ผู้ที่พูดทำนองไวรัสโรคโควิด-19 มาจากศูนย์วิจัยเมืองอู่ฮั่น ควรแสดงหลักฐานก่อน ไม่ใช่นั้นจะเป็นการ “ตั้งธง” ชวนให้คนอื่นเข้าใจอย่างนั้นทั้งๆ ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้
กระแสจีนเป็นผู้สร้างโควิด-19
กำลังมาแรงอีกรอบ สัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐอ้างเอกสารหน่วยข่าวกรองระบุว่ามีเหตุผลให้เชื่อว่านักวิจัยหลายคนในสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น
(Wuhan Institute of Virology) ป่วยด้วยอาการของโควิด-19
กับอาการหวัดธรรมดาตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วง 2019 เกิดคำถามว่าจริงหรือที่คนในสถาบันไม่มีใครป่วยด้วยโควิด-19
ข้อกล่าวหาที่ชัดเจนคือนักวิจัย 3 คนล้มป่วยในเดือนพฤศจิกายน 2019
ในกรณีเช่นนี้รัฐบาลสหรัฐควรเปิดเผยข้อมูลให้ครบถ้วนว่านักวิจัย 3 คนที่ป่วยคือใคร
แสดงหลักฐานล้มป่วย ฯลฯ ให้นานาชาติ องค์กรระหว่างประเทศช่วยกันตรวจสอบ
หาไม่แล้วจะเป็นเหมือนอดีตที่บอกว่ามีหลักฐานแต่ไม่ยอมแสดงหลักฐาน ไม่เป็นแบบอย่างประเทศประชาธิปไตย
ย้อนรอยรัฐบาลสหรัฐมีหลักฐานไหม :
หากอ้างว่ามีข้อมูล
ถ้าเช่นนั้นสามารถแสดงหลักฐานได้เลย
อันที่จริงแล้วสมัยประธานาธิบดีทรัมป์เคยพูดเรื่องนี้ ต้นเดือนพฤษภาคม 2020
(ปีก่อน) ทรัมป์พูดถึงประเด็นไวรัสหลุดจากห้องทดลองจีน
อาจเป็นความผิดพลาดของห้องทดลองหรือจงใจให้ผิดพลาด ในขณะนั้นองค์การอนามัยโลกขอหลักฐาน
แต่จนบัดนี้รัฐบาลสหรัฐไม่เคยแสดงหลักฐาน
มาวันนี้รัฐบาลไบเดนยกประเด็นนี้อีก
ถ้าหลักฐานมีจริงสามารถยื่นองค์การอนามัยโลก เปิดเผยให้ชัดเจนต่อสาธารณะได้เลย
การที่บางคนมักใช้คำว่าไวรัสโรคโควิด-19
มาจากสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น พยายามยกข้ออ้างที่ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐาน
ชักนำให้คนอื่นเข้าใจว่าโควิด-19 มาจากห้องทดลองอู่ฮั่น อาจเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) เพื่อบ่อนทำลายผู้อื่น
ใช้ตรรกะแบบวิทยาศาสตร์ :
แอนโทนี
เฟาซี (Anthony Fauci) ผู้มีบทบาทสูงต่อการควบคุมโรคระบาดโควิด-19 ของสหรัฐกล่าวว่าจริงๆ
แล้วตนไม่มั่นใจว่าโควิด-19 มาจากธรรมชาติ ควรศึกษาสำรวจในจีนเพิ่มอีกจนสุดความสามารถเพื่อให้ได้คำตอบ
ผู้ที่เคยเข้าไปตรวจสอบกล่าวว่าน่าจะมาจากชิ้นส่วนสัตว์แล้วแพร่เชื้อมาสู่มนุษย์แต่อาจเป็นอย่างอื่นก็ได้
ตนไม่มีข้อมูลใดๆ ที่บอกว่าจีนเป็นผู้สร้างหรือไม่
ล่าสุด
26 พฤษภาคมที่ผ่านมาเฟาซีกล่าวต่อรัฐสภาว่าตนยังคิดว่าเป็นไปได้สูงที่โควิด-19
เกิดจากธรรมชาติแต่เนื่องจากไม่สามารถยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์จึงเห็นควรตรวจสอบต่อไป
บางคนบางสื่อพยายามอ้างคำพูดของเฟาซีเพียงครึ่งเดียวเพื่อชี้ว่าโควิด-19
ไม่ได้มาจากธรรมชาติ อันที่จริงแล้วข้อสรุปที่เฟาซีให้ไว้คือ “ไม่รู้จริงๆ
ว่าโควิด-19 มาจากอะไร” แม้น่าจะเกิดจากธรรมชาติมากกว่า
และไม่ได้สรุปว่ามาจากห้องทดลองหรือมนุษย์สร้างขึ้น
ข้อสรุปของเฟาซีเป็นข้อสรุปแบบวิทยาศาสตร์
เพราะจนบัดนี้ไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่าโควิด-19 เริ่มต้นอย่างไรแต่น่าจะมาจากธรรมชาติมากกว่า
เดือนพฤษภาคมองค์การอนามัยโลกยืนยันอีกครั้งว่าแนวคิดที่ว่าโควิด-19
หลุดออกจากห้องทดลองนั้นไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น ("extremely
