บทเรียน 15 พระเจ้าผู้ทรงพิพากษา

พระเจ้ายุติธรรม ทุกคนได้รับผลจากสิ่งที่ทำและพระองค์พร้อมเข้าช่วยเหลือผู้ร้องทูล พระเจ้าผู้พิพากษากับความยุติธรรมเป็นเรื่องเดียวกัน

            เคยสงสัยหรือไม่ว่าพระเจ้ายุติธรรมต่อท่านหรือไม่ ทำไมดูเหมือนว่าคนอธรรมได้รับสิ่งดีแต่คนชอบธรรมยากลำบาก

            โยบ บทที่ 36 พระเจ้าทรงเอ่ยถึงความยุติธรรม การพิพากษา ที่จะมีผลทั้งในโลกนี้กับโลกหน้า

            อ่านโยบ.36

คำถามก่อนเรียน :

            1) ท่านเคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมคนบาปรับผลดีจากบาปที่ทำ

            2) โลกกับสังคมจะเป็นอย่างไรถ้าพระเจ้าไม่ยุติธรรม

 

บริบท :

            โยบ.36 อธิบายความยุติธรรมของพระเจ้าว่าเป็นอย่างไร ทุกคนไม่ว่าจะยากรวยมีจน ตำแหน่งสูงหรือเป็นสามัญชนล้วนอยู่ภายใต้กฎความยุติธรรมของพระเจ้า ทรงให้ความยุติธรรมแก่ทุกคน ทรงพิพากษาทุกการกระทำ คนเป็นทุกข์เพราะบาปที่ตัวเองและผู้อื่นกระทำ อยู่ในสังคมบาป ย้ำเตือนบาปบางอย่าง พฤติกรรมบาป เตือนให้กลับใจ

            หลักความยุติธรรมคือความชอบธรรมอยู่คู่กับการอวยพร หากอธรรมรับผลบาป ทุกการกระถูกพิพากษา

            คนเชื่อพระเจ้าและตั้งใจดำเนินในความบริสุทธ์ชอบธรรมได้รับการอวยพร ทรงช่วยเหลือคนของพระองค์ ผู้ทำบาปต้องรับผลบาปโดยไม่ตกหล่นเลย

            โยบคนของพระเจ้าอยู่ใต้กฎความยุติธรรมนี้เช่นกัน

1. ถ้อยคำที่มาจากพระเจ้า (1-4)

            เอลีฮูเริ่มประเด็นใหม่ด้วยการเกริ่นว่าท่านกำลังพูดถ้อยคำที่มาจากพระเจ้า (2) เพื่อถวายเกียรติพระองค์ สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ถูกต้องสมบูรณ์ ไม่ผิดพลาดแน่นอน ความรู้ที่มาจากพระเจ้าถูกต้องสมบูรณ์ อยู่กับถ้อยคำที่จะกล่าวต่อไปนี้ (4)

โยบ.36:1-4

1 และเอลีฮูพูดต่อไปด้วยว่า

2 "ขอทนอยู่กับข้าพเจ้าสักหน่อย และข้าพเจ้าจะสำแดงแก่ท่าน เพราะข้าพเจ้ามีบางสิ่งที่จะพูดแทนพระเจ้าอีก

3 ข้าพเจ้าจะเอาความรู้มาจากที่ไกล และถวายความชอบธรรมแก่ผู้ทรงสร้างข้าพเจ้า

4 เพราะที่จริงถ้อยคำของข้าพเจ้ามิใช่เท็จ ท่านผู้ทรงความรู้รอบคอบสถิตกับท่าน

Be assured that my words are not false; one who has perfect knowledge is with you.

2. ทรงยุติธรรม

            ความยุติธรรมเป็นลักษณะพื้นฐานของพระเจ้า ทรงยุติธรรมทุกเรื่อง ยุติธรรมต่อทุกคน

โยบ.36:5-6

5 "ดูเถิด พระเจ้าทรงอานุภาพ และมิได้ทรงเหยียดหยามผู้ใดเลย พระองค์ทรงอานุภาพในเรื่องกำลังแห่งความเข้าใจ

6 พระองค์มิได้สงวนชีวิตคนอธรรม แต่ทรงประทานความยุติธรรมแก่ผู้ทุกข์ใจ

He does not keep the wicked alive but gives the afflicted their rights.

            2.1 ผู้พิพากษาคือพระเจ้า (5ก)

            เรื่องแรกที่ต้องตระหนักคือ ผู้พิพากษาที่กำลังเอ่ยถึงนี้คือพระเจ้าผู้ทรงสิทธิอำนาจสูงสุด ทรงอานุภาพไม่มีใครเทียบพระองค์ พระเจ้าเหนือสรรพสิ่ง ไม่อยู่ใต้อำนาจใดอีกแล้ว การพิพากษาจากพระองค์ถือเป็นที่สิ้นสุด

            2.2 ตั้งอยู่บนความเข้าใจถ่องแท้ (5ข)

            ความเข้าใจถ่องแท้อยู่คู่กับความยุติธรรม การพิพากษาที่ยุติธรรมแท้จะตั้งบนความเข้าใจถ่องแท้เสมอ พระเจ้าสัพพัญญู (omniscient) รู้แจ้งทุกสิ่ง การพิพากษาของพระองค์ตั้งอยู่บนความเข้าใจถ่องแท้ ไม่มีใครหรือสิ่งใดสามารถปิดบังหลบซ่อนพระองค์ หลักฐานเท็จหลอกพระองค์ไม่ได้ จึงเป็นผู้เดียวที่ให้ความยุติธรรมแท้

            2.3 ยุติธรรมไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด (6)

            รากศัพท์คำว่า “ความยุติธรรม” หรือ “rights” (NIV) ในข้อ โยบ.36:6  คือ מִשְׁפָט  (อ่าน mish-pawt') หมายถึง การพิพากษา ความถูกต้อง ยุติธรรม

            คำนี้ใช้ในหลายที่ เช่น “ความยุติธรรม” ในอพย.23:6 

อพย.23:6 "เจ้าอย่าบิดเบือนคำพิพากษา ให้ผิดไปจากความยุติธรรมที่คนจนควรได้รับในคดีของเขา

            สังเกตว่า “การพิพากษา” “ความถูกต้อง” “ยุติธรรม” คือคำเดียวกัน

            เมื่อพระเจ้าเอ่ยถึงการพิพากษาหมายถึงความถูกต้อง ยุติธรรม

            เมื่อเอ่ยถึงความถูกต้องจะหมายการพิพากษา ยุติธรรม

            และเมื่อเอ่ยถึงความยุติธรรมจะหมายถึงการพิพากษา สำแดงความถูกต้อง

3. พิพากษาตามการกระทำ (7-9)

            มนุษย์ทุกคนไม่ว่าเป็นผู้เชื่อศรัทธาพระเจ้า สามัญชนหรือมีอำนาจ ทรงเฝ้ามอง พิพากษาให้ได้รับการอวยพรหรือโทษตามการกระทำ เตือนว่าอย่างไรถูกอย่างไรผิด

โยบ.36:7-9

7 พระองค์มิได้ทรงหันพระเนตรของพระองค์จากคนชอบธรรม แต่กับบรรดาพระราชาบนพระที่นั่ง พระองค์ทรงตั้งเขาไว้เป็นนิตย์ และเขาก็อยู่ในที่สูง

8 และถ้าเขาถูกจำด้วยพันธนาการ และติดอยู่ในบ่วงแห่งความทุกข์ใจ

9 พระองค์ก็ทรงสำแดงกิจกรรมของเขาทั้งหลายแก่เขาและการทรยศของเขา ว่าเขาได้ประพฤติตัวด้วยความยโส

          อธิบายขยายความ: การตีความสุดโต่ง 2 แบบ

            บางคนตีความว่าพระเจ้าเป็นความรัก ขอเพียงเชื่อพระเจ้าก็เป็นผู้ชอบธรรม จะได้รับการอวยพรมากมาย แม้ทำผิดก็ให้อภัย ดังนั้นจะดำเนินชีวิตอย่างไรก็ได้ขอเพียงเชื่อพระเจ้าก็พอ อยากได้อะไรก็ใช้วิธีอธิษฐานขอก็พอ การตีความเช่นนี้เป็นความสุดโต่งแบบหนึ่ง

            การตีความสุดโต่งอีกแบบคือ ตีความว่าผู้เชื่อทำผิดบาปเสมอ คริสเตียนมักอ่อนแอฝ่ายวิญญาณ แทบจะช่วยตัวเองไม่ได้ มักรับใช้ไม่เกิดผล เป็นผู้ศรัทธาที่ล้มเหลว เสี่ยงหลงหายทิ้งพระเจ้า – การตีความเช่นนี้เป็นความสุดโต่งอีกแบบ

            พระวจนะสอนว่าทรงทอดพระเนตรเฝ้าดูทุกคนเสมอ ไม่ว่าอยู่ในบริบทใด บางครั้งแม้ชนชาติอิสราเอลทิ้งพระเจ้า ทำบาปต่อพระองค์ แต่หากมีใครสักคนที่ตั้งใจเดินกับพระเจ้าแม้เขาไม่สมบูรณ์ ล้มลุกคลุกคลาน พระองค์จะดูแลนำพาชีวิตผู้นั้น คอยเตือนอยู่เสมอ (9)

            ผู้เชื่อทุกคนล้วนอยู่ในบริบทใดบริบทหนึ่ง พระเจ้าอยู่ด้วยในทุกบริบท พระองค์ไม่เคยหลับ

            อีกประเด็นคือ ในบริบทนี้เอลีฮูเพื่อนโยบยกตัวอย่างพระราชา (7ข) ผู้ทรงอำนาจบารมี มีทรัพย์สมบัติสิ่งบำรุงบำเรอมากมาย หลักการของพระเจ้าคือทรงแต่งตั้งผู้นำผู้ปกครองและผู้นั้นต้องรับการพิพากษาจากพระเจ้า ในโลกนี้อาจมีบางกรณีที่ไม่มีใครลงโทษผู้มีอำนาจที่ประพฤติผิด กฎหมายเล่นงานไม่ได้ ในกรณีเช่นนี้พระเจ้าจะจัดการลงโทษเอง เขาจะขาดสันติสุขแม้อยู่ท่ามกลางความบันเทิง ท้ายที่สุดหากไม่กลับใจเชื่อพระเจ้า หันจากวิถีบาป ปลายทางคือบึงไฟนรก

            ผู้ใดขาดสันติสุขแม้มีสิ่งบำรุงบำเรอมากมาย จงตั้งใจแสวงหาพระเจ้า พระองค์คือคำตอบที่ต้องตามหาให้พบ

            พระเยซูตรัสว่า ...

ยน.14:27 เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย

            ความจริงแล้วคนรวยมีอำนาจมักตกอยู่ในบ่วงอำนาจมาร ในบางเวลาคนเหล่านี้คิดว่าชีวิตของเขาอยู่ดีมีสุข หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เขาพึงพอใจนั่นแหละผูกมัดให้ห่างจากพระเจ้า ไกลจากความรอด ตลอดชีวิตต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อรักษาฐานะอำนาจสิ่งที่ตนมี ทำบาปซ้อนบาปมากมาย ยิ่งผูกมัดตัวเองเข้ากับบาป แลกชีวิตนิรันดร์กับความสุขสนุกสนานขณะมีชีวิตสั้นๆ ในโลก

            คำถาม: ท่านเป็นเช่นนั้นหรือไม่ จงตรองดู

            ดังที่พระเยซูกล่าวว่าคนป่วยต้องการหมอ ผู้ที่คิดว่าเขาอยู่ดีมีสุข ตนดีแล้ว ย่อมยากจะแสวงหาพระเจ้า

ลก.5:31-32

31 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ

32 เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีตให้กลับใจเสียใหม่"

4. ขอให้กลับใจใหม่

            ไม่ว่าจะเป็นการอวยพร คำตักเตือน การลงโทษ ล้วนเพื่อให้พวกเขากลับใจใหม่ หันออกจากบาป

โยบ.36:10

10 พระองค์ทรงเบิกหูของเขาให้ฟังคำเตือนสอน และทรงบัญชาให้เขากลับจากความบาปผิดของเขา

He makes them listen to correction and commands them to repent of their evil.

