มักพูดกันว่าเมื่อเข้าสู่สูงวัยหรือใกล้หมดประจำเดือนควรเริ่มกินยาแคลเซียมกับวิตามินดี
เพื่อป้องกันกระดูกแตกหัก
งานศึกษาล่าสุดชี้ว่าการกินยาเหล่านั้นไม่ช่วยแต่ประการใด
มีคำแนะนำที่รู้กันทั่วไปว่าเมื่อเข้าสู่สูงวัยหรือใกล้หมดประจำเดือนควรเริ่มกินยาแคลเซียมกับวิตามินดีทุกวัน
เพื่อป้องกันกระดูกแตกหัก อย่างไรก็ตามตำราบางเล่มเตือนว่าอาจไม่ได้ผลอย่างที่คิด
งานศึกษาล่าสุดชี้ว่าการกินยาเหล่านั้นไม่ช่วยแต่ประการใด
ผู้สูงวัยมักกินแคลเซียมกับวิตามินดีเพื่อลดหรือป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก
หวังให้กระดูกแข็งแรง ไม่แตกหักง่าย มีข้อมูลว่าเฉพาะปี 2016
คนอเมริกันซื้อแคลเซียมกับวิตามินดีเกือบ 2,000 ล้านดอลลาร์ (66,000 ล้านบาท)
งานวิเคราะห์ของ Jia-Guo
Zhao จาก Tianjin Hospital กับทีมงานที่ตีพิมพ์เมื่อปลายปี
ให้ข้อสรุปว่าการกินยาแคลเซียมกับวิตามินดีเพื่อหวังป้องกันกระดูกแตกหักไม่ได้ผล
เสียเงินโดยใช่เหตุ
ชมคลิปสั้น 2 นาที :
กระดูกแตกหักในผู้สูงวัย ปัญหาระดับโลก
:
คนผิวขาวกับชาวเอเชียเป็นพวกที่มีปัญหาเรื่องความหนาแน่นของกระดูก
(Bone mineral density) ต่ำมากที่สุด ประชากรร้อยละ 52 ของ 2
กลุ่มนี้จะมีปัญหาเสี่ยงที่กระดูกแตกแหกเมื่อเข้าสู่สูงวัย เฉพาะปี 2005 ในสหรัฐมีเหตุกระดูกแตกหักถึง
2 ล้านครั้ง ในจำนวนนี้ร้อยละ 71 เป็นหญิง ชายร้อยละ 29
กระดูกสะโพกหักเป็นปัญหาใหญ่สุด และคาดว่าในปี 2025 จะมีเหตุกระดูกแตกหักถึง 3
ล้านครั้ง
ที่อังกฤษ
เฉพาะผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักมีปีละ 60,000 ราย
ปัญหากระดูกเปราะกระดูกพรุนเป็นเรื่องที่บ่มเพาะมาตั้งแต่กรรมพันธุ์
สารอาหารที่ได้รับตั้งแต่เด็กว่าส่งเสริมการสร้างเนื้อกระดูกมากเพียงไร วิถีการดำเนินชีวิต
ระดับฮอร์โมน มีปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับกระดูกหรือไม่
เหล่านี้มีผลต่อความเสี่ยงที่กระดูกจะแตกหัก
เมื่อเข้าสู่สูงวัย
ความหนาแน่นของกระดูกลดต่ำ ความแข็งแรงของกระดูกลดลง หากหกล้มอาจกระดูกหัก อายุยิ่งมากยิ่งเสี่ยงมาก
ทั้งนี้ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการได้รับแคลเซียมจากอาหารลดลง (ทานข้าวน้อยลงหรือทานไม่ครบหมู่)
ร่างกายสร้างวิตามินดีน้อยเพราะไม่ค่อยออกไปรับแดด
แต่ภาวะเหล่านี้ไม่ปรากฏอาการใดๆ
คนส่วนใหญ่รู้ว่าตนกระดูกเปราะบางเมื่อกระดูกหักหรือตรวจความหนาแน่นของกระดูกเท่านั้น
จึงเป็นภัยเงียบอย่างหนึ่ง
ที่น่ากังวลคือกระดูกสะโพกหัก เพราะรักษายาก ยิ่งสูงวัยยิ่งรักษายาก วิถีชีวิตผู้ป่วยเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
จากผู้ที่สามารถเดินเหินไปมา ดูแลตัวเองเหมือนคนปกติ กลายเป็นคนป่วยที่ต้องนอนบนเตียง
กระทบร่างกายจิตใจอย่างรุนแรง ผู้ป่วยมักซึมเศร้า รู้สึกไร้ค่า เป็นภาระแก่ผู้อื่น
และมักมีโรคแทรกซ้อนตามมา บางรายถึงขั้นเสียชีวิต
ไม่เพียงเท่านั้น
