11/10/2568

อาดัมมีรูปร่างหน้าตาเหมือนพระเจ้าหรือไม่

พระเจ้าให้ความสำคัญลักษณะชีวิตมากกว่ารูปร่างหน้าตา เพราะชีวิตนิรันดร์บริสุทธิ์ ปราศจากบาป ส่วนในโลกนี้ให้คริสเตียนเป็นตัวพระคริสต์ สำแดงพระสิริ

คำถามก่อนเรียน:

            1) ท่านเคยเห็นรูปภาพหรือรูปปั้นอาดัมเอวาหรือไม่ รูปที่เห็นมีหน้าตาอย่างไร

            2) ท่านคิดว่าหน้าตาอาดัมเอวาก่อนและหลังล้มในบาป เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

 

            มีผู้ตั้งคำถามว่า อาดัมกับเอวามีใบหน้างดงามอย่างพระเจ้าหรือไม่ โดยอ้างอิงปฐก.1:27 "ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์" (his own image)

            คำตอบของคำถามนี้ นำสู่ความเข้าใจเรื่องสำคัญ สามารถไล่เลียงดังนี้ ...

1. ความหมายตามรากศัพท์

            พระเจ้าตั้งใจสร้างมนุษย์ (อาดัม) ให้เป็นอย่างที่เป็น “ตามพระฉายาของพระองค์” (his own image)

ปฐก.1:27 พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง

So God created mankind in his own image, in the image of God he created them; male and female he created them.

พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง (ฉบับปี 2011)

1คร.11:7 ผู้ชายไม่สมควรคลุมศีรษะเพราะว่าผู้ชายเป็นพระฉายาและพระรัศมีของพระเจ้า ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นรัศมีของผู้ชาย

A man ought not to cover his head, since he is the image and glory of God; but woman is the glory of man.

            ทั้งปฐก.1:27 กับ1คร.11:7 ต่างระบุว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ ปฐก.1:27 เป็นภาษาฮีบรู ส่วน1คร.11:7เป็นภาษากรีก

           1) ความหมายตามรากศัพท์ภาษาฮีบรู

            รากศัพท์คำว่า “ฉายา” ใน ปฐก.1:27 คือ צֶלֶם (อ่านว่า tseh'-lem) หมายถึง ภาพ รูป พระฉายา (images, image) เหมือน คล้ายคลึง เป็นอย่าง (likenesses)

            คำนี้ใช้ในหลายที่ เช่น คำว่า “ฉายา” “รูป” ใน ปฐก.5:3 1ซมอ.6:11 อสค.7:20

ปฐก.5:3 เมื่ออาดัมอยู่มาได้ร้อยสามสิบปี จึงมีบุตรชายคนหนึ่งตามอย่างตามฉายาของเขาชื่อเสท

1ซมอ.6:11 และเขาก็วางหีบแห่งพระเจ้าไว้บนเกวียนพร้อมกับหีบหนูทองคำและรูปฝีของเขา

อสค.7:20 ความโอ่อ่าของสิ่งเหล่านั้น เขาใช้เพื่อเกียรติจอมปลอมเขาใช้สร้างรูปเคารพอันลามก และสิ่งน่าสะอิดสะเอียนของเขา เพราะฉะนั้นเราจะกระทำสิ่งเหล่านั้นให้เป็นสิ่งที่มลทินแก่เขา

            คำว่าฉายาถ้าใช้ในความหมาย “รูป” จะเหมือนในด้านรูปร่างหน้าตาเท่านั้น แต่เนื่องจากมนุษย์มีร่างกายจิตใจ (ไม่ใช่แค่รูปวาดหรือรูปปั้น) อาดัมจึงมีทั้งกายใจจิตตามอย่างพระองค์ ดังจะเห็นว่าอาดัมมีสติปัญญา เช่น สามารถตั้งชื่อสัตว์ต่างๆ มีอำนาจปกครอง ทรงประทานทั้งสติปัญญากับสิทธิอำนาจ และมีจิตวิญญาณอย่างพระเจ้า

            การที่พระเจ้าใส่จิตวิญญาณเข้าไปในมนุษย์ เป็นอีกส่วนที่ทำให้อาดัมเป็นสิ่งทรงสร้างตามพระฉายามากที่สุด

           2) ความหมายตามรากศัพท์ภาษากรีก

            รากศัพท์คำว่า “ฉายา” ใน 1คร.11:7 คือ εκών (อ่านว่า i-kone') หมายถึง ภาพเหมือนหรือรูปเหมือน (a likeness) รูปปั้นหรือภาพด้านข้าง (statue, profile) ตัวแทนหรือความคล้ายคลึง (representation, resemblance)

            รากศัพท์ภาษากรีกของคำว่า “ฉายา” ไม่ใช่ความเหมือนทางกายภาพเสมอไป อาจเหมือนหรือคล้ายทางด้านแนวคิดหรือลักษณะชีวิต ดังเช่นลูกเสือคล้ายพ่อเสือ (ลูกเสือคล้ายพ่อเสือทั้งรูปร่างหน้าตาและวิถีชีวิต)

            คำนี้ใช้ในหลายที่ เช่น คำว่า “รูป” ใน ลก.20:24 “รูปจำลอง” ในวว.13:14 “พระฉายหรือพระฉายา” ใน รม.8:29

ลก.20:24 "จงให้เราดูเงินตราเหรียญหนึ่งเถิด รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร" เขาทูลตอบว่า "ของซีซาร์"

วว.13:14 มันล่อลวงคนทั้งหลายที่อยู่ในโลกด้วยหมายสำคัญนั้น ซึ่งทรงยอมให้มันกระทำต่อหน้าสัตว์ร้ายตัวเดิมนั้น และมันสั่งให้คนทั้งหลายที่แผ่นดินโลก สร้างรูปจำลองให้แก่สัตว์ร้ายที่ถูกฟันด้วยดาบ แต่ยังไม่ตายนั้น

Because of the signs it was given power to perform on behalf of the first beast, it deceived the inhabitants of the earth. It ordered them to set up an image in honor of the beast who was wounded by the sword and yet lived.

            สรุป ตามรากศัพท์ฮีบรูกับกรีก คำว่า “ฉายา” หมายถึง ภาพเหมือน การมีรูปลักษณ์ภายนอก คุณสมบัติ แนวทางชีวิตตรงกันหรือคล้ายคลึงกัน เมื่อพูดถึงคนที่มีทั้งกายใจจิต พระเจ้าสร้างมนุษย์ (อาดัม) ตามแบบพระองค์ (เหมือนพระองค์) ดังเช่นลูกเสือกับพ่อเสือ ลูกเสือมีกริยาท่าทางและจิตใจตามอย่างพ่อ อีกทั้งมีจิตวิญญาณด้วย


(ตัวอย่างภาพอาดัมเอวาในจิตนาการ)

2. พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ

            พระคัมภีร์สอนว่า พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ (ไม่ใช่กายอย่างมนุษย์)

            พระเยซูตรัสในยน.4:24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ” (God is spirit)

ยน.4:24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง"

God is spirit, and his worshipers must worship in the Spirit and in truth.”

            รากศัพท์คำว่า “วิญญาณ” หรือ “spirit” ในยน.4:24 คือ πνεῦμα (อ่านว่า pnyoo'-mah) หรือ ‘pneuma-นิวมา’ เป็นภาษากรีก หมายถึง ลม (wind) ลมหายใจ (breath) วิญญาณหรือจิตวิญญาณ (spirit) และเล็งถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์

            2.1 พระเจ้าพระบิดาไม่มีรูปร่างหน้าตา

            การที่พระเจ้าเป็นพระวิญญาณจึงปราศจากสสาร (ไม่มีเนื้อหนัง อวัยวะ) ไม่มีรูปร่างหน้าตา

            อธิบายขยายความ: พระเจ้าพระวิญญาณไม่สามารถมองเห็นด้วยตา แสงไม่สามารถกระทบวิญญาณแล้วสะท้อนสู่ตาจนเห็นเป็นภาพ ส่วนภาพที่เห็นร่างวิญญาณในหนังสือหรือสื่อต่างๆ นั้น เป็นจินตนาการสร้างรูปวิญญาณเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น

            อย่างไรก็ตาม บางครั้งพระวิญญาณบริสุทธิ์สำแดงผ่านสัญลักษณ์ที่มนุษย์มองเห็นด้วยตา เช่น เห็นเป็นรูปนกพิราบกับเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้น

           1) นกพิราบ

มธ.3:16 ครั้นพระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้ว ในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจากน้ำ และท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบ ลงมาสถิตอยู่บนพระองค์

As soon as Jesus was baptized, he went up out of the water. At that moment heaven was opened, and he saw the Spirit of God descending like a dove and alighting on him.

            ขณะที่พระเยซูรับบัพติศมาพระองค์ได้ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบพระคัมภีร์ไม่ได้ชี้ว่าพระวิญญาณเหมือนนกพิราบตัวหนึ่ง แต่ “สำแดงให้เห็นดุจ...” เพื่อให้เข้าถึง เข้าใจง่ายขึ้น

           2) เปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้น

            ก่อนพระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์ได้สั่งให้สาวกรอคอยพระผู้ช่วยที่จะเสด็จมา

กจ.1:8-9

8 แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก"

9 เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา

            เมื่อถึงเทศกาลเพ็นเทคศเต พวกสาวกได้รวมตัวในห้อง และรับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์

กจ.2:1-3

1 เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคศเตมาถึง จำพวกศิษย์จึงรวมอยู่ในที่แห่งเดียวกัน

2 ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น

3 มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน

They saw what seemed to be tongues of fire that separated and came to rest on each of them.

และพวกเขาเห็นบางสิ่งที่คล้ายเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแผ่กระจายอยู่บนตัวพวกเขาทุกคน (ฉบับ 2011)

            ครั้งนั้นพระวิญญาณสำแดงเป็น “เปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้น/บางสิ่งที่คล้ายเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้น” (what seemed to be tongues of fire) พระวิญญาณไม่ใช่เปลวไฟและไม่ใช่ลิ้น ทรงสำแดงให้เห็นเช่นนั้นเพื่อให้สาวกเข้าใจว่าพระวิญญาณสำแดงตน พวกเขาได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์

           2.2 สัมผัสพระเจ้าสัมผัสพระวิญญาณ

            ปัจจุบัน พระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เป็นพระผู้ช่วยแก่แต่ละคน คริสเตียนทุกคนสามารถสัมผัสพระเจ้า เชื่อมต่อสัมพันธ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระองค์จะสำแดงให้เข้าใจเข้าถึงความจริง

            พระวิญญาณสถิตในเรา

1คร.3:16-17

16 ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน

17 ถ้าผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้น เพราะวิหารของพระเจ้าเป็นที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ และท่านทั้งหลายเป็นวิหารนั้น

            เราอยู่ในพระองค์และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา เพราะพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณของพระองค์เองแก่เรา”

1ยน.4:12-15

12 ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้า ถ้าเราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในเราทั้งหลาย และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา

13 ดังนี้แหละเราทั้งหลายจึงรู้ว่า เราอยู่ในพระองค์และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา เพราะพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณของพระองค์เองแก่เรา

14 และเราทั้งหลายได้เห็นและเป็นพยานว่า พระบิดาได้ทรงใช้พระบุตรมาเป็นผู้ช่วยมนุษย์โลกให้รอด

15 ผู้ใดยอมรับว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็จะทรงสถิตอยู่ในคนนั้น และคนนั้นอยู่ในพระเจ้า

            พระองค์จะสำแดงให้เข้าใจความจริง

ยน.16:13 เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัส สิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น

But when he, the Spirit of truth, comes, he will guide you into all the truth. He will not speak on his own; he will speak only what he hears, and he will tell you what is yet to come.