          อธิบายขยายความ: เมื่อพระเจ้าพูดถึงความยุติธรรม ไม่ใช่แค่ความยุติธรรมที่มนุษย์ปฏิบัติต่อกันหรือที่ผู้ปกครองให้ยุติธรรมต่อคนภายใต้ ทรงมองภาพกว้างหมายถึงการที่มนุษย์ทุกคน ทั้งผู้ศรัทธากับคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้าปฏิบัติอย่างถูกต้องตามคำสอนพระองค์ ทรงพิพากษาตามมาตรฐานนี้

            การพิพากษาให้ได้รับการอวยพรหรือรับโทษเกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่เฉพาะเรื่องชีวิตนิรันดร์เท่านั้น

            สำหรับผู้เชื่อการประพฤติปฏิบัติ การแสดงออกของเขาต่อคนอื่นๆ ต้องยึดว่ากระทำถูกต้องต่อพระเจ้าหรือไม่ (ถูกต้องตามคำสอนหรือไม่) แรงจูงใจท่าทีภายในถูกต้องหรือไม่ มากกว่าตามกฎเกณฑ์ของมนุษย์

            วันนี้ไม่ว่าทำสิ่งใดต้องตรวจสอบว่าถูกต้องต่อพระเจ้าหรือไม่ กำลังฟังคำสอน คำเตือนสติอยู่หรือไม่

            การเป็นคริสเตียนผู้เชื่อหมายความว่าผู้นั้นตัดสินใจยินดีดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระเจ้า ตามการทรงนำ ตลอดชีวิตของเขาคือการเปลี่ยนแปลงชีวิต ตั้งใจดำเนินในความบริสุทธ์ชอบธรรม บางคนเปลี่ยนช้า บางคนเร็วกว่า แต่ทั้งหมดต้องเปลี่ยนแปลงให้สมบูรณ์ขึ้นเสมอ อยู่ในบรรยากาศที่ชีวิตถูกสร้างตามลำดับ พระเจ้าดูท่าทีภายในใจว่าเป็นเช่นไร ตั้งใจแสวงหาพระองค์หรือไม่ ตั้งใจยึดพระองค์ไว้มั่นหรือไม่  

            มีเส้นบางๆ ที่การแสวงหาการยึดพระองค์ไว้มั่นต่างจากการยึดคำสอน ถ้ายึดคำสอนโดยขาดความสัมพันธ์ความผูกพันธ์กับพระองค์เช่นนี้จะเป็นการนับถือศาสนา ส่วนคนแสวงหาพระเจ้าก็ต้องยึดพระองค์ไว้ให้มั่น ขอกำลังความเชื่อ มีปฏิสัมพันธ์กับพระองค์

5. ผลของการกลับใจหรือไม่กลับใจ

โยบ.36:11-12

11 ถ้าเขาทั้งหลายเชื่อฟังและปรนนิบัติพระองค์ เขาจะอยู่ครบอายุของเขาด้วยความเจริญรุ่งเรือง และอยู่ครบปีของเขาด้วยความสุขใจ

If they obey and serve him, they will spend the rest of their days in prosperity and their years in contentment.

12 แต่ถ้าเขาทั้งหลายไม่เชื่อฟัง เขาทั้งหลายจะพินาศด้วยดาบ และตายโดยปราศจากความรู้

But if they do not listen, they will perish by the sword and die without knowledge.

            ไม่ว่าจะกลับใจเชื่อฟังหรือไม่ ทั้ง 2 ทางมีผลลัพธ์ที่ถูกกำหนดไว้แล้ว

            5.1 เลือกกลับใจ (11)

            พวกที่เลือกกลับใจ ติดตามปรนนิบัติพระองค์ เชื่อฟังรับใช้พระเจ้า พระองค์จะดูแลเขาทั้งชีวิต เป็นพระสัญญาที่มอบแก่คนของพระองค์

            “เขาจะอยู่ครบอายุของเขาด้วยความเจริญรุ่งเรือง และอยู่ครบปีของเขาด้วยความสุขใจ”

            โยบ.36:11พูดคล้ายโยบ.21:13

โยบ.21:13 ตลอดวันเวลาของเขา เขาก็เจริญ และเขาลงไปที่แดนคนตายในพริบตาเดียว

They spend their years in prosperity and go down to the grave in peace.

            รากศัพท์คำว่า “ความสุขใจ” หรือ “in contentment” (NIV) ในข้อ 11 คือ נָעִים  (อ่าน naw-eem') หมายถึง การพิพากษา ความสุขใจ ความชื่นใจ

            ใช้ในหลายที่ เช่น 

สภษ.22:18 เพราะถ้าเจ้ารักษาถ้อยคำและความรู้นั้นไว้ในตัวเจ้า และพร้อมที่จะพูดคำเหล่านั้นเสมอ มันจะเป็นความชื่นใจแก่เจ้า

            พระพรเหล่านี้เป็นพระสัญญา ผู้เชื่อทุกคนที่ปฏิบัติตามจะได้รับ

            สำคัญยิ่งกว่าความสุขทางกายกับใจคือความอิ่มเอมฝ่ายวิญญาณ วิญญาณจิตที่สัมผัสพระคุณความรักอย่างลึกซึ้ง ใกล้ชิดพระวิญญาณบริสุทธิ์

            ผู้ที่พบความอิ่มเอมฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าทรงรักเขา พระองค์กับเขาผูกพันกัน

            คนที่ชีวิตเปลี่ยนจริงจะยิ่งสัมผัสพระเจ้ามากขึ้น

            5.2 เลือกไม่เชื่อฟัง (12)

            ไม่เชื่อฟังคือไม่ฟังคำเตือน ไม่ขอกลับใจ ผลคือถูกทำลาย

            “พินาศด้วยดาบ” คือโดนทำลายด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่อันตรายต่อชีวิต ไม่จำต้องเป็นหอกดาบเสมอไป

            คำว่า “ความรู้” ในวลี ตายโดยปราศจากความรู้หมายถึงความรู้ในทางพระเจ้า เขาไม่รู้หรือเข้าใจผิด หรือเข้าใจที่สมองแต่ไม่ลงลึกในวิญญาณจิต

            อธิบายขยายความ: โยบบทที่ 36 ย้ำความจริงเรื่องการพิพากษาจากพระเจ้า เตือนอีกครั้งว่าผลของการกลับใจกับการเลือกทำบาปเป็นอย่างไร พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลก ผู้สร้างสรรพสิ่งรวมทั้งตัวเราได้กำหนดผลลัพธ์ล่วงหน้าแล้ว ย้ำเตือนว่าพระองค์ควบคุมอยู่ ทรงกระทำการของพระองค์ อยู่ที่มนุษย์จะยอมรับหรือไม่

            โยบ.36:11-12 ย้ำเตือนผลของการ “กลับใจ” กับ “ไม่กลับใจ” แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทางหนึ่งคือความเจริญรุ่งเรือง (prosperity) อีกทางคือถูกทำลาย ถ้าเลือกพระเจ้าคือเลือกความยั่งยืน ผู้เชื่อศรัทธาจะเข้าใจ ยิ่งเปลี่ยนชีวิตเท่าใด ยิ่งเข้าใจชีวิตใหม่ที่เปลี่ยนไป

          และพึงตระหนักว่าการเป็นคริสเตียนไม่ใช่แค่ปากพูดว่าตัวเองเป็นคริสเตียน หรือคิดว่าตัวเองเชื่อพระเจ้า แต่ภายในไม่เปลี่ยนด้วยฤทธิ์พระคุณ

          เปลี่ยนด้วยฤทธิ์พระคุณ” (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            เป็นเหตุผลว่าทำไมบางคนเป็นคนดี มาโบสถ์ประจำ ถวายตัวรับใช้พระเจ้า อาจเป็นคริสเตียนที่นับถือศาสนาคริสต์ เป็นอีกรูปแบบของคริสเตียนผู้นับถือศาสนา

            ส่วนผู้ที่เปลี่ยนด้วยพระคุณความรักนั้น “ยิ่งเปลี่ยนยิ่งเข้าใจชีวิตใหม่” ยิ่งสัมผัสพระเจ้าลึกซึ้ง (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

            อย่าหลงเลย ใครมีหูจงฟัง

6. ลักษณะคนไม่ได้รับความรอด

โยบ.36:13-14

13 "คนใจไม่นับถือพระเจ้าก็สะสมพระพิโรธ เมื่อพระองค์ทรงมัดเขา เขาไม่ร้องให้ช่วย

14 เขาตายเมื่อยังหนุ่มอยู่ และชีวิตของเขาสิ้นสุดลงท่ามกลางพวกเทวทาส

They die in their youth, among male prostitutes of the shrines.

            พระธรรมตอนนี้พูดถึงคนไร้พระเจ้า คนไม่นับถือพระเจ้า

            รากศัพท์เดียวกับคำว่า “คนใจไม่นับถือพระเจ้า” ใช้ในที่อื่นๆ เช่น คนไร้พระเจ้า (สภษ.11:9) ปฏิเสธพระเจ้า (อสย.10:6)

สภษ.11:9 คนไร้พระเจ้าทำลายเพื่อนบ้านของเขาด้วยปาก แต่คนชอบธรรมได้รับการช่วยให้พ้นด้วยอาศัย ความรู้

อสย.10:6 เราจะใช้เขาไปสู้ประชาชาติที่ปฏิเสธพระเจ้าเราจะบัญชาเขาให้ไปสู้ชนชาติที่เรากริ้ว ไปเอาของริบและฉวยของปล้น และให้เหยียบย่ำลงเหมือนเหยียบเลนในถนน

            6.1 สะสมบาปที่ต้องรับโทษ (13ก)

            คนบาปทำบาปเสมอ และมักทำบาปเรื่องซ้ำๆ บางคนยิ่งทำบาปยิ่งเชี่ยวชาญ เช่น รู้ว่าต้องพูดโกหกอย่างไรคนอื่นจึงจะหลงเชื่อง่ายๆ รู้ว่าควรคอร์รัปชันอย่างไรจึงสามารถหลบเลี่ยงกฎหมาย

            คนจำนวนมากจึงอยู่ในวังวนความบาป คนเหล่านี้ทำบาปเป็นเรื่องปกติ และถูกบาปผูกมัดแน่น บางครั้งอาจทำความดีบ้าง บางคนอยากประพฤติตัวชอบธรรมแต่ทำได้ไม่สมบูรณ์ จิตสำนึกผิดชอบนับวันจะหดหาย

            ลักษณะเด่นคือปฏิเสธพระเจ้า สะสมความบาปที่พระเจ้าจะลงโทษทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

            6.2 ไม่ร้องหาพระเจ้า (13ข)

            ผลของบาปคือต้องรับโทษของบาปนั้น หลายเรื่องต้องรับขณะมีชีวิตในโลก แต่แม้ชีวิตเผชิญปัญหาความทุกข์ยากหลายคนยังปฏิเสธพระเจ้า ใจแข็งไม่ยอมรับ อาจด้วยความเย่อหยิ่ง ไม่เชื่อคำสอน ต่อต้านเรื่องพระเจ้า ถูกผูกมัดด้วยอำนาจบาป

            6.3 มีชีวิตในโลกไม่นาน (14ก)