ยังส่งผลต่อครอบครัวที่จะต้องมีผู้ดูแลผู้ป่วยต่อเนื่อง ผู้ป่วยกระดูกแตกหักคนเดียวจึงกระทบทั้งครอบครัว
รายงานใหม่ล่าสุด :
งานศึกษาในอดีตบางชิ้นระบุว่าหากคนเหล่านี้ได้รับแคลเซียมกับวิตามินดีจะช่วยลดโอกาสกระดูกแตกหัก
งานวิจัยล่าสุด ทีมศึกษาวิเคราะห์งานวิจัยทั่วโลกเรื่องการป้องกันกระดูกแตกหักจากแคลเซียมกับวิตามินดี
โดยใช้แหล่งข้อมูลจาก The PubMed, Cochrane library และ
EMBASE แล้วนำมาวิเคราะห์ร่วม
งานศึกษานี้วิเคราะห์ข้อมูลวิจัย
33 ชิ้น งานวิจัยส่วนใหญ่มาจากสหรัฐ อังกฤษ นิวซีแลนด์และออสเตรเลีย ส่วนใหญ่ศึกษากระดูกสะโพกหัก
รวมผู้ทดลองกว่า 51,000 คน จาก 50 ประเทศทั่วโลก ผู้เข้าทดลองเป็นผู้ใหญ่อายุ 50
ปีขึ้นไปที่ดูแลตัวเอง (หมายถึงคนทั่วไปที่ไม่ใช้บริการของสถานดูแลคนชราหรือได้รับการดูแลใกล้ชิดเป็นพิเศษ)
ทั้งหมดทดลองให้กินแคลเซียม วิตามินดี อย่างใดอย่างหนึ่งหรือกินร่วมกัน
แล้วเทียบกับผู้กินยาหลอก (placebo) หรือไม่กินยาเลย
ได้ข้อสรุปว่า การกินยาแคลเซียมกับวิตามินดีไม่ช่วยลดกระดูกแตกหักอย่างมีนัยสำคัญ
ไม่ว่าจะใช้ขนาดสูงหรือต่ำ เป็นชายหรือหญิง มีประวัติกระดูกแตกหักหรือไม่
การได้แคลเซียมจากอาหารก็ไม่แตกต่าง
ในกรณีเพิ่มวิตามินดีเพื่อช่วยการดูดซึมแคลเซียม
ได้ข้อสรุปเหมือนกันว่าไม่มีผลอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ช่วยลดกระดูกแตกหักทุกประเภท
จึงไม่แนะนำให้คนสูงวัยหรือใกล้หมดประจำเดือนกินยาแคลเซียมกับวิตามินดีทุกวันอีกต่อไป
งานวิจัยล่าสุดนี้สอดคล้องกับงานวิจัยอีกชิ้นที่ตีพิมพ์เมื่อ 2015 ใน British
Medical Journal งานชิ้นนั้นให้ข้อสรุปว่า ยาเม็ดแคลเซียมที่กินทุกวันช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกร้อยละ
1-2 เท่านั้น ไม่เพียงพอที่จะลดกระดูกแตกหัก
ในทางกลับกัน
การกินแคลเซียมเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ โรคนิ่วและปัญหาทางเดินทางอาหาร
ข้อแนะนำ :
Jia-Guo Zhao หัวหน้าทีมวิจัยแนะนำว่าทุกคนยังควรได้รับแคลเซียมกับวิตามินดีอย่างเพียงพอ
แต่ด้วยอาหาร การออกกำลังกายเป็นหลัก ไม่ใช่จากยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แนะนำทานนม
ผัก ผลไม้ พวกถั่วชนิดต่างๆ เพื่อได้แคลเซียม และออกไปรับแดดบ้าง เพื่อร่างกายจะผลิตวิตามินดีมากเพียงพอความต้องการ
จะให้ยาแคลเซียมกับวิตามินดีในกรณีเฉพาะที่ผู้ป่วยขาดสารอาหารดังกล่าวจริงๆ
ในทำนองเดียวกัน นายแพทย์
Marvin M. Lipman แนะนำว่าถ้าอยากมีกระดูแข็งแรง
ต้องดูแลสุขภาพตั้งแต่เด็กก่อนถึงวัย 30
อันเป็นช่วงที่กระดูกร่างกายกำลังเติบโตพัฒนา
การได้แคลเซียมกับวิตามินดีจากอาหารเป็นหนทางที่ดีที่สุด การรับแดดวันละ
10 นาทีร่างกายจะสร้างวิตามินดีที่ต้องการ เป้าหมายการกินอาหารที่มีแคลเซียมนั้นคือ
ลดการสูญเสียมวลกระดูก แต่ไม่ช่วยให้แข็งแรงกว่าเดิม
ผู้ที่กระดูกอ่อนแออยู่แล้วเมื่อเข้าสู่สูงวัยจะแตกหักง่าย