            “ที่จริงพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย”

กจ.17:26-28

26 พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติ สืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่

27 เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้าและมุ่งหวังจะคลำหาให้พบพระองค์ ที่จริงพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย

God did this so that they would seek him and perhaps reach out for him and find him, though he is not far from any one of us.

28 ด้วยว่า “เรามีชีวิต และไหวตัว และเป็นอยู่ในพระองค์” ตามที่กวีบางคนในพวกท่านได้กล่าวว่า “แท้จริงเราทั้งหลายเป็นเชื้อสายของพระองค์”

            คริสเตียนสามารถสัมผัสพระเจ้าหลากหลายรูปแบบ ขึ้นกับการสำแดง การรับรู้ การตีความสิ่งที่เกิดขึ้น

            ยกตัวอย่าง ผู้แต่งสดด.90:14 มีประสบการณ์อิ่มด้วยรักในยามเช้า

สดด.90:14 ขอทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายอิ่มในเวลาเช้าด้วยความรักมั่นคงของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้เปรมปรีดิ์และยินดีตลอดวันเวลาของข้าพระองค์

Satisfy us in the morning with your unfailing love, that we may sing for joy and be glad all our days.

            ผู้แต่งสดด.90:14 มีประสบการณ์อิ่มด้วยรักในยามเช้า จึงอธิษฐานทูลขออีก และรู้ว่าผลของการอิ่มด้วยรักทุกเช้าคือ “เปรมปรีดิ์และยินดี” ตลอดชีวิต การอิ่มด้วยรักคือการสัมผัสพระเจ้ารูปแบบหนึ่ง

            คำถาม: เช้านี้ท่านได้อิ่มด้วยความรักมั่นคงของพระองค์หรือยัง

               2.3 พระเยซูมีพระฉาย/พระฉายาอย่างพระเจ้า

            แต่แรกเริ่มพระเจ้ามีลักษณะเป็นพระวิญญาณ พระเยซูขณะสำแดงเป็นมนุษย์ มีพระฉาย/พระฉายาอย่างพระเจ้า

ยน.14:9 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ฟีลิปเอ๋ย เราได้อยู่กับท่านนานถึงเพียงนี้และท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า "ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น"

            การที่พระเยซูมีพระฉาย/พระฉายาอย่างพระเจ้า จึงเน้นความหมายเชิงพระลักษณะ สิทธิอำนาจ (ทรงเป็นพระเจ้า) ไม่เน้นความหมายเชิงหน้าตาหรือร่างกาย เพราะพระเจ้าพระบิดาไม่มีรูปร่างหน้าตา ชีวิตพระเยซูสะท้อนพระลักษณะ เช่น เปี่ยมด้วยความรักเมตตา ทรงสิทธิอำนาจ บริสุทธิ์ ชอบธรรม

3. อาดัมมีรูปร่างหน้าตาเหมือนพระเจ้าหรือไม่

            จากความเข้าใจข้างต้น การที่ "ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์" จึงเน้นหรือให้ความสำคัญเรื่องลักษณะชีวิต ทัศนคติ ค่านิยม สติปัญญาแบบพระเจ้า เช่น ยึดมั่นความบริสุทธิ์ชอบธรรม มีความรัก (อากาเป้) รู้จักบทบาทหน้าที่ (อาดัมดูแลสวน ปกครองโลก)

            ไม่เน้นความหมายด้านรูปร่างหน้าตา (อาดัมมีรูปร่างหน้าตา ส่วนพระเจ้าที่อยู่ในสวนเอเดนเป็นพระวิญญาณ ไม่มีรูปร่างหน้าตา)

            สรุป อาดัมตามพระฉายาหมายถึงมีลักษณะชีวิตเหมือนพระเจ้า พระคัมภีร์ไม่ให้ความสำคัญเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก พูดได้แต่ว่าอาดัมถูกสร้างขึ้นอย่างดี

4. คริสเตียนผู้สำแดงพระคริสต์

รม.8:28-29

28 เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์

29 เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉาย แห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก

For those God foreknew he also predestined to be conformed to the image of his Son, that he might be the firstborn among many brothers and sisters.

เพราะว่าทุกคนที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้แล้ว พระองค์ทรงกำหนดไว้ก่อนให้เป็นตามพระฉายาแห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพี่น้องจำนวนมาก (ฉบับปี 2011)

            อธิบายขยายความ: พระธรรมโรม 8 ตั้งใจสอนคริสเตียนว่า “เป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์” (รม.8:17)

รม.8:17 และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์นั้น ก็เพื่อเราทั้งหลายจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย

          รม.8:29 อธิบายชัดว่าพระเจ้าตั้งใจสร้างคริสเตียน “ตามพระฉายาแห่งพระบุตร” ที่หมายถึงลักษณะชีวิตของพระเยซูมากกว่ารูปร่างหน้าตา

            คริสเตียนดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระเยซูคริสต์ รับการเปลี่ยนแปลงเป็นเหมือนพระองค์ “เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก” นี่คือความหมายของ “ตามลักษณะพระฉาย แห่งพระบุตรของพระองค์”

            คริสเตียนจึงต่างจากคนอิสราเอลที่เชื่อพระเจ้าและยึดถือพันธสัญญาเดิม แต่ดำเนินตามพันธสัญญาใหม่ เป็นคริสเตียนผู้สำแดงพระเยซูคริสต์

5. ประดับกายด้วยพระสิริ

            พระเจ้าให้ความสำคัญลักษณะชีวิต มากกว่าความสวยงามตามค่านิยมโลก

            ทรงต้องการให้ผู้เชื่อสำแดงพระสิริด้วยชีวิตที่เปลี่ยนเป็นเหมือนพระคริสต์ (รม.13:14ก)

รม.13:13-14

13 เราจงประพฤติตัวให้เหมาะสมกับเวลากลางวัน มิใช่เลี้ยงเสพสุราเมามาย มิใช่หยาบโลนลามก มิใช่วิวาทริษยากัน

14 แต่ท่านจงประดับกายด้วยพระเยซูคริสตเจ้า และอย่าจัดเตรียมอะไรไว้บำรุงบำเรอตัณหาของเนื้อหนัง

1ปต.3:3-4

3 การประดับกายของท่านนั้น อย่าให้เป็นการประดับภายนอก ด้วยการถักผม ประดับด้วยเครื่องทองคำและนุ่งห่มเสื้อผ้าสวยงาม

4 แต่จงให้เป็นการประดับภายในจิตใจ แต่งด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลาย คือด้วยจิตใจที่สงบและสุภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่งในสายพระเนตรพระเจ้า

            พระสิริของพระเจ้าจึงต่างจากชื่อเสียงเกียรติยศฝ่ายโลก การประดับกายของคนทั่วไป คริสเตียนสำแดงพระสิริด้วยชีวิตที่เปลี่ยนแปลงตามแบบพระคริสต์

6. กลับสู่ความไพบูลย์

            สำหรับผู้เชื่อทั้งหลาย พระเจ้าต้องการให้คริสเตียนเติบโตจนถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์ คือกลับสู่สภาพสมบูรณ์นั่นเอง

อฟ.4:13-14

13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์

14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง

            มนุษย์คนบาปสูญเสียพระสิริ พระเจ้าต้องการให้ผู้เชื่อกลับสู่สภาพเดิม อันหมายถึงสู่ลักษณะชีวิตอย่างพระเจ้าอีกครั้ง (อฟ.4:13-14) เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากบาป

            ทรงย้ำเรื่องลักษณะชีวิตมากกว่ารูปร่างหน้าตา เพราะชีวิตนิรันดร์คือชีวิตบริสุทธิ์ ปราศจากบาป

            พระองค์บริสุทธิ์

------------------

คำถามหลังคำสอน:

            1) จำเป็นหรือไม่ หากจะแสดงภาพพระเจ้าที่มีรูปร่างหน้าตา ในเมื่อพระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ไม่มีรูปร่างหน้าตา จงอภิปรายข้อดี-ข้อเสีย

            2) แบ่งปันวิธีที่ช่วยให้คริสเตียนสำแดงพระสิริมากขึ้น ให้คนทั้งหลายเห็นมากขึ้น  

------------------------

19/08/2568

วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ (22): ถวายพระสิริแด่พระเจ้า ชนะเพื่อถวายพระสิริแด่พระเจ้า

การขอบพระคุณ สรรเสริญนมัสการ จะออกมาจากชีวิตของเขาเรื่อยๆ เหมือนน้ำที่ไหลพุ่งออกมาจากน้ำพุ ไม่ว่าเขาจะเอ่ยคำว่าพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม 

            ชนะเพื่อถวายพระสิริแด่พระเจ้าหรือชนะเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า ประกาศพระบารมี ให้พระองค์เป็นที่สรรเสริญเทิดทูน ปรากฏแก่คนทั้งปวงสมกับที่พระองค์เป็น

            เป้าหมายพื้นฐานของการสรรเสริญนมัสการคือการถวายเกียรติ ประกาศพระบารมีว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด เป็นจอมเจ้านายจอมราชา ผู้ทรงเหนือนามใดๆ ผ่านชีวิตของผู้นมัสการ

            คำว่าชัยชนะ ความสำเร็จของคริสเตียน จึงหมายถึงชัยชนะและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ไม่ใช่ของมนุษย์คนใด

            อ่านพระธรรม 1ซามูเอล บทที่ 17

บริบท:

            พวกฟิลิสเตียยกกองทัพประชิดอิสราเอล 2 ฝ่ายเผชิญหน้ากัน พวกฟิลิสเตียส่งโกลิอัทสุดยอดทหารท้าทายกองทัพอิสราเอลให้สู้ตัวต่อตัว ฝ่ายใดแพ้ต้องยอมเป็นข้าของอีกฝ่าย

1ซมอ.17:10 และคนฟีลิสเตียคนนั้น กล่าวว่า "วันนี้ข้าขอท้ากองทัพอิสราเอล จงส่งคนมาสู้กันเถิด"

            พวกฟิลิสเตียรวมทั้งโกลิอัทมั่นใจว่าตนจะเป็นฝ่ายชนะจึงท้าเช่นนั้น ใครก็ตามที่ออกไปสู้กับโกลิอัทจึงเป็นตัวแทนกองทัพ และกุมอนาคตอิสราเอล

1ซมอ.17:11 เมื่อซาอูลและคนอิสราเอลทั้งสิ้นได้ยินถ้อยคำของคนฟีลิสเตียคนนั้น เขาทั้งหลายก็ท้อใจและกลัวมาก

            กษัตริย์ซาอูลกับอิสราเอลทั้งปวงวิตกกังวล ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ซาอูลผู้มีตัวสูงใหญ่ (1ซมอ.10:23-24) และเป็นนักรบยังไม่กล้าสู้

            ดาวิดบุตรเจสซี น้องคนสุดท้องของพี่น้องรวม 8 คน ขณะนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มเลี้ยงแกะ (1ซมอ.17:33) ไม่ใช่ทหาร

ซมอ.17:33 และซาอูลกล่าวแก่ดาวิดว่า "เจ้าไม่สามารถที่จะไปสู้รบกับชายฟีลิสเตียคนนั้นดอก เพราะเจ้าเป็นแต่เด็กหนุ่ม และเขาเป็นทหารชำนาญศึกมาตั้งแต่หนุ่มๆ แล้ว"

            ตั้งแต่สมัยโมเสส ชายอิสราเอลอายุ 20 ปีขึ้นไปจะขึ้นทะเบียนเป็นทหาร

กวด.1:19-20

19 ตามที่พระเจ้าตรัสสั่งโมเสสไว้ ท่านจึงนับคนที่ถิ่นทุรกันดารซีนายดังนี้

20 คนเผ่ารูเบนบุตรหัวปีของอิสราเอล ชาตพันธุ์ของเขาตามตระกูลตามครอบครัว ตามจำนวนรายชื่อผู้ชายเรียงตัวทุกคน ที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด

            การขึ้นทะเบียนพวกเลวีก็เช่นกัน จะนับชายผู้มีอายุ 20 ปีขึ้น (1พศด.23:24)
            ดาวิดในขณะนั้นอายุไม่ถึง 20 ยังไม่ถูกขึ้นทะเบียนเป็นทหาร
(1ซมอ.17:42)

            เนื้อหาพระคัมภีร์ช่วงนี้มุ่งเน้นบรรยายหนุ่มดาวิด ผู้ได้รับการเจิมให้เป็นกษัตริย์ในอนาคต ให้เห็นลักษณะชีวิตของดาวิดที่เหมาะกับตำแหน่งกษัตริย์ การที่ดาวิดมีประสบการณ์กับพระเจ้าอย่างชัดเจน มั่นใจว่าตนคือทหารแห่งกองทัพพระเจ้า ในอนาคตเมื่อดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์จะกลายเป็นผู้นำชนชาติอิสราเอลที่เป็นของพระเจ้า (ไม่ใช่ของมนุษย์)

            กษัตริย์ดาวิดในอนาคตคือผู้ที่แสวงหาและใกล้ชิดพระเจ้า ต่างจากกษัตริย์องค์อื่นๆ ที่ไม่จริงใจหรือไม่เต็มร้อยต่อพระองค์

ลักษณะคนของพระเจ้าผู้ถวายพระสิริ :

            จากพระธรรม 1ซามูเอล บทที่ 17 มีลักษณะดังนี้

1. คิดถึงพระเจ้ากับอาณาจักรพระองค์เป็นที่ตั้ง

1ซมอ.17:25-26

25 คนอิสราเอลพูดว่า "เจ้าเคยเห็นคนที่ออกมานั้นหรือ เขาออกมาท้าทายอิสราเอลแท้ๆ ถ้าใครฆ่าเขาได้ พระราชาจะพระราชทานทรัพย์ให้เขามากมาย และจะมอบราชธิดาให้ด้วยและกระทำให้ครอบครัวของบิดาของเขาเป็นคนยกเว้นการเกณฑ์ในอิสราเอล"

26 และดาวิดกล่าวแก่ชายคนที่ยืนอยู่ข้างเขาว่า "เขาจะทำอย่างไรแก่คนที่ฆ่าคนฟีลิสเตียคนนี้ได้ และนำเอาความเหยียดหยามอิสราเอลไปเสีย คนฟีลิสเตียผู้มิได้เข้าสุหนัตคนนี้คือใครเล่า เขาจึงมาท้าทายกองทัพของพระเจ้าอยู่"

            ในใจของดาวิดคิดว่าโกลิอัทกำลังเหยียดหยามอิสราเอล ท้าทายกองทัพพระเจ้าหรือท้าทายพระเจ้า ดาวิดเดือดร้อนใจเรื่องนี้ ประโยชน์ที่ตนจะได้เป็นรอง

2. คือพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่

1ซมอ.17:26 และดาวิดกล่าวแก่ชายคนที่ยืนอยู่ข้างเขาว่า "เขาจะทำอย่างไรแก่คนที่ฆ่าคนฟีลิสเตียคนนี้ได้ และนำเอาความเหยียดหยามอิสราเอลไปเสีย คนฟีลิสเตียผู้มิได้เข้าสุหนัตคนนี้คือใครเล่า เขาจึงมาท้าทายกองทัพของพระเจ้าอยู่"

David asked the men standing near him, “What will be done for the man who kills this Philistine and removes this disgrace from Israel? Who is this uncircumcised Philistine that he should defy the armies of the living God?”

            คำว่า “พระเจ้า” ใน1ซมอ.17:26 หมายถึงพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ (living God)

            ในใจดาวิดมีแต่พระเจ้า พูดถึงพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ พระเจ้าที่เข้าถึง รับรู้ สัมผัส มีประสบการณ์ว่าพระองค์มีอยู่จริง ณ ตอนนั้น ไม่ใช่แค่พระเจ้าที่อยู่ในพระคัมภีร์ จากธรรมบัญญัติโมเสส หรือพูดต่อๆ กันมา

            1ซมอ.17:36 ดาวิดพูดอีกครั้งว่า “ด้วยเขาได้ท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่"

            “พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

3. อาสาตัวรับใช้พระเจ้า

1ซมอ.17:31-32

31 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินคำที่ดาวิดพูด เขาทั้งหลายก็เล่าความให้ซาอูลทราบ ซาอูลจึงใช้คนให้มาตามดาวิด

32 ดาวิดก็ทูลซาอูลว่า "อย่าให้จิตใจของผู้ใดฝ่อไปเพราะชายคนนั้นเลย ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียคนนี้"

            ความกล้าหาญที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ดังไกลถึงหูกษัตริย์ ซาอูลจึงเรียกดาวิดไปพบ และดาวิดไม่เพียงแค่พูด ดาวิดลงมือทำ อาสาตัวไปสู้กับโกลิอัท สอดคล้องกับคำพูดของตน (1ซมอ.17:26)

4. ดาวิดไม่กล่าวโทษใคร

            เหตุการณ์ในตอนนี้มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ ดาวิดไม่กล่าวโทษใคร ไม่โทษซาอูลผู้เป็นกษัตริย์ เป็นนักรบ เคยชนะศึกมาก่อนแต่ตอนนี้ไม่กล้าออกรบ ไม่โทษพี่น้องอิสราเอลอื่นๆ ที่มีบทบาทรับผิดชอบเป็นทหารปกป้องประเทศตอนนี้หัวหดหวาดวิตก

               4.1 ซาอูลผู้สูญเสียการเจิม

            สามารถอธิบายว่าเพราะซาอูลสูญเสียการเจิมแล้ว และเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าให้ดาวิดครองบัลลังก์ในอนาคต

            มีคำถามว่าทหารอิสราเอลนับหมื่นนับแสน ไม่มีใครที่เก่งกล้าสามารถเลยหรือ ไม่มีใครแสดงความกล้าหาญดังเช่นดาวิดเลยหรือ ที่สุดของคำถามนี้คือ ไม่มีใครมีประสบการณ์ สัมผัสใกล้ชิดกับพระเจ้าเลยหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นการดำรงอยู่ของอาณาจักรอิสราเอลในขณะนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องของความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ขาดการใกล้ชิดพระเจ้า เป็นอิสราเอลที่นับถือศาสนามากกว่าใกล้ชิดติดสนิทพระองค์

            อธิบายขยายความ: การอยู่ร่วมของชนชาติอิสราเอลขณะนั้นมาจากปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน เป็นการอยู่ร่วมเป็นชนชาติที่ดำเนินมาเนิ่นนาน (อาจนับตั้งแต่โมเสสพาบรรพบุรุษพวกเขาออกจากอียิปต์และมาตั้งถิ่นฐานที่นี่) พวกเขาอยู่เป็นเผ่า เป็นตระกูล เป็นครอบครัว เป็นพัฒนาการเชิงประวัติศาสตร์ที่ทำให้อิสราเอลในขณะนั้นปกครองโดยกษัตริย์ ตามที่พวกเขาร้องขอและได้ซาอูลเป็นกษัตริย์องค์แรก

            จะเห็นว่าการอยู่ร่วมของพวกเขาเป็นความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ที่พวกเขาขาดคือความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้า

            หนุ่มน้อยดาวิดแตกต่างจากคนอื่น

               4.2 รักพี่น้องแต่ต้องรักพระเจ้าด้วย

            พระเยซูสอนว่าสาวกต้องรักซึ่งกันและกัน แต่ต้องไม่ลืมว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างสาวกหรือผู้เชื่อต้องตั้งอยู่บนความสัมพันธ์กับพระเจ้า” มีพระองค์เป็นศูนย์กลาง (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

ยน.13:34-35

34 เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น

35 ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา"

            สัมพันธ์กันด้วยความเป็น ”สาวก” ของพระเจ้า

            ดังนั้น ต้องไม่แยกความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ (ผู้เชื่อ) ออกจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า แต่ต้องควบคู่กันเสมอ (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

1ยน.4:6-8

6 เราทั้งหลายเป็นฝ่ายพระเจ้า ผู้ที่คุ้นกับพระเจ้าก็ฟังเรา และผู้ที่ไม่ใช่ฝ่ายพระเจ้าก็ไม่ฟังเรา ดังนี้แหละเราทั้งหลายจึงรู้จักวิญญาณของความจริง และวิญญาณของความเท็จ

7 ท่านที่รักทั้งหลาย ขอให้เรารักซึ่งกันและกัน เพราะว่าความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่รักก็บังเกิดมาจากพระเจ้า และรู้จักพระเจ้า

8 ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก

            ความรักระหว่างผู้เชื่อคือความรักที่มาจากพระเจ้า เป็นความรักที่ได้รับจากพระองค์ (รักแบบ agape) ก่อเกิดเพราะเชื่อศรัทธาพระเจ้า (ข้อ 8)

            ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เชื่อต้องตั้งอยู่บนความรักที่มาจากการรู้จักพระเจ้า จิตวิญญาณใกล้ชิด คุ้นเคยพระองค์ (ข้อ 6) (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เชื่อที่ขาดพระเจ้าหรือมีน้อยเกินไป (รักพี่น้องมากกว่าพระเจ้า ชุมชนที่ตั้งอยู่บนความรักแบบมนุษย์มากกว่ารักจากพระเจ้า) เช่นนั้นไม่ใช่แบบที่พระองค์ต้องการ

            คำถาม: วันนี้ท่านรักพี่น้องมากกว่าพระเจ้าหรือไม่ ชุมนุมผูกพันด้วยความรักแบบใด หรือด้วยเหตุผลใด

            อย่างไรเรียกว่าอาณาจักรของพระคริสต์

               4.3 มองที่พระเจ้า ดำเนินชีวิตตามการทรงเรียก

            ดาวิดไม่มองความไม่สมบูรณ์ของคนรอบข้าง เพราะมนุษย์ไม่สมบูรณ์ (แม้กระทั่งตัวท่านเอง) ดาวิดมุ่งที่พระเจ้า พยายามดำเนินชีวิตตามการทรงเรียก การทรงนำ ทำส่วนของตัวเอง

5. ประสบการณ์กับพระเจ้าชัดเจน

            กษัตริย์ซาอูลเตือนดาวิดว่าสู้ไม่ได้ แต่ดาวิดเชื่อว่าสู้ได้ เพราะมีประสบการณ์พระเจ้าช่วยฆ่าสิงโตกับหมี

1ซมอ.17:36-37

36 ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทได้ฆ่าสิงห์และหมีนั้นมาแล้ว คนฟีลิสเตียผู้มิได้เข้าสุหนัตคนนี้ก็เป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้นตัวหนึ่ง ด้วยเขาได้ท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่"

Your servant has killed both the lion and the bear; this uncircumcised Philistine will be like one of them, because he has defied the armies of the living God.

37 และดาวิดทูลต่อไปว่า "พระเจ้าผู้ทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากขยุ้มเท้าของสิงห์ และจากขยุ้มเท้าของหมี จะทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากมือของคนฟีลิสเตียคนนี้" และซาอูลจึงตรัสแก่ดาวิดว่า "จงไปเถอะ และพระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับเจ้า"

The LORD who rescued me from the paw of the lion and the paw of the bear will rescue me from the hand of this Philistine.” Saul said to David, “Go, and the LORD be with you.”