            อายุขัยมนุษย์ไม่นานอยู่แล้ว น้อยคนที่มีอายุถึง 120 ปี บริบทตอนนี้เอ่ยถึงคนที่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร

            เหตุเพราะใช้ชีวิตที่เต็มด้วยบาป ต่อต้านความชอบธรรม ปฏิเสธพระเจ้า พระองค์จึงพิพากษาให้เสียชีวิตตั้งแต่อายุไม่มาก ความร้ายแรงอยู่ที่พระเจ้าพิพากษาเขาว่าหมดโอกาสได้รับความรอด ช่วงโอกาสที่จะได้รับพระคุณสั้นกว่าคนอื่น เป็นคนที่น่าสงสารโดนบาปเล่นงานอย่างหนักและลงท้ายด้วยรับโทษนิรันดร์

            ตัวอย่าง บุตรชาย 2 คนของเอลีที่พระเจ้าให้เสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่ม

1ซมอ.3:12-13

12 ในวันนั้นเราจะกระทำให้สิ่งที่เราลั่นวาจาไว้เกี่ยวด้วย เรื่องพงศ์พันธุ์ของเอลีให้สำเร็จเสียต่อเอลี ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด

13 ดังนั้นเราจึงบอกเขาว่า เราจะลงโทษพงศ์พันธุ์ของเขาเป็นนิตย์ เพราะความบาปชั่วซึ่งเขารู้แล้ว เพราะบุตรทั้งสองของเขาเหยียดหยามพระเจ้า และเขาก็มิได้ห้ามปราม

1ซมอ.4:11 และหีบแห่งพระเจ้าก็ถูกยึดไป และบุตรทั้งสองของเอลี คือโฮฟนีและฟีเนหัสก็ถูกฆ่าตาย

            6.4 เทวทาส (14ข)

            พวกเทวทาส (male prostitutes of the shrines)

            รากศัพท์คำว่า “พวกเทวทาส” ในข้อนี้คือ קָדֵשׁ (อ่าน kaw-dashe') หมายถึง a temple prostitute

            เทวทาสคือผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องทางเพศ เป็นพิธีกรรมหรือส่วนหนึ่งของพิธีกรรม เป็นสิ่งไม่สะอาด พฤติกรรมต้องห้ามอันน่าเกลียด (1พกษ.14:24) พระเจ้าต่อต้านเทวทาส

1พกษ.14:24 และมีเทวทาสในแผ่นดินนั้นด้วย และเขาได้กระทำตามบรรดาสิ่งน่าเกลียดน่าชังแห่งประชาชาติทั้งหลาย ซึ่งพระเจ้าทรงขับไล่ออกไปให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล

            ในบริบทโยบ.36 กำลังชี้ว่าคนบาปบางคนเกี่ยวข้องกับเทวทาส มั่วสุมอยู่กับสิ่งเหล่านั้นและถูกพระเจ้าพิพากษารับโทษ

            ชุมชนที่โยบอาศัยเป็นคนเชื่อพระเจ้า โยบสำแดงความเป็นคนของพระองค์และได้รับการยอมรับอย่างสูง แต่มีชุมชนอื่นที่ยึดถือศาสนานิกายที่มีเทวทาส

            อธิบายขยายความ: ความหมายแบบกว้างของ “เทวทาส” ไม่จำต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศ อาจเป็นพฤติกรรมหรือการกระทำใดๆ ที่บูชารูปเคารพ พระเจ้ามองว่าการบูชารูปเคารพด้วยวิธีการใดๆ ล้วนเป็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียน ห้ามเข้าไปเกี่ยวข้อง

คส.3:5 เหตุฉะนั้นจงประหารโลกียวิสัยในตัวท่านเสีย มีการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการนับถือรูปเคารพ

Put to death, therefore, whatever belongs to your earthly nature: sexual immorality, impurity, lust, evil desires and greed, which is idolatry.

            “รูปเคารพ” คือรักทำบาปอย่างใดอย่างหนึ่ง

            คนที่รักตัวเอง พึ่งพาสิ่งอื่นๆ มากกว่าพระเจ้า ดำเนินชีวิตตามลัทธิแนวคิดต่างๆ ที่ขัดหลักการพระเจ้า เหล่านี้เป็นรูปเคารพ พระเจ้าสอนให้รักพระเจ้ามากที่สุด รองมาคือรักตัวเองและคนอื่นๆ และต้องเป็นความรักแบบอากาเป้ (agape) รักที่เสียสละตัวเอง ยินดีเห็นแก่ผู้อื่นตามหลักพระคัมภีร์ พระองค์คือจุดเริ่มแห่งความรัก (agape) ผู้เชื่อได้รับและส่งผ่านรักนี้แก่ทุกคนทั่วโลก (รวมตัวเอง) ไม่รักสิ่งอื่นใดเหนือพระเจ้า ไม่ถือสิ่งใดเป็นรูปเคารพ

ฉธบ.5:6-10

6 "'เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ออกจากแดนทาส

7 "'อย่ามีพระเจ้าอื่นนอกเหนือจากเรา

8 "'อย่าทำรูปเคารพสำหรับตนเป็นรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือซึ่งมีอยู่ที่แผ่นดินเบื้องล่าง หรือซึ่งมีอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน

9 อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น ด้วยเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าหวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเรากระทั่งสามชั่วสี่ชั่วอายุ

10 แต่แสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเราและปฏิบัติตามบัญญัติของเรากระทั่งพันชั่วอายุ

            รวมความแล้ว รูปเคารพหมายถึงการรักหวงแหนสิ่งอื่นมากกว่าพระเจ้า จึงบาป ห่างไกลพระองค์

            ขอพระเจ้าเมตตาช่วยให้เราสามารถรักพระเจ้ามากกว่านี้

            ผู้เชื่อเป็นพระวิหารของพระองค์ เป็นที่ทรงสถิตของพระวิญญาณ ดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ชอบธรรม

1คร.3:16,19

16 ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน

19 ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง

2คร.6:16 วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์ ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า "เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขาและเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นชนชาติของเรา

What agreement is there between the temple of God and idols? For we are the temple of the living God. As God has said: “I will live with them and walk among them, and I will be their God, and they will be my people.”

รม.8:13 เพราะว่าถ้าท่านทั้งหลายดำเนินชีวิตตามฝ่ายเนื้อหนังแล้ว ท่านจะต้องตาย แต่ถ้าโดยฝ่ายพระวิญญาณ ท่านได้ทำลายการของฝ่ายกายเสียท่านก็จะดำรงชีวิตได้

7. พระผู้ช่วยให้พ้นทุกข์ ปลดปล่อยให้เป็นไท

โยบ.36:15-16

15 พระองค์ทรงช่วยกู้ผู้ที่ทุกข์ใจไว้ด้วยความทุกข์ใจของเขา และทรงให้ความลำเค็ญเบิกหูของเขา

But those who suffer he delivers in their suffering; he speaks to them in their affliction.

16 เออ พระองค์ทรงชวนท่านให้ออกมาจากความคับใจมายังที่กว้างที่ไม่มีการบีบ และสิ่งที่วางไว้ในสำรับของท่านก็มีแต่สิ่งอ้วนพี

“He is wooing you from the jaws of distress to a spacious place free from restriction, to the comfort of your table laden with choice food.

            ความรอด (ได้รับการไถ่และได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์) คือการพ้นทุกข์นิรันดร์ ทุกคนในโลกประสบปัญหาอุปสรรค ดิ้นรนให้ผ่านการทดสอบทดลอง เป็นช่วงสำคัญที่ผู้เชื่อศรัทธาต้องผ่านให้ได้ โยบ.36:15-16 อธิบายพระเจ้าช่วยให้พ้นทุกข์ ปลดปล่อยให้เป็นไทขณะอยู่ในโลก สามารถรักษาความรอดจนถึงที่สุด ดังนี้

            7.1 ช่วยให้พ้นทุกข์ (15ก)

พระองค์ทรงช่วยกู้ผู้ที่ทุกข์ใจไว้ด้วยความทุกข์ใจของเขา

But those who suffer he delivers in their suffering; (NIV)

            โลกนี้เป็นโลกแห่งความบาป สังคมบาป มนุษย์ทำบาปต่อกัน ทำร้ายกัน กดขี่บีบบังคับ เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย พระเจ้าเข้ามาช่วยปลดปล่อยคนของพระองค์จากความทุกข์ต่างๆ

            ความทุกข์รวมถึงความขัดสนฝ่ายวิญญาณ ความยากลำบากในสงครามฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าเป็นพระผู้เลี้ยงจะเลี้ยงดูเยียวยา สั่งสอนตักเตือนว่ากล่าว ปกป้องคนของพระองค์

            พระคัมภีร์อธิบายเรื่องนี้ ยกตัวอย่าง

สดด.23

สดด.23:1-4

1 พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน

The LORD is my shepherd, I lack nothing.

2 พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ

He makes me lie down in green pastures, he leads me beside quiet waters,

3 ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์

he refreshes my soul. He guides me along the right paths for his name’s sake.

4 แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์

Even though I walk through the darkest valley, I will fear no evil, for you are with me; your rod and your staff, they comfort me.

            โยบ.36:15-16 กับ สดด.23:1-4 ชี้ว่าพระเจ้าดูแลทั้งร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ

            อธิบายขยายความ: ดาวิดเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปในสมัยนั้นที่ต้องช่วยทางบ้านเลี้ยงแกะ จึงมีประสบการณ์ดูแลฝูงแกะอย่างดี และ “เป็นพยาน” ยกประสบการณ์ที่ตนได้รับการดูแลจากพระเจ้าเทียบกับการเลี้ยงแกะ สดด.23 บรรยายอย่างชัดเจนครบถ้วน

            คริสเตียนผู้เชื่อทุกคนสามารถมีประสบการณ์อย่างดาวิดตาม สดด.23 ไม่จำต้องเป็นบุคคลพิเศษ (ตามมุมมองดาวิดได้รับการเจิมเป็นพิเศษ)

            7.1.1 วิธีช่วยให้พ้นทุกข์ (จากสดด.23:6)

            หลักการที่ดาวิดเอ่ยถึงตอนนี้คือ

สดด.23:6 แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์

Surely your goodness and love will follow me all the days of my life, and I will dwell in the house of the LORD forever.

