้งใจว่าจะดำเนินชีวิตในทางพระเจ้า อย่างผู้มีชัยในพระเจ้า (นมัสการด้วยชีวิต) ฯลฯ 

หรือจะร้องเพลงออกเสียง จะร้องเพลงจากใจก็ได้ (ใช้ได้ทั้งเสียงร้องหรือเสียงดนตรี) เพลงที่ใช้เน้นการ “ขอบพระคุณ ประกาศชัยชนะ และมีสันติสุข”

ทั้งหมดนี้คือการสรรเสริญนมัสการในพิธีมหาสนิท สามารถปรับใช้ตามความเหมาะสม


คำสอนการนมัสการจากการนมัสการในพิธีมหาสนิท:

คริสเตียนทำพิธีมหาสนิทเป็นประจำ บางคนอาจทำแค่ให้ผ่านพิธีนี้ บางคนเพียงต้องการสารภาพบาป บางคนได้ซาบซึ้งขอบคุณพระเจ้าอีกครั้ง บางคนประกาศชัยชนะเหนือความบาปอีกรอบ บางคนได้ใกล้ชิดติดสนิทพระองค์ผู้ทรงรักเขา

คนที่รับใช้พระเจ้าด้วยการสรรเสริญนมัสการ ต้องซ้อมต้องแสดงจริง (นมัสการ) อยู่เสมอ บางคนสัปดาห์ละหลายรอบ นับสิบชั่วโมง การทำเช่นนี้นานวันเข้าอาจกลายเป็นความเคยชิน บางครั้งรู้สึกน่าเบื่อ

หากคิดว่าน่าเบื่ออาจเพราะทำเป็นเพียงพิธีกรรม ใจไม่อยู่กับพระเจ้า (สรรเสริญแต่ปาก) แต่อยู่กับสิ่งอื่น หรือที่ผ่านมาไม่ได้รับผลดีจากการนมัสการหรือได้น้อย

ข้อแนะนำหนึ่งคือ ให้ซ้อมนมัสการและนมัสการอย่างมีความหมาย ไม่ใช่แค่มาทำหน้าที่หรือมาประกอบพิธีกรรม

ประโยชน์ของการสรรเสริญนมัสการมีมากมาย ต้องคาดหวังว่าจะได้เช่นนั้นเสมอ ไม่ว่าจะซ้อมหรือแสดงจริง “ท่านพลาดแล้ว” ถ้าไม่ได้ตามนั้น 

แม้กระทั่งผู้เชื่อใหม่จะได้ประโยชน์จากการสรรเสริญนมัสการ แม้ยังไม่เข้าใจ อธิบายไม่ได้

ผลหรือประโยชน์ของการสรรเสริญนมัสการเป็นพระสัญญา 


วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ (10): การนมัสการในพิธีมหาสนิท

ความบาปทำให้มนุษย์ถูกแยกออกจากพระเจ้า การไถ่เป็นขั้นตอนทางพฤตินัยทำให้ผู้เชื่อพ้นมลทิน แม้พวกเขายังไม่สมบูรณ์และยังไม่ถึงวันพิพากษา แต่ด้วยความเชื่อคริสเตียนมั่นใจได้รับความรอดแล้ว จึงดำเนินชีวิตอย่างผู้มีชัยสมกับเป็นคนของพระเจ้า

การไถ่ยังช่วยให้ผู้เชื่อใกล้ชิดติดสนิทพระองค์

วิธีการง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ ทำได้ดังนี้

1. ยอมรับว่าทำบาป สารภาพความผิดบาปอย่างเจาะจง รับพระคุณของพระเจ้าเพื่อรับการชำระบาป 

มีใครกล้าพูดว่าตัวเองบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ทำบาปเลย

1ยน.1:8 ถ้าเราทั้งหลายจะว่าเราไม่มีบาป เราก็ลวงตนเอง และสัจจะไม่ได้อยู่ในเราเลย

ถ้ายังยึดบาปไว้พิธีนี้จะไร้ความหมาย ทั้งยังตอกย้ำว่าสมควรรับโทษจากบาปที่ตนกระทำ ยิ่งไม่ต้องคิดถึงจะสัมผัสพระเจ้าผ่านพิธีนี้