            ดาวิดไม่คิดว่าตัวเองเก่ง แต่มั่นใจว่าพระเจ้าที่เคยช่วยเขาจากสิงโตกับหมี จะช่วยให้ชนะโกลิอัทเหมือนกัน และเป็นเหตุผลที่ซาอูลยอมให้ดาวิดไปสู้กับโกลิอัท

            ซาอูลพูดประโยคสำคัญว่า “พระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับเจ้า”

            พระเจ้าของดาวิดคือพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ สถิตกับตน และมีประสบการณ์ส่วนตัวชัดเจน จึงคิดว่าเมื่อพระเจ้าช่วยเขาจากสัตว์ร้าย (เด็กหนุ่มที่ฆ่าสิงโตกับหมีด้วยตัวเอง) จะสามารถจัดการโกลิอัทได้เช่นกัน

            “คนฟีลิสเตียผู้มิได้เข้าสุหนัตคนนี้ก็เป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้นตัวหนึ่ง”

6. ใช้สิ่งที่มีอยู่บวกกับพระเจ้า

            โกลิอัทสวมชุดนักรบ ใส่เกราะ ถืออาวุธอย่างดี ดาวิดใช้สิ่งที่ตนมีและถนัด

1ซมอ.17:40 แล้วจึงถือไม้เท้าไว้ และเลือกก้อนหินเกลี้ยงจากลำธารได้ห้าก้อน จึงใส่ในย่ามผู้เลี้ยงแกะของเขาในถุงของเขาและมือถือสลิงอยู่ ท่านก็เข้าไปใกล้คนฟีลิสเตียคนนั้น

            แต่ที่ดาวิดมีนอกเหนือจากไม้เท้า หิน 5 ก้อนและสลิงคือ พระเจ้าสถิตด้วย (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            เขาคือทหารคนหนึ่งของพระเจ้า (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น) แม้ไม่เป็นทหารประจำการในกองทัพกษัตริย์

1ซมอ.17:45 แล้วดาวิดก็พูดกับคนฟีลิสเตียคนนั้นว่า "ท่านมาหาข้าพเจ้าด้วยดาบ ด้วยหอกและด้วยหอกซัด แต่ข้าพเจ้ามาหาท่านในพระนามแห่งพระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอล ผู้ซึ่งท่านได้ท้าทายนั้น

David said to the Philistine, “You come against me with sword and spear and javelin, but I come against you in the name of the LORD Almighty, the God of the armies of Israel, whom you have defied. (NIV)

Then David said to the Philistine, “You come to me with a sword, with a spear, and with a javelin. But I come to you in the name of the Lord of hosts, the God of the armies of Israel, whom you have defied. (NKJV)

Then David said to the Philistine, "You come to me with a sword, a spear, and a javelin, but I come to you in the name of the LORD of hosts, the God of the armies of Israel, whom you have taunted. (NASB)

            ดาวิดเอ่ยนามพระเจ้าแบบเต็มยศ ตั้งใจประกาศเช่นนั้นต่อหน้าศัตรู

               6.1 พระเจ้าจอมโยธา

            คำว่า Lord Almighty ใน NIV หรือ Lord of hosts (NKJV) เป็น 2 คำรวมกัน

            รากศัพท์คำว่า hosts หมายถึง คนเป็นกลุ่ม มักใช้กับกองทหาร กองทัพ คำว่า Lord Almighty หรือ Lord of hosts แปลตรงตัวว่าพระเจ้าของกองทัพ

            เมื่อใช้คำนี้เป็นชื่อ พระคัมภีร์ไทยจึงใช้คำว่า “พระเจ้าจอมโยธา” หรือ “พระยาห์เวห์จอมทัพ” (ฉบับปี 2011)

            ต่อหน้ากองทัพข้าศึก หนุ่มดาวิดพูดอย่างเป็นทางการว่าเขามาต่อสู้ในนามเยโฮวาห์ พระเจ้าของกองทัพอิสราเอล

               6.2 นามพระเจ้า

            คำที่ดาวิดใช้คือ “the Lord Almighty, the God of the armies of Israel,”

            รากศัพท์ของ Lord ใน1ซมอ.17:45 คือ יְהוָֹה (yeh-ho-vaw') เยโฮวาห์ (ยาห์เวห์) เป็นชื่อเฉพาะ (proper name) ระบุเจาะจงว่าคือใคร

            เยโฮวาห์เป็นชื่อที่พระเจ้าตอบ เมื่อโมเสสถามพระองค์ชื่ออะไร

อพย.3:13-15

13 ฝ่ายโมเสสทูลพระเจ้าว่า "เมื่อข้าพระองค์ไปหาชนชาติอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า 'พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย ทรงสั่งข้าพเจ้ามาหาท่าน' และเขาจะถามข้าพระองค์ว่า 'พระองค์ทรงพระนามว่ากระไร' ข้าพระองค์จะตอบเขาอย่างไร"

14 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น" แล้วพระองค์ตรัสว่า "ไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า 'พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเราเป็น ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย'

15 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสอีกว่า "เจ้าจงกล่าวแก่ประชากรอิสราเอลว่าดังนี้ "พระเยโฮวาห์ {ในที่นี้เข้าใจกันว่า แปลว่า "พระองค์ทรงเป็น" หรือ "พระองค์ทรงอยู่"} พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่าน คือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาท่าน' นี่แหละเป็นนามของเราตลอดไปเป็นนิตย์ นี่แหละเป็นอนุสรณ์ของเราตลอดทุกชั่วชาตพันธุ์

            ความหมายรากศัพท์ของคำว่าเยโฮวาห์ (ยาห์เวห์) คือ ผู้ดำรงอยู่ด้วยตัวเอง หรือผู้ดำรงอยู่นิรันดร์ (self-Existent or Eternal)

            ในพระคัมภีร์ปฐมกาล ช่วงที่ยังไม่มีชื่อเฉพาะจะใช้คำอื่นๆ ที่เป็นนามทั่วไป คำไทยคือ “พระเจ้า”

            ดังนั้น ทุกครั้งที่ใช้คำว่า “พระเยโฮวาห์” คือการเอ่ยชื่อเฉพาะ เจาะจงว่าคือพระเจ้าองค์นี้

1ซมอ.17:45 แล้วดาวิดก็พูดกับคนฟีลิสเตียคนนั้นว่า "ท่านมาหาข้าพเจ้าด้วยดาบ ด้วยหอกและด้วยหอกซัด แต่ข้าพเจ้ามาหาท่านในพระนามแห่งพระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอล ผู้ซึ่งท่านได้ท้าทายนั้น

David said to the Philistine, “You come against me with sword and spear and javelin, but I come against you in the name of the LORD Almighty, the God of the armies of Israel, whom you have defied. (NIV)

            สรุป คำแปลที่ถูกต้องกว่าของคำว่า LORD ใน 1ซมอ.17:45 คือคำว่าพระเยโฮวาห์

            คำว่า “พระเจ้าจอมโยธา” ใน 1ซมอ.17:45 อาจแปลว่า พระเยโฮวาห์จอมทัพ ดังที่พระคัมภีร์ฉบับปี 2011 ใช้คำว่า พระยาห์เวห์จอมทัพ”

            6.3 จอมโยธา

            ดาวิดใช้นามพระเจ้า LORD คู่กับคำว่า Almighty (hosts) เป็น LORD Almighty หรือ Lord of hosts

            รากศัพท์คำว่า “hosts” (ยึด NKJV เป็นหลัก) ใน 1ซมอ.17:45 คือ צָבָא (อ่านว่า tsaw-baw') เป็นคำนามเพศชาย (Noun Masculine) หมายถึง กลุ่มคนจำนวนมาก (a mass of persons) มักใช้เมื่อพูดถึงกองทหาร กองทัพ

            คำว่า Lord Almighty หรือ Lord of hosts แปลตรงตัวว่า พระเยโฮวาห์ของกองทัพ

            เมื่อเป็นใช้ชื่อ พระคัมภีร์ไทยใช้คำว่า “พระเจ้าจอมโยธา” หรือ “พระยาห์เวห์จอมทัพ” (ฉบับปี 2011)

            จาก “the Lord Almighty, the God of the armies of Israel” รากศัพท์คำว่า God ในที่นี้คือ “‘elohiym” หมายถึง “พระเจ้า” ที่เป็นพหูพจน์ (gods) แต่ไม่ใช่นามเฉพาะ

            วลี “the Lord Almighty, the God of the armies of Israel” จึงเป็นการพูดแบบขยายความว่า พระเยโฮวาห์ของกองทัพ พระเจ้า (‘elohiym) ของทหารอิสราเอลทั้งปวง

            ดาวิดใช้คำว่า God (‘elohiym) เพื่อชี้ผู้มีนามว่า Lord (Yehovah) คือพระเจ้าของกองทัพอิสราเอล

            เป็นการประกาศว่า พระเยโฮวาห์คือพระเจ้าของกองทัพอิสราเอล ในบริบทกองทัพ 2 ชาติเผชิญหน้ากัน

          สรุป ต่อหน้า 2 กองทัพที่ประจันหน้ากัน หนุ่มดาวิดพูดอย่างเป็นทางการว่า เขามาต่อสู้กับศัตรูในนามของเยโฮวาห์ พระเจ้าของกองทัพอิสราเอล

            เขามาต่อสู้กับศัตรูในนามของเยโฮวาห์ (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            ในข้อ 47 ดาวิดรับรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าสงครามครั้งนี้เป็นของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องระหว่างชนชาติหรืออาณาจักร ตนเป็นทหารของกองทัพพระเจ้า

1ซมอ.17:47 และชุมนุมชนนี้ทั้งสิ้นจะทราบว่า พระเจ้ามิได้ทรงช่วยด้วยดาบหรือด้วยหอก เพราะว่าการรบครั้งนี้เป็นของพระเจ้า พระองค์จะทรงมอบท่านไว้ในมือของเราทั้งหลาย"

All those gathered here will know that it is not by sword or spear that the LORD saves; for the battle is the LORD’s, and he will give all of you into our hands.”

            การสู้ครั้งนี้เขาไปในนามพระเยโฮวาห์ พระเจ้าจอมโยธา เพื่อถวายพระสิริแด่พระองค์

            อธิบายขยายความ: ในการรบกับฟิลิสเตีย การสู้กับโกลิอัท ดาวิดพูดชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าเป็นเรื่องของพระเจ้าโดยตรง พระคัมภีร์ไม่ได้บรรยายทำไมดาวิดเข้าใจอย่างนั้น เรื่องราวสะท้อนผ่านคำพูดดาวิด ข้อสรุปคือเป็นสงครามของพระเจ้า ดาวิดเป็นทหารแห่งกองทัพของพระองค์

7. รู้ล่วงหน้าว่าจะชนะ

            แม้ยังไม่สู้ ดาวิดมั่นใจว่าจะชนะ เพราะรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าที่มีอยู่จริง สถิตกับตน

            ดาวิดเข้าใจแต่แรกว่าไม้เท้า หิน 5 ก้อนและสลิงที่ติดตัว ไม่น่าจะชนะได้ (“พระเจ้ามิได้ทรงช่วยด้วยดาบหรือด้วยหอก”) แต่ที่ไปรบเพราะ “ในวันนี้พระเจ้าจะทรงมอบท่านไว้ในมือข้าพเจ้า”

1ซมอ.17:46-47

46 ในวันนี้พระเจ้าจะทรงมอบท่านไว้ในมือข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะประหารท่านและตัดศีรษะของท่านเสีย และในวันนี้ข้าพเจ้าจะให้ศพของกองทัพฟีลิสเตียแก่นกในอากาศและแก่สัตว์ป่า เพื่อทั้งพิภพนี้จะทราบว่ามีพระเจ้าพระองค์หนึ่งในอิสราเอล

47 และชุมนุมชนนี้ทั้งสิ้นจะทราบว่า พระเจ้ามิได้ทรงช่วยด้วยดาบหรือด้วยหอก เพราะว่าการรบครั้งนี้เป็นของพระเจ้า พระองค์จะทรงมอบท่านไว้ในมือของเราทั้งหลาย"

All those gathered here will know that it is not by sword or spear that the LORD saves; for the battle is the LORD’s, and he will give all of you into our hands.”

