ทุกวันนี้ประชากรโลกกว่า 800 ล้านคนหิวโหยอดยาก และการกินอิ่มอาจหมายถึงการกินของทำลายสุขภาพจนอิ่ม
เนื่องจากอาหารด้อยคุณภาพหรือกินสิ่งที่ไม่ควรเรียกว่าอาหาร เป็นความท้าทายของโลก
รายงาน The
State of Food Security and Nutrition in the World 2019 เป็นความร่วมมือของ
องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture
Organization of the United Nations: FAO)
กับสถาบันระหว่างประเทศอีกหลายแห่ง รายงานฉบับปี 2019 เป็นรายงานฉบับที่ 3 ที่ทำต่อเนื่องตั้งแต่
2017 เป็นต้นมา
ภายใต้กระบวนทัศน์ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” องค์การสหประชาชาติกำหนด “วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน
ค.ศ. 2030” (The 2030 Agenda for Sustainable
Development) เป้าหมายหนึ่งคือโลกที่ปราศจากความหิวโหย (Zero
Hunger) หมายความว่าปลอดภาวะความไม่มั่นคงทางอาหาร ภาวะทุพโภชนาการทุกรูปแบบ
ทุกคนเข้าถึงอาหารปลอดภัย มีคุณค่าโภชนาการอย่างเพียงพอตลอดทั้งปี
แม้เทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น
เชื่อมต่อกันมากขึ้น แต่บางประเทศยังไม่ไปสู่ทิศทางความยั่งยืน ผลจากความขัดแย้งไร้เสถียรภาพทำให้คนอพยพออกจากพื้นที่
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีผลกระทบต่อการเพาะปลูก กระทบการกระจายอาหาร
ภาวะโภชนาการของผู้คนจำนวนมาก ปัจจุบันประชากรโลกกว่า 820 ล้านคน (จากทั้งหมด
7,700 ล้านคนหรือร้อยละ 10.6) อยู่ในภาวะหิวโหย ขาดสารอาหาร (undernourishment) และยังไม่มีทีท่าว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
ข่าวดีคือจำนวนผู้ขาดสารอาหารทั้งโลกเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ค่อนข้างทรงตัว
คือต่ำกว่าร้อยละ 11 ที่แอฟริกายังคงเป็นปัญหา จำนวนผู้ขาดสารอาหารสูงถึงร้อยละ
22.8 โดยเฉพาะย่านใต้ทะเลทรายซาฮารา (sub-Saharan Africa) สถานการณ์ในเอเชียดีขึ้นมาก
ที่ยังเป็นปัญหาคือแถบเอเชียใต้พบผู้ขาดสารอาหารถึงร้อยละ 15 ส่วนกลุ่มลาตินอเมริกาแม้ผู้ขาดอาหารต่ำกว่าร้อยละ
7 แต่ตัวเลขค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น
ข้อมูลอีกตัวคือความมั่นคงทางอาหาร
(มั่นใจว่ามีอาหารอย่างพอเพียง) พบว่าร้อยละ 17.2 หรือ 1,300 ล้านคนที่ยังขาดความมั่นคงระดับปานกลาง
(moderate levels) หมายความว่าพวกเขาบางวันกินอิ่มบางวันกินไม่อิ่ม
จำยอมหรือถูกบังคับให้ซื้อกินอาหารคุณภาพต่ำ (อาจกินอิ่มแต่อาหารด้อยคุณภาพ เป็นโทษต่อสุขภาพ)
ถ้ารวมกลุ่มขาดความมั่นคงระดับปานกลางจนถึงระดับรุนแรง
(severe levels) จะเท่ากับร้อยละ 26.4 ของประชากรโลก (ราว 1
ใน 4) หรือ 2,000 ล้านคน ประชากรร้อยละ 8 ของประเทศพัฒนาแล้วในอเมริกาเหนือกับยุโรปอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
ผู้หญิงมักตกอยู่ในความเสี่ยงมากกว่าชาย
โดยเฉพาะแถบลาตินอเมริกา มักพบในสังคมที่คนขาดการศึกษา เป็นพวกคนยากไร้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยู่ในสังคมที่ผู้หญิงเข้าถึงอาหารยากกว่าชาย
ความไม่เท่าเทียมทางเพศ
ตรงข้ามกับความหิวโหยคือปัญหาโรคอ้วน
(Obesity) ทวีความรุนแรงในหลายประเทศ เป็นสาเหตุให้เสียชีวิตปีละ
