สหภาพยุโรปเป็นแรงผลักดันให้ชาติสมาชิกต้องเร่งแก้ปัญหาของตน ให้อยู่ภายใต้มาตรฐานร่วมกับชาติสมาชิกอื่นๆ และที่แน่ๆ คือปัญหาคอร์รัปชันไม่ใช่ปัญหาภายในของแต่ละประเทศอีกต่อไป ชาติสมาชิกที่มีปัญหารุนแรงแต่ไม่ยอมแก้ไขจะถูกเพ่งเล็ง กดดันให้แก้ปัญหา
เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์
สหภาพยุโรปได้ออกรายงานต่อต้านคอร์รัปชันฉบับแรกของตน ในชื่อ ‘E.U.
Anti-Corruption Report’ รายงานดังกล่าวชี้ว่าชาติสมาชิกสหภาพยุโรปหลายประเทศประสบปัญหาคอร์รัปชันไม่แตกต่างจากประเทศในภูมิภาคอื่นๆ
คอร์รัปชันในหมู่ชาติสมาชิกอาจมีลักษณะแตกต่างในแต่ละที่แต่ละแห่ง
แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดล้วนกระทบต่อธรรมาภิบาล
กระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญคือทำให้พลเมืองไม่ศรัทธาต่อสถาบันการเมือง
กระบวนการตามระบอบประชาธิปไตย
ที่ผ่านมาชาติสมาชิกได้พยายามต่อต้านคอร์รัปชันตามกรอบกฎหมาย
แนวทางของตน แต่ผลลัพธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจด้วยหลายสาเหตุ เช่น ขาดการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง
ระบบที่ขาดประสิทธิภาพ สถาบันต่อต้านคอร์รัปชันไม่มีขีดความสามารถเพียงพอ
ขาดเจตจำนงทางการเมืองเพื่อการต่อต้านคอร์รัปชัน สหภาพยุโรปหวั่นเกรงอย่างยิ่งว่าตนจะถดถอยลงเรื่อยๆ
หากชาติสมาชิกไม่แก้ไขปัญหาคอร์รัปชันอย่างจริงจัง หวังว่าการอยู่ร่วมเป็นสหภาพจะมีผลช่วยบรรเทาปัญหาให้ลดน้อยลง
สหภาพยุโรปมีการคอร์รัปชันในระดับสูง
:
มีผู้ประเมินว่าการคอร์รัปชันทำให้อียูต้องสูญเงินกว่า
120,000 ล้านยูโรต่อปี หรือเท่ากับปีละ 5.4 ล้านล้านบาท
ปริมาณเงินดังกล่าวน้อยกว่างบประมาณประจำปีของอียูเพียงนิดเดียว
ความเสียหายเชิงตัวเลขเป็นเรื่องหนึ่ง อีกเรื่องคือมุมมองหรือทัศนคติของประชาชนที่มีต่อปัญหาคอร์รัปชัน
พบว่าชาวยุโรปร้อยละ 76 คิดว่าประเทศของตนมีการคอร์รัปชันอย่างกว้างขวาง ในระดับประเทศพบว่าชาวกรีซร้อยละ
99 เชื่อว่าประเทศตนมีการคอร์รัปชันมาก ชาวอิตาลีร้อยละ 97 ชาวลิธัวเนีย
สเปนและสาธารณรัฐเช็กร้อยละ 96
คิดว่าประเทศของตนมีการคอร์รัปชันสูง
ชาวยุโรปร้อยละ
73 คิดว่าการติดสินบน
การใช้เส้นสายเป็นช่องทางที่จะได้รับบริการภาครัฐอย่างสะดวกรวดเร็ว ในระดับประเทศ
ชาวกรีซร้อยละ 93 ไซปรัสร้อยละ 92
สโลวาเกียและโครเอเชียร้อยละ 89 คิดเช่นนั้น
ชาวยุโรปร้อยละ 67 คิดว่าการเงินของพรรคการเมืองไม่โปร่งใสเพียงพอ
ในระดับประเทศ ชาวสเปนร้อยละ 87 ชาวกรีซร้อยละ 86 สาธารณรัฐเช็กร้อยละ 81
คิดเช่นนั้น
การสำรวจในภาคธุรกิจเอกชน
พบว่า 3 ใน 10 บริษัท (หรือร้อยละ 32)
เห็นว่าการคอร์รัปชันทำให้บริษัทของตนไม่ได้รับสัญญาว่าจ้าง/สั่งซื้อ
กลุ่มบริษัทที่ประสบปัญหามากที่สุดคือบริษัทก่อสร้างกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับงานวิศวกรรม
4
ใน 10 บริษัทชี้ว่าวิธีการทุจริตที่มากที่สุดคือ
การออกแบบสัญญาที่เอื้อต่อบางบริษัทอย่างเจาะจง (ร้อยละ 57) มีผลประโยชน์ทับซ้อน