            ถ้าพระเจ้าต้องการให้ชนะ แค่สลิงกับหินก้อนเดียวก็พอแล้ว

1ซมอ.17:50 ดังนั้นดาวิดก็ชนะคนฟีลิสเตียคนนั้นด้วยสลิงและก้อนหินก้อนหนึ่ง และคว่ำคนฟีลิสเตียคนนั้นลง และฆ่าเขาเสีย ดาวิดไม่มีดาบอยู่ในมือ

            ถ้าอ่านพระคัมภีร์ต่อ ดาวิดมักจะสอบถามพระเจ้าก่อนเสมอว่าควรทำสิ่งใด และพระองค์ให้คำตอบที่ชัดเจน ยกตัวอย่าง

2ซมอ.2:1 ครั้นเรื่องนี้สิ้นไปแล้ว ดาวิดจึงทูลถามพระเจ้าว่า "สมควรที่ข้าพระองค์จะขึ้นไปยังหัวเมืองหนึ่งหัวเมืองใดในยูดาห์หรือไม่" และพระเจ้าตรัสตอบท่านว่า "จงขึ้นไปเถิด" ดาวิดทูลว่า "ควรที่ข้าพระองค์จะขึ้นไปที่ใด" พระองค์ตรัสว่า "เมืองเฮโบรน"

2ซมอ.5:19-20

19 และดาวิดทรงทูลถามพระเจ้าว่า "ควรที่ข้าพระองค์จะยกขึ้นไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียหรือ พระองค์จะทรงมอบเขาไว้ในมือข้าพระองค์หรือไม่" และพระเจ้าทรงตอบดาวิดว่า "จงขึ้นไปเถิด เพราะเราจะมอบคนฟีลิสเตียไว้ในมือของเจ้าเป็นแน่"

20 ดาวิดเสด็จมายังบาอัลเปราซิม และดาวิดทรงชนะคนฟีลิสเตียที่นั่น พระองค์ตรัสว่า "พระเจ้าทรงทะลวงข้าศึกของข้าพเจ้าดังกระแสน้ำที่พุ่งใส่" เพราะฉะนั้นจึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่า บาอัลเปราซิม

2ซมอ.5:22-24

22 คนฟีลิสเตียยกขึ้นมาอีกและขยายแนวอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม

23 และเมื่อดาวิดทูลถามพระเจ้าพระองค์ตรัสว่า "เจ้าอย่าขึ้น จงอ้อมไปข้างหลังของเขา และโจมตีเขาตรงข้ามกับหมู่ต้นโพธิ์

24 และเมื่อเจ้าได้ยินเสียงกระบวนทัพเดินอยู่ที่ยอดหมู่ต้นโพธิ์เจ้าจงรีบรุกไป เพราะพระเจ้าเสด็จไปข้างหน้าเพื่อจะโจมตีกองทัพของคนฟีลิสเตีย"

            พระเจ้าของดาวิดไม่ใช่แค่พระเจ้าในพระคัมภีร์ แต่เป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และอยู่กับท่าน

            คำถาม: ลองตรวจสอบตัวท่านเอง วันนี้พระเจ้าสถิตอยู่กับท่านหรือไม่ ท่านมั่นใจหรือไม่ เพราะเหตุใด

 

สรุป ชนะเพื่อถวายพระสิริแด่พระเจ้า :

1ซมอ.17:46 ในวันนี้พระเจ้าจะทรงมอบท่านไว้ในมือข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะประหารท่านและตัดศีรษะของท่านเสีย และในวันนี้ข้าพเจ้าจะให้ศพของกองทัพฟีลิสเตียแก่นกในอากาศและแก่สัตว์ป่า เพื่อทั้งพิภพนี้จะทราบว่ามีพระเจ้าพระองค์หนึ่งในอิสราเอล

This day the LORD will deliver you into my hands, and I’ll strike you down and cut off your head. This very day I will give the carcasses of the Philistine army to the birds and the wild animals, and the whole world will know that there is a God in Israel.

            ดาวิดไม่คิดถึงเกียรติหรือผลประโยชน์ที่ตนจะได้มากกว่าพระเจ้า แม้มีสิทธิ (1ซมอ.17:25) การไปทำศึกคือการประกาศพระบารมี “เพื่อทั้งพิภพนี้จะทราบว่ามีพระเจ้าพระองค์หนึ่งในอิสราเอล”

            พูดอีกอย่างคือ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อให้โลกได้รู้ว่าพระเยโฮวาห์มีจริง พระองค์ผู้ทรงพระชนม์ประทับอยู่กับอิสราเอล อาณาจักรของพระเจ้า คนของพระองค์

            แท้จริงแล้ว พระสิริอยู่คู่พระองค์เสมอ ดำรงอยู่เป็นนิจ แต่ความบาป ลุ่มหลงในบาปปิดกั้น เป็นเครื่องบ่งบอกว่าอยู่ไกลจากพระองค์ ส่วนคนรู้จักพระเจ้าจะเริ่มสัมผัสพระสิริ ยิ่งใกล้ยิ่งสัมผัส เพื่อพระสิริจะสำแดงผ่านคนของพระองค์ เขาเป็นดั่งแสงสว่างของโลก ผู้ที่พระองค์สร้างและส่งออกไป นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า

คำสอนการนมัสการจากเรื่องดาวิดสังหารโกลิอัท :

            การถวายพระสิริหรือการถวายเกียรติพระเจ้าเป็นเป้าหมายพื้นฐานของการสรรเสริญนมัสการ

            การนมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ หมายถึง การนมัสการของผู้เชื่อคนนั้นที่รู้จักผูกพัน มีประสบการณ์ในพระองค์ ไม่ใช่แค่พระเจ้าในพระคัมภีร์ ในบทเรียนคำสอน หรือที่คนอื่นๆ รู้จัก

            อธิบายขยายความ: การร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ถ้าร้องโดยขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า แม้จะได้ประโยชน์จากการนมัสการ แต่ได้บางเรื่องบางระดับเท่านั้น

            ผู้ที่บอกว่าเชื่อพระเจ้า ประกาศตัวเป็นคริสเตียน เช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าเขามีประสบการณ์กับพระเจ้าเสมอไป หรือมีประสบการณ์ลึกซึ้งมากพอ คนเหล่านี้อาจอ่านพระคัมภีร์ ประกาศพระกิตติคุณ อบรมสั่งสอน รับใช้พระเจ้าในด้านต่างๆ ทั้งหมดเป็นเรื่องดี แต่เป็นการปฏิบัติตามคำสอนบางส่วน ยังไม่ถึงขั้นดำเนินชีวิตกับพระเจ้าอย่างสัมพันธ์ใกล้ชิด

            ในการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง ผู้นมัสการต้องมีความสัมพันธ์ มีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้าสม่ำเสมอ และพัฒนาลึกซึ้งมากขึ้นตามลำดับ

            ตัวอย่าง ดาวิดสรรเสริญนมัสการ (สดด.9:1-4) ด้วย “คำพยาน” ของเขาเอง (ไม่ใช่คำสอนในพระคัมภีร์)

สดด.9:1-4

1 ข้าพระองค์จะขอบพระคุณพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะบอกถึงการอัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์

2 ข้าพระองค์จะยินดีและปลาบปลื้มใจในพระองค์ ข้าแต่องค์ผู้สูงสุด ข้าพระองค์จะร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์

3 เมื่อพวกศัตรูของข้าพระองค์หันกลับ เขาทั้งหลายก็สะดุดและพินาศไปต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์

4 เพราะพระองค์ทรงให้ความยุติธรรมและความเที่ยงตรงแก่ข้าพระองค์ พระองค์ประทับบนพระที่นั่งและประทานการพิพากษาอันชอบธรรม

            การนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง เป็นการเชื่อมต่อฝ่ายวิญญาณ หรืออธิบายอีกอย่างว่า คือการหลอมรวมจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน (จิตวิญญาณผู้เชื่อกลับไปหาพระผู้ประทานจิตวิญญาณ)

            ความสัมพันธ์มีหลายระดับ เช่น พระเจ้าตอบคำอธิษฐานอย่างเจาะจง ประสบการณ์เข้าถึง รู้จัก ได้ยินพระสุรเสียง สัมผัสได้ สำแดงผลพระวิญญาณ ฯลฯ

            ความสัมพันธ์นี้เป็นได้ทั้งระดับส่วนตัวกับส่วนรวม

            1) ระดับส่วนตัว

            คนของพระเจ้าจะมีประสบการณ์ในพระองค์สม่ำเสมอ บางครั้งอัศจรรย์มาก เช่น พระเจ้าสำแดงกับเซาโล (กจ.9:1-20) พระเจ้าเลี้ยงดูเอลียาห์ในช่วงภัยแล้ง 3 ปี

1พกษ.17:6-7

6 และกาก็นำขนมปังและเนื้อมาให้ท่านในเวลาเช้า และนำขนมปังและเนื้อมาในเวลาเย็นและท่านก็ดื่มน้ำจากลำธาร

7 และต่อมาภายหลังลำธารก็แห้ง เพราะไม่มีฝนในแผ่นดิน

            2) ระดับส่วนรวม

            มักผ่านเหตุการณ์ของคนจำนวนมาก เช่น โมเสสพาอิสราเอลข้ามทะเลแดง การรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของสาวกที่ห้องชั้นบนในพระธรรมกิจการ

            บางครั้งเป็นประสบการณ์ส่วนรวมกับส่วนตัวพร้อมกัน เช่น เหตุการณ์อิสราเอลข้ามทะเลแดง ถือเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของโมเสสด้วย อ.เปาโลนมัสการในคุก (กจ.16:24-26) 

 

            การสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าทำได้หลายวิธี ไม่เพียงแต่การสรรเสริญนมัสการเท่านั้น การอ่านพระวจนะ อธิษฐาน รับใช้อย่างถูกต้อง ล้วนนำสู่ความสัมพันธ์กับพระองค์ได้ทั้งสิ้น

            ตัวอย่าง การรับใช้ของเปโตร ทำให้เห็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ เพิ่มพูนความเชื่อ ทรงทำการอัศจรรย์ผ่านท่าน (เปโตร) พระเจ้ามีจริง

กจ.3:6-9

6 เปโตรกล่าวว่า "เงินและทองเราไม่มี แต่ที่เรามีอยู่เราจะให้ท่าน คือในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด"

7 แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาพยุงขึ้น และในทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของเขาก็มีกำลัง

8 เขาจึงกระโดดขึ้นยืนและเดินเข้าไปในพระวิหาร ด้วยกันกับเปโตรและยอห์น เดินเต้นโลดสรรเสริญพระเจ้าไป

9 คนทั้งปวงเห็นเขาเดินและสรรเสริญพระเจ้า

            ผู้ที่สัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า คำขอบพระคุณ คำสรรเสริญนมัสการจะหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาจากปากของเขา จากกริยาท่าทาง ไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าจะขอบคุณสรรเสริญพระเจ้าเรื่องไหนอย่างไร

            ช่วงสรรเสริญนมัสการ (รวมทั้งการร้องเพลงจากใจ) คือช่วงที่แต่ละคนจะร้องหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพระเจ้าของเขา ร้องบนฐานประสบการณ์ในพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ดังเช่นเพลงหลายบทในพระธรรมสดุดีคือชีวิตจริงของดาวิด (กับผู้แต่งอีกหลายคน) ออกมาจากจิตวิญญาณที่สัมพันธ์กับพระเจ้าที่เกิดขึ้นจริง รับรู้หรือสัมผัสได้

            การขอบพระคุณ สรรเสริญนมัสการ จะออกมาจากชีวิตของเขาเรื่อยๆ เหมือนน้ำที่ไหลพุ่งออกมาจากน้ำพุ ไม่ว่าเขาจะเอ่ยคำว่าพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

ยน.4:14 แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์"

            ผลสุดท้ายของพระคุณความรักคือชีวิตนิรันดร์ สรรเสริญนมัสการนิรันดร์

            พระองค์อยู่ในชีวิตของเขา

            จิตวิญญาณที่ผูกพันติดสนิท นำมาซึ่งการสรรเสริญนมัสการ พูดอีกอย่างคือ จิตวิญญาณที่ใกล้ชิดพระเจ้าสำแดงออกเป็นการสรรเสริญนมัสการ

            การสรรเสริญนมัสการคือการปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้า (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

1คร.1:9 พระเจ้าเป็นผู้ทรงความสัตย์ พระองค์ได้ทรงเรียกท่านให้สัมพันธ์สนิทกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

God is faithful, who has called you into fellowship with his Son, Jesus Christ our Lord.