            1) ติดตามพระเจ้าอย่างมั่นคง (6ก)

            พระเจ้าประสงค์สำแดงว่าอยู่ใกล้ผู้เชื่อ ขอเพียงผู้นั้นตอบสนองแล้ว “ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป”

            คำว่า “ความดี” ในที่นี้หมายถึงความดีของพระเจ้า (your goodness) คือพระลักษณะพระองค์ เช่น ความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดี การช่วยกู้ พิพากษาอวยพรหรือลงโทษ ฯลฯ

            ความดีหรือสิ่งดีต่างๆ จะปรากฏกับคนของพระเจ้า “ที่ติดตามพระเจ้าอย่างมั่นคง” ตามที่ดาวิดประกาศขอติดตามพระเจ้าเช่นนั้น (สดด.23:6ข)

            2) ขออยู่กับพระเจ้าตลอดไป (6ข)

            ดาวิดประกาศตัว “ข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์”

            ดาวิดพูดเรื่องนี้ซ้ำอีกใน สดด.27:4

สดด.27:4 ข้าพเจ้าทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระเจ้าซึ่งข้าพเจ้าจะเสาะแสวงหาเสมอ คือที่ข้าพเจ้าจะได้อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ตลอดวันเวลาชั่วชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อจะดูความงามของพระเจ้า และเพื่อจะพินิจพิจารณาอยู่ในพระวิหารของพระองค์

            คำว่า”อยู่พระนิเวศของพระเจ้า” ของดาวิดหมายถึงการได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในพลับพลา ข้อนี้ให้หลักการสำคัญคือสัมผัสพระเจ้าใกล้ชิดพระองค์ (27:4ค) จนสามารถพินิจพิจารณา “ดูความงามของพระเจ้า”

            พระเจ้าสำแดงหลากหลายแบบ (ขึ้นกับพระองค์) สดด.27:4 เอ่ยถึง “ความงามของพระเจ้า” อันหมายถึงพระสิรินั่นเอง (ดาวิดไม่ได้เห็นตัวพระเจ้าจริงๆ พระองค์สำแดงบางอย่างให้ดาวิดสัมผัสรับรู้ได้)

            จึงเป็นหลักการว่าการแสวงหาพระเจ้าไม่ว่าจะส่วนตัวหรือส่วนรวม (เช่น นมัสการในคริสตจักร) ควรเข้าถึงจุดที่สัมผัสพระเจ้าใกล้ชิดพระองค์

            ไปคริสตจักรหรือแสวงหาพระเจ้าส่วนตัวต้องพยายามไปให้ถึงจุดพบพระเจ้า

            คำถาม: วันนี้ท่านไปคริสตจักรเพื่อสิ่งใด แสวงหาอะไร

            “ข้าพเจ้าทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระเจ้าซึ่งข้าพเจ้าจะเสาะแสวงหาเสมอ”

            7.1.2 อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์

            ประโยค “และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์” (สดด.23:6ข) มีความหมาย 2 ประการ

            1) ติดตามพระเจ้าอย่างมั่นคง

            ตามที่ได้อธิบายแล้วว่า ความดีหรือสิ่งดีต่างๆ จะอยู่หรือปรากฏกับคนของพระเจ้า “ที่ติดตามพระเจ้าอย่างมั่นคง” (สดด.23:6ข)

            เรื่องราวของดาวิดปรากฎตั้งแต่ท่านเป็นเด็กเลี้ยงแกะ ผ่านประสบการณ์ร้อนหนาวมากมาย ช่วงชีวิตที่รุ่งโรจน์และหนีตาย แกล้งเป็นคนบ้า เป็นผู้นำที่เริ่มต้นจากศูนย์จนเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ถูกลูกตัวเองยึดอำนาจ และกลับมาปกครองอิสราเอลอีกครั้ง อยู่จนแก่เฒ่า พระเจ้าให้ดาวิดสร้างพลับพลา (พลับพลาดาวิด) ออกแบบจัดเตรียมสร้างพระนิเวศ (เสร็จสมบูรณ์ในสมัยซาโลมอนบุตรชาย) เขียนบทเพลงสดุดีมากมายที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ไบเบิล

            ชีวิตดาวิดพิสูจน์แล้วว่าท่านติดตามพระเจ้าตั้งแต่เป็นเด็กเลี้ยงแกะ ประสบเหตุการณ์มากมาย ผ่านการทดสอบทดลอง ทำถูกบ้างผิดบ้าง เติบโตฝ่ายวิญญาณมากขึ้นตามลำดับ ทั้งหมดนี้พระองค์ทรงนำจนบรรลุการทรงเรียก เป็นตัวอย่างให้ผู้เชื่อรุ่นหลังได้ศึกษา

            2) ชีวิตนิรันดร์

            พระนิเวศของพระเจ้าคือที่ๆ พระองค์ประทับอยู่ ในสวรรค์ผู้เชื่อจะอยู่กับพระองค์นิรันดร์

            คริสเตียนผู้เชื่ออยู่กับพระเจ้าตั้งแต่วันนี้และสืบไปเป็นนิจ

            รวมความแล้ว การพ้นทุกข์ไม่ใช่การไร้ทุกข์ คริสเตียนบริสุทธิ์ในทางนิตินัย แต่พฤตินัยยังบาปอยู่ พระเจ้ายุติธรรม เขาจึงต้องรับผลบาปบางอย่างที่ทำขณะอยู่ในโลก เผชิญสงครามฝ่ายวิญญาณ การทดสอบทดลอง แต่พระเจ้าจะช่วยเขานำเขาจนถึงนิรันดร์

            อีกทั้งอุปสรรคความทุกข์ยากบางครั้งบางเรื่องเป็นประโยชน์ถ้าตอบสนองอย่างถูกต้อง (พระเจ้ามีการทดสอบ ให้เรียนรู้ผ่านอุปสรรค) สามารถอยู่ได้หรือผ่านเรื่องราวต่างๆ ได้ ที่สำคัญคือให้ความสำคัญกับชีวิตนิรันดร์ ชีวิตผู้เชื่อคือการแสวงหาพระเจ้า พัฒนาความใกล้ชิดติดสนิท ตอบสนองพระคุณด้วยการดำเนินในความบริสุทธิ์ชอบธรรม ตามนิมิตการทรงเรียก (ที่เป็นส่วนหนึ่งของปฐมบัญชากับมหาบัญชา) ผ่านการทดลองทดสอบ สามารถรักษาความรอดและได้รับมงกุฎนิรันดร์

            เป็นวิธีพ้นทุกข์ที่ยั่งยืนนิรันดร์

            จงสรรเสริญพระเจ้า

        7.2 นำทิศทาง (15ข)

โยบ.36:15 พระองค์ทรงช่วยกู้ผู้ที่ทุกข์ใจไว้ด้วยความทุกข์ใจของเขา และทรงให้ความลำเค็ญเบิกหูของเขา

But those who suffer he delivers in their suffering; he speaks to them in their affliction.

            พระเจ้าตรัสกับทุกคนทุกเวลา ข้อนี้เน้นผู้ทุกข์ใจกำลังประสบปัญหา พระองค์พูดด้วยเพื่อสอนเขาให้เข้าใจชีวิต นำทิศทาง

            คริสเตียนผู้เชื่อได้รับการนำทิศนำทาง พระองค์นำเขาออกจากทางแห่งทุกข์นั้น

            หนึ่งในการช่วยสำคัญคือพระองค์นำชีวิตให้หลุดพ้นจากความบาป สู่วิถีของพระเจ้า ข้อนี้สำคัญมาก เพราะการแก้ปัญหาแท้ต้องแก้ที่รากปัญหา แก้ที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ให้ยาแก้ปวดเป็นครั้งคราว คลายทุกข์เฉพาะหน้าแต่ไม่แก้ที่ต้นตอ

            อธิบายขยายความ: พระเจ้าช่วยทั้งแบบ “เฉพาะหน้า” กับแบบ “ถาวรนิรันดร์”

            การช่วยเฉพาะหน้าเช่นตอบคำอธิษฐานให้พ้นภัย ได้รับความช่วยเหลือจากปัญหาในขณะนั้นที่เป็นเหตุเฉพาะหน้า เช่น ของหายได้คืน ได้งานใหม่ รักษาโรค

            การช่วยแบบ “ถาวรนิรันดร์” คือให้ได้รับความรอด สามารถรักษาความเชื่อจนถึงที่สุด ภายใต้กระบวนการนี้จำต้องเปลี่ยนแปลงชีวิต เปลี่ยนทัศนคติ ค่านิยม มุ่งมั่นตั้งใจดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ชอบธรรม

            ยกตัวอย่าง นาย ก มีนิสัยชอบเล่นการพนัน เสียเงินมากมาย รายได้ไม่พอรายจ่าย สร้างปัญหาแก่ครอบครัวลูกเมีย วันนี้ไม่มีเงินกินข้าว พระเจ้าแก้ “เฉพาะหน้า” ด้วยการให้มีคนนำอาหารมาเลี้ยงอย่างอัศจรรย์แก้ปัญหาไม่มีข้าวกินวันนั้น

            การแก้แบบ “ถาวรนิรันดร์” คือ พระเจ้าเปลี่ยนชีวิตนาย ก ให้เลิกนิสัยรักพนัน หันมาผูกพันกับพระเจ้า รักครอบครัว นาย ก ถูกสร้างใหม่เป็นคนมีความรับผิดชอบ ตั้งใจทำมาหากินโดยสุจริต ไม่นานครอบครัวมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ไม่ขัดสน ทั้งครอบครัวเชื่อพระเจ้าอย่างมั่นคง ได้รับความรอด

            คริสเตียนผู้เชื่อต้องให้ความสำคัญกับทั้ง 2 แบบ ทั้งคู่จะประสานกัน เป็นการดำเนินชีวิตวันต่อวันกับพระเจ้าโดยยึดเป้าหมายนิรันดร์

ลก.9:23-25

23 พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า "ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา

24 เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด

25 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียตัวของตนเองผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร

            ต้องตระหนักเสมอว่าพระเจ้าให้ความสำคัญต่อความรอดกับนิมิตการทรงเรียกเป็นหลัก ไม่ใช่สิ่งอื่นใดในโลกนี้

        7.3 ปลดปล่อยจากแรงกดดันให้เป็นไท (16ก)

16 เออ พระองค์ทรงชวนท่านให้ออกมาจากความคับใจมายังที่กว้างที่ไม่มีการบีบ และสิ่งที่วางไว้ในสำรับของท่านก็มีแต่สิ่งอ้วนพี

“He is wooing you from the jaws of distress to a spacious place free from restriction, to the comfort of your table laden with choice food.

            คนมากมายทุกข์ใจจากสิ่งรอบข้าง เรื่องราวรอบตัว โดนกดขี่บีบบังคับทำร้ายจิตใจ บางคนอยู่ในความคับแค้น พระเจ้าช่วยนำให้พ้นจากบริบทสถานการณ์เช่นนั้น การอยู่ใต้การทรงนำจึงสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง (ไม่เพียงเรื่องแรงกดดันบางทุกข์ใจ)

            7.3.1 พ้นอำนาจบาป

            การกดขี่คือคนบาปทำบาปต่อกัน อยู่ในสังคมบาป เมื่อคนหนึ่งทำบาปต่ออีกคนมักชักนำให้ตอบสนองด้วยการทำบาปเช่นกัน (ด่าทอกัน ทำร้ายร่างกายกัน) ในใจคิดเรื่องชั่วร้าย ต่างฝ่ายต่างสะสมความบาป พระเจ้านำให้คนของพระองค์ออกจากบริบทความบาป

รม.12:7 อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย แต่จงมุ่งกระทำสิ่งที่ใครๆ ก็เห็นว่าดี

            การนำออกจากบริบทความบาป ไม่ใช่การนำผู้เชื่อให้อยู่ตัวคนเดียวไม่สนใจใคร แปลกแยกจากสังคม พระเจ้าต้องการผู้เชื่อปฏิสัมพันธ์กับโลก เพื่อช่วยรักษาฟื้นฟูโลก พระเจ้าจะพาคนของพระองค์ออกจากบางบริบทที่ไม่ควรอยู่จริงๆ เช่น ให้ออกจากงานที่พัวพันบาปมากสู่งานใหม่ที่ดีกว่า สามารถดำเนินในทางแห่งความชอบธรรม เอื้อต่อการทำตามบัญชาพระองค์

            7.3.2 ดำเนินในความบริสุทธิ์ชอบธรรม

            เป้าหมายพื้นฐานคือนำให้พ้นบาป เข้าสู่วิถีบริสุทธิ์ชอบธรรม นี่คือการปลดปล่อยให้เป็นไท

            การปลดปล่อยให้เป็นไทคือการปลดปล่อยฝ่ายวิญญาณ (สัมพันธ์กับฝ่ายกายและจิตใจด้วย) ดำเนินชีวิตใหม่อย่างผู้เชื่อพระเจ้า ชีวิตเปลี่ยนจากรากฐานภายใน เป็นคนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ตามคำสอน

            สดด.19:7-13 บรรยายประโยชน์ ความดีงาม ความถูกต้องเที่ยงตรง มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินมีค่า (ทองคำ) น่าปรารถนายิ่งกว่าน้ำผึ้ง (น้ำผึ้งมีคุณค่าทางอาหาร มีสรรพคุณทางยา รสชาติดี) ผู้ประพฤติตามจะได้รับผลดี รับการอวยพรจากพระเจ้า (11) พ้นจากชีวิตเก่าที่ทำบาปผิด (12-13)

            ผู้คนมากมายดิ้นรนวิ่งหาชื่อเสียงเงินทอง คำสอนพระองค์มีค่ามากกว่า น่าแสวงหามากกว่า

สดด.19:7-13

7 กฎหมายของพระเจ้ารอบคอบ และฟื้นฟูจิตวิญญาณ กฎเกณฑ์ของพระเจ้านั้นแน่นอน กระทำให้คนรู้น้อยมีปัญญา

8 ข้อบังคับของพระเจ้านั้นถูกต้อง กระทำให้จิตใจเปรมปรีดิ์ พระบัญญัติของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ กระทำให้ดวงตากระจ่างแจ้ง

9 ความยำเกรงพระเจ้านั้นสะอาดหมดจด ถาวรเป็นนิตย์ กฎหมายของพระเจ้าก็สัตย์จริง และชอบธรรมทั้งสิ้น

10 น่าปรารถนามากกว่าทองคำ ยิ่งกว่าทองนพคุณมากนัก หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้ง ที่หยดลงจากรวง

They are more precious than gold, than much pure gold; they are sweeter than honey, than honey from the honeycomb.

