องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) เพิ่งออกรายงานผลสำรวจการชี้วัดเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นทั่วโลกฉบับปี 2013 (Global Corruption Barometer 2013) ชี้ว่า ‘คอร์รัปชันในปัจจุบันแฝงตัวอยู่ร่วมกับระบอบประชาธิปไตย อยู่ในกระบวนการยุติธรรมหลายประเทศ ทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่นในพรรคการเมือง สถาบันตุลาการ ตำรวจ และอีกหลายสถาบัน’
บรรณานุกรม:
สถานการณ์การทุจริตคอร์รัปชันทั่วโลก
ผู้ตอบแบบสอบถามซึ่งประกอบด้วยประชาชนกลุ่มต่างๆ
ทั่วโลกร้อยละ 53 เห็นว่าการทุจริตคอร์รัปชันเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับสองปีก่อน
ร้อยละ 29 เห็นว่าเท่าเดิม ส่วนร้อยละ 18 เห็นว่าลดลง (อนึ่ง
การสำรวจนี้กระทำกับคนทั่วโลก สถานการณ์บางประเทศอาจดีขึ้น บางประเทศอาจแย่ลง
และขึ้นกับความเห็นส่วนบุคคล) ประเทศที่สถานการณ์แย่ลงมากคือ แอลจีเรีย เลบานอน
โปรตุเกส ตูนิเซีย วานูอาตู (Vanuatu) และซิมบับเว
ประเทศที่เห็นว่าดีขึ้นคือ เบลเยียม กัมพูชา จอร์เจีย รวันดา เซอร์เบีย และไต้หวัน
ประเทศเหล่านี้ผู้ตอบแบบสอบถามกว่าสองในสามเห็นว่าแย่ลงหรือดีขึ้น
ในด้านความร้ายแรงของปัญหา
ผู้คนทั่วโลกเห็นว่าคอร์รัปชันเป็นปัญหาร้ายแรง บางประเทศเห็นว่าร้ายแรงมาก
เฉลี่ยแล้วมีความร้ายแรง 4.1 จากคะแนนเต็ม 5
ประเทศไลบีเรียกับมองโกเลียได้คะแนนถึง 4.8 ส่วนประเทศเดนมาร์ค ฟินแลนด์ รวันดา
ซูดานและสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีปัญหาคอร์รัปชันไม่มากได้คะแนนต่ำกว่า 3
จากข้อมูลที่ได้มาพบว่าการทุจริตในสถาบันหลักของสังคมในแต่ละประเทศมีความแตกต่าง
โดยรวมแล้วสถาบันพรรคการเมืองมีการทุจริตมากที่สุด รองลงมาคือตำรวจ สถาบันศาล รัฐสภาและข้าราชการ
จะเห็นได้ว่าสถาบันเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการบริหารกำกับดูแลประเทศ
เป็นผู้ใช้กฎหมาย
เมื่อพิจารณาในรายละเอียด
พรรคการเมืองซึ่งมีบทบาทนำเสนอนโยบาย ส่งบุคคลเป็นตัวแทนประชาชนเข้าบริหารประเทศ
มีความสำคัญต่อรากฐานประชาธิปไตยแต่กลับถูกมองว่าเป็นสถาบันที่มีการคอร์รัปชันมากที่สุด
โดยเฉพาะที่ประเทศกรีซ เม็กซิโก เนปาลและไนจีเรีย ที่มาของเงินทุนเพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งคือประเด็นที่มีความสำคัญที่สุด
เพราะผู้ให้ทุนจะกลายเป็นผู้มีอิทธิพลต่อพรรคการเมือง
คนส่วนใหญ่คิดว่าระบบการปกครองมอบให้รัฐบาล (รวมฝ่ายนิติบัญญัติ) ทำหน้าที่นำสังคมเพื่อต่อต้านคอร์รัปชัน เป็นผู้วางมาตรฐาน
ออกกฎหมายและใช้กฎหมาย แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเกิดคำถามสำคัญว่ารัฐบาลได้ทำหน้าที่เต็มกำลังหรือไม่
ผลการสำรวจพบว่าประชาชนทั่วโลกร้อยละ 54 เห็นว่ารัฐบาลพยายามน้อยเกินไป
ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 47 จากการสำรวจเมื่อปี
2010/2011การที่รัฐบาลหย่อนยานในการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันคือหนึ่งในต้นเหตุสำคัญที่ทำให้คอร์รัปชันขยายตัว