1คร.11:27-32

27 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดกินขนมปัง หรือดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่สมควร ผู้นั้นก็ทำผิดต่อพระกายและพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า

28 ขอให้ทุกคนพิจารณาตนเอง แล้วจึงกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้

29 เพราะว่าคนที่กินและดื่มโดยมิได้เล็งเห็นพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็กินและดื่มเป็นเหตุให้ตนเองถูกพิพากษาโทษ

30 ด้วยเหตุนี้พวกท่านหลายคนจึงอ่อนกำลังและป่วยไข้ และบ้างก็ล่วงหลับไป

31 แต่ถ้าเราพิจารณาตัวเราเอง เราคงไม่ต้องถูกทำโทษ

32 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำโทษเรานั้น พระองค์ทรงตีสอนเรา เพื่อมิให้เราถูกทรงพิพากษาลงโทษด้วยกันกับโลก

2. เปิดใจให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาเคลื่อนไหวภายใน อธิษฐานขอพระเจ้าช่วย ขอกำลังเพื่อเอาชนะบาป ขอความรักสันติสุขจากพระเจ้า 

(ขั้นตอนสัมผัสพระเจ้าเต็มขนาด)

3. ประกาศ “ชัยชนะ” เพราะว่าเป็นคนใหม่ในพระเจ้า ได้รับการไถ่แล้ว 

ถ้าไม่พูดถึงเรื่องการไถ่ การขึ้นสวรรค์ ประโยชน์ของพิธีมหาสนิทคือ การประกาศเจตนารมณ์ดำเนินชีวิตด้วยความเป็นไท มีชัยกับพระเยซู ตั้งใจนมัสการพระเจ้าด้วยชีวิต พระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา 

“พระเจ้าได้ “ปลดปล่อย” ผู้เชื่อจากคำแช่งสาปแล้ว จงเลิกทุกข์และดำเนินชีวิตอย่างผู้มีชัยในพระเจ้าเถิด พระวิญญาณไม่ได้สถิตอยู่กับท่านหรือ” (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

นี่คือยุคพันธสัญญาใหม่ นี่คือพันธสัญญาที่พระเจ้าทำไว้กับผู้เชื่อ

กจ.17:27-28

27 เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้าและมุ่งหวังจะคลำหาให้พบพระองค์ ที่จริงพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย

28 ด้วยว่า "เรามีชีวิต และไหวตัว และเป็นอยู่ในพระองค์" ตามที่กวีบางคนในพวกท่านได้กล่าวว่า "แท้จริงเราทั้งหลายเป็นเชื้อสายของพระองค์"

For in him we live and move and have our being.’ As some of your own poets have said, ‘We are his offspring.’

วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ ทำได้เช่นนี้เอง

--------------------------------


10/01/2568

Ep23 ใคร่ครวญความจริงความดีความงาม

บาปชักนำให้คิดชั่ว คิดแต่เรื่องร้ายๆ อันจะทำลายสันติสุขทันที ถ้าต้องการสันติสุขแท้ต้องใคร่ครวญความจริงแท้ความดีแท้ความงามแท้ ดำเนินชีวิตในทางของพระองค์

            จริงหรือไม่ที่โลกเจริญก้าวหน้าแต่หลายคนขาดสันติสุข มักอยู่ในความทุกข์ความเครียด หม่นหมองซึมเศร้า อยู่ในบรรยากาศคิดแง่ลบ พระเจ้าคือทางแก้ สอนแนวทางมากหมาย หนึ่งในนั้นคือใคร่ครวญความจริงความดีความงาม

ฟป.8-9

8 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ขอจงใคร่ครวญถึงสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ทรงคุณ คือถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ ก็ขอจงใคร่ครวญดู

Finally, brothers and sisters, whatever is true, whatever is noble, whatever is right, whatever is pure, whatever is lovely, whatever is admirable—if anything is excellent or praiseworthy—think about such things.