11 อนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นที่ตักเตือนผู้รับใช้ของพระองค์ การที่จะรักษาข้อความเหล่านั้นก็ได้บำเหน็จอันใหญ่ยิ่ง

12 แต่ผู้ใดเล่าจะเล็งเห็นความผิดพลาดของตนได้ขอพระองค์ทรงชำระข้าพระองค์ให้พ้นจากความผิดที่ซ่อนเร้นอยู่

13 ขอทรงยับยั้งผู้รับใช้ของพระองค์ให้พ้นจากบาปโดยประมาทนั้นด้วยเถิด ขออย่าให้มันมีอำนาจเหนือข้าพระองค์เลย แล้วข้าพระองค์จะไร้ตำหนิ และพ้นจากความผิดจากการทรยศที่ยิ่งใหญ่นั้น

            หลักเบื้องหลังคือมนุษย์ทุกคนอยู่ในอำนาจความบาป มักทำผิดบาป เหมือนถูกจองจำถูกชักนำให้ทำบาปอยู่เสมอ ทำบาปซ้ำๆ แม้รับผลบาปแต่หาทางออกไม่ได้และยังทำบาปซ้อนบาปต่อไป

            ช่างเป็นเรื่องเศร้าของคนไม่รู้จักพระเจ้า และยิ่งน่าเศร้ากว่านั้นถ้าพูดว่าเป็นคริสเตียนแต่ไม่สนใจพระวจนะ ไม่หวังถูกสร้างขึ้นบนหลักการพระองค์

            การตัดสินใจเชื่อพระเจ้า เป็นคริสเตียน เป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง แต่จะดียิ่งกว่านั้นมากถ้าชีวิตเปลี่ยนตามพระวจนะ

            ด้วยการที่พระเจ้าเข้ามาช่วยให้พ้นบาป ปลดปล่อยให้เป็นไท จึงสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่พ้นจากอำนาจบาปที่ควบคุมชีวิต

คส.1:12-14

12 ให้ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้เราทั้งหลาย สมกับที่จะเข้าส่วนได้รับมรดกด้วยกันกับธรรมิกชนในความสว่าง

13 พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอำนาจของความมืด และได้ทรงย้ายเรามาตั้งไว้ในแผ่นดินแห่งพระบุตรที่รักของพระองค์

14 ในพระบุตรนั้นเราจึงได้รับการไถ่ ซึ่งเป็นการทรงโปรดยกบาปทั้งหลายของเรา

            คำถาม: ทบทวนชีวิตตัวเองว่าก่อนมาเชื่อพระเยซูอยู่ใต้อำนาจบาป อยู่ในวิถีบาปอย่างไร ตอนนี้เปลี่ยนแปลงใหม่แล้วอย่างไร

            การตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเป็นจุดเริ่มต้น เป็นก้าวแรกของหนทางอีกยาวไกล สร้างชีวิตใหม่ที่สำแดงพระสิริ เป็นตัวแทนพระคริสต์ในโลกนี้

            7.4 ดูแลเลี้ยงดูอย่างดี (16ข)

            ประโยค “และสิ่งที่วางไว้ในสำรับของท่านก็มีแต่สิ่งอ้วนพี” ความหมายตรงตัวคือพระเจ้าจัดเตรียมอาหารดีๆ หลายอย่างไว้บนโต๊ะพร้อมกิน เป็นจานเลิศที่เตรียมอย่างดีมีให้เลือกหลากหลาย

            ประโยคนี้อาจตีความว่าคือเรื่องอาหารการกินอย่างเดียว หรือตีความแบบกว้างว่าทรงดูแลสิ่งจำเป็นทั้งสิ้น ความต้องการปัจจัย 4 อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรค เป็นไปไม่ได้ที่จะกินดีกินอิ่มแต่ยากจนแต่งตัวซอมซ่อ ไม่มีบ้านพักอาศัย

            สรุปความหมายกรอบกว้างคือพระเจ้าดูแลเลี้ยงดูอย่างดี “มีแต่สิ่งอ้วนพี” ทรงทราบดีว่าแต่ละคนต้องการอะไร

8. ไม่มีใครหลบพ้นการพิพากษา

โยบ.36:17 "แต่ท่านก็สมกับการพิพากษาคนชั่ว การพิพากษาและความยุติธรรมมาทันจับท่าน

But now you are laden with the judgment due the wicked; judgment and justice have taken hold of you.

            โยบ.36 อธิบายความยุติธรรมของพระเจ้าว่าเป็นอย่างไร ทุกคนไม่ว่าจะยากรวยมีจน คนสูงศักดิ์หรือสามัญชน ล้วนอยู่ภายใต้กฎความยุติธรรม ทรงให้ความยุติธรรมแก่ทุกคนๆ ได้รับผลจากสิ่งที่ทำและพระองค์พร้อมเข้าช่วยเหลือหากผู้นั้นร้องทูล แสวงหาพระเจ้าอย่างจริงใจ

            คนเชื่อพระเจ้าได้รับการช่วยกู้ตามน้ำพระทัย ส่วนพวกไม่เชื่อต้องรับผลบาป

            โยบ.36:17 เอลีฮูเพื่อนโยบพูดเจาะจงต่อโยบว่าเขาอยู่ในกฎความยุติธรรมไม่ต่างจากคนอื่น ต้องรับโทษจากบาปที่ทำ

            อธิบายขยายความ: ตั้งแต่ต้นโยบยืนยันว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด ความจริงคือแม้โยบทำตามธรรมบัญญัติอย่างเคร่งครัด พยายามรักษาชีวิตที่ดีงาม แต่โยบมีความบาปที่ตัวเขาไม่รู้ ไม่คิดว่าทำบาปไปแล้ว ต้องรับผลบาปไม่ต่างจากคนอื่น

            เป็นหลักการว่าแม้พยายามรักษาธรรมบัญญัติเคร่งครัดเพียงใด แต่ไม่มีใครปราศจากบาป หลายครั้งทำผิดโดยไม่รู้ตัวว่าทำไปแล้ว คิดว่าทำถูกแต่จริงๆ แล้วผิดหรือไม่สมบูรณ์

            พระเยซูสอนว่าบรรดาธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งสิ้น สรุปเหลือเพียง 2 ข้อคือรักพระเจ้า รักตนเองกับรักเพื่อนบ้าน (มนุษย์ทุกคน)

มธ.22:36-40

36 "อาจารย์เจ้าข้า ในธรรมบัญญัตินั้นข้อใดสำคัญที่สุด"

37 พระเยซูทรงตอบเขาว่า "จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า

38 นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่ และข้อต้น

39 ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

40 ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งสิ้น ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้"

            คำถาม: มีใครบ้างที่ “รักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า” ได้สมบูรณ์เต็มร้อยตลอดเวลา ท่านกำลังทำบาปอยู่ใช่หรือไม่

            ดังนั้น ธรรมบัญญัติช่วยใครรอดไม่ได้ (ธรรมบัญญัติช่วยชี้ว่าถูกผิดเป็นอย่างไร อะไรควรทำอะไรไม่ควร ถ้าทำถูกได้รับการอวยพร ถ้าผิดต้องรับโทษอย่างไร) ไม่มีใครทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ (หลายคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำผิดไปแล้ว) พระเจ้าช่วยผู้เชื่อด้วยพระคุณความเชื่อ ไม่ใช่ด้วยความประพฤติที่ต้องวัดตามมาตรฐานธรรมบัญญัติ

กท.3:10-11

10 เพราะว่าคนทั้งหลายซึ่งพึ่งการประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็ถูกแช่งสาป เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ทุกคนที่มิได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ ที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติก็ถูกแช่งสาป

11 เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้าด้วยธรรมบัญญัติได้เลย เพราะว่า "คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ

            คนในสมัยพระคัมภีร์เดิมรอดด้วยความเชื่อเช่นกัน ด้วยการเชื่อว่าพระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้า ในสมัยพระคัมภีร์ใหม่ (ปัจจุบัน) คริสเตียนเชื่อว่าพระเยซูคือพระเจ้าตายไถ่บาปมนุษย์แล้ว (พระเยซูที่กางเขนคือขั้นตอนที่เกิดการไถ่บาปจริง การไถ่เสร็จสมบูรณ์ตามคำเผยพระวจนะ)

9. อย่าคิดว่าเงินทองช่วยให้พ้นทุกข์

โยบ.36:18-19 (อ่าน NIV)

18 จงระวังเถิด เกรงว่าพระพิโรธจะล่อชวนท่านให้เย้ยหยัน และอย่าให้ค่าอันยิ่งใหญ่ของการไถ่ทำให้ท่านหลบหลีกไป

Be careful that no one entices you by riches; do not let a large bribe turn you aside. (NIV)

19 เสียงร้องจะช่วยให้ท่านพ้นจากความทุกข์ใจหรือหรือเรี่ยวแรงทั้งสิ้นของท่านจะช่วยท่านได้หรือ

Would your wealth or even all your mighty efforts sustain you so you would not be in distress?