unlikely") แต่ยอมรับว่าทีมที่ตรวจสอบในจีนยังทำงานไม่มากพอ (extensive
enough) เห็นควรตรวจสอบเพิ่มเติม
ความจริงคือไม่มีใครเห็นตอนเกิดเชื้อโควิด-19 ตัวแรก
ความรู้วิทยาศาสตร์บอกได้แต่ว่าในธรรมชาติเชื้อโรคกลายพันธุ์ตลอดเวลา
(เชื้อโรคในที่นี้คือบรรดาเชื้อโรคทุกชนิด) โควิด-19 คือเชื้อโรคอีกชนิดที่มาจากการกลายพันธุ์
อธิบายเพิ่มเติมว่าเดิมมนุษย์รู้จักกลุ่มไวรัสโคโรนา (coronavirus)
เพียงแค่ 6 สายพันธุ์ ไวรัสโคโรนา 2019 หรือที่มักเรียกว่าเชื้อโรคโควิด-19
เป็นสายพันธุ์ที่ 7 สายพันธุ์ล่าสุดที่ค้นพบ
โควิด-19
มีชื่ออย่างเป็นทางการว่าไวรัสโคโรนา 2019 หรือ SARS-CoV-2 จัดอยู่ในตระกูล Beta-coronavirus เหมือนกับ SARS-CoV
(โคโรนาไวรัสซาร์ส) และ MERS-CoV (โคโรนาไวรัสเมอร์ส)
ในอดีตมนุษย์พบสายพันธุ์ใหม่
“โคโรนาไวรัสซาร์ส” หรือโรคซาร์สแพร่ระบาดหนักเมื่อปี 2002 มีผู้ติดเชื้อ 8 พันคนใน
30 ประเทศทั่วโลก เสียชีวิต 774 ราย นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเชื้อโรคซาร์สมาจากการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ
โควิด-19
คือเชื้อใหม่ทำนองเดียวกับโรคซาร์สในอดีต และอนาคตน่าจะมีไวรัสก่อโรคระบาดอีกตามธรรมชาติของไวรัส
กรณีโควิด-19
วิทยาศาสตร์ให้คำตอบว่า “น่าจะ” เป็นการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ (นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามาจากสัตว์จำพวกค้างคาวเพราะมีพันธุกรรมใกล้เคียงมาก)
ข้อนี้เป็นเหตุเกิดความคิดเห็นต่างๆ นานา แต่ไม่ว่าใครจะยึดว่ามาจากธรรมชาติหรือมนุษย์สร้าง
ต้องพูดด้วยเหตุผล มีหลักฐานรองรับ ไม่ใช่ทฤษฏีสมคบคิดที่พูดได้เรื่อยๆ เช่น
โควิด-19 เป็นผลงานของ CIA บางคนคิดว่าเป็นแผนลดประชากรโลกของบางคนบางกลุ่ม
เชื้อสามารถแพร่ผ่านเสาส่งสัญญาณ 5G มีไมโครชิปควบคุมมนุษย์อยู่ในวัคซีน
แต่ข้ออ้างเหล่านี้ไร้หลักฐาน (เช่นตัวไมโครชิปในวัคซีนมีผู้พบเจอแล้วบ้างไหม)
เทคนิคทำให้สงสัยและคิดเอาเอง :
ถ้าคำว่า “Chinese Virus” หมายถึงมีต้นกำเนิดที่
“ประเทศจีน” ถือว่าถูกต้อง แต่เทคนิคของใครบางคนใช้คำนี้ในความหมายกำกวม พูดเป็นนัยว่า
“รัฐบาลจีน” สร้างขึ้นมา เพื่อคนที่คล้อยตามจะโทษจีน วิธีการของคนพวกนี้จะพูดโดยใช้ข้อมูลบางอย่างรวมทั้งข้อมูลเท็จ
พูดชวนให้สงสัย (เช่น มีแหล่งข่าวบอกว่าหลุดจากห้องทดลอง) แทนที่จะเชื่อข้อสรุปที่น่าจะเป็นไปได้มาก
กลับเชื่อข้อสงสัยที่เป็นไปได้น้อยกว่า
และเนื่องจากวิทยาศาสตร์ยังไม่อาจให้ข้อสรุปแบบฟันธงร้อยเปอร์เซ็นต์
พวกที่ตั้งใจเล่นงานจึงพยายามสร้างเรื่องชวนให้สงสัยต่อเนื่อง พูดซ้ำไปซ้ำมา ทำให้เป็นข่าวอยู่เสมอ
ฯลฯ เพื่อตอกย้ำให้คิดว่าเป็นไวรัสที่มนุษย์สร้างขึ้น ความจริงคือทุกครั้งที่เป็นข่าวหลายสื่อจะลงเอยด้วยประโยคว่ารัฐบาลสหรัฐ
“ไม่มีหลักฐาน” ชี้ชัด แต่นั่นแหละรัฐบาลสหรัฐ นักการเมืองบางคน สื่อบางสำนักยังคงตั้งคำถามและพูดต่อไปว่าน่าจะเป็นฝีมือจีน
เป็นเทคนิคบ่อนทำลายฝ่ายตรงข้ามด้วยข้อมูลเท็จ ข่าวเท็จ (fake news)
การที่รัฐบาลทรัมป์พยายามชี้ว่าโควิด-19 เป็น “Chinese Virus” ก่อกระแสต่อต้านคนเอเชียในอเมริกา เป้าหมายจริงๆ น่าจะเป็นคนจีนแต่เนื่องจากคนอเมริกันแยกไม่ออกว่าเป็นจีน
เกาหลี ฟิลิปปินส์ เวียดนามหรือไทย คนหลายประเทศจึงถูกทำร้ายโดนรังแกจากกระแส “Chinese
virus” ที่รัฐบาลสหรัฐสร้างขึ้น
ฮิลลารี
คลินตัน (Hillary Clinton) กล่าวว่า “ประธานาธิบดี (ทรัมป์)