4 ล้านคน คนเมืองเป็นโรคอ้วนมากกว่าคนชนเมือง และพบเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มอายุ โดยเฉพาะเด็กนักเรียนกับผู้ใหญ่
เด็กนักเรียนกินผลไม้กับผักน้อยเกินไป แต่มักบริโภคอาหารจานด่วน (fast food) กับน้ำอัดลมเป็นประจำ ออกกำลังน้อยเกินไป คนเหล่านี้จะประสบปัญหาเสี่ยงหลายโรค
เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิต เบาหวาน มะเร็ง ซึมเศร้า ส่งผลเสียทั้งต่อตัวเอง ครอบครัว
ประเทศชาติ
นโยบายสำคัญที่ควรมีคือส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
(ปัจจุบันทารกร้อยละ 40 เท่านั้นที่ได้กินนมแม่อย่างเพียงพอ) มีอาหารคุณภาพในราคาที่ซื้อได้
ส่งเสริมการผลิตอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ไม่บริโภคอาหารที่ทำลายสุขภาพ โดยเฉพาะไขมันที่ทำลายสุขภาพ
เกลือและน้ำตาล
ภาวะโภชนาการส่งผลต่ออนาคตของบุคคลนั้น มีผลต่อการเจริญเติบโต ความแข็งแรงของร่างกาย
สภาพจิตใจ ระดับสติปัญญา และมีผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ การสร้างรายได้ของผู้นั้น ด้วยเหตุนี้เองภาวะโภชนาการจึงมีผลต่อเศรษฐกิจระดับประเทศ
พบว่าจีดีพีของแอฟริกากับเอเชียต้องลดลงร้อยละ 11 เนื่องจากคนขาดสารอาหาร ในขณะที่โรคอ้วนสร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจโลกปีละ
2 ล้านล้านดอลลาร์ จากประสิทธิภาพการทำงานลดต่ำ ค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาสุขภาพ
ความมั่นคงอาหารไม่ใช่เรื่องเฉพาะปริมาณเท่านั้น
รวมถึงคุณภาพอาหารด้วย พูดให้ชัดคือการมีอาหารด้อยคุณภาพหรือทำลายสุขภาพไม่ถือว่ามีความมั่นคงทางอาหาร
เพราะแม้กินอิ่มแต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพไม่ช้าก็เร็ว เป็นอาหารก่อโรค
อาจทำให้น้ำหนักเกิน (บางคนเข้าใจผิดคิดว่าดีต่อสุขภาพ ไม่ขาดสารอาหาร) อาหารราคาถูกแต่ก่อโรค
ส่วนอาหารดีต่อสุขภาพมีราคาแพงลิบ
ผู้เชี่ยวชาญกังวลต่อความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
เกรงว่าจะส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร ประเทศกำลังพัฒนามักจะเห็นผลกระทบเร็ว
อ่อนไหวต่อความเปลี่ยนแปลง ในช่วงเศรษฐกิจขาลงภาวะขาดสารอาหารจะเพิ่มขึ้น มีข้อมูลว่าคนจนได้รับผลกระทบมากกว่าผู้มีรายได้ปานกลางถึงร้อยละ
20 (คนจนได้รับผลกระทบเร็วกว่าและมากกว่า)
แนวทางแก้ไข :
รายงานฉบับนี้เรียกร้องให้ดำเนินการ
2 ด้าน ด้านแรกคือปกปักษ์รักษาความมั่นคงทางอาหารและสารอาหารด้วยนโยบายทางเศรษฐกิจและสังคม
หวังยับยั้งผลจากเศรษฐกิจขาลง ให้ทุนสนับสนุนเครือข่ายทางสังคมที่ทำงานด้านนี้
ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ
ด้านที่สอง ลดความเหลื่อมล้ำความมั่นคงทางอาหาร
ภาวะทุพโภชนาการ เป้าหมายคือให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงอาหารคุณภาพในราคาซื้อได้
ทั้ง 2
ด้านจำต้องอาศัยนโยบายทั้งระยะสั้นและระยะยาว ขึ้นกับบริบทของแต่ประเทศ
ในระยะสั้น
รัฐบาลต้องปกป้องรายได้และกำลังซื้อของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย มีโครงการดูแลโดยเฉพาะ
เช่น บัตรแลกซื้ออาหาร การเลี้ยงอาหารที่โรงเรียน ส่งเสริมการจ้างงาน พัฒนาแรงงานให้มีฝีมือต่อเนื่อง