            อย่าคิดว่าความรวยจะช่วยให้พ้นทุกข์

            อย่าให้ความมั่งคั่งหรือคนมั่งมีชักนำให้ทำชั่ว เสียคนเพราะโลภ (สินบน)

            หลังชี้ว่าไม่มีใครหลบพ้นการพิพากษา โยบข้อถัดมาเตือนอย่ารักเงินทองความมั่งคั่ง อย่าทำบาปเพราะเงิน หรืออยากเป็นเศรษฐีเพราะเห็นคนอื่นรวย ในบริบทพูดถึงสินบน อย่าวางใจทรัพย์สมบัติ เพราะไม่ช่วยให้พ้นทุกข์ (อ่าน NIV)

            ผู้คนมากมายให้ความสำคัญเงินทองทรัพย์สมบัติ ชีวิตต้องใช้เงิน ความจนมันน่ากลัว ยิ่งมีมากยิ่งดี แต่พระเจ้ามองอีกอย่าง

            โยบเป็นกรณีตัวอย่างคนของพระเจ้าที่ร่ำรวยมหาศาล ผู้คนยกย่องว่ามีสติปัญญา โดดเด่นมีชื่อเสียงในสังคม วันหนึ่งความมั่งคั่งและสิ่งต่างๆ ที่มีหายวับไป ลูกๆ คนรับใช้ไม่ตายก็หนีหายหมด ตัวเองป่วยหนัก นอนจมอยู่กับความทุกข์ใจ จะเห็นว่าทรัพย์สิ่งต่างๆ ที่โยบมีช่วยอะไรไม่ได้ อันที่จริงโยบรักษาไว้ไม่ได้ (แม้เขาพยายามเต็มที่) ตัวเขาตอนนี้คือคนจนที่นอนป่วย

          อธิบายขยายความ: คนอยากรวยเพราะเห็นว่าความยากจนเป็นทุกข์ แต่หากรวยด้วยการทำบาปจะยิ่งทุกข์กว่าเดิม

            1) ยิ่งรักเงินยิ่งบาป

            เป็นความจริงหรือไม่ สาเหตุที่หลายคนทุกข์เพราะอยากรวยมากรวยเร็ว คดโกงกดขี่หลอกลวงผู้อื่นเพื่อให้ตนมั่งมี หลายคนมั่งมีด้วยการทำบาป ทำนาบนหลังคน การเป็นเศรษฐีของเขาทำให้คนอื่นทุกข์ยาก ยิ่งรวยมากยิ่งทำให้คนอื่นทุกข์ เป็นสังคมคนบาป

            ใครที่รวยเพราะกดขี่หลอกลวงคนอื่น ขอพระเจ้าเมตตาเถิด

            คนของพระเจ้ามั่งคั่งมั่งมีได้และควรเป็นเช่นนั้น แต่ต้องไม่รักเงินมากกว่าพระเจ้า เห็นคนอื่นรวยแล้วอยากรวยบ้างจนหลงทำบาป (ในตอนนี้ยกตัวอย่างรับสินบน) ดังจะเห็นว่าบางคนทำผิดกฎหมาย เช่น คอร์รัปชัน ค้ายาเสพติด คดโกง ค้ากำไรเกินควร กดค่าแรงลูกจ้าง ฯลฯ พระเจ้าห้ามทำสิ่งเหล่านี้ พระองค์จะพิพากษา (แม้กฎหมายเล่นงานคนผิดไม่ได้แต่ไม่พ้นสายพระเนตรพระเจ้า)

            โทษร้ายแรงสุดคือไม่ได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์

            การรักเงินคือรากเหง้าความชั่ว คนรักเงินจะทุกข์เพราะโลภ ห่างไกลพระเจ้า

1ทธ.6:8-10

8 แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด

9 ส่วนคนเหล่านั้น ที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในข่ายของความเย้ายวน และติดบ่วงแร้วและในความปรารถนานานาที่ไร้ความคิดและเป็นภัยแก่ตัว ซึ่งทำให้คนเราต้องถึงความพินาศเสื่อมสูญไป

10 ด้วยว่าการรักเงินทองนั้นเป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล และเพราะความโลภนี่แหละ จึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์

            การรักเงิน (โลภ) คือวิธีที่มารหลอกให้คนไม่รักพระเจ้า (1ทธ.6:10)

            ตัวอย่าง เศรษฐีหนุ่ม มก.10:17-30

มก.10:21-22

21 พระเยซูทรงเพ่งดูคนนั้น ก็ทรงรักเขาแล้วตรัสว่า "ท่านยังขาดอยู่สิ่งหนึ่ง จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามาและเป็นสาวกของเรา"

22 เมื่อเขาได้ยินคำนั้น หน้าของเขาก็สลดลง แล้วคนนั้นออกไปเป็นทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก

            2) ทำงานสุจริตอย่างขยันขันแข็ง

            พระเจ้ารู้ดีว่ามนุษย์ต้องการปัจจัย 4 ต้องการเงินเพื่อเลี้ยงชีพ พระองค์สอนให้หาเลี้ยงชีพจากงานสุจริต ทำมาหากินด้วยความขยันขันแข็ง รู้จักเก็บออม พระองค์ต้องการอวยพรคนของพระองค์อยู่แล้ว สามารถดูแลตัวเองและผู้อื่น

            การตั้งใจทำมาหากินเป็นคนละเรื่องกับการรักเงิน คนเกียจคร้านรักเงินเหมือนกัน

สภษ.6:6-8

6 คนเกียจคร้านเอ๋ย ไปหามดไป๊ พิเคราะห์ดูทางของมัน และจงฉลาด

7 โดยปราศจากผู้หัวหน้า เจ้าหน้าที่หรือผู้ปกครอง

8 มันเตรียมอาหารของมันในฤดูแล้ง และส่ำสมของกินของมันในฤดูเกี่ยว

            3) พระเจ้าต้องการอวยพรอยู่แล้ว

            พระเจ้าต้องการอวยพรคนของพระองค์อยู่แล้ว ทรงอวยพรครบทุกด้านไม่ใช่แค่เงินทองเท่านั้น ... ทำไมพระองค์ไม่รู้ว่าคริสเตียนต้องใช้เงิน ต้องกินข้าว

ฉธบ.11:13-15, 23-25

13 "ถ้าท่านทั้งหลายจะกระทำตามบัญญัติของข้าพเจ้าซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านไว้ในวันนี้ ให้รักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายและปรนนิบัติพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน

14 "เราจะให้ฝนตกบนแผ่นดินของเจ้าตามฤดูกาล คือฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดู เพื่อเจ้าทั้งหลายจะได้เก็บพืชผล เหล้าองุ่น และน้ำมัน

15 และเราจะให้หญ้าในทุ่งสำหรับฝูงสัตว์ของเจ้า และเจ้าจะได้รับประทานอิ่มหนำ"

23 พระเจ้าจะทรงขับไล่บรรดาประชาชาติเหล่านี้ให้ออกไปพ้นหน้าท่านทั้งหลาย แล้วท่านจะเข้ายึดแผ่นดินของประชาชาติที่ใหญ่กว่าและมีกำลังมากกว่าท่าน

24 ฝ่าเท้าของท่านทั้งหลายจะเหยียบลงที่ใด ที่นั่นจะเป็นของท่าน อาณาเขตของท่านจะเริ่มจากถิ่นทุรกันดารไปจนถึงเลบานอน และจากแม่น้ำ คือแม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงทะเลตะวันตก

25 จะไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านท่านได้ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายเป็นที่เกรงขามและตกใจกลัวของแผ่นดินที่ท่านทั้งหลายจะเหยียบย่ำไปตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับท่าน

            คนมากมายต้องการความสุข วิธีง่ายๆ คือไม่รักเงิน หาเลี้ยงชีพสุจริต ขยันขันแข็ง ลดความโลภ สันติสุขจะมาเอง มีเวลาทำสิ่งดีอื่นๆ

          อธิบายขยายความ: ที่คริสเตียนบางคนไม่เข้าใจ (หรือพยายามโกหกตัวเอง) คือ ผู้ที่ไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้าย่อมไม่ได้รับการอวยพรอย่างเต็มที่ ความเชื่อศรัทธาต่อพระเจ้าถูกทดสอบ เปิดช่องให้มารล่อลวงอยู่เสมอ ท้ายที่สุด (ไม่ว่าจะกินเวลากี่เดือนกี่ปี) จะมีวันหนึ่งที่ต้องตัดสินใจว่าจะมีพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียวหรือไม่

            หากทิ้งพระเจ้าคือเสียชีวิตนิรันดร์ นี่คือโทษประหารของพระองค์

            ที่น่าเศร้าคือบางคนคิดว่าทำผิดไปก่อน (เพื่อตอบสนองความต้องการของเนื้อหนัง) เดี๋ยวกลับตัวกลับใจใหม่ได้ ข้อเท็จจริงคือหลายคนที่ทำผิดแล้วนับวันจะถลำลึกจนทิ้งความเชื่อ ไม่หวนกลับมาเป็นคริสเตียนอีกเลย มีบ้างบางคนกลับมาแต่อยู่ในสภาพบาดเจ็บทั้งร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ ต้องรับผลบางอย่างจากความผิดบาปของตนชั่วชีวิต

            เงินทอง เกียรติยศ ความรู้ความสามารถในตัวเองเป็นกลาง พระเจ้าอวยพรให้แต่ละคนมีตามสมควร ตามนิมิตการทรงเรียกและปัจจัยต่างๆ แต่หากยึดถือสิ่งเหล่านี้เป็นพระเจ้า ให้สิ่งเหล่านี้ควบคุมชีวิต เช่นนี้กลายเป็นความบาป เป็นรูปเคารพ

รม.8:28 เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์

            แม้ต้องใช้เงินทุกวัน แต่ความร่ำรวยไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่ง

10. อย่าเลือกทำบาปเพราะนำทุกข์ใส่ตัว

โยบ.36:20-21 (อ่าน NIV)

20 อย่าอาลัยถึงกลางคืน เมื่อชนชาติทั้งหลายถูกตัดขาดในที่ของเขา

Do not long for the night, to drag people away from their homes.

21 ระวังให้ดี อย่าหันไปหาความบาปผิด เพราะท่านเลือกสิ่งนี้มากกว่าเลือกความทุกข์ใจ

Beware of turning to evil, which you seem to prefer to affliction.

            หลังเตือนอย่ารักเงินทอง โยบข้อต่อมา (โยบ.36:20-21) เตือนอย่าทำบาปใดๆ ยกตัวอย่างคนแอบออกจากบ้านกลางดึกเพื่อทำความชั่ว อาจเป็นการลักขโมย ล่วงประเวณีหรือสิ่งใดๆ ที่ตั้งใจทำเป็นการลับ (กลางคืน) หรืออาจเป็นอบายมุข เที่ยวเล่นการคืน

            เพราะการทำบาปเป็นการนำทุกข์ใส่ตัว พระเจ้าจะพิพากษาลงโทษ

            อธิบายขยายความ: เป็นความจริงหรือไม่ที่หลายคนตั้งใจทำผิด ทำชั่ว ทำบาป บางคนพยายามปกปิดเพราะกลัวถูกจับได้ หลายคนรู้ว่าผิด ไม่ว่าจะผิดธรรมเนียมประเพณี ผิดกฎหมายหรือผิดหลักคำสอน ทำลายสุขภาพ

            หลายคนมีประสบการณ์รู้ว่าผิดแต่ยังทำ สุดท้ายต้องรับกรรมหรือผลจากสิ่งที่ทำ อาจเพราะตั้งใจทำบาป รักความบาป พยายามอดกลั้นแต่สุดท้ายห้ามใจไม่ได้ (เช่น รู้ว่าเมาเหล้าไม่ดีแต่ยังดื่ม) อยู่ใต้ระบอบคนบาป (เช่น ต้องมีส่วนทุจริตคอร์รัปชันเพราะหลายคนทำและถูกกดดันให้ร่วมทุจริตด้วย)

            ทั้งหมดนี้เพราะคนบาปพาตัวเองออกจากอิทธิพลบาปไม่ได้ และต้องรับผลบาปตามกฎเกณฑ์พระองค์ ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือข้ออ้างใดๆ

            พระเจ้าพิพากษาทุกการกระทำแม้กระทั่งความคิดในใจ แค่คิดชั่วร้ายก็บาปเสียแล้ว (แม้ยังไม่ลงมือทำบาป) การรักษาใจจึงสำคัญ เพราะใจเป็นจุดเริ่มต้นของพฤติกรรมบาปอีกหลายอย่าง

มธ.15:18-19

18 แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน

19 ความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย ก็ออกมาจากใจ

11. ทรงรู้แท้รู้จริง

โยบ.36:22 ดูเถิด พระเจ้าทรงสำแดงความยิ่งใหญ่ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ ผู้ใดเป็นผู้สั่งสอนเหมือนอย่างพระองค์เล่า

“God is exalted in his power. Who is a teacher like him?