9 จงกระทำทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้และได้รับไว้ ได้ยิน และได้เห็นในข้าพเจ้าแล้ว และพระเจ้าแห่งสันติสุขจะทรงสถิตกับท่าน

            บาปชักนำให้คิดอย่างมารซาตานที่มีแต่จะลักและฆ่าและทำลาย ตรงข้ามกับทางของพระเจ้า ทรงสอนให้ใคร่ครวญความจริงแท้ความดีแท้ความงามแท้ อยู่ในความบริสุทธ์ชอบธรรม

            ผู้ใดลงมือทำตาม ฟป.8-9 ท่านจะเห็นการเปลี่ยนแปลง

            แค่ความคิดเปลี่ยน มุมมองต่อสถานการณ์จะเปลี่ยนทันที

            อธิบายขยายความ: ผลจากสงครามฝ่ายวิญญาณ ความคิดมนุษย์กลายเป็นสนามรบระหว่างความคิดของพระเจ้ากับความคิดแบบมาซาตาน ความคิดในทางดีงามที่ขัดแย้งกับความคิดชั่วร้าย แม้กระทั่งคริสเตียนผู้เชื่อก็ไม่เว้น ตกอยู่ในสงครามนี้อยู่เสมอ

            บาปชักนำให้คิดชั่วอันจะทำลายสันติสุขทันที (แม้ยังไม่พูดหรือลงมือกระทำ) หากไม่ออกจากทางนี้จะจมอยู่ในความคิดบาป อยู่ในความหม่นหมองใจไม่เป็นสุข เคียดแค้นชิงชัง โลภ แม้มีชื่อเสียงเงินทองมากมายก็ขาดสันติสุข ถ้าต้องการสันติสุขแท้ต้องใคร่ครวญความจริงแท้ความดีแท้ความงามแท้ ดำเนินชีวิตในทางของพระองค์

            คริสเตียนผู้เชื่อไม่ใช่พวกไร้เดียงสาอ่อนต่อโลก พระคัมภีร์สอนชัดเจนว่าคนบาปเป็นอย่างไร พวกเขาต้องการความสุขแต่ได้เพียงความสุขความสนุกชั่วครู่ชั่วยาม คนบาปคิดถึงแต่ตัวเอง จ้องเอาเปรียบผู้อื่น บางคนตั้งใจทำร้ายผู้อื่นเพื่อฉกฉวยประโยชน์ มักสร้างภาพว่าเป็นคนดีมีความสุข ทั้งๆ ที่ใจชั่วคิดร้าย ถือศาสนาแต่เปลือกนอก บางครั้งคิดทำดีแต่ทำได้ชั่วครั้งชั่วคราว ทำบาปสารพัด ทำบาปทั้งทางความคิด วาจา และการกระทำ พวกเขาทำร้ายกันเอง ทำบาปต่อกันและกัน เป็นสังคมที่กำลังกัดกร่อนทำลายตัวเอง ผลลัพธ์คือความทุกข์ ปัญหา วิตกกังวล หวาดกลัวอนาคต พระเจ้ากำหนดปลายทางให้คนบาปแล้ว

ฟป.3:19 ปลายทางของคนเหล่านั้นคือความพินาศ พระของเขาคือกระเพาะ เขายกความที่น่าอับอายของเขาขึ้นมาโอ้อวด เขาสนใจในวัตถุทางโลก

            คริสเตียนจะพยายามป้องกันไม่ให้ใครมาทำร้าย ไม่ตกหลุมพรางคนชั่ว แต่จะไม่ตอบโต้ความชั่วด้วยการชั่ว

รม.12:17-19

17 อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย แต่จงมุ่งกระทำสิ่งที่ใครๆ ก็เห็นว่าดี

18 ถ้าเป็นได้ คือเรื่องที่ขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน

19 ดูก่อน ท่านผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า อย่าทำการแก้แค้น แต่จงมอบการนั้นไว้ แล้วแต่พระเจ้าจะทรงลงพระอาชญา เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า "การแก้แค้นเป็นของเรา เราเองจะตอบสนอง

1ปต.3:9 อย่าทำการร้ายตอบแทนการร้าย อย่าด่าตอบการด่า แต่ตรงกันข้ามจงอวยพรแก่เขา ด้วยว่าพระองค์ได้ทรงเรียกให้ท่านกระทำเช่นนั้น เพื่อท่านจะได้รับพระพร