นอกจากนี้ประชาชนมากกว่าครึ่ง (ร้อยละ 54) คิดว่ารัฐบาลทำเพื่อประโยชน์ของคนบางกลุ่มมากกว่าเพื่อผลประโยชน์ของคนทั้งประเทศ
และประชาชนกว่าร้อยละ 80 ในประเทศไซปรัส กรีซ เลบานอน รัสเซีย แทนซาเนีย
และยูเครนเชื่อว่ารัฐบาลบริหารโดยคนไม่กี่กลุ่มเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง
ในบรรดาพฤติกรรมคอร์รัปชันการติดสินบนจ่ายใต้โต๊ะคือประเด็นที่รายงานสำรวจปี
2013 ขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เป็นเหตุทุจริตที่คนทั่วไปประสบด้วยตนเองมากที่สุด
สาเหตุหนึ่งที่การติดสินบนเกิดขึ้นมากเป็นเพราะคนจำนวนมากเห็นว่าการติดต่อกับหน่วยงานรัฐจำเป็นต้องใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว
หรือคิดเป็นร้อยละ 64 ของผู้ตอบแบบสอบถามทั่วโลก บางประเทศสูงกว่าร้อยละ 80 ได้แก่
อิสราเอล อิตาลี เลบานอน มาลาวี โมร็อกโก เนปาล ปารากวัย รัสเซีย ยูเครน
และวานูอาตู
หลายคนอาจเห็นว่าการให้สินบนเป็นเรื่องเล็กน้อย
แต่สำหรับบางคนแล้วมีผลต่อชีวิตทั้งครอบครัว มีตัวอย่างว่ารัฐบาลประเทศโมร็อกโกมีนโยบายรื้อถอนชุมชนสลัมไปที่อยู่แห่งใหม่ที่รัฐจัดให้ซึ่งดีกว่า
แต่เจ้าหน้าที่เรียกสินบนแลกกับการเดินเรื่อง สุดท้ายครอบครัวที่ไม่ยอมจ่ายหรือไม่มีปัญญาจ่ายกลายเป็นคนไร้บ้านหลังจากที่รัฐเข้าไปทำการรื้อถอนสลัม
คนส่วนใหญ่เห็นว่าการจ่ายสินบนค่าน้ำร้อนน้ำชาเป็นเรื่องเล็กน้อย
ประชาชนผู้มีกำลังซื้อสูงมักจะยินดีที่จะจ่าย
แต่กับบางประเทศการติดสินบนลุกลามบานปลาย เม็กซิโกเป็นตัวอย่างที่ประชาชนต้องจ่ายสินบนเป็นประจำ
ครอบครัวกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางต้องเสียเงินเป็นค่าสินบนถึงร้อยละ 14
ของรายได้ครัวเรือน ส่วนครอบครัวยากจนต้องจ่ายค่าสินบนถึงร้อยละ 33 ของรายได้ครอบครัว
ดังนั้นคนยากคนจนคือกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากสังคมที่ต้องติดสินบน
ผลเสียของการติดสินบนไม่ใช่เพียงเรื่องที่คนต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
แต่ยังทำลายระบบประสิทธิภาพ การให้บริการอย่างเท่าเทียม ทำลายการเคารพกฎหมาย
บั่นทอนความซื่อสัตย์ของทั้งสังคม
ผลสำรวจล่าสุดพบว่าประชาชนราวร้อยละ
27 ยอมรับว่าในรอบปีที่ผ่านมาได้จ่ายสินบนแก่เจ้าหน้าที่อย่างน้อย 1 ครั้ง หรือเท่ากับว่าประชากรราวหนึ่งในสี่ของโลกได้รับผลกระทบจากการติดสินบน
ผลสำรวจปีนี้สอดคล้องกับผลสำรวจสองครั้งก่อนหน้านี้ ถ้าพิจารณาเฉพาะการติดสินบนแก่หมู่ข้าราชการ
ข้าราชการตำรวจคือกลุ่มที่มีปัญหามากที่สุด รองลงมาคือเจ้าหน้าที่ในศาล
ประเทศที่ต้องติดสินบนตำรวจมากที่สุดคือคองโก กานา อินโดนีเซีย เคนยา ไลบีเรีย
ไนจีเรีย และเซียร์ราลีโอน (Sierra Leone)
ข้อเสนอแนะจากองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ
รายงาน Global Corruption Barometer 2013 ได้เสนอแนะแนวหลักทางแก้ไข
ดังนี้
ประการแรก สร้างความซื่อสัตย์ ความน่าเชื่อถือแก่สถาบัน
องค์กรหลักของสังคม