            พระเจ้าสัพพัญญู รู้แจ้งรู้จริงทุกสิ่ง รู้อดีตรู้ปัจจุบันรู้อนาคต ทรงบริสุทธิ์ชอบธรรม มีสิทธิอำนาจสูงสุดเหนือนามทั้งปวง พระองค์จึงเป็นผู้สอนเหนือทุกคน ไม่มีใครสอนพระองค์ได้

            พระคำข้อนี้ย้ำเตือนผู้เชื่อศรัทธาทุกคนต้องเชื่อฟังคำสอนทุกข้อ ตอนนี้กำลังพูดเรื่องการพิพากษา ให้ทุกคนระวังไม่ทำบาป เตือนคนทำบาปต้องรับผลบาปแน่นอน พระเจ้าไม่ปล่อยไว้เพราะทรงความยุติธรรม ประทานความยุติธรรมแก่ทุกคนไม่ว่าเชื่อพระเจ้าหรือไม่ แน่ละคนไม่เชื่อพระเจ้าทำผิดบาปมากมาย การเชื่อฟังยำเกรงจึงรับผลดี

            อธิบายขยายความ: หลายคนมีประสบการณ์ไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกกดขี่ ถูกคดโกง ถูกกระทำอย่างอยุติธรรม เรื่องเหล่านี้พบบ่อยในมนุษย์คนบาป ในสังคมบาป หาความยุติธรรมไม่ค่อยได้ พระธรรมตอนนี้เตือนใจว่าที่สุดแล้วทุกการกระทำจะถูกพิพากษา ไม่มีข้อยกเว้น ดังนั้นผู้เชื่อศรัทธาต้องตัดสินใจมุ่งมั่นดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ยุติธรรม

            แม้รอบข้างมีแต่ความบาปและตัวเราถูกกระทำอย่างอยุติธรรม ต้องไม่ตอบโต้การชั่วด้วยการชั่ว

รม.12:17-21

17 อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย แต่จงมุ่งกระทำสิ่งที่ใครๆ ก็เห็นว่าดี

18 ถ้าเป็นได้ คือเรื่องที่ขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน

19 ดูก่อน ท่านผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า อย่าทำการแก้แค้น แต่จงมอบการนั้นไว้ แล้วแต่พระเจ้าจะทรงลงพระอาชญา เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า "การแก้แค้นเป็นของเรา เราเองจะตอบสนอง

20 อย่าแก้แค้นเลย ถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารเขารับประทาน ถ้าเขากระหายน้ำก็จงให้น้ำเขาดื่ม เพราะว่าการทำอย่างนั้น เป็นการสุมถ่านที่ลุกโพลงไว้บนศีรษะของเขา

21 อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี

            ถ้าคริสเตียนตอบโต้การชั่วด้วยการชั่ว เพียงแค่คิดในใจก็พลาดจากทางของพระองค์แล้ว คริสเตียนคนนั้นทำบาปไม่ต่างจากคนที่ทำผิดต่อเขา ในทางกลับกันผู้เชื่อจะยังคงมุ่งมั่นดำเนินในความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำแดงตัวเป็นดั่งบุตรของพระเจ้า ตัวแทนพระคริสต์ที่กำลังดำเนินอยู่ในโลกนี้

            “อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี” (รม.12:21)

            ขอบคุณพระเจ้า

12. ทรงความยุติธรรมเสมอไม่ผิดพลาด

โยบ.36:23 ผู้ใดเป็นผู้บงการพระองค์ หรือผู้ใดจะพูดได้ว่า "พระองค์ทรงกระทำผิดแล้ว"

Who has prescribed his ways for him, or said to him, ‘You have done wrong’?

            พระเจ้าไม่เคยผิดพลาด ทุกการตัดสินล้วนถูกต้องเหมาะสมที่สุดตามมาตรฐานพระองค์

            12.1 ไม่ผิดพลาดเพราะทรงอำนาจสูงสุด (23ก)

            พระเจ้าทรงอำนาจสูงสุด ไม่ต้องรายงานใคร ไม่มีผู้ใดสั่งการพระองค์ ดังนั้นเมื่อพระเจ้าพิพากษา ตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งจึงเป็นที่สุด ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด

            ในโลกแห่งความบาป ผู้มีอำนาจ ผู้พิพากษาบางคนถูกชักจูงให้ใช้อำนาจโดยมิชอบ ตัดสินทำการต่างๆ บนผลประโยชน์แทนความถูกต้อง แต่พระเจ้าไม่เป็นเช่นนั้น ทรงบริสุทธิ์ชอบธรรม ไม่ถูกชักจูงให้บิดเบือนความจริง ทรงยุติธรรมเสมอไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะทรงเป็นพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง

            พระเจ้าต่อต้านการพิพากษาอย่างอยุติธรรม

สภษ.11:1 ตราชูขี้ฉ้อนั้นเป็นที่เกลียดชังต่อพระเจ้า แต่ลูกตุ้มที่ยุติธรรมเป็นที่ปีติยินดีแด่พระองค์

            12.2 ไม่ผิดพลาดเพราะรู้แจ้ง (23ข)

            มนุษย์ไม่สมบูรณ์มักยึดผลประโยชน์ส่วนตน กระบวนการศาลยุติธรรมแม้ทำอย่างดีแต่ยังมีโอกาสผิดพลาด บางคดีอาจไม่เข้าถึงข้อมูลความจริงทั้งหมด (การสร้างหลักฐานเท็จ ข้อมูลบางส่วนอาจเสียหายไปแล้ว) การพิพากษาของมนุษย์อาจไม่สมบูรณ์ แต่พระเจ้าทรงสัพพัญญู รู้แจ้งรู้จริงทุกสิ่ง ทรงความเที่ยงธรรม จึงตัดสินโดยไม่ผิดพลาด

            อธิบายขยายความ: บางคนอาจสงสัยว่าทำไมคนชั่วยังลอยนวลหรือคนทำผิดได้ดี เรื่องนี้อธิบายว่าแผนการความคิดพระเจ้าซับซ้อน พระองค์ไม่ได้มองเหตุเฉพาะหน้าเฉพาะประเด็นเท่านั้น ทรงอดทนนาน ลองนึกถึงตัวเองที่ยังทำบาปแม้เชื่อพระเจ้าหลายปีแล้ว อีกเหตุผลคือทรงกำกับความเป็นไปของโลก ทุกคนทุกเรื่องสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อน ไม่มีใครสามารถเข้าถึงเข้าใจเหตุผลความจริงทั้งหมด

            ยกตัวอย่าง ผู้เชื่อ

            ลองคิดถึงตัวคริสเตียนเอง แม้ท่านไม่สมบูรณ์ยังทำบาปแต่แผนการน้ำพระทัยพระองค์ที่มีต่อท่านยังดำเนินต่อไป ท่านทำผิดต่อผู้อื่นและผู้อื่นทำผิดต่อท่าน แต่แผนการน้ำพระทัยพระองค์ในภาพรวมยังดำเนินต่อไป

            พระเจ้าไม่ต้องการให้ใครทำบาป และรู้ว่าใครจะทำบาปเรื่องใดเมื่อไหร่อย่างไร (ทรงสัพพัญญู) แม้โลกบาปแต่ยังอยู่ใต้แผนการพระองค์ พระคัมภีร์มีคำพยากรณ์ คำเผยพระวจนะบรรยายอนาคตโลกไว้แล้ว

            ยกตัวอย่าง ผู้ปกครองไร้คุณธรรมอยู่ใต้แผนการพระเจ้า พระองค์ไม่อยากคนใครทำบาปแต่รู้ล่วงหน้าว่าคนบาปจะทำบาปต่อกัน ความบาปชั่วจะทวีเต็มแผ่นดิน

            พระคัมภีร์สอนให้คริสเตียนเชื่อฟังผู้ปกครองทุกคน (รวมผู้ปกครองฝ่ายโลก) แม้ผู้ปกครองอยุติธรรม เพราะเขาคือส่วนหนึ่งของแผนการพระเจ้า และแน่ละพระเจ้าจะพิพากษาโทษด้วย

รม.13:1-2, 6-7

1 ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอำนาจปกครอง เพราะว่าไม่มีอำนาจใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่ทรงอำนาจนั้น พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น

2 เหตุฉะนั้นผู้ที่ขัดขืนอำนาจนั้น ก็ขัดขืนผู้ซึ่งพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น และผู้ที่ขัดขืนนั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ

6 เพราะเหตุผลอันเดียวกันท่านจึงได้เสียส่วยสาอากรด้วย เพราะว่าผู้มีอำนาจนั้นเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่นี้อยู่

7 ท่านจงให้แก่ทุกคนตามที่เขาควรจะได้รับ จงเสียส่วยสาอากรตามที่ควร เสียภาษีตามที่ควร ความยำเกรงควรแก่ผู้ใด จงยำเกรงผู้นั้น จงให้เกียรติยศแก่ผู้ที่ควรจะได้รับ

ทต.3:1 จงเตือนเขาให้นอบน้อมต่อเจ้าบ้านผ่านเมือง ให้เชื่อฟังและพร้อมที่จะปฏิบัติงานสัมมาอาชีพใดๆ

            จะเห็นว่าพระองค์ให้คนไม่เชื่อพระเจ้ามีส่วนปกครองคริสเตียน (ปกครองฝ่ายโลก) และคริสเตียนต้องนอบน้อมต่อผู้ปกครองเหล่านี้ ปฏิบัติตามกฎหมาย แม้กฎหมายไม่สมบูรณ์ ไม่ตั้งบนหลักการพระเจ้าอย่างครบถ้วน

            น้ำพระทัยหรือแผนการพระเจ้าทำงานผ่านความไม่สมบูรณ์เหล่านี้ คริสเตียนอยู่ในโลกที่ไม่สมบูรณ์ พระองค์ตั้งใจเช่นนั้น

            น้ำพระทัยหรือแผนการพระเจ้าทำงานผ่านความไม่สมบูรณ์” (ขีดเส้นใต้ 2 เส้น)

ยน.17:14-15

14 ข้าพระองค์ได้มอบพระดำรัสของพระองค์ให้แก่เขาแล้ว และโลกนี้ได้เกลียดชังเขา เพราะเขาไม่ใช่ของโลก เหมือนดังที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก

15 ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาเขาออกไปจากโลก แต่ขอปกป้องเขาไว้ ให้พ้นจากมารร้าย

13. ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

            หลังอธิบายเรื่องพระเจ้าผู้พิพากษา ทรงยุติธรรม มาถึงตอนนี้เอลีฮูเพื่อนโยบย้ำความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอีกครั้งและสรรเสริญพระองค์

โยบ.36:24 "จงระลึกถึงที่จะยกย่องพระราชกิจของพระองค์ซึ่งมนุษย์ได้ร้องเพลงกล่าวถึงนั้น

Remember to extol his work, which people have praised in song.