            บางคนพยายามตามหาสันติสุขแต่ไม่พบ เพราะไม่ได้แก้ที่รากปัญหา


            ถ้าเริ่มคิดชั่วคือทำบาปแล้ว ต้องรีบหันกลับมาให้พระเจ้าปกคลุมความคิดทันที

สภษ.4:20-23

20 บุตรชายของเราเอ๋ย จงตั้งใจต่อถ้อยคำของเราจงเอียงหูของเจ้าเข้าหาคำพูดของเรา

21 อย่าให้มันหนีไปจากสายตาของเจ้า จงรักษามันไว้ภายในใจของเจ้า

22 เพราะมันเป็นชีวิตแก่ผู้ที่ค้นพบ และมันรักษาเนื้อของผู้นั้นทั้งสิ้น

for they are life to those who find them and health to one’s whole body.

23 จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้านเพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ

มธ.15:18-19

18 แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน

19 ความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย ก็ออกมาจากใจ

            ความคิดแบบพระเจ้าคือพลังบวกที่แท้จริง สร้างสรรค์สิ่งดีงาม มีผลต่อโลกนี้และโลกหน้า ในโลกนี้คือความบริสุทธิ์ชอบธรรม สำแดงพระลักษณะ สันติสุข ในโลกหน้าคือชีวิตนิรันดร์กับมงกุฎงาม

ยน.10:10 ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์

        ผู้มีสันติสุขแท้คือผู้มีชีวิตทรงพลัง

-----------------------

01/01/2568

บทเรียน 10 ผู้เชื่อที่นับถือศาสนาคริสต์กับคริสเตียนที่รู้จักผูกพันพระคริสต์

พระเยซูจึงกล่าวโทษพวกเขาว่า “พระบิดาของเราก็ดี ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก” และสอนว่า “จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน”

เกริ่นนำ:

            การเชื่อพระเจ้าเป็นคริสเตียนไม่ใช่การเปลี่ยนศาสนา ไม่ใช่การนับถือศาสนา แต่เป็นการเชื่อศรัทธาพระเยซูว่าทรงเป็นพระเจ้า มีความผูกพันใกล้ชิดพระองค์

            ยน.15:4-7 พระเยซูสอนว่า “จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน”

4 จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ นอกจากจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น

5 เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย

6 ถ้าผู้ใดมิได้เข้าสนิทอยู่ในเรา ผู้นั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง แล้วก็เหี่ยวแห้งไป และถูกเก็บเอาไปเผาไฟ

7 ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใด ซึ่งท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น

            คนเข้าสนิทจะพบพระเจ้า สัมผัสพระองค์ เกิดผลมากมาย ตรงกันข้ามคือถูกทำลาย “ถ้าผู้ใดมิได้เข้าสนิทอยู่ในเรา ผู้นั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง”

 

คำถามก่อนเรียน :

            1) ท่านเชื่อพระเจ้ามาแล้วกี่ปี

            2) คิดว่าคริสเตียนที่นับถือศาสนาคริสต์มีลักษณะอย่างไร

 

            อ่าน โยบ.37:14-18

โยบ.37:14-18

14 "ท่านโยบเจ้าข้า ขอฟังข้อนี้ จงนิ่งพิจารณาการกระทำอันอัศจรรย์ของพระเจ้า

“Listen to this, Job; stop and consider God’s wonders.

15 ท่านทราบหรือว่าพระเจ้าทรงกำชับมันอย่างไร และกระทำให้ฟ้าแลบแห่งเมฆของพระองค์มีแสง

16 ท่านทราบถึงการทรงตัวของเมฆหรือ เป็นพระราชกิจอันประหลาดของพระองค์ผู้สมบูรณ์ในความรู้

17 ตัวท่าน ผู้ที่เสื้อผ้าของตนร้อน เมื่อแผ่นดินโลกซบเซาเพราะลมทิศใต้

18 ท่านแผ่ฟ้าออกไปอย่างพระองค์ได้หรือ ให้แข็งอย่างคันฉ่องหลอม

            คริสเตียนผู้เชื่อไม่สามารถเข้าถึงความรู้ความเข้าใจทั้งหมด กระนั้นยังต้องเอาใจใส่ศึกษาพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์ เรียนรู้ว่าพระเจ้าคิดอ่านอย่างไร วิธีการของพระองค์ พระประสงค์ต่อโลก ต่อชุมชนผู้เชื่อและต่อตัวท่านเองคืออย่างไร เพื่อดำเนินชีวิตอย่างผู้มีความเข้าใจ (มากขึ้น) สามารถทำอย่างถูกต้องที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