ใช้ถ้อยคำเหยียดผิวเพื่อปกปิดความล้มเหลวที่ไม่ได้จัดการไวรัสโคโรนาอย่างจริงจังตั้งแต่ต้น”
ขอให้ใครอย่าหลงกล
Dr. Amy
Zhang จากรพ.ของ University of Washington กล่าวว่า
“การเหยียดผิวเหยียดเชื้อชาติน่ากลัวมากกว่าไวรัส (โควิด-19)”
“คุณไม่รู้ตัวหรอกว่าจะถูกทำร้าย ถูกรังแกเมื่อไหร่”
การเหยียดผิวเหยียดเชื้อชาติ
การละเมิดสิทธิมนุษยชนในอเมริกาจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 1-2 ปีนี้ ผลจากการ "คิดไปเอง" ว่าคือไวรัสฝีมือคนจีน
สอดคล้องกับยุทธศาสตร์สร้างจีนให้เป็นศัตรู
ทุกครั้งที่พบพวกที่ติดใจต้นกำเนิดโควิด-19
น่าจะตั้งคำถามกลับว่าทำไมคนนั้นเอ่ยเรื่องนี้ พวกเขาต้องการอะไร ใครที่พยายามพูดชี้นำไปทางใด
คนนั้นกำลังสร้างหลักฐานผูกมัดตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ โควิด-19
เป็นฝีมือมนุษย์หรือมาจากธรรมชาติจะเป็นเรื่องที่พูดกันอีกนาน ขึ้นกับเจตนาของผู้พูดว่าบรรลุเป้าหมายแล้วหรือยัง
------------------------------
1. การเมืองระหว่างประเทศระหว่างจีนกับสหรัฐว่าด้วยโควิด-19
1. Asian American health workers fight virus and racist
attacks. (2021, May 8).
AP. Retrieved from https://apnews.com/article/donald-trump-asia-business-race-and-ethnicity-immigration-954b84d1cd5d15aade8edeb262dfc37e
2. Biden Asks U.S. Intel To Push For Stronger Conclusions On
The Coronavirus' Origins. (2021, May 26).
NPR. Retrieved from https://www.npr.org/2021/05/26/1000642995/biden-asks-u-s-intel-to-push-for-stronger-conclusions-on-the-coronavirus-origins
3. China rejects report of sick staff at Wuhan lab prior to
Covid outbreak. (2021, May 24).
The Guardian. Retrieved from
https://www.theguardian.com/world/2021/may/24/china-rejects-report-of-sick-staff-at-wuhan-lab-prior-to-covid-outbreak
4. Don’t fall for it! Trump is using “Chinese Virus” label
to cover up his mishandling of coronavirus. (2020, March
19). People's Daily Online. Retrieved from http://en.people.cn/n3/2020/0319/c90000-9670125.html
5. Fauci 'not convinced' COVID-19 developed naturally. (2021, May 23). Fox News. Retrieved
from https://www.foxnews.com/politics/fauci-not-convinced-covid-19-developed-naturally
6. Trump speculates that China released virus in lab
‘mistake’. (2020, May 1). Taiwan News. Retrieved from
https://www.taiwannews.com.tw/en/news/3926354
7. U.N.: U.S. hasn't shared evidence on
alleged coronavirus origin. (2020, May 5). The
Asahi Shimbun. Retrieved from http://www.asahi.com/ajw/articles/13350846
8. U.S. intel report identified 3 Wuhan lab researchers who
fell ill in November 2019. (2021, May 24).
NBC News. Retrieved from
https://www.nbcnews.com/health/health-news/u-s-intel-report-identified-3-wuhan-lab-researchers-who-n1268327
9. Wuhan coronavirus reaches USA, becomes serious threat to
Russia (2020, January 22). Pravda. Retrieved from
https://www.pravdareport.com/news/world/144244-wuhan_coronavirus/
--------------------------
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น