            13.1 ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าปรากฏผ่านสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง

โยบ.36:25 มนุษย์ทั้งปวงเพ่งดูสิ่งนั้นอยู่แล้ว มนุษย์เห็นสิ่งนั้นได้แต่ไกล

            บริบทตอนนี้ยกตัวอย่างความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าผ่านสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง พูดถึงลมฟ้าอากาศ บางคนเรียกว่าปรากฎการณ์ธรรมชาติ

            เป็นสิ่งที่ทุกคนสัมผัสเข้าถึงอยู่แล้ว พบเจออยู่เสมอแล้ว 

            ผู้ที่ยอมรับว่าโลกมีผู้สร้างจะยอมรับพระองค์ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง

            13.2 ยิ่งใหญ่เกินความเข้าใจ

โยบ.36:26-29

26 ดูเถิด พระเจ้านั้นใหญ่ยิ่ง และเราก็หาหยั่งรู้ถึงพระองค์ไม่ อายุของพระองค์เป็นสิ่งที่ค้นหากันไม่ได้

27 เพราะพระองค์ทรงดึงหยดน้ำขึ้นไป ซึ่งกลั่นเป็นฝนจากเมฆของพระองค์

28 ซึ่งฟ้าก็เทลงมา และหยดลงที่มนุษย์อย่างอุดม

29 เออ มีคนใดเข้าใจการแผ่ของเมฆหรือ และการคะนองแห่งพลับพลาของพระองค์หรือ

            โยบ.36:26-29 อายุของพระองค์ ลมฟ้าอากาศ เป็นตัวอย่างความยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่เกินความเข้าใจ

          อธิบายขยายความ: มนุษย์พยายามอธิบายปรากฎการณ์ธรรมชาติ ความรู้วิทยาศาสตร์อธิบายการเกิดฝน พายุ ฯลฯ เหล่านี้คือการพยายามอธิบายสิ่งที่พระองค์สร้าง ยกตัวอย่างดินฟ้าอากาศที่มนุษย์เข้าถึงเข้าใจง่าย

            มนุษย์สามารถแยกโมเลกุลน้ำเป็นออกซิเจนกับไฮโดรเจน สามารถผสมสารเคมีทำให้เกิดน้ำ สามารถอธิบายว่าสภาพอากาศแบบใดก่อพายุแรง พยากรณ์ฝนตก สามารถสร้างฟ้าผ่าเล็กๆ ในห้องทดลอง แต่ไม่มีปัญญาความสามารถที่จะสร้างโลก ดวงดาวต่างๆ และสรรพสิ่งได้ทั้งหมด

            ด้วยเหตุที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ตามพระฉายหรือตามแบบพระองค์ และให้ครอบครองสรรพสิ่ง มนุษย์จึงมีสติปัญญาความสามารถและพัฒนามากขึ้นตามลำดับ อย่างไรเสียมนุษย์คือสิ่งหนึ่งที่ทรงสร้าง

14. ทรงกำกับควบคุม-ให้คุณให้โทษ

โยบ.36:30-31

30 ดูเถิด พระองค์ทรงกระจายฟ้าแลบออกไปรอบพระองค์และคลุมก้นของทะเล

31 เพราะพระองค์ทรงพิพากษาชนชาติทั้งหลายด้วยสิ่งนี้ พระองค์ประทานอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์

            มนุษย์เป็นสิ่งทรงสร้างที่พระเจ้าให้ความสำคัญสูงสุด พระคัมภีร์ (Bible) เต็มด้วยเรื่องราวระหว่างพระองค์กับมนุษย์ (โดยเฉพาะผู้เชื่อศรัทธา) พระธรรมโยบข้อนี้ย้ำพระเจ้าทรงพิพากษาชนชาติทั้งหลาย ทรงควบคุมกำกับ-ให้คุณให้โทษ

          อธิบายขยายความ: พระเจ้ามีแผนการที่ดีแก่มนุษย์ แต่เมื่ออาดัมเอวาทำบาปต้องรับผลของบาป ทุกคนอยู่ภายใต้กฎข้อนี้

            คริสเตียนผู้เชื่อทุกคนจะรับผลตามที่เขากระทำ หลายอย่างจะได้รับในขณะมีชีวิตอยู่ในโลก

            ใครหว่านสิ่งใดเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น (กท.6:7-8, สดด.62:11-12)

กท.6:7-8

7 อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น

8 ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังของตน ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณ ก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น

            มีข้อพระคัมภีร์มากมายที่พูดถึงเรื่องนี้ ผลของการเชื่อฟังกับไม่เชื่อฟัง

            ข้อควรระวังคือ คริสเตียนที่ไม่พยายามดำเนินชีวิตกับพระเจ้า ท้ายที่สุดอาจไม่ได้รับความรอด เพราะรักษาไว้ไม่ได้ ไม่ผ่านการทดสอบทดลอง (เคยผ่านมาแล้วหลายครั้ง ผ่านมาแล้วหลายปี แต่สุดท้ายจะมีครั้งหนึ่งที่ไม่ผ่านและอาจหลุดจากทางพระเจ้า)

            ดังนั้น จึงไม่ใช่แค่รับเชื่อพระเจ้าแล้วจะรอดแน่นอน การรับเชื่อเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ในพระคริสต์

            ตัวอย่าง พระเจ้าทดสอบอับราฮัม

ปฐก.22:1-3

1 ต่อมาพระเจ้าทรงลองใจอับราฮัม และตรัสกับท่านว่า "อับราฮัม" ท่านทูลว่า "พระเจ้าข้า"

2 พระองค์ตรัสว่า "จงพาบุตรของเจ้าคืออิสอัค บุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก ไปยังแคว้นโมริยาห์ และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องเผาบูชา บนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า"

3 อับราฮัมจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ผูกอานลาของท่านพาคนใช้หนุ่มไปกับท่านด้วยสองคนกับอิสอัคบุตรของท่าน ท่านตัดฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชา เดินทางไปยังที่ซึ่งพระเจ้าทรงบอกแก่ท่าน

            บางคนมาโบสถ์รับใช้พระเจ้าแต่นับวันห่างไกลพระเจ้ามากขึ้น (ทั้งๆ ที่มาโบสถ์ รับใช้พระเจ้า) ระวังจะกลายเป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์

            ผู้ที่เชื่อพระเจ้าหลายปีจะพบความจริงว่าพี่น้องคริสเตียนที่เชื่อพระเจ้าในช่วงเวลาใกล้เคียงเขานับวันจะเหลือน้อยลงทุกที คนเชื่อจริงสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าจริง และรักษาสภาพเช่นนี้ไว้ได้เท่านั้นที่จะผ่านการทดสอบทดลอง พระองค์แสวงหาคนเช่นนี้

            คริสเตียนแท้จะได้พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นตราประทับ เป็นมัดจำว่าคนนี้เป็นคนของพระเจ้าเที่ยงแท้

            อฟ.1:12-14 พูดถึงความรอด (12) กับผู้ “ได้รับการผนึกตราไว้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (13) เป็นมัดจำ (14)

อฟ.1:12-14

12 เราทั้งหลายผู้ได้หวังใจในพระคริสต์ก่อนได้รับกำหนด และรับการแต่งตั้งให้เป็นที่ถวายสรรเสริญแด่พระสิริของพระองค์

in order that we, who were the first to put our hope in Christ, might be for the praise of his glory.

13 ในพระองค์นั้น ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เมื่อท่านได้ฟังสัจวาทะ คือข่าวประเสริฐเรื่องความรอดของท่าน และได้วางใจในพระองค์ ได้รับการผนึกตราไว้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์แห่งพระสัญญา

And you also were included in Christ when you heard the message of truth, the gospel of your salvation. When you believed, you were marked in him with a seal, the promised Holy Spirit,

14 เป็นมัดจำของการรับมรดกของเรา จนกว่าเราจะได้รับเป็นกรรมสิทธิ์ เป็นที่ถวายสรรเสริญแด่พระสิริของพระองค์

who is a deposit guaranteeing our inheritance until the redemption of those who are God’s possession—to the praise of his glory.

            ตัวอย่าง เปาโลพูดถึงที่ท่านเป็นอัครทูต ได้รับสิทธิอำนาจจากพระเจ้า ผู้รับการเจิม มีพระวิญญาณสถิตอยู่ด้วย เป็นตราประทับและมัดจำ

2คร.1:21-22

21 ผู้ซึ่งทรงตั้งเรากับท่านทั้งหลายไว้ในพระคริสต์ และได้ทรงเจิมเราไว้นั้นก็คือพระเจ้า

22 และพระองค์ทรงประทับตราเรา และประทานพระวิญญาณไว้ในใจของเราเป็นมัดจำด้วย

            ผู้ใดเป็นคนของพระเจ้าผู้นั้นพระองค์ประทับตราไว้ ทรงสถิตกับเขา (พระวิญญาณสถิตอยู่)

            คริสเตียนที่ใกล้ชิดพระเจ้าจะมั่นใจในความรอด พวกเขาจะรู้ตัว พระองค์จะเปิดเผยและชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ

            คำถาม: วันนี้ท่านสัมผัสการทรงสถิตมากน้อยแค่ไหน มากขึ้นหรือลดลง

            ใครมีหูจงฟัง

15. เตือนมีวันพิพากษา

            ข้อสุดท้ายของโยบ.36 ย้ำการกำกับควบคุม (ยกตัวอย่างผ่านฟ้าฝนฤดูกาล ฯลฯ) เป็นการเตือนให้รู้ตัวอยู่เสมอว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ เตือนว่าคนมีอายุจำกัด มวลมนุษยชาติมีวันสิ้นสุด โลกมีวันสิ้นสุด พระองค์พิพากษาทั้งสิ้น

โยบ.36:32-33

32 พระองค์ทรงคลุมพระหัตถ์ของพระองค์ด้วยฟ้าแลบและทรงบัญชาให้มันผ่าจุดที่หมาย

33 เสียงครืนๆของมันประกาศเกี่ยวกับพระองค์ และฝูงสัตว์ก็ประกาศเกี่ยวกับพายุซึ่งจะมาถึง

            ทรงเตือนว่าวันเวลาของมนุษย์นั้นสั้น

ปฐก.6:3 พระเจ้าจึงตรัสว่า "วิญญาณของเราจะไม่สถิตอยู่ในมนุษย์ตลอดกาล เพราะมนุษย์เป็นแต่เนื้อหนัง อายุของเขาจะไม่เกินร้อยยี่สิบปี"

ปญจ.3:1-2

1 มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวารสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์

2 มีวารเกิด และวารตาย มีวารปลูก และวารถอนสิ่งที่ปลูกทิ้ง

            จิตวิญญาณที่อยู่กับพระเจ้าเท่านั้นที่นิรันดร์

2คร.5:1-5

1 เพราะเรารู้ว่า ถ้าเรือนดินคือกายของเรานี้จะพังทำลายเสีย เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทานให้ ที่มิได้สร้างด้วยมือมนุษย์ และตั้งอยู่เป็นนิตย์ในสวรรค์

2 เพราะว่าในร่างกายนี้เรายังครวญคร่ำอยู่ มีความอาลัยที่จะสวมที่อาศัยของเราที่มาจากสวรรค์

3 เพื่อว่าเมื่อเราสวมแล้ว เราก็จะมิได้เปลือย

4 เพราะว่าเราผู้อาศัยในร่างกายนี้จึงครวญคร่ำเป็นทุกข์ มิใช่เพราะปรารถนาที่จะอยู่ตัวเปล่า แต่ปรารถนาจะสวมกายใหม่นั้น เพื่อว่าร่างกายของเราซึ่งจะต้องตายนั้นจะได้ถูกชีวิตอมตะกลืนเสีย

5 แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เตรียมเราไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำไว้กับเรา

            คริสเตียนคนของพระเจ้ามั่นใจชีวิตนิรันดร์เพราะ “พระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำไว้กับเรา”

สรุป:

            โยบ.36 อธิบายความยุติธรรมของพระเจ้า ทุกคนได้รับผลจากสิ่งที่ทำและพระองค์พร้อมเข้าช่วยเหลือผู้ร้องทูล พระเจ้าผู้พิพากษากับความยุติธรรมเป็นเรื่องเดียวกัน

            ทรงเตือนว่าพวกเชื่อพระเจ้าและตั้งใจดำเนินในความบริสุทธ์ชอบธรรมได้รับการอวยพร ส่วนคนทำบาปต้องรับผลบาป วันเวลาของมนุษย์มีที่สิ้นสุด ต้องเลือกว่าจะเชื่อติดตามพระองค์หรือไม่

คำถามหลังคำสอน :

            1) แบ่งปันประสบการณ์หรือเหตุการณ์ที่ชี้ว่าพระเจ้ายุติธรรม

            2) ควรตอบสนองอย่างไรหากคริสเตียนผู้เชื่อยังอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก ประสบปัญหา

--------------------------