          อธิบายขยายความ: พวกฟาริสี ธรรมาจารย์ (คนที่พระเยซูกล่าวโทษ) น่าจะเข้าใจและรู้จักพระเจ้า แต่พวกเขาไม่รู้จริง ให้ความสำคัญพิธีกรรมโดยไม่เข้าถึงเหตุผลจุดประสงค์ของพิธีกรรมเหล่านั้น จึงเน้นประกอบศาสนกิจ ทั้งยังสอนผิด (เพราะไม่เข้าใจจริง บิดเบือนคำสอน) ไม่แสวงหาพระเจ้าจริงๆ

มธ.23:13-15

13 "วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์ พวกเจ้าเองก็ไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ขัดขวางไว้

14 "วิบัติแก่เจ้าพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าริบเอาเรือนของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องมีโทษมากยิ่งขึ้น"

 15 "วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าเที่ยวไปตามทางทะเลและทางบกทั่วไป เพื่อจะได้แม้แต่คนเดียวเข้าจารีต เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาถึงนรกยิ่งกว่าเจ้าเองถึงสองเท่า

คริสเตียนที่นับถือศาสนาคริสต์กับคริสเตียนที่รู้จักผูกพันพระคริสต์:

             เมื่อพระเยซูเสด็จมาในโลก สภาพที่ปรากฏชัดคืออิสราเอลมุ่งยึดถือธรรมบัญญัติอย่างผิดๆ ประกอบพิธีกรรมโดยไม่เข้าถึงความหมาย คำสอนถูกบิดเบือน ไม่แสวงหาพระเจ้าจริง พระเยซูกล่าวโทษพวกธรรมาจารย์กับฟาริสีอย่างรุนแรง

            อิสราเอลในสมัยนั้นเป็นพวกนับถือศาสนามากกว่ารู้จักพระเจ้า ขาดความผูกพันใกล้ชิดพระองค์

            พระเยซูกล่าวโทษในมัทธิว23

มธ.23:1-3, 23

1 ครั้งนั้น พระเยซูตรัสกับประชาชนและพวกสาวกของพระองค์ว่า

2 "พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส

3 เหตุฉะนั้น ทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอนพวกท่าน จงถือประพฤติตาม เว้นแต่การประพฤติของเขาอย่าได้ทำตามเลย เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน แต่เขาเองหาทำตามไม่

23 "วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าถวายทศางค์ ของสะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า ส่วนข้อสำคัญแห่งธรรมบัญญัติคือความยุติธรรมความเมตตา ความเชื่อนั้นได้ละเลยเสีย การถวายทศางค์พวกเจ้าก็ควรปฏิบัติ แต่ไม่ควรละเลยข้อสำคัญนั้นด้วย

            ประเด็นที่สำคัญมากคือพระเยซูกล่าวโทษพวกเขาว่าไม่รู้จักพระเจ้า ไม่รู้จักพระเยโฮวาห์จริง เป็นพวกนับถือศาสนา

ยน.8:13-19

ยน.8:19 เหตุฉะนั้นเขาจึงทูลพระองค์ว่า "พระบิดาของท่านอยู่ที่ไหน" พระเยซูตรัสตอบว่า "ตัวเราก็ดี พระบิดาของเราก็ดี ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก ถ้าท่านรู้จักเรา ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย"

            อธิบายขยายความ: ธรรมาจารย์กับฟาริสีศึกษาพระคัมภีร์มาก สามารถท่องข้อพระคัมภีร์ ประกอบพิธีกรรม ถวายเครื่องบูชาเป็นประจำ แต่ไม่เข้าถึงพระองค์ (พระเยโฮวาห์) รู้จักพระเจ้าตามคำสอนธรรมบัญญัติเท่านั้น (ทั้งยังสอนผิดบางเรื่อง) พระเยซูจึงกล่าวโทษพวกเขาว่า “พระบิดาของเราก็ดี ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก” ถ้าพวกเขารู้จักพระเยโฮวาห์จริงจะรู้จักพระเยซูด้วย เพราะคือพระเจ้าองค์เดียวกัน

            ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ (พระผู้ช่วยให้รอด) พวกเขาพลาดสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต ทั้งๆ ที่คนอิสราเอลสมัยนั้นรอคอยพระเมสสิยาห์ แต่เมื่อทรงเสด็จมาอยู่ตรงหน้ากลับปฏิเสธ

            พวกเขาไม่เข้าถึงพระเจ้าจึงไม่อาจรู้พระราชกิจอันอัศจรรย์

            จึงเป็นหลักการสำคัญเรื่องคริสเตียนที่นับถือศาสนาคริสต์กับคริสเตียนที่รู้จักผูกพันพระคริสต์

            ยุคปัจจุบัน คริสเตียนบางคนรู้จักพระเจ้าเพียงผิวเผิน ไม่แสวงหาพระเจ้าจริงจัง ไม่สนใจศึกษาพระวจนะ บางคนคิดว่าตัวเองรู้มากแต่ความจริงรู้น้อย เข้าใจผิดมาก เป็นคริสเตียนที่นับถือศาสนาคริสต์มากกว่ามุ่งสัมพันธ์สนิทกับพระคริสต์


คำถาม: การมุ่งสัมพันธ์สนิทพระเจ้าจะละเลยคำสอนอื่นหรือไม่

            ตอบ: คนที่ติดสนิทได้ต้องมีชีวิตบริสุทธ์ อันหมายถึงผู้นั้นต้องดำเนินชีวิตในความชอบธรรม (ปฏิบัติตามคำสอนต่างๆ) ดำเนินตามนิมิตการทรงเรียก หากไม่เป็นเช่นนี้คือพลาดเป้าหรือบาปนั่นเอง ชีวิตของเขาจะสำแดงพระลักษณะมากขึ้นๆ (สู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์มากขึ้นหรือบริสุทธิ์มากขึ้น) พระวิญญาณจะนำชีวิตและช่วยเหลือให้สำเร็จตามนิมิตการทรงเรียก เป็นตัวแทนพระองค์ในโลก

            การแสวงหาพระเจ้าส่วนตัวเป็นเรื่องสำคัญ พระเยซูทำพระราชกิจมากโดยไม่ละเลยที่จะแสวงหาพระบิดาเป็นการส่วนตัว

ลก.5:1-16

ลก.5:16 แต่พระองค์เสด็จออกไปในที่เปลี่ยวและทรงอธิษฐาน

1ปต.2:1-5

1 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงละความชั่วทั้งปวง การอุบายต่างๆ ความไม่จริงใจ ความริษยา และคำพูดส่อเสียดทั้งหลาย

2 เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ เพื่อโดยน้ำนมนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้นสู่ความรอด

3 เพราะท่านได้ลิ้มรสพระกรุณาคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้า

4 จงมาหาพระองค์ คือพระศิลาที่ทรงชีวิต ซึ่งมนุษย์ได้ปฏิเสธไม่ยอมรับแล้ว แต่ว่าตามพระดำริของพระเจ้านั้นเป็นศิลาที่ทรงเลือกไว้ และทรงค่าอันประเสริฐ

5 และท่านทั้งหลายก็เสมือนศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายพระวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายวิญญาณ ที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์

you also, like living stones, are being built into a spiritual house to be a holy priesthood, offering spiritual sacrifices acceptable to God through Jesus Christ.

คำถามหลังคำสอน :

            1) แบ่งปันประโยชน์ที่ได้จากการแสวงหาพระเจ้าส่วนตัวของท่าน

            2) แบ่งปันความตั้งใจ วิธีในชีวิตประจำวันเพื่อแสวงหาพระเจ้าส่วนตัว

----------------

บทความแนะนำ

วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ (22): ถวายพระสิริแด่พระเจ้า ชนะเพื่อถวายพระสิริแด่พระเจ้า

การขอบพระคุณ สรรเสริญนมัสการ จะออกมาจากชีวิตของเขาเรื่อยๆ เหมือนน้ำที่ไหลพุ่งออกมาจากน้ำพุ ไม่ว่าเขาจะเอ่ยคำว่าพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม          ...