(ร้อยละ 54) การฮั้วประมูล (ร้อยละ 52) ขาดเกณฑ์ประเมินที่ชัดเจน (ร้อยละ 51)
และอื่นๆ อีกหลากหลายอย่างที่ไม่โปร่งใส
บริษัทกว่าครึ่งเห็นว่าร้อยละ
56 ของการจัดซื้อจัดจ้างระดับประเทศไม่โปร่งใส
ส่วนระดับภูมิภาคกับท้องถิ่นไม่โปร่งใสถึงร้อยละ 60
โดยรวมแล้วสหภาพยุโรป
แหล่งรวมของชาติตะวันตกหลายประเทศจึงมีปัญหาการคอรรัปชันมากกว่าหลายคนเข้าใจ
การพูดถึงตัวอย่างประเทศยุโรปที่มีการคอร์รัปชันต่ำเป็นจริงในบางประเทศเท่านั้น ในขณะที่บางประเทศมีปัญหาหนักไม่แพ้ประเทศด้อยพัฒนา
ปัญหาหลากหลายที่พบ :
‘E.U.
Anti-Corruption Report’ แสดงให้เห็นว่าปัญหาคอร์รัปชันของสหภาพยุโรปโดยรวมแล้ว
ไม่ได้แตกต่างจากรูปแบบที่พบเห็นได้ทั่วโลก บางครั้งเป็นเรื่องที่พบเห็นทั่วไป เช่น
ขาดการควบคุมติดตาม ขาดการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง
การจัดซื้อจัดจ้างภาคราชการเป็นกรณีปัญหาที่อียูให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐมีผลต่อเศรษฐกิจของชาติสมาชิกโดยตรง
ราว 1 ใน 5 ของจีดีพีอียูมาจากการใช้งบประมาณรัฐบาล ที่น่าตกใจคือพบว่าการจัดซื้อจัดจ้างเป็นแหล่งคอร์รัปชันของหลายประเทศ
งบประมาณรั่วไหลมาก พบว่าราคาที่หน่วยงานราชการซื้อ อาจเป็นราคาที่สูงเกินจริงถึงร้อยละ
20-25 ของราคาที่ควรจะเป็น และในบางกรณีอาจสูงเกินจริงถึงร้อยละ 50
การคอร์รัปชันในระดับท้องถิ่นเป็นอีกประเด็นที่พูดถึงมาก
พบว่าการคอร์รัปชันในหลายประเทศมักเกิดกับข้าราชการระดับภูมิภาคกับระดับท้องถิ่น
เนื่องจากขาดการตรวจสอบถ่วงดุล ขาดการควบคุมภายใน การตรวจสอบจากส่วนกลางไปไม่ถึง
บางครั้งเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ต่อต้านคอร์รัปชันมีอำนาจน้อยกว่าเจ้าหน้าที่ระดับภูมิภาคที่ต้องกำกับดูแล
การคอร์รัปชันระดับท้องถิ่นมักเกี่ยวข้องกับเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
ในหลายกรณีพบว่าท้องถิ่นเหล่านี้ปฏิบัติตามกลไกควบคุมต่อต้านคอร์รัปชันเพียงเล็กน้อย
ไม่ใส่ใจ ขาดการประสานงานเชื่อมโยง จำต้องแก้ไขเพื่อให้กลไกทำงานได้จริง
หน่วยงานต่อต้านคอร์รัปชันมักเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากฝ่ายการเมืองทั้งทางตรงทางอ้อม
เช่นเดียวกับศาลที่ต้องเผชิญแรงกดดัน พบว่าบางครั้งศาลจะหลีกเลี่ยงเกี่ยวข้องกับคดีของนักการเมืองระดับสูง
คดีที่การตรวจสอบซับซ้อน บางประเทศที่มีศาลสำหรับคดีคอร์รัปชันโดยเฉพาะ ศาลเหล่านี้มักถูกสังคมเพ่งเล็งว่ากระทำหน้าที่โดยสุจริตหรือไม่
ต้องไม่มีปัญหาว่าศาลใช้เวลานานเกินไปจนคดีหมดอายุความ
ซึ่งบางครั้งเกิดจากความจงใจ
ปัญหาอันเนื่องจากกฎหมาย แนวทางที่ต่างกัน
:
เนื่องจากชาติสมาชิกอียูยังมีอธิปไตยของตนเอง จึงเป็นธรรมดาที่แต่ละประเทศจะมีกฎหมายต่อต้านคอร์รัปชันที่แตกต่าง
ตามบริบท ตามพัฒนาทางการเมือง ทางกฎหมายของตน ความแตกต่างนี้บางครั้งเป็นข้อดี
บางครั้งเป็นข้อเสีย
ประเด็นพรรคการเมืองรับเงินสนับสนุนอย่างผิดกฎหมาย