ด้วยการที่รัฐบาลต้องบริหารประเทศด้วยความเปิดเผยโปร่งใส สังคมสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอนตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ มีระบบกลไกชัดเจนเพื่อเป็นช่องทางให้สาธารณชนเข้าตรวจสอบ
รัฐบาลจะต้องมีระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างที่มีมาตรฐานตาม UN Convention Against
Corruption Article 9 และ OECD Principles on Enhancing
Integrity in Public Procurement ส่วนข้าราชการจะต้องปฏิบัติตัวตามมาตรฐานทางจริยธรรมหรือข้อพึงปฏิบัติในการทำงาน (Code of Conduct)
ประการที่สอง
สังคมยึดมั่นนิติธรรม
เริ่มด้วยการที่รัฐบาลปฏิรูปโครงสร้างและระบบงานของตำรวจ
ป้องกันการคอร์รัปชันจากเจ้าหน้าที่ ให้สถาบันตุลาการเป็นอิสระ
ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จัดให้มีระบบตรวจสอบถ่วงดุลเพื่อให้มั่นใจว่านโยบายหรือการดำเนินนโยบายของรัฐบาลไม่ขึ้นกับกลุ่มอำนาจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
ประการที่สาม ผู้กระทำผิดต้องได้รับโทษ
เป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องวางระบบเพื่อให้เกิดการป้องกัน
ตรวจสอบ สืบสวน จนถึงขั้นนำตัวผู้กระทำความผิดมารับโทษตามกฎหมาย ไม่ปล่อยให้ผู้กระทำความผิดลอยนวล
จะต้องมีกลไกให้ชาวบ้านสามารถร้องเรียน เป็นพยาน
ประการที่สี่ ระบอบประชาธิปไตยที่ใสสะอาด
รัฐบาลต้องมีกฎหมายและบังคับใช้กฎหมายให้ระบบการเงินของพรรคการเมืองโปร่งใส
ตัวพรรคการเมืองต้องสรรหาผู้สมัครที่ไม่มีประวัติเสื่อมเสีย เปิดเผยรายชื่อผู้บริจาคเงินแก่พรรคการเมือง
นอกจากนี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสมาชิก ต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน
เปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน รายได้ต่างๆ
ประการที่ห้า ให้ประชาชนมีเครื่องมือและได้รับการปกป้องจากการต่อสู้คอร์รัปชัน
รัฐบาลต้องมีกฎหมายคุ้มครองพยาน ผู้ให้ข้อมูลแก่รัฐ
สนับสนุนการจัดตั้งองค์กรภาคประชาชนเพื่อทำหน้าที่เฝ้าระวังการทุจริตคอร์รัปชันและเป็นกลไกช่วยเหลือประชาชนที่ร้องทุกข์กล่าวโทษ
ประการที่หก บทบาทของประชาชน
ประชาชนมีส่วนต่อต้านคอร์รัปชันได้หลายรูปแบบ
เช่น ด้วยการปฏิเสธจ่ายสินบนในทุกกรณี ช่วยเป็นหูเป็นตาสอดส่องรายงานการทุจริตหรือมีเหตุน่าสงสัย
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันภาคประชาชนควรจัดรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชันทั่วประเทศ มีงานวิจัยพบว่าประชาชนกว่าร้อยละ 90 ในหลายประเทศพร้อมเข้าชื่อลงนามเรียกร้องให้รัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหา รณรงค์ไม่เลือกผู้สมัครผู้แทนราษฎรหรือพรรคการเมืองที่มีประวัติไม่โปร่งใสหรือมีผลประโยชน์ทับซ้อน
โดยรวมแล้วผลสำรวจการชี้วัดเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นทั่วโลกในปี
2013 ให้ภาพบวกว่าการพูดเรื่องคอร์รัปชันเมื่อทศวรรษ 1990
เป็นการพูดอย่างลับๆ ระหว่างคนใกล้ชิด