            ขณะร้องสรรเสริญคือกำลังปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้า นี่แหละเรียกว่านมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง เป็นรูปแบบหนึ่งที่แสดงออกถึงการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง

            ใครมีหูจงฟังเถิด

-------------------

กุญแจแห่งการสรรเสริญนมัสการ: ถวายพระสิริแด่พระเจ้า
วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ (22): ถวายพระสิริแด่พระเจ้า

            คนที่ขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า คนที่ไม่มั่นใจหรือยังไม่ยอมรับว่าพระเจ้าดี (แสนดี) การร้องสรรเสริญอาจเป็นเพียงร้องอีกเพลง ส่วนผู้รู้จักพระเจ้า สัมพันธ์ใกล้ชิดพระองค์ เสียงหรือการสรรเสริญนมัสการของเขาบรรยาย “ความสัมพันธ์” ระหว่างเขากับ “พระเจ้าของเขา” (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            เขากำลัง “นมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” พระองค์ที่เขารู้จัก

            เป็นอีกรูปแบบหรือลักษณะหนึ่งของการนมัสการด้วยจิตวิญญาณความจริง แบบที่พระเจ้าแสวงหา

ยน.4:23-24

23 แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์

Yet a time is coming and has now come when the true worshipers will worship the Father in the Spirit and in truth, for they are the kind of worshipers the Father seeks.

24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”

God is spirit, and his worshipers must worship in the Spirit and in truth.”

            “ผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้อง” NIV ใช้คำว่า “true worshipers

            วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าอย่างง่ายๆ ทำได้ดังนี้

            1. อย่าคิดว่ารับเชื่อพระเจ้าก็พอแล้ว จบแล้ว

            2. อย่าคิดว่าตัวเองดีแล้ว สบายแล้ว

            3. จงถวายพระสิริแด่พระเจ้า

            เพียงเริ่มต้นวันนี้ ตั้งใจใช้ชีวิตถวายเกียรติพระเจ้า ดำเนินตามนิมิตการทรงเรียก พระองค์จะเป็นผู้กระทำให้สำเร็จ ก่อเกิดพัฒนาความสัมพันธ์กับพระองค์ เหมือนเมล็ดที่ถูกหว่านในดินดี เติบโตเกิดดอกออกผล จนเป็นต้นไม้ใหญ่ของพระเจ้า

            การสรรเสริญนมัสการที่พระเจ้าพอพระทัยไม่ใช่ของยากเลย ถ้าออกมาจากชีวิตฝ่ายวิญญาณที่สัมพันธ์สนิทกับพระองค์

            วิธีง่ายๆ เพื่อสัมผัสพระเจ้าง่ายๆ ทำได้เช่นนี้เอง

            โจทย์: จงอธิบายขยายความ สดด.27:4-6 (ดาวิด ผู้แต่ง)

สดด.27:4-6

4 ข้าพเจ้าทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะเสาะแสวงหาเสมอ คือที่ข้าพเจ้าจะได้อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ตลอดวันเวลาชั่วชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อจะดูความงามของพระเจ้า และเพื่อจะพินิจพิจารณาอยู่ในพระวิหารของพระองค์

5 เพราะพระองค์จะทรงซ่อนข้าพเจ้าในที่กำบังของพระองค์ ในยามยากลำบาก พระองค์จะปิดข้าพเจ้าไว้ภายใต้ร่มพลับพลาของพระองค์ พระองค์จะทรงตั้งข้าพเจ้าไว้สูงบนศิลา

6 และบัดนี้ศีรษะของข้าพเจ้าจะเชิดขึ้น เหนือศัตรูของข้าพเจ้าที่อยู่รอบข้าง และข้าพเจ้าจะถวายเครื่องสัตวบูชาในพลับพลาของพระองค์ด้วยการโห่ร้อง ข้าพเจ้าจะร้องเพลงและถวายสดุดีแด่พระเจ้า

--------------------


05/08/2568

บทเรียน 22 พระเจ้าผู้กำหนดวิถีชีวิต

ในยามเผชิญปัญหาความทุกข์ยาก พระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐาน คำสอนที่พระเจ้ามอบให้คืออย่าสงสัยพระองค์ ให้เดินหน้าดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ชอบธรรมต่อไป ตามนิมิตการทรงเรียก ไม่ว่าเส้นทางนั้นจะเผชิญสิ่งใด

คำถามก่อนเรียน:

            1) ตามความเข้าใจของท่าน คำว่า “พระเจ้า” หมายถึงอะไร อย่างไร

            2) เล่าตัวอย่างชีวิตคนในพระคัมภีร์ ทั้งช่วงชื่นชมยินดี มีสันติสุข กับช่วงยากลำบาก

            อ่านพระธรรมโยบ บทที่ 39

 พระเจ้าผู้กำหนดวิถีชีวิต:

            โยบ.39 เป็นคำพูดของพระเจ้าต่อเนื่องจากโยบ.38 สอนให้เข้าใจว่าพระองค์เป็นผู้สร้างและควบคุมสรรพสิ่ง รวมทั้งวิถีชีวิตของแต่ละคน

            บ่อยครั้งที่มนุษย์คิดว่าตนมีความรู้ความเข้าใจ แต่หากพิจารณาลงรายละเอียด มีมากมายที่มนุษย์ไม่เข้าใจ พระธรรมโยบบทนี้ใช้สัตว์อธิบายให้เห็นความจำกัดของมนุษย์ ตรงข้ามกับพระเจ้าผู้ทรงรอบรู้เข้าใจทั้งหมด เพราะเป็นผู้สร้างและกำกับควบคุมสรรพสิ่ง

1. พระเจ้ากำหนดชีวิตตั้งแต่เกิด

โยบ.39:1-4

1 "เจ้ารู้ไหมว่าเลียงผาตกลูกเมื่อไร เจ้าเคยเฝ้าดูกวางตัวเมียตกลูกหรือ

2 เจ้านับเดือนที่มันท้องครบได้หรือ และเจ้ารู้เวลาเมื่อมันตกลูกไหม

3 คือเมื่อมันฟุบลงตกลูกของมัน แล้วก็ตกลูกอ่อนของมันออกมา

4 ลูกอ่อนของมันแข็งแรงขึ้น มันเติบใหญ่ในกลางแจ้ง มันออกไป แล้วไม่กลับมาหาอีก

            พระเจ้ายกตัวอย่างการเกิดลูกเลียงผา จนมันเติบโตและดูแลตัวเองได้

            สิ่งมีชีวิตบางชนิดเพิ่มจำนวนด้วยการแบ่งเซลล์จาก 1 เป็น 2 แต่ละเซลล์อยู่ได้ด้วยตัวเองทันทีเมื่อแยกตัวออก ส่วนสัตว์อย่างกวาง เลียงผาและมนุษย์ เมื่อคลอดแล้วยังต้องได้รับการดูแลจากพ่อแม่ สัตว์แต่ละชนิดมีเวลาตั้งครรภ์ต่างกัน ถ้านับเวลาอย่างละเอียดแต่ละครรภ์ใช้เวลาไม่เท่ากันเสียทีเดียว เหล่านี้สะท้อนการสร้างที่ซับซ้อน ด้วยสติปัญญาอันซับซ้อนละเอียดอ่อน

            ใครตอบได้ว่าสุนัขหรือแมวจะคลอดลูกวันไหน กี่โมงกี่นาที (โยบ.39:2) ลูกที่ออกมาหน้าตาอย่างไร เหมือนหรือต่างจากพ่อแม่ตรงไหน มีเส้นขนกี่เส้น แต่ละเส้นมีกี่เซลล์

            วิถีสิ่งมีชีวิตแรกเกิดแต่ละชนิดแตกต่างกันไป เช่น ลูกกวางเมื่อออกจากครรภ์มารดาสามารถลุกขึ้นเดินได้ในเวลาไม่นาน แต่เด็กทารกทำอย่างนั้นไม่ได้

            บางเรื่องคล้ายกัน เช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะมีช่วงเวลาให้นมบุตร แต่รายละเอียดแตกต่างกัน เช่น ให้นมบุตรนานแค่ไหน ส่วนประกอบของน้ำนม การสร้างโปรตีน ไขมัน น้ำ ภูมิต้านทาน แล้วรวมตัวเป็นน้ำนม แม้กระทั่งคุณภาพน้ำนมของมารดาแต่ละคนยังไม่เท่ากันเสียทีเดียว

            เป็นข้อเตือนใจว่าแม้มนุษย์พยายามศึกษาและมีความรู้มากขึ้น แต่ไม่สามารถเข้าใจทั้งหมด มีแต่พระผู้สร้างเท่านั้นที่กำหนดการสร้างสัตว์แต่ละตัว ให้มีรูปร่างหน้าตาตามกำหนด ทรงกำหนดขนาดอวัยวะ จำนวนเซลล์ และกำหนดวิถีชีวิตของมัน

ปฐก.1:20-21

20 พระเจ้าตรัสว่า "น้ำจงอุดมด้วยฝูงสัตว์ที่มีชีวิต และนกจงบินไปมาข้ามฟ้าเหนือแผ่นดิน"

21 พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ และสัตว์ที่มีชีวิตนานาชนิด ซึ่งแหวกว่ายอยู่ในน้ำ เป็นฝูงๆตามชนิดของมัน และนกต่างๆตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี

มธ.10:30 ถึงผมของท่านทั้งหลาย ก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น

2. พระเจ้าจัดเตรียมที่อยู่อาศัย

โยบ.39:5-8

5 "ใครปล่อยให้ลาป่าวิ่งกระเจิงไป ใครแก้เชือกผูกลาเปลี่ยว

6 ซึ่งเราได้ให้ถิ่นแห้งแล้งเป็นบ้านของมัน และให้ดินเค็มเป็นที่อาศัยของมัน

7 มันเย้ยเสียงอึกทึกของเมือง มันไม่ได้ยินเสียงของผู้ขับขี่ตะโกนบอก

8 มันตระเวนภูเขาอันเป็นลานหญ้าของมัน และมันแสวงหญ้าเขียวทุกอย่าง

            ในตัวอย่าง (โยบ.39:5-8) ลาป่ามีที่อยู่ มีอาหาร ลาป่าใช้ชีวิตที่เหมาะสมกับมัน

            สิ่งมีชีวิตกำเนิดและดำรงอยู่ได้เพราะเกิดในที่เหมาะสม ถ้าเอาสัตว์แถบหนาวไปปล่อยในทะเลทรายคงจะตายในไม่ช้า หรือเอาปลาน้ำจืดไปปล่อยในทะเล พระเจ้านอกจากสร้างสรรพสัตว์ ยังสร้างและกำหนดที่อยู่อาศัยอย่างเหมาะสม ทั้งภูมิประเทศ สภาพอากาศ มีแหล่งน้ำอาหาร

มธ.6:26 จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ

3. พระเจ้าสร้างสัญชาตญาณ

โยบ.39:9-12

9 "วัวกระทิงยอมรับใช้เจ้าหรือ มันจะนอนค้างคืนอยู่ที่รางหญ้าของเจ้าหรือ

Will the wild ox consent to serve you? Will it stay by your manger at night?