มีหลักประกันสุขภาพ
ในระยะยาว รัฐบาลต้องลงทุนทางเศรษฐกิจที่ลดความเหลื่อมล้ำ
เสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ส่งเสริมการใช้จ่ายเพื่อดูแลสุขภาพ
สวัสดิการสังคม ออกนโยบายที่ส่งเสริมอาหารเพื่อสุขภาพ เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ปฏิรูปโครงสร้างเกษตรกรรมและระบบอาหาร
เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงอาหารดีมีประโยชน์ ส่งเสริมระบบขนส่งกระจายอาหารให้ทั่วถึง
นโยบายเช่นนี้ต้องเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายลดความเหลื่อมล้ำยากจน
วิเคราะห์องค์รวมและสรุป :
ส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่ยั่งยืนตามกระบวนทัศน์ขององค์การสหประชาชาติคือไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
เป้าหมายหนึ่งคือทุกคนต้องได้อาหารอย่างเพียงพอ มีความมั่นคงทางอาหารตามสมควร
รายงาน
The State of Food Security and Nutrition in the World ช่วยให้โลกรับรู้และตระหนักว่ายังมีอีกหลายร้อยล้านคนที่หิวโหย
อดยาก หลักความมั่นคงทางอาหารซึ่งไม่ได้หมายความว่ามีกินอย่างเพียงพอเท่านั้น ยังหมายถึงพอเพียงอย่างมีคุณภาพ
ไม่กินอาหารก่อโรคหรือทำลายสุขภาพ
รัฐบาลต้องไม่คิดว่าการดูแลภาวะโภชนาการคือช่วยเหลือคนยากไร้ให้มีกิน
ลดความหิวโหยเท่านั้น เพราะการกินอิ่มอาจหมายถึงกินของทำลายสุขภาพจนเต็มท้อง ลองทบทวนอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละวัน
ของที่วางขายในที่ต่างๆ ที่สายตาเรามองเห็นว่ามีคุณภาพแค่ไหน การดูแลตรวจสอบคุณภาพอาหารเป็นบทบาทหน้าที่ของภาครัฐโดยตรง
เศรษฐกิจเสรีไม่ใช่การเปิดโอกาสแก่อาหารด้อยคุณภาพหรืออาหารที่ไม่ควรเรียกว่าเป็นอาหาร
การพัฒนาประเทศต้องคำนึงเรื่องเหล่านี้
ประเทศที่พัฒนาแล้วคือประเทศที่ประชาชนเข้าถึงอาหารมีคุณภาพอย่างพอเพียง
ด้านประชาชนทุกคนต้องดูแลสุขภาพตัวเอง
หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำลายสุขภาพ หลายกรณีเป็นเรื่องทำได้ง่ายๆ เช่น
หลีกเลี่ยงน้ำอัดลม น้ำหวานที่มีปริมาณน้ำตาลสูง การกินเค็มจัด หมั่นศึกษาหาความรู้
มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เช่น ไม่คิดว่าควรให้ลูกหลานอ้วนท้วนสมบูรณ์เพราะเด็กจะดูน่ารัก
เป็นครอบครัวที่มีกินมีใช้ ช่วยกันส่งต่อความเข้าใจที่ถูกต้องเพื่อตัวคุณเองและคนที่คุณรัก
29 กรกฎาคม 2019
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 23 ฉบับที่ 8295 วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2562)
---------------------
เป็นที่ยอมรับทั่วไปว่าอาหารหลายอย่างเป็นต้นเหตุของมะเร็ง
ปัจจุบันคนมักนิยมบริโภคอาหารแปรรูปที่เสี่ยงก่อมะเร็งและให้โทษอีกหลายอย่าง เช่น โรคอ้วน
ความดันโลหิตและคอเลสเตอรอลสูง
บรรณานุกรม :
Food and Agriculture Organization of the United Nations.
(2009). The State of Food Security and Nutrition in the World 2019. Retrieved
from https://docs.wfp.org/api/documents/WFP-0000106760/download/?_ga=2.32747774.1775256747.1563461779-1616949040.1563461779
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น