แต่ปัจจุบันชาวบ้านส่วนใหญ่รับรู้ปัญหาและหวังจะแก้ปัญหาดังกล่าว ส่วนในด้านลบพบว่าการทุจริตคอร์รัปชันเพิ่มมากขึ้น
ประชาชนผู้ยินดีมีส่วนช่วยแก้ปัญหาลดน้อยลง
สำหรับรัฐประชาธิปไตยผลปลายทางของการคอร์รัปชันที่ลุกลามบานปลายเรื่อยๆ
คือ ระบอบที่เหลือแต่โครงสร้าง แต่เนื้อในกลายเป็นรัฐอำนาจนิยม (authoritarian
state) ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งที่ผู้นำประเทศไม่ได้ปกครองเพื่อประชาชนส่วนใหญ่แต่เพื่อประโยชน์แก่กลุ่มพรรคพวกของตน
ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของประเทศตกแก่คนส่วนน้อย ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่จะกลายเป็นคนยากคนจน
เป็นผู้มอบความมั่งคั่งแก่คนส่วนน้อย เป็นลักษณะของความไม่เท่าเทียมอย่างหนึ่งที่คนส่วนน้อยได้ประโยชน์มาก
ในขณะที่ประชาชนทั่วไปเป็นผู้แบกภาระของประเทศ
หากสถานการณ์รุนแรงขึ้นอีกประเทศจะกลายเป็น
‘รัฐที่ล้มเหลว’ (Failed State) เป็นสภาพของ
‘รัฐบาลที่ไม่สามารถหรือไม่ต้องการปฏิบัติตามหน้าที่หลักอันมีต่อประชาชนส่วนใหญ่
รวมทั้งคนยากจน’ รัฐเช่นนี้เป็นอันตรายไม่เพียงแต่ตัวเองและประเทศเพื่อนบ้าน
แต่ยังรวมถึงประชาชนทุกหมู่เหล่าทั่วโลก เพราะประเทศที่กลายเป็นรัฐที่ล้มเหลวอาจเกิดความขัดแย้งภายในจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง
สังคมเต็มด้วยอาชญากร กลายเป็นภัยคุกคามต่อประเทศอื่นๆ ประเทศเหล่านี้จะประสบวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งจะกระทบเศรษฐกิจโลก
จึงมักเป็นรัฐที่ต่างชาติเข้าแทรกแซงด้วยเหตุผลช่วยเหลือทางเศรษฐกิจหรือช่วยรักษาความมั่นคงภายในประเทศ
บางคนอาจคิดว่าตนได้ประโยชน์จากการคอร์รัปชันไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม
แต่สภาพดังกล่าวไม่ยั่งยืน ทำให้คอร์รัปชันลุกลามซึมลึก
ผู้ที่ได้รับผลกระทบก่อนและได้รับผลกระทบมากที่สุดคือประชาชนผู้มีรายได้น้อย
และหากคอร์รัปชันยังบานปลายเรื่อยๆ มีตัวอย่างให้เห็นจากหลายประเทศว่าสุดท้ายสังคมจะปั่นป่วนวุ่นวายอย่างหนัก
เมื่อถึงวันนั้นการแก้ไขจะต้องจ่ายราคาอย่างเจ็บปวด
21 กรกฎาคม 2013
ชาญชัย คุ้มปัญญา
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 17 ฉบับที่ 6103 วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2556, http://www.ryt9.com/s/tpd/1696681)
-----------------
1. Global Corruption Barometer 2013, Transparency
International, http://www.transparency.org/whatwedo/pub/,
accessed 14 July 2013
2. Rupert Taylor, What is a Failed State?: Some Countries
are so Dysfunctional they don’t Exist as Nations, http://global-security.suite101.com/article.cfm/what_is_a_failed_state,
accessed 23 April 2010.
3. Robert I. Rotberg, Failed States in a World of Terror,
Foreign Affairs, July/August 2002, http://www.foreignaffairs.com/articles/58046/robert-i-rotberg/failed-states-in-a-world-of-terror,
accessed 23 April 2010.
-----------------