การกินแคลเซียมวิตามินดี แม้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้จริง แต่มีผลต่อการสร้างมวลกระดูกเพียงเล็กน้อย
คงเป็นเพราะการสร้างมวลกระดูกต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ
ไม่เพียงแคลเซียมกับวิตามินดีเท่านั้น ดังที่ทราบกันทั่วไปว่าร่างกายจะหยุดสร้างมวลกระดูกหลังวัย
30 ทั้งๆ ที่ยังได้รับแคลเซียมวิตามินดีทุกวัน
อีกทั้งกระดูกเปราะบางจากหลายสาเหตุ
ต้องแก้ไขที่สาเหตุอื่นๆ ควบคู่กันไปด้วย
การออกกำลังกายแบบแอโรบิค การเดินวันละ 30 นาที ลดการสูญเสียมวลกระดูก
นอกจากนี้
ควรเข้าใจว่าหากกล้ามเนื้อขาแข็งแรง จัดแจงห้องหับต่างๆ ที่ป้องกันการหกล้ม โอกาสกระดูกแตกหักย่อมลดลง
อย่างไรก็ตาม
นายแพทย์ Daniel Smith จาก Icahn School of Medicine ไม่เห็นด้วย ชี้ว่าผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักเพียงรายเดียวสร้างความสูญเสียมหาศาล
การให้กินยาแคลเซียมวิตามินดีกับทุกรายจึงยังเป็นคำแนะนำที่ดี
วิเคราะห์องค์รวม :
ควรตระหนักว่างานวิจัยของ
Jia-Guo Zhao เป็นงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งเท่านั้น ยังไม่อาจถือเป็นข้อสรุป
จากนี้ไปน่าจะมีผู้วิจัยประเด็นเดียวกันนี้อีกหลายครั้ง เพื่อยืนยันข้อสรุป
ข้อคิดที่ได้คือ ความรู้ด้านยาด้านสาธารณสุขมีการปรับปรุงอยู่เสมอ ความรู้ที่เคยใหม่ที่เคยปฏิบัติทั่วไปอาจกลายเป็นของเก่าล้าสมัย
ยาที่เคยใช้อาจกลายเป็นยาต้องห้ามในเวลาต่อมา การติดตามศึกษาความรู้เหล่านี้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพตนเองและคนรอบตัว
การรักษาสุขภาพให้แข็งแรงย่อมดีกว่ากระดูกสะโพกหักแล้วค่อยรักษา
ร่างกายมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักรกลที่สามารถยกเครื่อง เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่
แล้วกลายเป็นรถใหม่
หลายคนคิดว่ากินวิตามิน
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เท่านี้ก็เพียงพอ สามารถทดแทนวิธีการดูแลรักษาสุขภาพอื่นๆ บางคนยอมเสียเงินนับพันซื้อผลิตภัณฑ์ยี่ห้อแพงๆ
เพราะคิดว่ายิ่งแพงยิ่งดี งานวิจัยล่าสุดชิ้นนี้เตือนว่าไม่ว่าถูกหรือแพงก็ไม่แตกต่าง
เพราะไม่ได้ผลเหมือนกัน
วิธีแก้ปัญหาโรคกระดูกแตกหักที่ดีและได้ผลมากที่สุดอยู่ที่การเลือกคู่แต่งงาน
เลือกคู่ครองที่ร่างกายแข็งแรง กระดูกแข็งแรง เพราะกรรมพันธุ์เป็นปัจจัยที่มีผลต่อมวลกระดูกมากที่สุด
รองมาคือการเลี้ยงดูในวัยเด็ก
ต้องกินสารอาหารครบถ้วนและออกกำลังกายอยู่เสมอ
หากทำได้เช่นนี้คนรุ่นลูกรุ่นหลานก็ไม่ต้องเสียค่ายาที่ไม่ค่อยมีประสิทธิผลเท่าที่ควร
เป็นอีกกรณีตัวอย่างชี้ให้เห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
มีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อการดูแลรักษาสุขภาพ
ในอนาคตการตัดสินใจเลือกใช้ยาจะดีขึ้นกว่าปัจจุบัน
การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (Fourth Industrial Revolution) จะช่วยให้คนไข้กับญาติสามารถเข้าถึงข้อมูล สามารถตัดสินใจเลือกวิธีรักษา
เลือกยาที่ต้องการให้เหมาะกับโรค ฐานะทางเศรษฐกิจและอื่นๆ
ในกรอบที่กว้างขึ้น ปัญหาสุขภาพต่างๆ มักสัมพันธ์กับจิตใจ สุขภาพจิตที่ดีเป็นสุดยอดยา
ไม่เฉพาะต่อกระดูกเท่านั้น แต่มากยิ่งกว่านั้นมาก นำความสุขความเจริญสู่ตนเอง
ครอบครัวและสังคมโลก
ปัญหาสุขภาพเป็นประเด็นหนึ่งที่สำคัญของโลก
ผู้บาดเจ็บเสียชีวิตมีมากกว่าเหตุจากภัยสงคราม
ภัยความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศเสียอีก วิธีการใช้ยาและยาแผนปัจจุบันที่จำหน่ายในประเทศกำลังพัฒนามักเป็นองค์ความรู้จากประเทศพัฒนาแล้ว
ความรู้เหล่านี้ปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ จึงต้องติดตามให้ทันการเปลี่ยนแปลง ไม่ล้าหลัง
31 ธันวาคม 2017
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 22 ฉบับที่ 7723 วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2560)
--------------------------
1. Association Between Calcium or Vitamin D Supplementation
and Fracture Incidence in Community-Dwelling Older Adults. (2017,
December 26). JAMA. Retrieved from https://jamanetwork.com/journals/jama/article-abstract/2667071?redirect=true
2. Calcium and Vitamin D Pills' Ability to Stop Bone Loss
Questioned in New Study. (2017, December 26). Consumer
Reports. Retrieved from https://www.consumerreports.org/vitamins-supplements/calcium-and-vitamin-d-ability-to-stop-bone-loss-questioned/
3. DiPiro, Joseph T., Talbert, Robert L., Yee, Gary C.,
Matzke Gary R., Wells, Barbara G., & L. Michael Posey. (2014). Pharmacotherapy:
A Pathophysiologic Approach, (9th Ed.). USA: McGraw-Hill Companies.
4. Do you take calcium and vitamin D to protect your bones?
A new study says it doesn't help. (2017, December 26). Los
Angeles Times. Retrieved from http://beta.latimes.com/science/sciencenow/la-sci-sn-vitamins-bone-fractures-20171226-story.html
5. Goldman, Lee., Schafer, Andrew I. (Eds.). Goldman’s
Cecil medicine (24th ed.). USA: Elsevier Saunders.
6. Seniors Don't Need Calcium, Vitamin D Supplements: Review. (2017, December 26). HealthDay News. Retrieved from https://consumer.healthday.com/bone-and-joint-information-4/bone-joint-and-tendon-news-72/seniors-don-t-need-calcium-vitamin-d-supplements-review-729686.html
7. Warrell, David A., Cox, Timothy M., Firth, John D., &
Benz, E.J. Jr. (2003). Oxford Textbook of Medicine (4th ed.). UK: Oxford
University Press.
-----------------------------
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น