10 เจ้าเอาเชือกผูกวัวกระทิงให้ลากไถได้หรือ หรือมันจะยอมคราดที่ลุ่มตามเจ้าไปหรือ

11 เจ้าจะพึ่งมัน เพราะแรงมันมากได้หรือ หรือจะมอบงานของเจ้าไว้กับมัน

12 เจ้าไว้ใจว่ามันจะกลับมา และนำข้าวของเจ้ามาที่ลานนวดข้าวหรือ

            สัตว์ไม่ฉลาดเหมือนมนุษย์ แต่มีสัญชาตญาณ โยบ.39:9-12 ใช้ “วัวกระทิง” (wild ox) อธิบายสัญชาตญาณที่พยายามอยู่ด้วยตัวเอง ไม่ยอมอยู่ใต้บังคับของคนง่ายๆ (ต่างจากวัวควายที่มนุษย์นำมาเลี้ยงจนเชื่อง)

            สัญชาตญาณกำหนดวิถีชีวิต บางชนิดต้องล่าสัตว์อื่นเป็นอาหาร รู้วิธีการล่า บางชนิดอยู่ด้วยการกินพืชอย่างเดียว มีสัญชาตญาณไวต่ออันตราย สามารถหลบหนีพวกนักล่า

            สัญชาตญาณเป็นอีกคุณสมบัติทำให้สัตว์แต่ละชนิดแตกต่าง ทรงกำหนดวิถีชีวิตของสัตว์ให้มีสัญชาติญาณตามชนิดของมัน

            อธิบายขยายความ: มนุษย์ถูกสร้างตามพระฉาย (ลักษณะ) พระองค์ จึงมีสติปัญญาเหนือสิ่งมีชีวิตอื่น แต่ความบาปทำให้ความคิดมนุษย์ผิดเพี้ยน วิถีคนบาปผิดจากทางของพระองค์ เช่น พระเจ้าเปี่ยมด้วยรัก ส่วนความรักของคนบาปลดน้อยลง (เยือกเย็นลง) และเป็นความรักที่ผิดจากมาตรฐานพระองค์

            ความบาปทำให้วิถีคนบาปผิดเพี้ยน แต่ยังมีสัญชาตญาณแห่งรัก มีจิตสำนึกรัก ต้องการความรัก แม้เห็นแก่ตัว ถือตัวเองเป็นใหญ่ ลึกๆ แล้วคนบาปต้องการความรัก ในใจร้องหาความรัก แต่รักแท้และยั่งยืนอยู่ในพระเจ้าเท่านั้น

            จงแสวงหาพระเจ้า ยำเกรงพระองค์ ดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ชอบธรรม แล้วท่านจะได้รับการเติมเต็มด้วยความรักที่ยั่งยืนนิรันดร์

สดด.103:11,17-18

11 เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเท่าใด ความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อบรรดาคนที่เกรงกลัวพระองค์ก็ใหญ่ยิ่งเท่านั้น

17 แต่ความรักมั่นคงของพระเจ้านั้นดำรงอยู่ ตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล ต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์ และความชอบธรรมของพระองค์ต่อหลานเหลน

18 ต่อบรรดาผู้ที่รักษาพันธสัญญาของพระองค์ และระลึกอยู่ที่จะกระทำตามข้อบังคับของพระองค์

            ต้องเริ่มต้นด้วยการยำเกรงพระองค์ คือยอมรับว่าทรงเป็นพระเจ้า ทรงอยู่เหนือเรา เชื่อฟังทำตามคำสอน เป็นหนทางสู่การสัมผัสความรักที่ยั่งยืนนิรันดร์

4. พระเจ้าสร้างให้มีร่างกายแตกต่าง

โยบ.39:13-18

13 "ปีกของนกกระจอกเทศกระพือไปด้วยความภาคภูมิแต่ปีกและขนของมันเหมือนของนกกระสาดำหรือ

14 เพราะมันละไข่ของมันไว้กับดิน ให้มันอบอุ่นอยู่ในดิน

15 ลืมไปว่าตีนหนึ่งอาจจะเหยียบมันแหลก และสัตว์ป่าทุ่งจะย่ำมัน

16 มันรุนแรงต่อลูกอ่อนของมันอย่างกับว่าไม่ใช่ลูกของมัน ถึงมันจะเหนื่อยเปล่า มันก็ไม่ไยดี

17 เพราะพระเจ้าทรงกระทำให้มันลืมสติปัญญา และมิได้ทรงให้มันมีความเข้าใจ

18 เมื่อมันเร่งตัวเองให้หนี มันหัวเราะเยาะม้าและคนขี่

            ในตอนนี้ใช้นกกระจอกเทศเป็นตัวอย่าง (โยบ.39:13-18) ทรงสร้างร่างกายให้ต่างจากสัตว์อื่น มีลักษณะเฉพาะ เช่น มันมีปีกแต่บินสูงแบบนกทั่วไปไม่ได้ มันวิ่งเร็วมาก (นกทั่วไปหนีภัยด้วยการบิน ส่วนนกกระจอกเทศหนีด้วยการวิ่ง) การวางไข่ก็ต่างออกไป มีวิธีเลี้ยงลูกของตัวเอง ที่เป็นเช่นนี้เพราะทรงตั้งใจสร้างให้เป็นเช่นนั้น (โยบ.39:17)

            ทรงสร้างนกกระจอกเทศอย่างจำเพาะเจาะจง มีร่างกายที่ไม่เหมือนนกอื่น รายละเอียดวิถีชีวิตต่างออกไป (แม้มีปีก ยังเป็นนก แต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว)

            อธิบายขยายความ: ถ้าเทียบกับมนุษย์ พระเจ้าสร้างมนุษย์แต่ละคนให้มีร่างกายแตกต่าง ทั้งการแบ่งอย่างหยาบกับการแบ่งอย่างละเอียด

            พิจารณาการแบ่งอย่างหยาบ เป็นพวกผิวเหลือง ผิวขาว ผิวดำ บางกลุ่มผมสีทอง สีดำ ตาสีฟ้า ตาสีน้ำตาล

            ถ้าแบ่งอย่างละเอียดจะยิ่งพบความแตกต่าง ตั้งแต่เป็นทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวไม่เท่ากัน รูปร่างหน้าตาต่างกัน สามารถแยกมนุษย์แต่ละคนด้วยลายนิ้วมือกับ DNA (ลายนิ้วมือแต่ละคนไม่เหมือนกัน แม้ฝาแฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกัน ลายนิ้วมือของแต่ละคนจะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดชีวิต)

            ลายนิ้วมือกับ DNA เป็นอีกหลักฐานบ่งชี้ว่าพระเจ้าสร้างแต่ละคนอย่างจำเพาะเจาะจง ไม่มีใครเหมือนใคร ทรงรู้จักมนุษย์แต่ละคน

            ตัวอย่าง พระเยซูรู้จักหญิงชาวสะมาเรียอย่างดี

ยน.4:16-19

16 พระเยซูตรัสกับนางว่า "ไปเรียกผัวของเจ้ามานี่เถิด"

17 นางทูลพระองค์ว่า "ดิฉันไม่มีผัวค่ะ" พระเยซูตรัสกับนางว่า "เจ้าพูดถูกแล้วว่าผัวไม่มี

18 เพราะเจ้าได้มีผัวห้าคนแล้ว และคนที่เจ้ามีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ผัวของเจ้า เรื่องนี้เจ้าพูดจริง"

19 นางทูลพระองค์ว่า "ท่านเจ้าคะ ดิฉันเห็นจริงแล้วว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ

            ยน.4:16-19 เป็นตัวอย่างพระเจ้ารู้จักแต่ละคนอย่างดี รู้แม้กระทั่งหญิงสะมาเรียคนนี้มีผัวห้าคนแล้ว การที่นางพูดว่า “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ” คือยอมรับว่าพระเยซูเป็นผู้หยั่งรู้

            วันนี้ไม่ว่าท่านจะผิวเหลืองหรือผิวขาว ผมดำหรือสีอื่น หน้าตาเป็นอย่างไร พระเจ้าทรงสร้างและกำหนดให้เป็นเช่นนั้น ท่านไม่เหมือนใคร ถูกสร้างอย่างเฉพาะเจาะจงเพียงหนึ่งเดียว จะไม่มีใครเหมือนท่านอีกแล้ว มีโมเสสคนเดียว ดาวิดคนเดียว ไม่มีโมเสส2 โมเสส3

5. พระเจ้าสร้างให้มีกำลังไม่เท่ากัน

            สัตว์แต่ละชนิดมีกำลังไม่เท่ากัน บางชนิดมีกำลังมาก บางชนิดสามารถใช้แรงต่อเนื่องยาวนาน บางชนิดในช่วงสั้นๆ มีกำลังมากเป็นพิเศษ

            ในตอนนี้พระเจ้ายกตัวอย่างม้า

โยบ.39:19-25

19 "เจ้าให้พลังแก่ม้าหรือ เจ้าเอาขนห่มคอของมันหรือ

20 เจ้าทำให้มันกระโดดอย่างตั๊กแตนหรือ เสียงหายใจอันดังของมันน่าสะพึงกลัว

21 มันตะกุยไปในหุบเขา และเต้นโลดด้วยกำลังของมัน มันออกไปปะทะคนถืออาวุธ

22 มันหัวเราะเยาะความกลัว และไม่ถอยหนี มันไม่หันกลับหนีดาบ

23 แล่งธนูกวัดแกว่งกระทบมัน หอกใหญ่ที่แวบวาบและหอกซัดกระแทกมัน

24 มันโกยดินด้วยความดุร้ายและเดือดดาล พอได้ยินเสียงเขาสัตว์ มันยืนนิ่งอยู่ต่อไปไม่ได้

25 เมื่อเป่าเขาสัตว์ขึ้น มันร้อง "ฮีแฮ่" มันได้กลิ่นสงครามแต่ไกล ทั้งเสียงตะโกนของผู้บังคับบัญชาและเสียงโห่ร้อง

            กำลังของสัตว์แต่ละชนิดส่งผลต่อวิถีชีวิต ถ้าพูดในแง่ใช้ประโยชน์ ม้าเหมาะกับศึกสงครามมากกว่าวัวควาย

            แม้เป็นมนุษย์เหมือนกัน ชายกับหญิงที่พระเจ้าสร้างมีกำลังกายต่างกัน วัยหนุ่มสาวมีกำลังกายมากและคล่องแคล่ว กำลังของมนุษย์เสื่อมถอยเมื่อเข้าสู่วัยชรา กำลังกายจึงกำหนดการใช้ชีวิต

            อธิบายขยายความ: ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ เทคโนโลยี ช่วยขยายและยืดกำลังกาย ในอนาคตอาจมีแขนขาเทียม จักรกลที่ห่อหุ้มกายทำให้มีกำลังมาก

            ปัจจุบันสามารถเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ เช่น ไตเสื่อมเปลี่ยนไต ใช้ลิ้นหัวใจเทียม ฯลฯ เทคโนโลยีช่วยการมองเห็น ระบบคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับสมอง เพียงแค่คิดเท่านั้นมนุษย์สามารถสั่งคอมพิวเตอร์ให้ทำงานตามความคิดของเรา

            มนุษย์ในอนาคตอาจมีชีวิตยืนยาวกว่าปัจจุบัน

            ทั้งหมดสะท้อนสติปัญญาที่พระเจ้าให้ กำหนดให้ครอบครองสรรพสิ่ง พยายามเอาชนะอุปสรรค เอาชนะปัญหาสุขภาพ มนุษย์คิดค้นยารักษาโรค หุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ ทั้งหมดยังอยู่ใต้แผนการพระเจ้าอยู่ดี

6. พระเจ้ากำหนดการสร้างครอบครัว

โยบ.39:26-30

26 "เหยี่ยวนกเขาโผไปมาด้วยสติปัญญาของเจ้าหรือและกางปีกของมันตรงไปทางทิศใต้

27 นกอินทรีทะยานขึ้นตามบัญชาของเจ้าหรือ ทั้งทำรังของมันบนที่สูง

28 มันอยู่ที่หน้าผาและทำรังของมัน บนชะโงกผาและบนที่เข้มแข็ง

29 มันส่ายหาเหยื่อจากที่นั่น ตาของมันเห็นเหยื่อได้แต่ไกล

30 ลูกอ่อนของมันดูดเลือด และมีอะไรถูกฆ่าตายที่ไหนมันอยู่ที่นั่นแหละ"