การซื้อเสียงด้วยวิธีการต่างๆ เป็นกรณีตัวอย่าง บางประเทศพยายามแก้ไขด้วยการตรากฎหมายป้องกันปัญหาการบริจาคเงินแก่พรรคการเมือง
แต่ปัจจุบันยังมีบางประเทศที่ผู้ไม่ประสงค์ออกนามสามารถบริจาคเงินมากเท่าที่ต้องการโดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ
บางประเทศที่ยังไม่มีกฎหมายดังกล่าว ฝ่ายการเมืองแก้ไขด้วยการที่พรรคการเมืองขนาดใหญ่แสดงความโปร่งใสทางการเงินโดยสมัครใจ
บางครั้งพรรคการเมืองคว่ำบาตรนักการเมืองในสังกัดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชัน
โดยรวมแล้ว แต่ละประเทศมีกฎหมาย มีกลไกการควบคุมต่อต้านคอร์รัปชันที่แตกต่าง
ขาดแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันทุจริตอันเนื่องจากผลประโยชน์ทับซ้อนเป็นอีกกรณีตัวอย่าง
บางประเทศบังคับใช้ต่อคนจำนวนมาก ครอบคลุมทั้งพวกนักการเมือง ข้าราชการ แม้กระทั่หงหน่วยงานเฉพาะทาง
บางประเทศการสอบสวนกระทำผ่านระบบศาล แต่บางประเทศกระทำผ่านคณะกรรมาธิการรัฐสภาที่มีขีดความสามารถจำกัด
ยังมีนโยบายป้องกันอีกหลายเรื่องที่แต่ละประเทศต่างมีแนวทางของตนเอง
กลายเป็นว่ามีหลายมาตรฐาน แต่ถ้ามองในแง่ดีคือเป็นโอกาสให้แต่ละประเทศได้เลือกใช้แนวทางป้องกันปราบปรามที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของตนเอง
อียูกดดัน ชาติสมาชิกต้องปรับตัว :
ดังที่กล่าวแล้วว่าสมาชิกอียู
28 ประเทศมีความโปร่งใส มีปัญหาคอร์รัปชันมากน้อยแตกต่างกันไป
และเนื่องจากการคอร์รัปชันมีผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของอียูโดยรวม กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
เป็นประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจ
อียูจึงตั้งเป้าช่วยเหลือชาติสมาชิกทุกประเทศให้มีความโปร่งใส ลดการคอร์รัปชัน
โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับประเทศที่มีปัญหาทุจริตในระดับสูง
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของเรื่องนี้เกิดขึ้นจากวิกฤตการเงินเมื่อปี
2008 ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากสหรัฐ ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชาติสมาชิกสหภาพยุโรป
ระบบเศรษฐกิจกับภาคธนาคารปั่นป่วน เสถียรภาพของรัฐบาลหลายประเทศสั่นคลอน ผู้คนหลายล้านตกงาน
วิกฤตเศรษฐกิจ 2008 จึงส่งผลกระทบต่ออียูโดยตรง แต่เป็นโอกาสให้อียูได้ทบทวนระบบเศรษฐกิจของตน
มองเห็นจุดบกพร่อง เป็นโอกาสที่จะได้ปรับปรุงระบบเศรษฐกิจเพื่อเผชิญความท้าทายในอนาคต
และเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลตระหนักเรื่องความโปร่งใส
มีความรับผิดชอบต่อการใช้จ่ายภาครัฐมากกว่าแต่ก่อน
คนยุโรปคาดหวังว่าอียูจะช่วยรัฐสมาชิกขจัดปัญหาเหล่านี้
เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตการเงิน 2008 และวางรากฐานเศรษฐกิจเสียใหม่ ในปี 2010
ได้กำหนดยุทธศาสตร์ ‘Europe 2020’ อันเป็นแผน10
ปีเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป ให้เศรษฐกิจเติบโตก้าวหน้ามีประสิทธิภาพ
ยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ ทุกคนเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ ประชาชนมีงานทำ รักษาสิ่งแวดล้อม แต่การจะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาจะเป็นไปไม่ได้หากขาดรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล
สังคมที่มีการคอร์รัปชันเพียงเล็กน้อย และจำต้องอาศัยความร่วมมือจากชาติสมาชิกทั้งหมด
ต้องเป็นการเข้าสู่เส้นชัยร่วมกัน เพราะวิกฤตเศรษฐกิจของสมาชิกบางประเทศกระทบเป็นลูกโซ่ต่อชาติสมาชิกอื่นๆ
ถ้าจะมองในแง่ดี
สหภาพยุโรปเป็นแรงผลักดันให้ชาติสมาชิกต้องเร่งแก้ปัญหาของตน
ให้อยู่ภายใต้มาตรฐานร่วมกับชาติสมาชิกอื่นๆ และที่แน่ๆ คือปัญหาคอร์รัปชันไม่ใช่ปัญหาภายในของแต่ละประเทศอีกต่อไป
ชาติสมาชิกที่มีปัญหารุนแรงแต่ไม่ยอมแก้ไขจะถูกเพ่งเล็ง กดดันให้แก้ปัญหา
ถ้าจะวิเคราะห์แบบลึกๆ ‘E.U. Anti-Corruption Report’ คือการเปิดเผยปัญหาคอร์รัปชันของชาติสมาชิกและให้เห็นภาพรวม ชี้ให้เห็นว่าชาติสมาชิกที่ระบบเศรษฐกิจอ่อนแอ
การเมืองไม่มั่นคง มักมีการทุจริตคอร์รัปชันระดับสูงเป็นองค์ประกอบ ดังนั้น
การจะแก้ไขปัญหา จะต้องแก้ไขทั้ง 3 ด้านหลักไปพร้อมๆ กัน นี่เป็นมาตรฐานของสหภาพยุโรป
เชื่อว่าในอนาคตสหภาพยุโรปจะมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ เกิดประเด็นให้ชาติสมาชิกได้ถกเถียงกันมากขึ้น
รายงานชิ้นนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันก็เป็นได้
9 กุมภาพันธ์ 2014
ชาญชัย คุ้มปัญญา
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 18 ฉบับที่ 6305 วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557)
(ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “สถานการณ์โลก” ไทยโพสต์ ปีที่ 18 ฉบับที่ 6305 วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557)
---------------------
ประชาสัมพันธ์ :
จองโรงแรมที่พักกับ Booking.com
1. คดีทุจริตกล่าวหามาเรียโน ราโคย นายกรัฐมนตรีสเปน
นายมารีโน ราโคย
นายกรัฐมนตรีสเปนกับแกนนำพรรคหลายคนกำลังถูกกล่าวหาว่ารับเงินใต้โต๊ะจากบริษัทเอกชนเพื่อแลกกับการได้โครงการก่อสร้างของรัฐ
อนุมัติโครงการก่อสร้างต่างๆ ไม่ว่านายกรัฐมนตรีราโคยกับพวกจะถูกตัดสินใจว่าถูกหรือผิด
ข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธคือสเปนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีคอร์รัปชันสูง
และกลายเป็นต้นเหตุหนึ่งของวิกฤตเศรษฐกิจที่จนถึงวันนี้ยังแก้ไม่ได้
1. EUROPE 2020: A
strategy for smart, sustainable and inclusive growth. (2010). European Commission.
Retrieved from http://eur-lex.europa.eu/LexUriServ/LexUriServ.do?uri=COM:2010:2020:FIN:EN:PDF
2. E.U. Anti-Corruption Report. (2014). European Commission.
Retrieved from http://ec.europa.eu/dgs/home-affairs/e-library/documents/policies/organized-crime-and-human-trafficking/corruption/docs/acr_2014_en.pdf
------------------------------