            โยบ.39:26-30 พูดถึงการสร้างครอบครัวหรือการสืบสายพันธุ์ ตั้งแต่เลือกที่อยู่อาศัย อาหารการกินของลูก โดยยกตัวอย่างนกเหยี่ยวกับนกอินทรี ต่างมีแนวทางของมัน ทรงให้มีร่างกายที่เอื้อการสร้างครอบครัวแบบนั้น หรือร่างกายที่พระเจ้าให้นำสู่การสร้างครอบครัวที่สอดคล้องกับการทรงสร้าง (ทั้งตัวมันกับสภาพแวดล้อม)

7. พระเจ้าผู้กำหนดวิถีชีวิต

            โยบ.39 พระเจ้าบรรยายตั้งแต่การเกิด ที่อยู่อาศัย สัญชาตญาณหรือปัญญา มีร่างกายกับกำลังตามแบบเฉพาะ จนถึงการสร้างครอบครัว ทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่าพระเจ้ากำหนดวิถีชีวิตของพวกเขา “แต่ละตัว” อย่างละเอียด (ลองนึกถึงนกที่กินหนอน แม้กินหนอนชนิดเดิมแต่เป็นคนละตัว บางปีมีหนอนมาก บางปีมีน้อย)

ปฐก.1:20-21, 24-25

20 พระเจ้าตรัสว่า "น้ำจงอุดมด้วยฝูงสัตว์ที่มีชีวิต และนกจงบินไปมาข้ามฟ้าเหนือแผ่นดิน"

21 พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ และสัตว์ที่มีชีวิตนานาชนิด ซึ่งแหวกว่ายอยู่ในน้ำ เป็นฝูงๆตามชนิดของมัน และนกต่างๆตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี

24 พระเจ้าตรัสว่า "แผ่นดินจงเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน คือสัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ป่าตามชนิดของมัน" ก็เป็นดังนั้น

25 พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ป่าตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินตามชนิดของมัน แล้วพระเจ้าทรงเห็นว่าดี

          อธิบายขยายความ: แต่ดั้งเดิมมนุษย์มีวิถีชีวิตเฉพาะ ทั้งยังสามารถแยกย่อยความจำเพาะ เช่น คนที่อาศัยในเขตหนาว เขตร้อน แถบทุ่งหญ้าอบอุ่น หรืออยู่ตามชายฝั่ง ต่างมีวิถีชีวิตของตน

            สติปัญญาส่งเสริมการเรียนรู้ ปรับตัว สร้างสิ่งที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต สังคมมนุษย์ซับซ้อนมากขึ้น เกิดโครงสร้างหมู่บ้าน เมือง อาณาจักร สังคมที่ซับซ้อนก้าวหน้าทำให้วิถีชีวิตแตกต่าง เกิดหลากหลายอาชีพ เกิดคนรวยคนจน ฐานะสังคมสูงต่ำ บางคนเป็นเจ้าเมือง ดังนั้น แม้เป็นมนุษย์เหมือนกันแต่ฐานะเศรษฐกิจสังคมต่างกัน บางคนภูมิใจว่าตัวเองมีความสุข โดดเด่นเหนือใคร ดีแล้ว เลิศแล้ว ตามความคิดปรัชญาที่ยึดถือ

            บริบทสังคมโยบตอนนั้น โยบเป็นคนที่โดดเด่นมาก ร่ำรวยมหาศาล คนใช้บริวารมากมาย แต่ไม่พ้นมือพระเจ้า ทรงทดสอบโยบเพื่อให้ซาตานเห็นว่าโยบรักยำเกรงพระเจ้าจริง ไม่ใช่เพราะสิ่งต่างๆ ที่ได้จากการอวยพร

            พระธรรมโยบตั้งใจเตือนมนุษย์ว่าพระองค์เป็นผู้สร้าง และกำหนดวิถีชีวิตของสรรพสิ่ง กำหนดเจาะจงต่อแต่ละคน

            โยบผู้ดำเนินชีวิตในความชอบธรรม พยายามทำสิ่งที่หวังว่าจะช่วยปกป้องลูกได้ แต่ใช่ว่าจะรอดปลอดภัยตามที่หวัง

โยบ.1:5 และเมื่อการเลี้ยงเวียนครบรอบแล้ว โยบจะใช้ให้ไปทำพิธีชำระตัวเขาทั้งหลายให้บริสุทธิ์ และท่านจะตื่นแต่เช้ามืดถวายเครื่องเผาบูชาตามจำนวนของเขาทั้งหมด เพราะโยบกล่าวว่า "ชะรอยบุตรของข้าพเจ้าได้กระทำบาปและแช่งพระเจ้าอยู่ในใจของเขา" โยบกระทำดังนี้เรื่อยมา

            แผนการความคิดของพระเจ้าซับซ้อนเกินกว่ามนุษย์แม้กระทั่งผู้เชื่อจะเข้าใจทั้งหมด พระองค์ทรงเอกสิทธิ์ ตัดสินใจทำการโดยไม่ต้องขออนุญาตใคร ไม่มีใครห้ามพระองค์ได้

            ผู้เชื่อศรัทธาต้องยอมรับและดำเนินตามนิมิตการทรงเรียกส่วนตัว (ชีวิตโยบคือชีวิตเฉพาะของโยบคนนี้เท่านั้น) ความสงสัยพระเจ้าเป็นบาป

            ในการทดสอบทดลอง โยบไม่ตอบสนองผิดเลย ยังเชื่อศรัทธาพระเจ้าดังเดิม สุดท้ายโยบผิดที่สงสัยว่าทำไมจึงเกิดเหตุร้ายกับตัวเอง คำตอบที่พระเจ้ามอบให้คืออย่าสงสัยพระองค์ ให้เดินหน้าดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ชอบธรรมต่อไป ตามนิมิตการทรงเรียก ไม่ว่าเส้นทางนั้นจะเผชิญสิ่งใด

8. อธิบายขยายความ: ความสงสัยของโยบ

            โยบที่ดีพร้อมสงสัยว่าทำไมตนต้องรับความทุกข์ยากสาหัส ทั้งๆ ที่ไม่ทำผิดบาป พยายามดำเนินชีวิตในทางพระองค์อย่างเคร่งครัด

            คำพูดของโยบ

โยบ.19:6-8

6 จงทราบเถิดว่าพระเจ้าทรงวางข้าไว้ในที่ที่ผิด และได้ทรงเอาตาข่ายของพระองค์ล้อมข้าไว้

7 ดูเถิด ข้าร้องออกมาว่า "ทารุณจริง" แต่ไม่มีใครฟัง ข้าร้องให้ช่วย แต่ไม่มีความยุติธรรมที่ไหน

Though I cry, ‘Violence!’ I get no response; though I call for help, there is no justice.

8 พระองค์ทรงก่อกำแพงกั้นทางข้าไว้ ข้าจึงข้ามไปไม่ได้ และพระองค์ทรงให้ทางของข้ามืดไป

            โยบคิดว่าตัวเองไม่ผิดอะไร

โยบ.34:5 เพราะโยบกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเป็นคนชอบธรรม และพระเจ้าทรงเอาความยุติธรรมที่ควรตกแก่ข้าพเจ้าไปเสีย"

“Job says, ‘I am innocent, but God denies me justice.

            อธิบายขยายความ: แม้เผชิญความทุกข์ยากสาหัส จิตสำนึกโยบยังชอบอยู่เสมอ (ไม่ทำอะไรผิด อยู่ในความบริสุทธิ์) จึงสงสัยว่าในเมื่อตนไม่ทำผิดแต่ต้องเจอเหตุร้าย จึงอยากได้คำตอบ (โยบไม่คิดว่าพระเจ้าผิดพลาด ไม่ยุติธรรม แต่สงสัยว่าพระองค์ที่ไม่ผิดพลาดเลย ทำไมจึงเกิดเหตุร้ายกับคนบริสุทธิ์ชอบธรรม)

            คำตอบของพระเจ้าคือ ทรงเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง ทรงกำหนดวิถีชีวิตของแต่ละคน รวมทั้งช่วงชีวิตหนึ่งของโยบที่ต้องเผชิญความทุกข์สาหัส

            โยบเข้าใจถูกต้องว่าที่ตนเจอเหตุร้ายไม่ใช่เพราะตนทำบาป แต่ที่มนุษย์ (โยบ) ควรตอบสนองคือ เชื่อติดตามพระเจ้าต่อไป ไม่สงสัย ขอบคุณพระเจ้าทุกกรณี  

สภษ.3:5-6

5 จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง

Trust in the LORD with all your heart and lean not on your own understanding;

6 จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น

in all your ways submit to him, and he will make your paths straight.

สรุป โยบบทที่ 39

            ในบางช่วงชีวิต คริสเตียนผู้เชื่ออาจสงสัยว่าทำไมเกิดเหตุร้าย เรื่องไม่พึงพอใจ โดยทั่วไปแล้วมาจากความไม่สมบูรณ์หรือความบาป เผชิญการทดสอบทดลอง แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด เป็นการเสียเวลาที่จะจมอยู่ในความคิดแง่ลบ ควรแสวงหาพระเจ้า สารภาพบาป ขอกำลัง ขอความช่วยเหลือให้ผ่านพ้นสถานการณ์ ตั้งหน้าตั้งตาดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ชอบธรรม ตามนิมิตการทรงเรียก ไม่มีสิ่งที่ดีกว่านี้อีกแล้ว

            แทนที่จะนึกถึงความยากลำบาก รู้สึกขัดเคืองใจ ควรระลึกถึงเจตนาบริสุทธิ์ของพระองค์ นึกถึงพระพรมากมายที่ได้ในอดีต ปัจจุบันและอนาคต เชื่อว่าพระองค์จัดเตรียมสิ่งดีที่สุดให้เสมอ เข้าถึงว่าทรงเป็นพระเจ้าแสนดีต่อเรา จิตใจมุ่งตรงต่อพระองค์

            การนี้จำต้องอาศัย "ความเชื่อวางใจ" ส่วนหนึ่งเป็นประสบการณ์กับความสัมพันธ์ สูงกว่านั้นต้องอาศัยความเชื่อกับการเชื่อฟัง เพราะมนุษย์ไม่อาจเข้าถึงความล้ำลึกได้ทั้งหมด

สดด.126:1-6

1 เมื่อพระเจ้าทรงให้ศิโยนกลับสู่สภาพดี เราก็เป็นเหมือนคนที่ฝันไป

2 ปากของเราได้หัวเราะเต็มที่ และลิ้นของเราได้เปล่งเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน แล้วเขาได้พูดกันท่ามกลางประชาชาติว่า "พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เขา"

3 พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี

4 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับสู่สภาพดี อย่างทางน้ำไหลที่ในเนเกบ

5 ขอให้บรรดาผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา ได้เกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน

6 ผู้ที่ร้องไห้ออกไป หอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่าน จะกลับบ้าน ด้วยเสียงโห่ร้องอย่างชื่นบาน นำฟ่อนข้าวของตนมาด้วย

 

คำถามหลังคำสอน:

            1) พระเจ้ากำหนดวิถีชีวิตของท่าน ดีหรือไม่ อย่างไร

            2) ท่านจะอธิบายต่อคนอื่นอย่างไร หากเขาพูดว่าบางครั้งคริสเตียนทุกข์ยากมากกว่าหรือไม่ต่างจากคนทั่วไป

------------------------

บทความแนะนำ

อาดัมมีรูปร่างหน้าตาเหมือนพระเจ้าหรือไม่

พระเจ้าให้ความสำคัญลักษณะชีวิตมากกว่ารูปร่างหน้าตา เพราะชีวิตนิรันดร์บริสุทธิ์ ปราศจากบาป ส่วนในโลกนี้ให้คริสเตียนเป็นตัวพระคริสต์ สำแดงพระส...